ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 178 จากทั้งหมด 334 หน้า แสดงรายการที่ 3541 - 3560 จากข้อมูลทั้งหมด 6672 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
3541 | ผลการตรวจรับรองโรงงานไก่แปรรูปเพื่อส่งออกไปญี่ปุ่น | พณ | 12/04/2548 | ||||||||||||||||||
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์เกี่ยวกับผลการตรวจรับรองโรงงานไก่
แปรรูปของไทย ซึ่งกระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมงของญี่ปุ่น ได้จัดส่งเจ้าหน้าที่สัตวแพทย์มาตรวจโรงงานไก่ แปรรูปของไทย จำนวน 17 โรงงาน ระหว่างวันที่ 24-28 มกราคม 2548 ผลการตรวจรับรองปรากฏว่ามี 15 โรงงาน ที่ผ่านการรับรองให้สามารถส่งออกไก่แปรรูปไปญี่ปุ่นได้ ส่วนอีก 2 โรงงาน ไม่ผ่านการตรวจรับรองทำ ให้ขณะนี้มีโรงงานไก่แปรรูปทั้งหมด 48 โรงงานที่สามารถส่งออกไก่แปรรูปไปญี่ปุ่นได้ สำหรับสถานการณ์การ ส่งออกไก่แปรรูปในปี พ.ศ. 2547 ไทยส่งออกไก่แปรรูปไปญี่ปุ่นเป็นปริมาณรวม 84,067 ตัน คิดเป็นสัดส่วน ร้อยละ 48 ของการส่งออกไปทั่วโลก และมีมูลค่า 255 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 49 ของการ ส่งออกไปทั่วโลก ทั้งนี้ ปริมาณและมูลค่าการส่งออกไก่แปรรูปไปญี่ปุ่นมีการขยายตัวจากปี พ.ศ. 2546 ร้อยละ 66 และร้อยละ 67 ตามลำดับ
|
|||||||||||||||||||||
3542 | ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนมีนาคม 2548 และระยะ 3 เดือนแรกของปี 2548 | พณ | 12/04/2548 | ||||||||||||||||||
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์เกี่ยวกับความเคลื่อนไหวดัชนีราคา
ผู้บริโภคทั่วไป และดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนมีนาคม 2548 และระยะ 3 เดือนแรกของปี พ.ศ. 2548 สรุปได้ดังนี้ ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนมีนาคม 2548 เท่ากับ 106.9 เทียบกับ เดือนกุมภาพันธ์ 2548 (106.0) สูงขึ้นร้อยละ 0.8 จากการสูงขึ้นของดัชนีราคาสินค้าหมวดอาหารและ เครื่องดื่ม ร้อยละ 0.7 โดยสินค้าสำคัญที่ราคาสูงขึ้น ได้แก่ ข้าวสารเจ้าหอมมะลิ เนื้อสุกร ไก่สด ปลาและ สัตว์น้ำ ผักสด ผลไม้ ผลิตภัณฑ์นม และอาหารสำเร็จรูปและดัชนีราคาสินค้าหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและ เครื่องดื่ม ร้อยละ 1.0 โดยสินค้าและบริการสำคัญที่ราคาสูงขึ้น ได้แก่ น้ำมันเชื้อเพลิง วัสดุก่อสร้าง และสิ่ง ที่เกี่ยวกับทำความสะอาดส่วนดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศระยะ 3 เดือนแรกของปี พ.ศ. 2548 เท่า กับ 106.1 เทียบกับดัชนีราคาเฉลี่ยช่วงเดียวกันของปี พ.ศ. 2547 (103.2) สูงขึ้นร้อยละ 2.8 โดยสินค้า หมวดอาหารและเครื่องดื่ม ดัชนีราคาสูงขึ้นร้อยละ 4.0 จากการสูงขึ้นของราคาเนื้อสุกร ไก่สด ปลาและสัตว์ น้ำ ไข่ และผลิตภัณฑ์นม ผักสดและผลไม้ อาหารสำเร็จรูป และสินค้าหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่อง ดื่มดัชนีราคาสูงขึ้นร้อยละ 2.0 จากการสูงขึ้นของราคาค่ากระแสไฟฟ้า ก๊าซหุงต้ม วัสดุก่อสร้าง ค่าใช้จ่าย ส่วนบุคคล และน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนมีนาคม 2548 เท่ากับ 101.2 เทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ 2548 สูงขึ้นร้อยละ 0.2 เดือนมีนาคม 2547 สูงขึ้นร้อยละ 0.8 เดือน มกราคม-มีนาคม 2548 เทียบกับช่วงเดือนเดียวกันของปี พ.ศ. 2547 สูงขึ้นร้อยละ 0.7
|
|||||||||||||||||||||
3543 | สถานการณ์ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคประจำสัปดาห์ที่ 5 เดือนมีนาคม 2548 | พณ | 12/04/2548 | ||||||||||||||||||
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์เกี่ยวกับผลการตรวจสอบภาวะการ
ค้าและราคาสินค้าอุปโภคบริโภคหลังการปรับเพิ่มราคาจำหน่ายน้ำมันดีเซล ประจำสัปดาห์ที่ 5 เดือนมีนาคม 2548 ระหว่างวันที่ 28 มีนาคม-1 เมษายน 2548 โดยสินค้าที่มีการเคลื่อนไหวราคาสูงขึ้นในสัปดาห์นี้ ได้แก่ สินค้าประเภทรถยนต์ เนื่องจากมีการปรับเปลี่ยนสินค้ารุ่นใหม่ออกจำหน่าย ได้แก่ รถยนต์นั่ง ฮอนด้า ซิตี้ รุ่น A Deluxe ราคาคันละ 489,000 บาท จากเดิมเป็นรุ่น AMT ราคาคันละ 474,000 บาท และรถยนต์บรรทุก เล็กอีซูซุ รุ่นดีแมคซ์ ราคาคันละ 465,000 บาท จากเดิมที่จำหน่ายราคาคันละ 441,000 บาท เป็นผลมาจาก การติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติมและได้ปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ให้ประหยัดน้ำมัน และสินค้าเกษตร ซึ่งมีสาเหตุมาจาก ผลกระทบจากสภาพอากาศและตามฤดูกา ล ได้แก่ สุกรชำแหละ ราคาสูงขึ้นจาก กก.ละ 90-95 เป็น กก.ละ 90-100 บาท ผักชี ราคาสูงขึ้นจากขีดละ 3-5 บาท เป็น 4-5 บาท และมะนาว ราคาสูงขึ้นจากผลละ 3.00- 3.50 บาท เป็น 3.00-4.00 บาท สำหรับสินค้าอื่น ๆ มีการเปลี่ยนแปลงราคาขึ้นลงในช่วงสั้น ๆ ตามปริมาณ สินค้าที่เข้าสู่ตลาดและการส่งเสริมการขาย เช่น ผักสด ผลิตภัณฑ์นม กาแฟผงสำเร็จรูป น้ำมันพืช น้ำส้มสายชู น้ำปลา น้ำซีอิ๊ว อาหารกึ่งสำเร็จรูป วุ้นเส้น ผลิตภัณฑ์ชำระล้าง แป้งผงโรยตัว ถ่านไฟฉาย และยากำจัดยุง เป็นต้น ในส่วนของการตรวจสอบพฤติกรรมผู้ประกอบการ พบการกระทำผิดไม่ปิดป้ายแสดงราคา จำนวน 3 ราย โดยได้ดำเนินการเปรียบเทียบปรับตามกฎหมายเรียบร้อยแล้ว
|
|||||||||||||||||||||
3544 | สถานการณ์ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคหลังการปรับราคาน้ำมันดีเซล | พณ | 05/04/2548 | ||||||||||||||||||
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์เกี่ยวกับสถานการณ์ราคาสินค้าอุปโภค
บริโภคหลังการปรับราคาน้ำมันดีเซล สรุปได้ว่า สินค้าส่วนใหญ่ยังคงจำหน่ายในราคาเดิมมีเพียงสินค้าบางราย การที่มีราคาเคลื่อนไหวสูงขึ้น โดยมีสาเหตุจากปัจจัยผลกระทบจากราคาวัตถุดิบนำเข้าสูงขึ้น ได้แก่ ผงฟักฟอก (ซักมือ) ราคาสูงขึ้นจากถุงละ 35.50-36.00 บาท เป็น 35.50-38.25 บาท เหล็กเส้นชนิดเส้นกลม SR 24 (น้ำหนัก 4.99 กก./เส้น) ราคาสูงขึ้นจากเส้นละ 107-120 บาท เป็น 107-123 บาท ถุงพลาสติก ชนิดร้อน ราคาสูงขึ้นจาก กก.ละ 61-74 บาท เป็น 65-74 บาท และชนิดเย็น ราคาสูงขึ้นจาก กก.ละ 65-76 บาท เป็น 75-76 บาท และผลกระทบจากสภาพอากาศและตามฤดูกาล ได้แก่ สุกรชำแหละ ราคาสูงขึ้นจาก กก.ละ 85- 95 บาท เป็น กก.ละ 90-95 บาท ไข่ไก่ (เบอร์ 3) ราคาสูงขึ้นฟองละ 2.60-2.70 บาท เป็น 2.70-2.80 บาท และมะนาว ราคาสูงขึ้นจากผลละ 2.50-3.00 บาท เป็น 3.00-3.50 บาท สำหรับสินค้าอื่น ๆ มีการเปลี่ยน แปลงราคาขึ้นลงในช่วงสั้น ๆ ตามปริมาณสินค้าที่เข้าสู่ตลาดและการส่งเสริมการขาย เช่น ผักสด ผลิตภัณฑ์นม กาแฟผงสำเร็จรูป น้ำมันพืช น้ำปลา น้ำซีอิ๊ว สบู่ น้ำยาล้างห้องน้ำ แชมพู และผ้าอนามัย และจากผลการตรวจ สอบพฤติกรรมผู้ประกอบการพบการกระทำผิดปฏิเสธการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิง จำนวน 1 ราย ไม่ปิดป้าย แสดงราคา จำนวน 1 ราย และจำหน่ายก๊าซหุงต้มมีการบรรจุผลิตภัณฑ์ต่ำกว่าที่แสดง จำนวน 1 ราย ซึ่งได้ ดำเนินการเปรียบเทียบปรับตามกฎหมายเรียบร้อยแล้ว ส่วนการตรวจสอบข้อร้องเรียนพฤติกรรมสถานีบริการ น้ำมันเชื้อเพลิง ช่วงวันที่ 22-23 มีนาคม 2548 พบพฤติกรรมการจำหน่ายของสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง กรณีการปฏิเสธการจำหน่าย กักตุนสินค้า และขึ้นราคาก่อนกำหนด พบการกระทำผิดและได้แจ้งความดำเนิน คดีในข้อหากักตุนสินค้า จำนวน 4 ราย โดยมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ
|
|||||||||||||||||||||
3545 | การค้าระหว่างประเทศของไทยในระยะ 2 เดือนแรกของปี 2548 (ม.ค. - ก.พ.) | พณ | 05/04/2548 | ||||||||||||||||||
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์เกี่ยวกับสรุปสถานการณ์การค้าระหว่าง
ประเทศของไทย ในระยะ 2 เดือนแรกของปี พ.ศ. 2548 (มกราคม-กุมภาพันธ์ 2548) ดังนี้ การส่งออกในระยะ 2 เดือนแรกของปี พ.ศ. 2548 มีมูลค่า 15,621.7 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.1 ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 17,487.7 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 27.8 โดยสินค้าสำคัญที่นำเข้าเพิ่มขึ้นในอัตราสูง และส่งผลทำให้ ดุลการค้าขาดดุล ได้แก่ น้ำมันดิบ เหล็กกล้า ทองคำ เครื่องจักรใช้ในอุตสาหกรรมและส่วนประกอบ เคมีภัณฑ์ ส่วนประกอบ และอุปกรณ์เครื่องคอมพิวเตอร์ สินแร่และโลหะอื่น ๆ โดยดุลการค้าในระยะ 2 เดือนแรกของปี พ.ศ. 2548 ขาดดุลมูลค่า 1,866.0 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ ในส่วนของตลาดส่งออกสำคัญตลาดใหม่ยังขยายตัวต่อ เนื่องร้อยละ 15.2 โดยตลาดที่ขยายตัวในอัตราสูง ได้แก่ อินเดีย (ร้อยละ 107.1) แอฟริกา (ร้อยละ 56.0) ลาตินอเมริกา (ร้อยละ 31.3) ตะวันออกกลาง (ร้อยละ 27.0) อินโดจีนและพม่า (ร้อยละ 24.2) ยุโรปตะวัน ออก (ร้อยละ 18.6) และออสเตรเลีย (ร้อยละ 18.2) สำหรับตลาดหลักชะลอตัวลง โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.1 ตาม การชะลอตัวของการส่งออกไปสหรัฐ ฯ สหภาพยุโรป และอาเซียน ขณะที่การส่งออกไปญี่ปุ่นขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อย ละ 10.4 ด้านการส่งออกสินค้าสำคัญส่วนใหญ่ขยายตัวเพิ่มขึ้นที่สำคัญ ได้แก่ ข้าว ปลากระป๋อง ผัก ผลไม้ ยาน ยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า สิ่งทอ พลาสติก วัสดุก่อสร้าง อัญมณี ผลิตภัณฑ์ยาง เฟอร์นิเจอร์ รวมทั้งไก่แปรรูปซึ่งเพิ่ม ขึ้นถึงร้อยละ 100.0 ในขณะที่มันสำปะหลัง กุ้งแช่แข็งและแปรรูป ไก่สดแช่แข็ง แผงวงจรไฟฟ้า และยางพารา ส่ง ออกลดลง
|
|||||||||||||||||||||
3546 | มาตรการดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภค เมื่อมีการปรับราคาน้ำมันดีเซลสูงขึ้น | พณ | 22/03/2548 | ||||||||||||||||||
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์เกี่ยวกับมาตรการดูแลราคาสินค้า
อุปโภคบริโภคเมื่อมีการปรับราคาน้ำมันดีเซลสูงขึ้น ประกอบด้วย มาตรการดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภค มาตรการสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชน/ผู้ประกอบการ มาตรการตรวจสอบ มาตรการทางกฎหมาย และมาตรการช่วยบรรเทาค่าครองชีพ โดยมาตรการตรวจสอบ ได้จัดส่งเจ้าหน้าที่ออกตรวจสอบราคาสินค้า และความเที่ยงตรงของเครื่องชั่งทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค รวมทั้งจัดให้มีหน่วยตรวจสอบเคลื่อนที่เร็ว (Mobile Unit) เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงตามที่ได้มีการร้องเรียนผ่าน Hotline แม่บ้าน 1569 ทั่วประเทศ สำหรับมาตรการทางกฎหมาย ได้แก่ รณรงค์ปิดป้ายแสดงราคา และขยายเวลาการเพิ่มโทษปรับกรณีไม่ ปิดป้ายแสดงราคา และมาตรการช่วยบรรเทาค่าครองชีพ โดยจำหน่ายสินค้าในราคา/ปริมาณที่เป็นธรรม เพื่อเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภค โดยให้จังหวัดจัดหาสถานที่จำหน่าย และขอความร่วมมือห้างสรรพสินค้าและ ร้านค้าปลีกขนาดใหญ่จำหน่ายอาหารสำเร็จรูปใน Food Court ในราคาเดิม และจัดให้มีมุมธงฟ้าราคา ประหยัดในห้างสรรพสินค้าและร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ในบางพื้นที่ โดยจะพิจารณารายการสินค้าที่มีความ จำเป็นเร่งด่วนตามสถานการณ์ เช่น เนื้อสุกร ไก่ ไข่ และสินค้าอุปโภคบริโภค
|
|||||||||||||||||||||
3547 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (จำนวน 4 ราย) ตามมาตรา 7 | พณ | 22/03/2548 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอแต่งตั้ง นายสมบัติ ศรีสุรินทร์ เป็นที่ปรึกษา
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายอลงกรณ์ ทวีรักษา เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เป็นเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ เป็นผู้ ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม 2548 เป็นต้นไป ทั้งนี้ ตามมาตรา 7 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548
|
|||||||||||||||||||||
3548 | รายงานการส่งออก - นำเข้าสินค้าระหว่างไทย - สาธารณรัฐประชาชนจีน (1 ต.ค. 46 - 31 ม.ค. 48) ระหว่างไทย - อินเดีย (1 ก.ย. 47 - 31 ม.ค. 48) และระหว่างไทย - ออสเตรเลีย (1 - 31 ม.ค. 48) | พณ | 08/03/2548 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานการส่งออก-นำเข้าสินค้าระหว่างไทยกับ
จีน ไทยกับอินเดีย และไทยกับออสเตรเลีย ดังนี้ โดยการส่งออก-นำเข้าสินค้าระหว่างไทยกับจีน ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2546-31 ธันวาคม 2547 ไทยส่งสินค้าออกไปจีน พิกัด ฯ 01-08 ปริมาณ 3,509,168 ตัน มูล ค่า 16,142.50 ล้านบาท โดยสินค้าที่ส่งออก ได้แก่ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังชนิดเป็นชิ้น ลำไยแห้ง ลำไยสด ทุเรียนสด และกุ้งแช่แข็ง ด้านการนำเข้า ไทยนำสินค้าเข้าจากจีน พิกัด ฯ 01-08 ปริมาณ 378,012 ตัน มูล ค่า 8,103.68 ล้านบาท โดยสินค้าที่นำเข้า ได้แก่ แอปเปิ้ลสด แพร์และควินส์สด ปลาแช่แข็ง เห็ดแห้ง และ แครอท เทอร์นิพสด/แช่เย็น ส่วนการส่งออก-นำเข้าสินค้าระหว่างไทยกับอินเดีย ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2547-31 ธันวาคม 2547 ไทยส่งออกสินค้าที่อยู่ในรายการสินค้าที่มีการเร่งลดภาษีระหว่างกัน จำนวน 82 รายการ มูลค่า 2,603.35 ล้านบาท โดยสินค้าที่ส่งออก ได้แก่ เครื่องรับโทรทัศน์สี โพลิคาร์บอเนต ส่วน ประกอบเครื่องยนต์ ฯ รัตนชาติไม่ได้ตกแต่ง ฯ หลอดภาพแคโทดเรย์ของเครื่องรับโทรทัศน์สี และเครื่องปรับ อากาศ ด้านการนำเข้า ไทยนำเข้าสินค้าจากอินเดียในรายการสินค้าที่มีการเร่งลดภาษีระหว่างกัน จำนวน 82 รายการ มูลค่า 674.07 ล้านบาท โดยสินค้าที่นำเข้า ได้แก่ กระปุกเกียร์ อะลูมิเนียม ออกไซด์นอกจาก คอรันดัมประดิษฐ์ หลอดภาพแคโทดเรย์ของเครื่องรับโทรทัศน์สี และส่วนประกอบเครื่องเพชรพลอยทำด้วย โลหะมีค่า และอะลูมิเนียมเจือ สำหรับการส่งออก-นำเข้าสินค้าระหว่างไทยกับออสเตรเลีย กระทรวงพาณิชย์ ได้ออกหนังสือรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า (FORM FTA) สำหรับการส่งสินค้าตามข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ออกไปออสเตรเลีย ตั้งแต่วันที่ 1-31 มกราคม 2548 จำนวน 634 ฉบับ มูลค่า 2,142.88 ล้านบาท โดย สินค้าที่ได้มีการขอหนังสือรับรอง ฯ การส่งออกมากที่สุด ได้แก่ รถบรรทุกคนไข้ที่ใช้สำหรับส่วนราชการและ โรงพยาบาล ฯ รองลงมาคือ ยานยนต์สำหรับขนส่งของ เครื่องปรับอากาศที่ประกอบด้วยพัดลมซึ่งขับด้วย มอเตอร์ ปลาทูน่าที่ปรุงแต่งหรือทำไว้ไม่ให้เสีย สิ่งปรุงแต่งสำหรับใช้กับผม กระดาษ และกระดาษแข็งที่ไม่ เคลือบ
|
|||||||||||||||||||||
3549 | ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนกุมภาพันธ์ 2548 | พณ | 08/03/2548 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานความเคลื่อนไหวดัชนีราคาผู้บริโภคและดัชนี
ราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนกุมภาพันธ์ 2548 สรุปได้ดังนี้ ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือน กุมภาพันธ์ 2548 เท่ากับ 106.0 เทียบกับเดือนมกราคม 2548 (105.4) สูงขึ้นร้อยละ 0.6 จากการสูงขึ้นของ ดัชนีราคาสินค้าหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ร้อยละ0.9 โดยสินค้าสำคัญที่ราคาสูงขึ้น ได้แก่ เนื้อสุกร ไก่สด ไข่ไก่ ปลาและสัตว์น้ำ ผักสด และผลไม้สด รวมทั้งสินค้าหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม ที่มีดัชนีราคาสูงขึ้นร้อย ละ 0.3 โดยสินค้าและบริการสำคัญที่ราคาสูงขึ้น ได้แก่ สิ่งที่เกี่ยวกับทำความสะอาด และน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับ ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนกุมภาพันธ์ เท่ากับ 101.0 เทียบกับเดือนมกราคม 2548 สูงขึ้นร้อย ละ 0.1 และเดือนกุมภาพันธ์ 2547 สูงขึ้นร้อยละ 0.6
|
|||||||||||||||||||||
3550 | การเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการรับประกันภัยโครงการประกันภัยอุบัติเหตุเอื้ออาทร | พณ | 08/03/2548 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์โดยกรมการประกันภัยรายงานการเปลี่ยนแปลง
เงื่อนไขการรับประกันภัยโครงการประกันภัยอุบัติเหตุเอื้ออาทร โดยได้ประสานกับสมาคมประกันวินาศภัยเพื่อ พิจารณาดำเนินการเพิ่มทางเลือกให้ประชาชน โดยเห็นว่าถ้าให้ความคุ้มครองในรูปแบบเดิมซึ่งมีจำนวนเงินเอา ประกันภัย 300,000 บาท ไม่ว่าประสบอุบัติเหตุใด ๆ รวมทั้งจากการเป็นผู้ขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์ จะต้องเพิ่มเบี้ยประกันภัยเป็น 515 บาท สำหรับความคุ้มครองอุบัติเหตุเอื้ออาทร และ 650 บาท สำหรับความ คุ้มครองอุบัติเหตุเอื้ออาทรรวมค่าปลงศพ การประกันภัยอุบัติเหตุเอื้ออาทรดังกล่าว จะสามารถดำเนินการได้ ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2548 เป็นต้นไป โดยได้จำแนกเบี้ยประกันภัยออกเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ แบบที่ 1 เบี้ย ประกันภัย 365 คุ้มครอง เสียชีวิต/ทุพพลภาพถาวรจากการขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์ 100,000 บาท เสียชีวิต/ทุพพลภาพถาวรจากอุบัติเหตุอื่นๆ 300,000 บาท เบี้ยประกันภัย 500 บาท คุ้มครอง เสียชีวิต/ ทุพพลภาพถาวรจากการขับขี่หรือโดยสารรถจักรยานยนต์ 100,000 บาท เสียชีวิต/ทุพพลภาพจากอุบัติเหตุ อื่น ๆ 300,000 บาท ค่าปลงศพ 10,000 บาท และแบบที่ 2 เบี้ยประกันภัย 515 บาท คุ้มครอง เสียชีวิต/ ทุพพลภาพถาวรจากอุบัติเหตุใด ๆ 300,000 บาท และเบี้ยประกันภัย 650 บาท คุ้มครอง เสียชีวิต/ทุพพล ภาพถาวรจากอุบัติเหตุใด ๆ 300,000 บาท ค่าปลงศพ 10,000 บาท ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์จะได้เร่ง ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการรับประกันภัย และขยายกลุ่มเป้าหมายผู้ เอาประกันภัยให้เข้าสู่ประชาชนทุกระดับมากขึ้นพร้อมทั้งได้ให้ผู้บริหารโครงการประกันภัยอุบัติเหตุเอื้ออาทร พิจารณาเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายให้มากขึ้น โดยประชาชนสามารถซื้อประกันภัยดังกล่าวได้จากสมาคม ประกันวินาศภัย สมาคมประกันชีวิตไทย และอาสาสมัครประกันภัย นอกเหนือจากช่องทางเดิม คือ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน บริษัทผู้ร่วมรับประกันภัยและสาขา จำนวน 49 บริษัท บริษัทกลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร นอกจากนี้ ได้ดำเนินการติดต่อร้านสะดวกซื้อ 7-eleven รวมทั้งธนาคารพาณิชย์อื่น ๆ เพื่อเข้าร่วมเป็นผู้จัดจำหน่ายกรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุเอื้ออาทรเพิ่มขึ้น
|
|||||||||||||||||||||
3551 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การตกลงการค้าเสรีต่อระบบสุขภาพของคนไทยในบริบทนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ | สสป | 08/03/2548 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้รับทราบตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอความ
เห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ เรื่อง การตกลงการค้าเสรีต่อระบบสุขภาพของคนไทยในบริบทนโยบาย พื้นฐานแห่งรัฐ โดยมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับกระบวนการเจรจาการค้าเสรีแบบทวิภาคีต้องยึดหลักการมีส่วนร่วมจาก ทุกภาคส่วนตั้งแต่ประชาชน นักวิชาการ องค์กรต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบที่เกิด ขึ้นจากข้อตกลงการค้าเสรี ส่วนเรื่องที่เกี่ยวข้องระบบสุขภาพต้องยึดหลักการที่ว่า การประเมินผลกระทบนั้นต้อง คำนึงถึงผู้ป่วยและผู้บริโภค และการพึ่งตนเองด้านยาและสาธารณสุขของประเทศ เพราะผลกระทบที่เกิดจากการ เจรจาการค้าทวิภาคี จะทำให้มีการผูกขาดตลาดยานานขึ้น ทำให้ยามีราคาแพงขึ้น และอุตสาหกรรมยาภายใน ประเทศไม่มีศักยภาพในการแข่งขันกับบรรษัทยาข้ามชาติได้ รวมทั้งขาดความมั่นคงทางด้านยาและการสาธารณ สุขต้องนำเข้ายามากขึ้นทำให้รายจ่ายทางด้านยาและการสาธารณสุขเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับ เรื่อง สิทธิบัตรยา ซึ่งไทยควรมีจุดยืน เช่น ต้องยกเว้นไม่ให้สิทธิบัตรยาจำเป็น เพราะการเข้าถึงยาเป็นสิทธิมนุษย ชนและการสาธารณสุขนั้น ไม่ได้จำกัดเฉพาะในประเทศเท่านั้น และสิทธิบัตรในผลิตภัณฑ์ให้จำกัดขอบเขตเฉพาะ สารเคมีใหม่ (New Chemical Entity) เป็นต้น และการคุ้มครองพันธุ์พืช สมุนไพร และภูมิปัญญาการแพทย์ของไทย ต้องไม่รับข้อตกลงการขยายการคุ้มครองสิทธิบัตรให้คุ้มครองสิ่งมีชีวิตทุกประเภท และปฏิเสธการเข้าร่วมเป็นภาคี อนุสัญญาคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ (อนุสัญญา UPOV) เพราะจะมีผลกระทบต่อระบบเกษตรกรรม การพัฒนาพันธุ์ พืช ความมั่นคงทางด้านอาหารและการคุ้มครองสมุนไพร (พืชและสัตว์) และภูมิปัญญาการแพทย์ของไทย และรับ ทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงพาณิชย์ โดย ให้กระทรวงพาณิชย์รับผิดชอบประสานการติดตามผลการดำเนินงาน เพื่อรายงานให้สภาที่ปรึกษา ฯ อย่างเป็น ระบบและต่อเนื่อง และเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบผลการดำเนินงานเป็นระยะ ๆ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2547 ด้วย
|
|||||||||||||||||||||
3552 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2546 เรื่อง โครงการจัดตั้งบริษัทประกันชีวิตของสหกรณ์ | พณ | 08/03/2548 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 12 ตุลาคม
2536 เรื่อง โครงการจัดตั้งบริษัทประกันชีวิตของสหกรณ์ โดยให้ยกเลิกเงื่อนในการจัดตั้งบริษัทประกันชีวิต ของสหกรณ์ทั้ง 6 ข้อ ได้แก่ (1) บริษัทที่จัดตั้งจะต้องประกอบธุรกิจประกันชีวิตเท่านั้น (2) บริษัทประกัน ชีวิตของสหกรณ์ต้องจัดตั้งเป็นบริษัทจำกัด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (3) ทุนจดทะเบียนการ จัดตั้งบริษัทต้องชำระเต็มไม่น้อยกว่า 200 ล้านบาท โดยแบ่งทุนเป็นหุ้นมีมูลค่าหุ้นเท่าๆ กัน หุ้นละ 10 บาท แต่ถ้ามีสหกรณ์แสดงความจำนงจะถือหุ้นมากกว่าจำนวนขั้นต่ำที่กำหนดไว้ ให้จดทะเบียนตามประสงค์นั้น (4) สหกรณ์เท่านั้นเป็นผู้ถือหุ้นทั้งหมด ยกเว้นในการเป็นผู้เริ่มก่อการ และเมื่อตั้งบริษัทจำกัดเสร็จแล้ว ให้ผู้เริ่ม ก่อการโอนหุ้นให้แก่สหกรณ์ต่อไป หุ้นต้องเป็นหุ้นประเภทสามัญชนิดระบุชื่อผู้ถือลงในใบหุ้น โดยสหกรณ์แต่ ละสหกรณ์จะถือหุ้นได้ไม่เกินร้อยละ 0.1 ของหุ้นทั้งหมด (5) ผู้เอาประกันชีวิต ต้องเป็นบุคคลซึ่งเป็นสมาชิก ของสหกรณ์ประเภทใดประเภทหนึ่งเท่านั้น และ (6) เงื่อนไขอื่นๆ นอกจากที่กล่าวข้างต้นให้อยู่ภายใต้บังคับ บทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ. 2535 รวมทั้งประกาศและกฎกระทรวงที่ออกตามความใน พระราชบัญญัติดังกล่าว และเงื่อนไขบางข้อที่ได้แก้ไขเพิ่มเติมตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2539 ให้บริษัทสหประกันชีวิต จำกัด ขยายขอบเขตการรับประกันชีวิตจากที่ให้รับประกันชีวิตเฉพาะบุคคลที่ เป็นสมชิกสหกรณ์ เป็นให้รับประกันชีวิตบุคคลที่เป็นสมาชิกของสหกรณ์และบุคคลในครอบครัว และตามมติ คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2441 ที่เห็นชอบให้แก้ไขเพิ่มเติมเงื่อนไขในมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2536 โดยให้บริษัท สหประกันชีวิต ฯ ขยายขอบเขตการถือหุ้นจากเดิมซึ่งกำหนดให้สหกรณ์แต่ละ สหกรณ์ถือหุ้นได้ไม่เกินร้อยละ 0.1 ของหุ้นทั้งหมด เป็นไม่เกินร้อยละ 1.0 ของหุ้นทั้งหมด โดยให้บริษัท สหประกันชีวิต ฯ ถือปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายประกันชีวิตต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
3553 | สรุปภาวะราคาสินค้าอุปโภคบริโภคประจำสัปดาห์ที่ 4 เดือนกุมภาพันธ์ 2548 (21 - 25 กุมภาพันธ์ 2548) | พณ | 08/03/2548 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานสรุปภาวะราคาสินค้าอุปโภคบริโภคประจำ
สัปดาห์ที่ 4 เดือนกุมภาพันธ์ 2548 ตั้งแต่วันที่ 21-25 กุมภาพันธ์ 2548 โดยภาวะราคาสินค้าหลังการปรับ ราคาน้ำมันดีเซลเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2548 ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคโดยทั่วไปยังไม่เปลี่ยนแปลง ยกเว้น สินค้าบางรายการที่มีการเคลื่อนไหวขึ้นลงตามฤดูกาลและตามภาวะการส่งเสริมการขายในช่วงสั้น ๆ เนื่องจาก ผู้ประกอบการมีสต็อคสินค้าเก่าที่สามารถจำหน่ายได้อีกประมาณ 1-2 เดือน ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ โดยกรม การค้าภายในได้ขอความร่วมมือผู้ประกอบการให้จำหน่ายสินค้าในราคาเท่าเดิมจนกว่าสต็อคเก่าหมดหรือหาก มีความจำเป็นที่ต้องปรับขึ้นราคาสินค้า ให้แจ้งกรมการค้าภายในพิจารณาพร้อมหลักฐานข้อเท็จจริง และหาก ราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้นโดยไม่มีเหตุผลสมควร หรือเกิดการขาดแคลนสินค้า อาจใช้มาตรการกฎหมายบังคับอย่าง เข้มงวด เช่น การกำหนดราคาจำหน่ายสูงสุด และการกำหนดปริมาณครอบครอง เป็นต้น นอกจากนี้ ได้ประชุม หารือร่วมกับห้างสรรพสินค้าและซัฟพลายเออร์ เพื่อขอความร่วมมือให้จำหน่ายสินค้าในราคาที่เป็นธรรม หาก มีการปรับขึ้นราคาให้แจ้งกรมการค้าภายในทราบ เพื่อพิจารณาราคาที่เหมาะสมต่อไป และให้คงราคาอาหาร ปรุงสำเร็จในศูนย์อาหาร (Food Court) เท่าเดิม รวมทั้งได้กวดขันการปิดป้ายแสดงราคา หากผู้ประกอบการ รายใดฝ่าฝืนจะถูกโทษปรับเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า
|
|||||||||||||||||||||
3554 | รายงานสถานการณ์เกี่ยวกับการลดอากรนำเข้ากากถั่วเหลืองประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2548 | พณ | 01/03/2548 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานสถานการณ์เกี่ยวกับการลดอากรนำเข้ากาก
ถั่วเหลืองประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2548 ตามที่ได้มีนโยบายและมาตรการลดอากรนำเข้ากากถั่วเหลืองปี 2548 (1มกราคม - 31ธันวาคม 2548) เหลือ 4% (ปี 2547 อากรนำเข้า 5%) ผลจากการลดอากรนำเข้า ฯ ดังกล่าว ในส่วนของสินค้าอาหารสัตว์ และน้ำมันถั่วเหลือง กรณีที่กำหนดให้ปัจจัยอื่นที่มีผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตและ ราคาจำหน่ายคงที่ และให้ราคากากถั่วเหลืองลดลงในอัตราเดียวกันกับต้นทุนนำเข้ากากถั่วเหลืองที่ลดลง อัน เนื่องมาจากอัตราอากรนำเข้ากากถั่วเหลืองลดลง 1% ส่งผลให้ต้นทุนและราคาอาหารสัตว์จะลดลงแต่ต้นทุนและ ราคาน้ำมันถั่วเหลืองจะสูงขึ้น โดยอาหารสัตว์ต้นทุนการผลิตลดลง 0.06 - 0.95 บาท/ถุง (30 กก.) ราคา จำหน่ายควรลดลง 1 บาท/ถุง (30 กก.) น้ำมันถั่วเหลือง ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น 0.50 บาท/ขวด 1 ลิตร ราคา จำหน่ายควรสูงขึ้น 0.54 บาท/ขวด 1 ลิตร กรณีกำหนดให้ปัจจัยอื่นเป็นไปตามข้อเท็จจริง ณ เดือนมกราคม 2548 ราคาวัตถุดิบข้าวโพดเลี้ยงสัตว์สูงขึ้น 1.30% ปลายข้าวสูงขึ้น 2.22% กากถั่วเหลืองทรงตัว ปลาป่นลดลง 1.99% เมล็ดถั่วเหลืองในประเทศและนำเข้าลดลง 0.17% และ 0.88% จากผลการวิเคราะห์ต้นทุนและราคา อาหารสัตว์ และน้ำมันถั่วเหลืองควรลดลง ในส่วนของอาหารสัตว์ ต้นทุนการผลิตลดลง 1.06-7.94 บาท/ถุง (30 กก.) ราคาจำหน่ายควรลดลง 1.9 บาท/ถุง (30 กก.) น้ำมันถั่วเหลือง ต้นทุนการผลิตลดลง 0.51 บาท/ ขวด 1 ลิตร ราคาจำหน่ายควรลดลง 0.54 บาท/ขวด 1 ลิตร และในเดือนกุมภาพันธ์ 2548 ราคาขายปลีกน้ำมัน ถั่วเหลืองได้ลดลงสอดคล้องกับผลกระทบแล้ว แต่ราคาอาหารสัตว์สำเร็จรูปเท่ากับเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากยัง คงจำหน่ายจากสต๊อคต้นทุนเดิม สำหรับการรับซื้อเมล็ดถั่วเหลืองภายในประเทศ กรมการค้าภายในได้ประสาน แจ้งไปยังเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการกำกับดูแล และติดตาม การรับซื้อเมล็ดถั่วเหลืองภายในประเทศ และการใช้เมล็ดถั่วเหลืองนำเข้า เพื่อพิจารณาดำเนินการกำกับดูแล ติดตามการรับซื้อเมล็ดถั่วเหลืองภายในประเทศ ให้เป็นไปตามนัยมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2547 เรื่อง การจัดซื้อผลผลิตถั่วเหลืองภายในประเทศต้องดำเนินการอย่างทั่วถึง ครอบคลุมทั้งเกษตรกรราย ใหญ่และรายย่อยอย่างเคร่งครัดแล้ว ส่วนสถานการณ์เมล็ดถั่วเหลืองเดือนมกราคม 2548 ราคาเมล็ดถั่วเหลือง ที่เกษตรกรขายได้สูงขึ้นเป็น กก.ละ 13.00 บาท เนื่องจากเป็นช่วงปลายฤดูถั่วเหลืองฤดูฝน ผลผลิตมีคุณภาพดี และถั่วเหลืองฤดูแล้งยังไม่ออกสู่ตลาด
|
|||||||||||||||||||||
3555 | รายงานสถานการณ์ราคาน้ำมัน | พน | 01/03/2548 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพลังงานรายงานสถานการณ์ราคาน้ำมันในประเทศที่ปรับ
ตัวสูงขึ้น ตามราคาน้ำมันในต่างประเทศ โดยราคาน้ำมันขายปลีกเบนซินมีการปรับขึ้นไปแล้ว 4 ครั้ง คือเมื่อวัน ที่ 26 มกราคม 2548 วันที่ 15 ,18 และ 23 กุมภาพันธ์ 2548 และจะปรับขึ้นอีกในวันที่ 1 มีนาคม 2548 โดย ปรับราคาครั้งละ 0.40 บาท/ลิตร รวม 2.00 บาท/ลิตร ทำให้ราคาเบนซิน 95 และ 91 อยู่ที่ 21.29 และ 20.49 บาท/ลิตร ในขณะที่ราคาน้ำมันดีเซล ยังคงมีการตรึงราคา แม้จะมีการปรับเพดานขึ้น 0.60 บาท/ลิตร เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2548 จากราคาที่ตรึงอยู่ 14.59 เป็น 15.19 บาท/ลิตร แต่รัฐยังมีภาระชดเชยอยู่ที่ -4 บาท/ลิตร หรือ 200 ล้านบาท/วัน โดยราคาน้ำมันดีเซลที่ควรจะเป็นอยู่ที่ 19.30 บาท/ลิตร ส่วนสถานะ ของกองทุนน้ำมัน ฯ ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2547-28 กุมภาพันธ์ 2548 มียอดชดเชยสะสมทั้งสิ้น -70,000 ล้านบาท โดยมียอดสะสมดีเซล -63,000 ล้านบาท และเบนซิน -7,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม คาดว่า ราคาน้ำมันยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง จาก Hedge Funds เข้าซื้อสะสมอยู่ที่ 88,592 สัญญา หรือประมาณ 90 ล้านบาร์เรล เพิ่มขึ้นร้อยละ 40 จากสัปดาห์ก่อน ประกอบกับความต้องการน้ำมันสำเร็จรูปที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อ เนื่องของอินเดียและอินโดนีเซีย ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการ พัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบของการปรับราคาน้ำมันดีเซลเพื่อ นำไปประกอบการพิจารณาตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
3556 | ขอให้เร่งรัดและรายงานความคืบหน้าในการดำเนินคดีข้าว | พณ | 01/03/2548 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการเร่งรัดและความคืบหน้าในการดำเนิน
คดีข้าวในโกดังกลางของบริษัท ไทยซูการ์เทอร์มินอล จำกัด (มหาชน) จังหวัดสมุทรปราการ โดยสาเหตุที่มีการ ดำเนินคดีและอายัดข้าวสารในโกดังกลาง บริษัท ไทยซูการ์ ฯ เนื่องจากคณะกรรมการตรวจสอบคลังสินค้าที่เข้า ร่วมโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปี 2543/44 -2546/47 และนาปรัง ปี 2545-2546 ขององค์การคลัง สินค้าเพื่อเกษตรกร (อคส.) จังหวัดสมุทรปราการ และคณะตรวจสอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจากส่วนกลางได้ ทำการตรวจสอบปริมาณและคุณภาพข้าวสารที่คลังสินค้าของ อคส. ในจังหวัดสมุทรปราการ พบเบาะแสว่าน่า จะมีการกระทำความผิดสำหรับข้าวสารที่จัดเก็บในคลังสินค้าบริษัท ไทยซูการ์ ฯ จำนวน 5 หลัง จังหวัดได้สั่งให้ มีการอายัดข้าวสารและแจ้งความร้องทุกข์ไว้ที่สถานีตำรวจภูธรสำโรงใต้ เพื่อดำเนินการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จ จริง และคณะอนุกรรมการบริหารจัดการนโยบายข้าว ได้มีมติเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2547 เห็นชอบแนวทาง การถอนอายัดข้าวสารในโกดังกลาง ซึ่งพนักงานสอบสวนได้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและส่งสำนวน ให้ ป.ป.ช. แล้ว อคส. ได้มีหนังสือถึงเลขาธิการ ป.ป.ช. เพื่อพิจารณาดำเนินการถอนอายัดข้าวสารของ อคส. ที่ เก็บไว้ในคลังสินค้าของบริษัท ไทยซูการ์ฯ และส่งคืนกุญแจคลังเพื่อทำการจ่ายข้าวสารให้ผู้ซื้อบริษัท เพรซิเดนท์ อะกริเทรดดิ้ง จำกัด ตามสัญญาซื้อขายซึ่งถึงกำหนดส่งมอบ เพื่อมิให้ข้าวสารในโกดังได้รับความเสียหาย และ กระทรวงพาณิชยืได้มีหนังสือถึงประธาน ป.ป.ช. ขอให้ใช้บันทึกหลักฐานการสอบสวน ของสถานีตำรวจภูธร จังหวัดสมุทรปราการในการพิจารณาคดี และขอให้ถอนอายัดข้าวสารโดยเร็ว เพราะหากเก็บไว้นานข้าวจะเสื่อม คุณภาพไม่สามารถส่งจำหน่ายไปต่างประเทศได้ โดยเลขาธิการ ป.ป.ช แจ้งว่า ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ใน ปัจจุบัน จึงพิจารณาเรื่องดังกล่าวไม่ได้ หากปฏิบัติหน้าที่ได้จะพิจารณาและแจ้งให้ อคส. ทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
3557 | การดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายข้าว (ครั้งที่ 7 - 9/2547 และ 1-2/2548) | พณ | 01/03/2548 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพินิจ จารุสมบัติ) ประธานคณะกรรมการ
นโยบายข้าวรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายข้าว (กนข.) ตามมติที่ประชุม กนข. ครั้งที่ 7 /2547-9/2547 และครั้งที่ 1/2548-2/2548 เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2547, 20, 27 ธันวาคม 2547, 7 มกราคม 2548 และ 14 กุมภาพันธ์ 2548 ตามลำดับ สรุปได้ดังนี้ การกำหนดคุณภาพข้าวเปลือกหอม มะลิในจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่รับจำนำตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2547/48 ซึ่งประสบภาวะภัยแล้ง ให้คงคุณภาพมาตรฐานข้าวหอมมะลิในจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งประสบภาวะ ภัยแล้งแล้วเกิดข้าวเมล็ดท้องไข่ให้เป็นไปตามประกาศมาตรฐานกระทรวงพาณิชย์ ที่ระบุว่า ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 2 ให้มีข้าวเมล็ดท้องไข่ไม่เกินร้อยละ 6 และให้คงอัตราแปรสภาพ อัตราส่งมอบ และอัตราค่าฝากเก็บข้าว สารโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2547/48 ตามหลักเกณฑ์เดิมที่วางไว้ ส่วนการปรับหลัก เกณฑ์การเปิดจุดรับจำนำนอกพื้นที่ ได้มีการเปิดจุดรับจำนำนอกพื้นที่เฉพาะโรงสีที่ตั้งอยู่ในภาคเดียวกัน และ /หรือในจังหวัดที่มีพื้นที่ติดต่อกันเท่านั้น กรณีที่จังหวัดนั้นยังมีโรงสีที่เปิดจุดรับจำนำไม่เพียงพอ ให้ผู้ว่าราช การจังหวัดพิจารณาอนุมัติเปิดจุดรับจำนำนอกพื้นที่แทนประธาน กนข. ได้ตามความจำเป็น เว้นแต่โรงสีที่ไม่ ได้ตั้งอยู่ในภาคเดียวกัน จะต้องให้ประธาน กนข. เป็นผู้พิจารณาอนุมัติ สำหรับการขยายระยะเวลารับจำนำ ข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2547/48 ให้ปรับระยะเวลาการรับจำนำในภาคใต้ตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม-15 พฤษภาคม 2548 และให้มีการรับจำนำข้าวเปลือกจากเกษตรกรในช่วงเดือนเมษายน 2548 ในราคารับจำนำ ข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2547/48 ในส่วนของการดำเนินการกับโรงสีและท่าข้าวที่มีพฤติกรรมเอารัดเอา เปรียบเกษตรกรในการชั่งน้ำหนัก การวัดความชื้น การหักสิ่งเจือปน และการนำข้าวชนิดอื่นมาปลอมปนกับ ข้าวเปลือกหอมมะลิ ได้มีการพิจารณาข้อกฎหมายเกี่ยวกับการต่ออายุหนังสืออนุญาตประกอบการค้าข้าวให้ผู้ ประกอบการที่มีพฤติกรรมกระทำความผิดดังกล่าว ขณะนี้อยู่ระหว่างนำลงในราชกิจจานุเบกษาและใช้บังคับ ต่อไป นอกจากนี้ ยังมีผลการดำเนินงานในส่วนอื่น ๆ ได้แก่ การอนุมัติข้าวสารเจ้า 5% เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบ สาธารณภัย จำนวน 1,000 ตัน การบริจาคข้าวขาว 25% จำนวน 1,000 ตัน ให้ประเทศบูร์กินาฟาโซ และ การดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด กรณีข้าวสารโกดังกลางขององค์การตลาดเพื่อเกษตร (อ.ต.ก.) ในจังหวัด พิจิตรสูญหาย และข้าวสารในโกดังกลางขององค์การคลังสินค้า (อคส.) ในจังหวัดสมุทรปราการที่อยู่ระหว่าง การฟ้องร้องดำเนินคดีและถูก ป.ป.ช. อายัดไว้
|
|||||||||||||||||||||
3558 | การช่วยเหลือชาวประมงและผู้ประสบภัยธรณีพิบัติ | พณ | 01/03/2548 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานการช่วยเหลือชาวประมงและผู้ประสบภัย
ธรณีพิบัติ สรุปดังนี้ กรณีที่เกิดธรณีพิบัติและคลื่นยักษ์สึนามิใน 6 จังหวัดภาคใต้ ก่อให้เกิดการสูญเสียชีวิตและ ทรัพย์สินของประชาชนจำนวนมาก กระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง โดยในส่วนของการ ช่วยเหลือแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้จัดตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียนราคาสินค้าและบริการที่กรมการค้าภายในการ รับบริจาคเงินและสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบใน 6 จังหวัด และจัดตั้งศูนย์รับแจ้งและช่วยเหลือเกี่ยวกับการ ประกันภัยในจังหวัดที่ประสบภัย สำหรับการช่วยเหลือราคาอาหารทะเล กรมการค้าภายใน โดยการมอบ หมายของกระทรวงพาณิย์ ได้จัดเทศกาลรณรงค์บริโภคอาหารทะเลขึ้นที่จังหวัดกระบี่และภูเก็ต ระหว่างวันที่ 7 -9 กุมภาพันธ์ 2548 และจะจัดในพื้นที่ประสบภัยอีก 4 จังหวัด ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม 2548 ส่วน การฟื้นฟูช่วยเหลือผู้ประสบภัย ได้รับความร่วมมือจากร้านวัสดุก่อสร้างในการลดราคาให้แก่ผู้ประสบภัยเป็น กรณีพิเศษ การจัดงานจำหน่ายสินค้า "หัวใจไทย สู่ผู้ประสบภัยสึนามิ" ระหว่างวันที่ 4-13 กุมภาพันธ์ ณ ศูนย์แสดงสินค้าอิมแพค เมืองทองธานี การเสริมสร้างธุรกิจ/รายได้ โดยจัดฝึกอบรม/การตกแต่งร้าน/สนับ สนุนอุปกรณ์ประกอบธุรกิจ และสร้างผู้ประกอบธุรกิจด้วยธุรกิจแฟรนไชส์ จัดทีมงานเคลื่อนที่ออกเอกสาร สิทธิ์และหนังสือสำคัญด้านทะเบียนธุรกิจและทรัพย์สินทางปัญญา และผ่อนปรนการส่งงบการเงิน การยื่น งบการเงิน การแจ้งบัญชี ณ จังหวัดประสบภัย รวมทั้งการสร้างรายได้เข้าสู่จังหวัดโดยสนับสนุนการจัดกิจ กรรมจัดประชุม/อบรม/สัมมนา/รับรองคณะผู้แทนการค้าของกระทรวงพาณิชย์ในพื้นที่ 6 จังหวัด
|
|||||||||||||||||||||
3559 | มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดสินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อน | พณ | 01/03/2548 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานสถานการณ์มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด
สินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อน โดยล่าสุด บริษัท JFE STEEL CORPORATION จากประเทศญี่ปุ่น กระทรวงพาณิชย์ได้ ประกาศเปิดการทบทวนอัตราอากรตอบโต้ ฯ ของบริษัท เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2547 ขณะนี้อยู่ระหว่าง การวิเคราะห์/ตรวจสอบข้อมูล คาดว่าจะนำเสนอคณะกรรมการพิจารณาการทุ่มตลาดและการอุดหนุน เพื่อ วินิจฉัยผลการทบทวนได้ภายในเดือนมิถุนายน 2548 และบริษัท ILYICH IRON AND STEE L WORK ON MARIUPOL จากประเทศยูเครน อยู่ในขั้นตอนการออกประกาศเปิดการทบทวนและให้บริษัทชี้แจงข้อมูลตาม กระบวนการ คาดว่าจะนำเสนอคณะกรรมการ ฯ เพื่อวินิจฉัยผลการทบทวนได้ภายในเดือนสิงหาคม 2548 และทั้งสองฝ่ายได้ตกลงทำบันทึกความเข้าใจฉบับใหม่เพื่อปรับเพิ่มปริมาณนำเข้าที่ยกเว้นอากรตอบโต้ ฯ และ ปริมาณที่ผู้ใช้จะซื้อสินค้าในประเทศตามความต้องการของตลาด และนำเสนอคณะกรรมการ ฯ พิจารณาเมื่อ วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2548 และคณะกรรมการ ฯ ได้อนุมัติในหลักการให้ปรับเพิ่มปริมาณตามบันทึกความเข้า ใจเพื่อให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมีสินค้าเพียงพอกับความต้องการแล้ว
|
|||||||||||||||||||||
3560 | สรุปผลการดำเนินการตามมาตรการป้องกันและปราบปรามผู้ใช้เครื่องชั่งเอารัดเอาเปรียบเกษตรกรในการซื้อสินค้าเกษตร ในฤดูกาลรับจำนำและซื้อขายสินค้าเกษตร ปี 2547/2548 | พณ | 01/03/2548 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานสรุปผลการดำเนินการตามมาตรการ
ป้องกันและปราบปรามผู้ใช้เครื่องชั่งเอารัดเอาเปรียบเกษตรกรในการซื้อสินค้าเกษตร ในฤดูกาลรับจำนำ และซื้อขายสินค้าเกษตร ปี 2547/48 (เดือนตุลาคม 2547-มกราคม 2548) โดยดำเนินการตรวจสอบ โรงสีและสถานรับซื้อพืชไร่ 3,772 ราย และเครื่องชั่งที่ 3,982 เครื่อง พบเครื่องผิดโดยสภาพการใช้งาน ได้ผูกบัตรห้ามใช้ และให้ดำเนินการซ่อมแซมแก้ไขให้ถูกต้อง 321 เครื่อง และพบเครื่องผิดโดยผู้ใช้เครื่อง ชั่งใช้เครื่องชั่งไม่ถูกต้อง 1 เครื่อง ได้ดำเนินคดีกับเจ้าของผู้ใช้เครื่องชั่ง 1 ราย (ปรับ 10,000 บาท) ใน การนี้กระทรวงพาณิชย์ได้ออกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้ส่วนประกอบของเครื่องชั่งที่เป็น ส่วนชั่งน้ำหนักเป็นเครื่องชั่ง มีผลใช้บังคับวันที่ 26 เมษายน 2548 ซึ่งประกาศฉบับนี้จะมีผลให้ผู้ผลิต ผู้ นำเข้า ผู้ซ่อม และผู้ขายส่วนประกอบของเครื่องชั่ง ที่เป็นส่วนชั่งน้ำหนัก รวมทั้งส่วนแสดงค่าของเครื่องชั่ง ที่เป็นแบบดิจิทัลของเครื่องชั่งพิกัดกำลังตั้งแต่ 20 เมตริกตันขึ้นไป ต้องจดทะเบียนกับกรมการค้าภายใน และต้องนำส่วนประกอบดังกล่าวมาทำการตรวจสอบก่อนนำไปประกอบเข้ากับเครื่องชั่ง เพื่อป้องกันการ แก้ไขดัดแปลงโดยการเขียนโปรแกรม หรือทำการดัดแปลงแก้ไขวงจรอีเลคโทรนิคให้เครื่องชั่งอ่านน้ำหนัก ผิดไป
|
.....