คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอดังนี้ อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการส่งออกไป
นอกราชอาณาจักรซึ่งสินค้า (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติเกี่ยวกับการอนุญาต
ตามมาตรา 7  และบทกำหนดโทษตามมาตรา 20  ของพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาใน
ราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. 2522  และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา  แล้วส่งให้คณะ
กรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา  ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป  และอนุมัติใน
หลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์กำหนดมาตรการควบคุมการส่งออกและการนำเข้าเป็นรายสินค้า  รวม
16 ฉบับเพื่อใช้บังคับแทนมาตรการตามพระราชกฤษฎีกาที่ใช้บังคับในปัจจุบัน มีสาระสำคัญคือ กำหนดมาตร
การควบคุมการส่งออกและการนำเข้าเป็นรายสินค้า เพื่อใช้บังคบแทนมาตรการตามพระราชกฤษฎีกา 8 ฉบับ
ที่มีผลใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันซึ่งควบคุมการส่งออกและนำเข้าสินค้าต่างๆ รวม 16 รายการ ประกอบด้วยสินค้า
ที่ควบคุมการส่งออก 4 รายการ  ได้แก่  ทองคำ สินค้าที่กระทรวงพาณิชย์ได้รับรองไว้แก่ประเทศผู้ส่งสินค้ามา
ยังประเทศไทยว่าจะไม่ให้ส่งออกไปยังประเทศอื่น  (RE-EXPORT)  เทวรูปและพระพุทธรูป กากถั่ว  และสินค้า
ที่ควบคุมการนำเข้า 12 รายการ ได้แก่ ทองคำ น้ำตาลทราย น้ำมันมะพร้าว ข้าว  พริกไทย  กาแฟ  ชาใบและ
ชาผง กระสอบป่าน ภาชนะกระเบื้องเคลือบ  เส้นไหม  หินสำเร็จรูปตามพิกัด 68.02 และรถยนต์ที่ใช้แล้ว และ
ให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาตามมติคณะ
รัฐมนตรี แล้วให้ดำเนินการต่อไปได้

              สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์เกี่ยวกับการส่งออก-นำเข้าสินค้า
ระหว่างไทยกับจีน ไทยกับอินเดีย และไทยกับออสเตรเลีย ดังนี้ การส่งออก-นำเข้าสินค้าระหว่างไทยกับจีน 
ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2546-ตุลาคม 2548 ไทยส่งออกภายใต้ข้อตกลงฯ มูลค่า 3,569.51 ล้านเหรียญสหรัฐฯ  
หรือ  145,995.82   ล้านบาท   สินค้าที่ส่งออกที่มีมูลค่ามากที่สุด   ได้แก่  เครื่องประมวลผลข้อมูล ฯ  ด้าน
การนำเข้าสินค้าจากจีนไทยนำเข้าสินค้าภายใต้ข้อตกลง  ฯ  มูลค่า  3,311.49   ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ   หรือ 
136,888.80  ล้านบาท   สินค้าที่นำเข้าที่มีมูลค่ามากที่สุด  ได้แก่ ส่วนประกอบและอุปกรณ์เครื่องจักร ส่วน
การส่งออก-นำเข้าสินค้าระหว่างไทยกับอินเดีย  ตั้งแต่เดือนกันยายน  2547 - ตุลาคม  2548 ไทยส่งออก
สินค้าภายใต้ข้อตกลง ฯ  จำนวน 82 รายการ  มูลค่า 332.27 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ  หรือ 13,348.69  ล้าน
บาท  สินค้าส่งออกที่มีมูลค่ามากที่สุด  ได้แก่  เครื่องรับโทรทัศน์สี ด้านการนำเข้าสินค้าจากอินเดีย ไทยนำ
เข้าสินค้าภายใต้ข้อตกลง ฯ  มูลค่า  83.12  ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ  หรือ  3,350.08 ล้านบาท สินค้านำเข้าที่
มีมูลค่ามากที่สุด  ได้แก่ กระปุกเกียร์  และการส่งออก-นำเข้าสินค้าระหว่างไทยกับออสเตรเลีย ตั้งแต่เดือน
มกราคม - ตุลาคม  2548 ไทยส่งออกสินค้าภายใต้ข้อตกลง ฯ  จำนวน  5,505 รายการ มูลค่า 2,627.23 
ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ หรือ 104,760.75 ล้านบาท  สินค้าส่งออกที่มีมูลค่ามากที่สุด ได้แก่ ยานยนต์สำหรับ
ขนส่งของ  ด้านการนำเข้าสินค้าจากออสเตรเลีย ไทยนำเข้าสินค้าตามข้อตกลง  ฯ  มูลค่า 2,815.26 ล้าน
เหรียญสหรัฐ ฯ  หรือ 112,557.98 ล้านบาท สินค้าที่นำเข้า ได้แก่ ทองคำยังไม่ได้ขึ้นรูป  และน้ำมันปิโตร
เลียมดิบและน้ำมันที่ได้จากแร่บิทูมินัส

         คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายเนวิน ชิดชอบ) เสนอดังนี้ รับทราบผล
การหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขปัญหาการนำเข้าไม้แปรรูปตามแนวชายแดนจังหวัด
จันทบุรีและเห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาการนำเข้าไม้แปรรูปตามแนวชายแดนจังหวัดจันทบุรี  กรณีที่เป็นไม้
ที่มีการนำเข้ามาก่อนแล้วการนำเข้าไม้เฉพาะในส่วนนี้    ไม่ต้องแสดงใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า   ให้ผู้ว่าราชการ
จังหวัดจันทบุรีแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารกำกับดูแลการนำเข้า-ส่งออกไม้ในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี ประกอบด้วย
ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี เป็นประธานกรรมการ เพื่อทำหน้าที่และรับผิดชอบการตรวจความถูกต้องของไม้ส่วน
นี้ทั้งหมด ในการดำเนินพิธีการศุลกากร   ควรให้ศุลกากรพิจารณาเรียกเก็บภาษีการนำเข้าตามสภาพความเป็น
จริงของไม้ที่นำเข้าในราชอาณาจักร ไม้ที่อนุญาตให้นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยถูกต้องแล้ว ให้นำไปใช้ในการ
ผลิตเฟอร์นิเจอร์ สิ่งประดิษฐ์ หรือผลิตภัณฑ์ที่ทำด้วยไม้ของราษฎรบ้านสวนส้มในเขตที่กำหนดได้เท่านั้น สำหรับ
แนวทางการนำเข้าไม้ตามแนวชายแดนจังหวัดจันทบุรีในโอกาสต่อไป  จะต้องมีใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า หรือมี
หลักฐานการอนุญาตให้ส่งออกของประเทศที่ส่งออก  แสดงประกอบการทำพิธีการศุลกากรนำเข้ามาในราชอา
ณาจักร   ตามหลักการของประกาศกระทรวงพาณิชย์  ว่าด้วยการนำเข้าสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร  (ฉบับที่ 
92)  พ.ศ.  2535  และระเบียบกระทรวงพาณิชย์ ว่าด้วยการกำหนดด่านศุลกากรนำไม้เข้ามาในราชอาณาจักร  
(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2548  การนำเข้าไม้เพื่อการค้า  ผู้นำเข้าจะต้องจดทะเบียนพาณิชย์  และจดทะเบียนเป็นผู้นำ
เข้าตามที่คณะกรรมการบริหารกำกับดูแลการนำเข้า-ส่งออกไม้ในพื้นที่จังหวัดจันทบุรีกำหนดด้วย การนำเข้า
ไม้ให้ดำเนินการได้ ณ จุดผ่อนปรนสวนส้ม พิกัด TV 173584   ตำบลสะตอน อำเภอสอยดาว แห่งเดียวเท่านั้น  
และให้จังหวัดจันทบุรีกำหนดจุดควบคุมและการบริหารไม้ที่นำเข้าเป็นเขตพื้นที่ควบคุมเฉพาะ  ซึ่งได้กำหนดให้
พื้นที่หมู่ที่ 5 และหมู่ที่ 12 พิกัด TV  1459 บ้านสวนส้ม ตำบลสะตอน อำเภอสอยดาว จังหวัดจันทบุรี เป็นเขต
ส่งเสริมการทำอุตสาหกรรมสิ่งประดิษฐ์ทำด้วยไม้   โดยไม้ที่นำเข้ามาต้องนำมาใช้ในการทำสิ่งประดิษฐ์   หรือ
เฟอร์นิเจอร์เฉพาะบริเวณนี้เท่านั้น ห้ามนำไปจำหน่ายหรือนำออกไปใช้ที่อื่น  สำหรับราษฎรผู้ประกอบอาชีพ
ทำหรือจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์บ้านสวนส้มอยู่ก่อนแล้ว แต่ยังไม่ได้จดทะเบียนประกอบการโดยถูกต้อง  ขอให้ไป
จดทะเบียนขออนุญาตตั้งโรงงานแปรรูปไม้เพื่อประดิษฐกรรม  และหรือจะทะเบียนขออนุญาตตั้งโรงค้าสิ่งประ
ดิษฐ์ ตามหลักเกณฑ์ของทางราชการ ภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ ส่วนผู้ประกอบการราย
ใหม่ต้องมีการจดทะเบียนให้ถูกต้องสมบูรณ์เสียก่อน จึงจะดำเนินกิจการได้  และให้จังหวัดจันทบุรีแต่งตั้งคณะ
กรรมการบริหารกำกับดูแลการนำข้า-ส่งออกไม้ในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี    รวมทั้งแต่งตั้งคณะทำงานพิจารณา
แก้ไขปัญหาการนำเข้าไม้ตามแนวชายแดนจังหวัดตราดและให้ดำเนินการต่อไปได้  ทั้งนี้  ให้กระทรวงพาณิชย์
เร่งดำเนินการออกประกาศที่เกี่ยวข้อง และให้กระทรวงการต่างประเทศรับไปประสานและชี้แจงทำความเข้าใจ
กับฝ่ายกัมพูชา    เกี่ยวกับเจตนารมณ์และแนวทางการดำเนินการดังกล่าวให้ถูกต้องตรงกันด้วย

             คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายเนวิน  ชิด
ชอบ) เสนอกรอบวงเงินงบประมาณเพื่อการแก้ไขปัญหายางพาราในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ยะลา ปัตตานี
และนราธิวาส) โดยดำเนินการจากเงินงบกลางเพื่อแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้   ปี  2549   จำนวน
137,998,648 บาท แยกเป็นงบดำเนินการ  จำนวน  77,998,648  บาท  ค่าฝึกอบรม  (วิธีการกรีดยาง)
จำนวน 129,988 บาท และเงินทุนหมุนเวียนซื้อขายยางจำนวน  60,000,000  บาท  สำหรับแนวทางและ
วิธีการดำเนินงานในรายละเอียดให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เช่น  กระทรวงกลาโหม  กระทรวงมหาดไทย  และกระทรวงพาณิชย์  เป็นต้น  ให้เกิดความรอบคอบ  รัดกุม
เพื่อให้ประโยชน์ตกถึงมือเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราอย่างแท้จริง  ส่วนการกำหนดราคาที่จะซื้อยางพาราให้
กำหนดให้สอดคล้อง และเป็นไปตามกลไกตลาด แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องขอทำ
ความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ

               สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์เกี่ยวกับความเคลื่อนไหวดัชนี
ราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนพฤศจิกายน 2548 ดังนี้ ดัชนีราคา
ผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนพฤศจิกายน  2548    เท่ากับ   111.5   เทียบกับเดือนตุลาคม   2548 
(112.3) ลดลงร้อยละ 0.7 จากการลดลงของราคาสินค้าหมวดอาหาร  และหมวดอื่น ๆ  ที่ไม่ใช่อาหาร
และเครื่องดื่ม ซึ่งลดลงร้อยละ 0.6 และ 0.7 ตามลำดับ  โดยสินค้าสำคัญที่เป็นปัจจัยหลักส่งผลให้ราคา
สินค้าต่าง ๆ   ลดลง  คือ ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศ น้ำมันเบนซิน 95  และ  91  และน้ำมันดีเซล  
ส่วนสินค้าอื่น ๆ  ที่มีราคาลดลง ได้แก่ ไก่สด ไข่ รวมทั้งผักสดและผลไม้  สำหรับดัชนีราคาผู้บริโภคพื้น
ฐานของประเทศเดือนพฤศจิกายน  2548  เท่ากับ 103.2 เทียบกับเดือนตุลาคม  2548  สูงขึ้นร้อยละ  
0.1  เดือนพฤศจิกายน 2547  สูงขึ้นร้อยละ 2.4  และเดือนมกราคม-พฤศจิกายน 2548 เทียบกับช่วง
เดือนเดียวกันของปี พ.ศ. 2547 สูงขึ้นร้อยละ 1.5

          คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การ
กำหนดรายชื่อประเทศภาคีแห่งอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองลิขสิทธิ์หรืออนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครอง
สิทธิของนักแสดง  มีสาระสำคัญคือ  ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การกำหนดรายชื่อประเทศ
ภาคีแห่งอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองลิขสิทธิ์หรืออนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิของนักแสดง    ลง
วันที่ 29 เมษายน 2545   และเพิ่มเติมชื่อประเทศที่เป็นภาคีแห่งอนุสัญญากรุงเบิร์นว่าด้วยการคุ้มครอง
งานวรรณกรรมและศิลปกรรม  จากเดิม  148  ประเทศ   เป็น  159  ประเทศ  (เพิ่ม  11  ประเทศ  คือ
1. ราชรัฐอันดอร์รา  2. ราชอาณาจักรภูฏาน  3. สหพันธ์สาธารณรัฐอิสลามคอโมโรส  4.  สาธารณรัฐ
ประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี  5. สาธารณรัฐจิบูตี  6. สหพันธรัฐไมโครนีเซีย  7. ราชอาณาจักรซาอุดี
อาระเบีย 8. สาธารณรัฐอาหรับซีเรีย 9. สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 10. สาธารณรัฐอุซเบกิสถาน และ 11.
สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม)   รวมทั้งเพิ่มเติมชื่อประเทศที่เป็นภาคีความตกลงว่าด้วยสิทธิในทรัพย์
สินทางปัญญาที่เกี่ยวกับการค้า  จากเดิม 144 ประเทศ เป็น 148 ประเทศ  (เพิ่ม  4  ประเทศ  คือ  1. 
สาธารณรัฐอาร์เมเนีย  2. ราชอาณาจักรกัมพูชา  3.  มาซิโดเนีย  และ 4.  ราชอาณาจักรเนปาล)  แล้ว
ดำเนินการต่อไปได้

             คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอการเช่ารถยนต์ประจำตำแหน่งรองอธิบดี
กรมทรัพย์สินทางปัญญา จำนวน  1  คัน  ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2549-พ.ศ. 2553  รวมระยะเวลา 4
ปี 10 เดือน (ธันวาคม 2548-30 กันยายน 2553) ในอัตราเดือนละ  25,700  บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น
1,490,600 บาท  และให้ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณเพื่อการเช่ารถยนต์ดังกล่าว ตั้งแต่ปีงบประมาณ
พ.ศ. 2549-พ.ศ. 2553   สำหรับรายละเอียดการเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามความเห็นของสำนัก
งบประมาณ

               คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับเรื่อง การแก้ไขปัญหาการนำเข้าไม้แปรรูปตามแนวชายแดน จังหวัด
จันทบุรี โดยให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายเนวิน  ชิดชอบ) รับไปพิจารณาร่วมกับรัฐมนตรี
ว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ได้ข้อยุติ แล้วนำเสนอคณะ
รัฐมนตรีต่อไป และให้รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์
กระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ไปประกอบการพิจารณาด้วย  ทั้งนี้  ใน
ส่วนของแนวทางแก้ไขปัญหาเร่งด่วนให้กับราษฎรบ้านสวนส้ม อำเภอสอยดาว จังหวัดจันทบุรี ให้พิจารณา
แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วน

               คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอเรื่อง การแต่งตั้งผู้ประสาน
งานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา (ปคร.) ดังนี้ รองนายกรัฐมนตรี (นายสุชัย เจริญรัตนกุล)  ได้แก่ นายสุรวิทย์
คนสมบูรณ์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง กระทรวงกลาโหม ได้แก่ พลเอก อภิชาต เพ็ญกิตติ 
รองปลัดกระทรวงกลาโหม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้แก่ นางกานดา วัชราภัย 
รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้แก่ นายสุทธิ
พร  จีระพันธุ  รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์  กระทรวงพลังงาน ได้แก่ นายสุชาติ จันลาวงศ์ ผู้ตรวจ
ราชการกระทรวงพลังงาน และกระทรวงพาณิชย์ ได้แก่ นายวรารักษ์ ชั้นสามารถ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์

               สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์เกี่ยวกับสถานการณ์การค้า
ระหว่างประเทศของไทย ในระยะ 10 เดือนแรกของปี พ.ศ. 2548  ตั้งแต่เดือนมกราคม-ตุลาคม 2548  
การส่งออกในเดือนตุลาคม  2548  มีมูลค่า 9,574 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของ
ปีก่อน  ร้อยละ  8.4   การส่งออกยังคงเพิ่มขึ้นในอัตราค่อนข้างสูงแต่ชะลอตัวจากไตรมาสที่  3  สินค้า
อุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.7 ขณะที่สินค้าเกษตร/อุตสาหกรรมการเกษตรลดลงร้อยละ 4.4 การ
ส่งออกในระยะ 10 เดือนแรกของปี 2548 มีมูลค่า 91,595 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียว
กันของปีก่อนร้อยละ  15.3     เป็นการขยายตัวของการส่งออกสินค้าเกษตรกรรม/อุตสาหกรรมการ
เกษตร ร้อยละ 5.6   และสินค้าอุตสาหกรรม  ร้อยละ 16.1  ส่วนการนำเข้าในเดือนตุลาคม 2548 มี
มูลค่า 9,759.5  ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 18.3 และเทียบกับ
เดือนกันยายน  2548  เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.9  การนำเข้าในระยะ 10  เดือนแรกของปี  2548   มีมูลค่า 
99,188  ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ   เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ  26.9   เป็นการขยายตัว
ของการนำเข้าในทุกหมวดที่สำคัญ   ได้แก่  วัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป  สินค้าทุน   และสินค้าเชื้อเพลิง
สำหรับดุลการค้าในเดือนตุลาคม  2548  ไทยขาดดุลการค้า 185.3 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ  ทำให้ดุล
การค้าในระยะ 10  เดือนแรกของปี 2548 ขาดดุลรวม  7,593  ล้านเหรียญสหรัฐ  เนื่องจากมีการ
นำเข้าสินค้าทุนจำนวนมากตามโครงการขนาดใหญ่ของรั ฐ  (Mega Projects)  เช่น เครื่องบิน  และ
การนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง และการส่งออกขยายตัวต่ำกว่าเป้าหมายโดยเฉพาะสินค้าเกษตรที่สำคัญ 
เช่น ข้าว ไก่สดแช่แข็ง

            คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์
ปฏิบัติสำหรับผู้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการชั่งตวงวัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยมีสาระสำคัญคือ ลดระยะเวลา
ในการพิจารณาอนุญาตให้ผู้ประกอบธุรกิจเป็นผู้ตรวจสอบ และให้คำรับรองเครื่องชั่งตวงวัดที่ตนผลิต หรือ
ซ่อม และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้

             คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอมติคณะกรรมการนโยบายอาหาร ในการ
ประชุมเมื่อวันพุธที่ 2 พฤศจิกายน 2548 ที่มีมติเห็นชอบนโยบายและมาตรการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ ปี
พ.ศ. 2549 (กากถั่วเหลือง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และปลาป่น) โดยมีหลักการเช่นเดียวกับปี พ.ศ. 2548 และให้
กรมศุลกากรออกประกาศลด/ยกเลิกอากรนำเข้าของวัตถุดิบอาหารสัตว์ดังกล่าว โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่
วันที่ 1 มกราคม ถึงวันที่  31  ธันวาคม  2549 ในการนี้คณะรัฐมนตรีมีข้อสังเกตว่า กรณีการนำเข้าวัตถุดิบ
บางประเภททั้งจากประเทศสมาชิก และไม่ใช่สมาชิกขององค์การการค้าโลก (WTO) นอกโควตา รวมทั้งการ
นำเข้าวัตถุดิบจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งกำหนดอากรนำเข้าร้อยละ 0 นั้น ควรทำความเข้าใจให้ถูกต้องตรง
กันด้วยว่า  การนำเข้าวัตถุดิบดังกล่าวต้องชำระอากรนำเข้าเพียงแต่ในขณะนี้กำหนดอากรนำเข้าไว้ที่ร้อยละ 
0 และอาจกำหนดเพิ่มได้ตามความเหมาะสม ทั้งนี้ กรณีการนำเข้าวัตถุดิบต่างๆ จากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น
ถั่วเหลืองและข้าวโพด เป็นต้น  กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) ควรมีข้อมูลและระบบการตรวจสอบความ
ถูกต้องด้วยว่า เป็นวัตถุดิบที่มีแหล่งกำเนิดถูกต้องตามกฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้า (Rules of Origin)

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ 
เรื่อง  การนำไม้และไม้แปรรูปรวมทั้งสิ่งประดิษฐ์เครื่องใช้ หรือสิ่งอื่นใดที่ทำด้วยไม้เข้ามาในราชอาณาจักร
ตามแนวชายแดนจังหวัดตากและจังหวัดกาญจนบุรี พ.ศ. 2548  โดยมีสาระสำคัญคือ  ให้ไม้ซุงท่อนและไม้
แปรรูป ประเภทไม้สัก ไม้ยาง และไม้ที่มีชนิดตรงกับไม้หวงห้าม ตามบัญชีท้ายพระราชกฤษฎีกากำหนดไม้
หวงห้าม พ.ศ. 2530   เป็นสินค้าที่ต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักรตามแนวชายแดนจังหวัดตาก
และจังหวัดกาญจนบุรี ให้สิ่งประดิษฐ์ เครื่องใช้ หรือสิ่งอื่นใดที่ทำด้วยใม้ประเภทไม้สัก  ไม้ยาง  และไม้ชนิด
ตรงกับไม้หวงห้ามตามบัญชีท้ายพระราชกฤษฎีกากำหนดไม้หวงห้าม พ.ศ. 2530  ได้รับการยกเว้นไม่ต้อง
มีใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า  หรือหลักฐานการอนุญาตให้ส่งออกของประเทศที่ส่งออกแสดงต่อกรมศุลกา
กรประกอบการทำพิธีการนำเข้ามาในราชอาณาจักร   และให้ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์เรื่อง ห้าม
นำไม้สักและไม้หวงห้าม ประเภท ก  ตามบัญชีท้ายพระราชกฤษฎีกากำหนดไม้หวงห้าม พ.ศ. 2530 ฯ ลง
วันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2548 และให้ดำเนินการต่อไปได้

          สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์เกี่ยวกับผลความคืบหน้าในโครงการ
ออกแบบและควบคุมงานก่อสร้างหมู่บ้านนักกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ประเทศกาตาร์ โดยในส่วนของงานออกแบบ 
FEDCON ได้ส่งมอบงานออกแบบในทุกส่วน และกรมโยธาธิการของการ์ตาได้ออกประกวดราคาก่อสร้างแล้ว 
คงเหลือการออกแบบภายในของอาคารโรงพยาบาลซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการ  ส่วนการควบคุมงานก่อสร้าง  
อาคารที่พักนักกีฬา การก่อสร้างอาคารภายนอกขึ้นถึงชั้นสูงสุดในทุกอาคารแล้ว และอยู่ระหว่างการตกแต่ง
ภายใน คาดว่าจะส่งมอบได้ในราวสิ้นปี  2548   อาคารกระทรวงสาธารณสุขและงานส่วนอื่นๆ  ในส่วนของ
งานก่อสร้างโครงสร้างอาคารภายนอกเสร็จเรียบร้อยแล้ว  และอยู่ระหว่างการติดตั้งกระจกภายนอกอาคาร 
ขณะที่งานก่อสร้างอุโมงค์และถนนเชื่อมอยู่ระหว่างการเทปูนซิเมนต์พื้นถนนและติดตั้งผนังคอนกรีต คาดว่า
งานก่อสร้างในส่วนนี้จะเสร็จเรียบร้อยในราวเดือนมีนาคม  2549   งานระบบและโครงสร้างพื้นฐานอื่น  ๆ 
คาดว่าจะสามารถก่อสร้างให้แล้วเสร็จได้ตามกำหนดเวลา   สำหรับอาคารโรงพยาบาล  งานก่อสร้างชั้นใต้
ดินเสร็จเรียบร้อยและได้ก่อสร้างขึ้นถึงชั้นที่ 2 คาดว่าจะแล้วเสร็จในราวกลางปี 2549

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรม
การลิขสิทธิ์ จำนวน 12 คน ประกอบด้วย นางศรีสุภางค์  อินทร์ไทร  สมาคมนักแต่งเพลงแห่งประเทศไทย
นายเกรียงไกร เชษฐโชติศักดิ์ สมาคมอุตสาหกรรมเพลงไทย นายพิเศษ จียาศักดิ์  สมาคมการค้าผู้ประกอบ
ธุรกิจบันเทิงไทย นายชัยวัฒน์ ทวีวงศ์แสงทอง สมาคมสมาพันธ์ภาพยนตร์แห่งชาติ  นายเทียนชัย ปิ่นวิเศษ
สมาคมผู้สร้างภาพยนตร์แห่งสหรัฐอเมริกา นางริสรวล อร่ามเจริญ สมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือ
แห่งประเทศไทย นางพงษ์ลดา อิทธิเมฆินทร์  สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย  ศาสตราจารย์ ดร.ศรีศักดิ์
จามรมาน สมาคมอินเตอร์เน็ต นายพัน โรจนรังษี  สมาคมศิลปินตลกแห่งประเทศไทย นายธีรพล สุวรรณ
ประทีป สมาคมทรัพย์สินทางปัญญาแห่งประเทศไทย  นายเศรษฐา  ศิระฉายา  และนายจิรพรรณ  อังศวา
นนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (15 พฤศจิกายน 2548) เป็นต้นไป ทั้งนี้ ตาม
มาตรา 7 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548

             คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอมติคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาล
ทราย ครั้งที่ 15/2548  วันที่ 3 พฤศจิกายน 2548  ที่มีมติเห็นชอบการกำหนดราคาอ้อยขั้นสุดท้ายและ
ผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขั้นสุดท้าย ฤดูการผลิต  ปี 2547/2548  เป็นรายเขต 9
เขต  (โดยเฉลี่ยราคาทั่วประเทศอยู่ที่  657.65  บาทต่อตันอ้อย   ณ   ระดับความหวานที่  10  ซี.ซี.เอส)
และการเรียกเก็บเงินจากชาวไร่อ้อยในอัตราตันอ้อยละ  12  บาท จากราคาอ้อยขั้นสุดท้ายฤดูการผลิตปี
2547/2548   คืนให้กับกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย  เพื่อชำระหนี้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์
การเกษตร   ทั้งนี้  ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์  และกระทรวงอุตสาหกรรม  รับข้อสังเกตเพิ่มเติมของ
กระทรวงพาณิชย์   เกี่ยวกับการปรับปรุงผลผลิตต่อตันอ้อย   และประสิทธิภาพของโรงงานน้ำตาลในเขต
คำนวณราคาอ้อยที่ 8 ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย

            คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอร่างพระราชบัญญัติยกเลิกพระราช
บัญญัติส่งเสริมสินค้าขาออก พ.ศ. 2503  และพระราชบัญญัติป้องกันการกระทำบางอย่างในการขนส่งสิน
ค้าขาออกทางเรือ พ.ศ. 2511  พ.ศ. ....  โดยมีสาระสำคัญคือ  ยกเลิกพระราชบัญญัติส่งเสริมสินค้าขาออก
พ.ศ. 2503        และยกเลิกพระราชบัญญัติป้องกันการกระทำบางอย่างในการขนส่งสินค้าขาออกทางเรือ
พ.ศ. 2511 และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา  โดยให้รวมเป็นร่างพระราชบัญญัติ
ฉบับเดียวกันกับร่างพระราชบัญญัติอื่น  ๆ  ที่มีหลักการเดียวกันแล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป   และร่าง
ประกาศกระทรวงพาณิชย์   เรื่อง   ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์บางฉบับที่ไม่เหมาะสมกับกาลปัจจุบัน
พ.ศ. ....  โดยมีสาระสำคัญคือ   ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการส่งสินค้าออกไปนอกราชอาณา
จักร (ฉบับที่ 62) พ.ศ. 2535 ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมพิเศษซึ่ง
สินค้านำเข้าเพื่อตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน พ.ศ. 2539  และยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ว่า
ด้วยการยกเว้นหรือคืนค่าธรรมเนียมพิเศษที่เรียกเก็บจากสินค้าทุ่มตลาด หรือสินค้าที่ได้รับการอุดหนุนที่
นำเข้ามาเพื่อผลิต  ผสม  ประกอบ  หรือบรรจุเป็นสินค้าส่งออก พ.ศ. 2541 และให้ดำเนินการต่อไปได้

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรม
การลิขสิทธิ์ จำนวน 12 คน ประกอบด้วย นางศรีสุภางค์  อินทร์ไทร  สมาคมนักแต่งเพลงแห่งประเทศไทย
นายเกรียงไกร เชษฐโชติศักดิ์ สมาคมอุตสาหกรรมเพลงไทย นายพิเศษ จียาศักดิ์  สมาคมการค้าผู้ประกอบ
ธุรกิจบันเทิงไทย นายชัยวัฒน์ ทวีวงศ์แสงทอง สมาคมสมาพันธ์ภาพยนตร์แห่งชาติ  นายเทียนชัย ปิ่นวิเศษ
สมาคมผู้สร้างภาพยนตร์แห่งสหรัฐอเมริกา นางริสรวล อร่ามเจริญ สมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือ
แห่งประเทศไทย นางพงษ์ลดา อิทธิเมฆินทร์  สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย  ศาสตราจารย์ ดร.ศรีศักดิ์
จามรมาน สมาคมอินเตอร์เน็ต นายพัน โรจนรังษี  สมาคมศิลปินตลกแห่งประเทศไทย นายธีรพล สุวรรณ
ประทีป สมาคมทรัพย์สินทางปัญญาแห่งประเทศไทย  นายเศรษฐา  ศิระฉายา  และนายจิรพรรณ  อังศวา
นนท์ ผู้ทรงคุณวุฒิ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (15 พฤศจิกายน 2548) เป็นต้นไป ทั้งนี้ ตาม
มาตรา 7 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548

            คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัย
จากรถ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....  ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว   โดยมีสาระสำคัญคือ
แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535  เพื่อให้ผู้ประสบภัยจากรถได้รับการ
ชดใช้ค่าเสียหายเบื้องต้นที่แน่นอนและทันท่วงที รวมทั้งแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติบางประการที่ไม่เหมาะสม
และสอดคล้องกับสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน อาทิเช่น บทบัญญัติเกี่ยวกับหลักฐานการ
มีประกันความเสียหาย  การแจ้งการบอกเลิกกรมธรรม์  การใช้จ่ายเงินกองทุน   การจ่ายค่าเสียหายเบื้อง
ต้นจากเงินกองทุนและการเรียกค่าเสียหายเบื้องต้นคืน  และบทกำหนดโทษ ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น  และให้ส่ง
คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป

            คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่คณะกรรมการการตอบแทนกลับคืนทางเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(เฉพาะกรณีความร่วมมือกับรัฐบาลประเทศสหราชอาณาจักร) เสนอการปรับปรุงองค์ประกอบคณะกรรมการ
การตอบแทนกลับคืนทางเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ  ฯ  ดังนี้   เปลี่ยนแปลงตัวบุคคล  2  ท่าน  ประกอบด้วย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นรองประธานกรรมการ  และพลเอก อภิชาต  เพ็ญกิตติ เป็นกรรมการและ
เลขานุการ   และเพิ่มรองปลัดกระทรวงพาณิชย์  (ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานคณะอนุกรรมการดำเนินการจัดหา
สินค้าเพื่อชำระมูลค่ายุทโธปกรณ์   ตามสัญญาการจัดหายุทโธปกรณ์    ภายใต้โครงการตอบแทนกลับคืนทาง
เศรษฐกิจ)  และเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นกรรมการ  พลเอก สุนทร
ฮีสวัสดิ์  ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณกลาโหม   และผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและ
สังคมแห่งชาติ  เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ  ทั้งนี้  ตามมาตรา 7 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอ
เรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548