คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการประชุมคณะกรรมการร่วมไทย
-จีน ด้านการค้า การลงทุน และเศรษฐกิจ ครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 21-23 กันยายน 2548 ณ จังหวัดเชียงใหม่
โดยทั้งสองฝ่ายได้ร่วมหารือประเด็นสำคัญในด้านความร่วมมือระหว่างกันในหลายด้าน  ทั้งด้านการค้า  การ
ลงทุน  การท่องเที่ยว  เศรษฐกิจ รวมทั้งด้านอื่น ๆ โดยได้ตกลงที่จะให้มี Roadmap for SINO-Thai Strategic 
Economic  Partnership  เพื่อให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงร่วมหารือต่อไปโดยเร็วที่สุด   และเห็นชอบที่จะขยายมูลค่า
การค้าระหว่าง 2 ประเทศ เป็น 50,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2553 เพิ่มมูลค่าการลงทุนระหว่างกันเป็น 
6,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ ในปี 2553  ส่งเสริมให้มีการเพิ่มเส้นทางบิน/เที่ยวบินในเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญ
อำนวยความสะดวกเรื่องการออกวีซ่าให้แก่นักท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศโดยไทยได้เชิญชวนให้จีนที่มีความ
พร้อมเข้าร่วมในการลงทุนโครงการต่างๆ ผ่านการค้าแบบ Barter Trade ระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาล (G to G) 
รวมทั้งเห็นพ้องที่จะให้มีการกระชับความสัมพันธ์ระดับมณฑลของจีนและไทย   สนับสนุนความร่วมมือเพื่อจัด
ทำให้ไทยเป็นประตูสู่อาเซียนอีกด้วย นอกจากนี้ ได้มีการประชุมคู่ขนานกับการประชุม JC ของคณะนักธุรกิจ
ไทย-จีน  จำนวนกว่า  300  คน   ได้มีการลงนามในบันทึกข้อตกลงคณะกรรมการร่วมไทย-จีน  ฯ   และร่าง 
Outline ของ Roadmap  การลงนามความร่วมมือทางการค้าระหว่างภาครัฐอีก 3 ฉบับ การท่องเที่ยว 4 ฉบับ 
และภาคเอกชนมีการลงนามความร่วมมือการลงทุน  จำนวน 3 ฉบับ  และได้มีการหารือกับภาคธุรกิจของจีน
เกี่ยวกับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจในสาขาต่างๆ โดยเฉพาะในเรื่องการค้าแบบแลกเปลี่ยนในโครงการขนาด
ใหญ่ของไทย  เช่น  โครงการ  Mass Rapid Transit  โครงการด้านทรัพยากรน้ำ  โครงการก่อสร้างทางรถไฟ
และโครงการที่อยู่ระหว่างการเจรจา ได้แก่ โครงการโรงงานยาสูบที่เชียงใหม่ เป็นต้น

             คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีการพิจารณาบำเหน็จความชอบ
เป็นกรณีพิเศษนอกเหนือโควตาปก ติจำนวน  1  ชั้น  ให้กับผู้ที่ช่วยปฏิบัติราชการในงานผู้แทนการค้าไทย
ในวันที่ 1 ตุลาคม 2548 จำนวน 3 ราย ได้แก่ นางสาวศุภรำไพ หาญทวีพาณิชย์ นักวิชาการภาษี 8 ว กรม
ศุลกากร  กระทรวงการคลัง  นายมานิตย์  วัชนะประพันธ์  นักวิชาการพาณิชย์  7  กรมส่งเสริมการส่งออก
กระทรวงพาณิชย์ และนางสาวอนงคสิริ กุลกำม์ธร นักวิชาการประกันภัย 6  กรมการประกันภัย  กระทรวง
พาณิชย์  โดยส่งรายชื่อให้กระทรวง กรม ต้นสังกัดตรวจสอบคุณสมบัติ และเลื่อนขั้นเงินเดือนต่อไปได้  โดย
ไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติอีก

             คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ประธานกรรมการ
ติดตามมาตรการเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2548  รายงานผลการประชุมคณะกรรมการมาตรการสร้าง
เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ  ครั้งที่ 3/2548  เมื่อวันที่  13  กันยายน  2548  โดยที่ประชุมได้มีมติมอบหมายให้
หน่วยงานต่าง ๆ  ที่เกี่ยวข้องเร่งรัดและติดตามผลของมาตรการที่สำคัญ  ๆ  ได้แก่  มาตรการที่ 1,  19.1 การ
ปรับราคาน้ำมัน การสนับสนุนการใช้ก๊าซ NGV แก๊สโซฮอล์ และไบโอดีเซล โดยให้กระทรวงพลังงานเร่งจัดทำ
Road  Map  แผนการผลิตและการใช้พลังงานทดแทนน้ำมันให้ชัดเจนให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน 2548
มาตรการที่ 5 การเร่งรัดการส่งเสริมการส่งออกในช่วงครึ่งปีหลังเพื่อให้มูลค่าการส่งออกทั้งปี 2548 สามารถ
ขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ร้อยละ 20  โดยกระทรวงพาณิชย์จะทำการติดตามผลใน 2 ระดับเพื่อเร่ง
รัดการดำเนินการให้ได้ตามเป้าหมาย  มาตรการที่ 6 การดูแลราคาสินค้าอุปโภคบริโภคทั้งต้นทางและปลาย
ทาง ให้กระทรวงพาณิชย์ดูแลสินค้าควบคุม   และจัดทำรายละเอียดประเภทสินค้าที่ยังไม่สามารถตรึงราคาได้
ส่วนสินค้าที่ไม่สามารถควบคุมราคาได้ต้องยอมให้มีการปรับขึ้นราคา  มาตรการที่ 8  การเร่งรัดการเบิกจ่าย
งบประมาณ     ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประสานสำนักงบประมาณ
กรมบัญชีกลางและสำนักงาน GFMIS เพื่อเร่งรัดรายงานผลการเบิกจ่ายงบประมาณให้ตรงกัน  มาตรการที่ 9
การใช้หลักฐานค้ำประกันจากธนาคาร  (Bank  Guarantee)  มาค้ำประกันการส่งมอบงานของผู้รับเหมา  ให้
กรมบัญชีกลางเร่งรัดเก็บข้อมูลจากส่วนราชการและรายงานความคืบหน้าการเบิกจ่ายโดยเร็ว  และมาตรการ
ที่ 16  การเร่งรัดงบ SML ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร   และธนาคารออมสิน   ติดตาม
ประเมินผลด้านการเงิน และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ติดตามประเมิน
ผลต่อเศรษฐกิจและสังคม   และรายงานผลต่อคณะกรรมการติดตามมาตรการเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี
2548  ทุกเดือน     และเห็นชอบให้กระทรวงที่รับผิดชอบมาตรการที่สำคัญ รวม  7  มาตรการดังกล่าว  และ
มาตรการอื่น ๆ รวม 26 มาตรการให้มีผลเป็นรูปธรรมภายในเดือนธันวาคม 2548

             คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์
เรื่อง การนำหัวมันฝรั่งเข้ามาในราชอาณาจักรภายใต้โครงการยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิระ
วดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (ACMECS) สำหรับปี 2548  พ.ศ. 2548  โดยมีสาระสำคัญคือ  ให้หัวมันฝรั่งตาม
พิกัดอัตราศุลกากรประเภทที่ 07.01 ที่มีถิ่นกำเนิดและส่งมาจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
ราชอาณาจักรกัมพูชา  และสหภาพพม่า  ซึ่งนำเข้ามาในราชอาณาจักรภายใต้โครงการยุทธศาสตร์ความ
ร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวะดี-เจ้าพระยา-แม่โขง  (ACMECS)  สำหรับปี 2548  เป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือ
รับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Form AISP-Thailand) จากประเทศซึ่งส่งออกสินค้า  ทั้งนี้  จะต้องนำเข้าภายใน
วันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2548 และให้ดำเนินการต่อไปได้

            คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอดังนี้ เห็นชอบร่างหนังสือแลกเปลี่ยนสรุปผลการ
เจรจาขอชดเชยผลกระทบจากการขยายสมาชิกภาพครั้งที่ 5 ของสหภาพยุโรปภายใต้มาตรา 24(6) ของ
แกตต์  และให้อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศเป็นผู้แทนรัฐบาลไทยลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยน
สรุปผลการเจรจาดังกล่าว   รวมทั้งอนุมัติให้กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศสามารถปรับปรุงถ้อยคำใน
ร่างหนังสือ ฯ  โดยไม่มีผลเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของร่างหนังสือ ฯ  และมอบหมายให้กระทรวงการต่าง
ประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม  (Full  Power)  ให้อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศเป็นผู้ลง
นามในหนังสือแลกเปลี่ยน ฯ

           คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอมติที่ประชุมคณะกรรมการดำเนินการเขต
การค้าเสรีอาเซียน ครั้งที่ 1/2548 เมื่อวันที่ 16  กันยายน 2548 ในประเด็นต่างๆ ที่จะใช้เป็นท่าทีไทยใน
การประชุมคณะมนตรีเขตการค้าเสรีอาเซียน  (AFTA  Council)  ครั้งที่ 19  ณ  กรุงเวียงจันทร์ สาธารณรัฐ
ประชาธิปไตยประชาชนลาว   ดังนี้  ในกรณีอินโดนีเซียขอโอนย้ายสินค้าน้ำตาลจากบัญชียกเว้นลดภาษีชั่ว
คราว Temporary Exclusion List : TEL) เข้าสู่บัญชีอ่อนไหวสูง (Highly Sensitive List : HSL)  ที่ประชุมมีมติ
ให้กระทรวงพาณิชย์พยายามเจรจากับอินโดนีเซียเป็นครั้งสุดท้าย   ก่อนการประชุม  AFTA  Council ครั้งที่ 
19 เพื่อขอชดเชยความเสียหายให้แก่ไทยเท่าที่จะให้ได้  เพื่อมิให้แตกต่างกับกรณีของฟิลิปปินส์ ทั้งนี้ ขอให้
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์    แจ้งรายการสินค้าที่ไทยต้องการให้อินโดนีเซียชดเชยให้   ภายในวันที่  21 
กันยายน 2548 หากการเจรจาไม่เป็นผล  เห็นควรยินยอมให้อินโดนีเซียโอนย้ายได้ โดยให้เน้นย้ำว่า การ
ยินยอมดังกล่าวของไทยเป็นไปตามเจตนารมณ์ของอาเซียน สำหรับกรณีมาเลเซียโอนย้ายสินค้ายานยนต์
เข้าสู่บัญชีลดภาษี (Inclusion  List : IL) ที่ประชุมมีมติเห็นควรให้เรียกเก็บภาษีสินค้ายานยนต์ที่นำเข้าจาก
มาเลเซียที่ยังไม่ลดภาษีภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียนลงเหลือ  ร้อยละ  0-5  ในอัตราปกติที่เรียกเก็บเป็น
การทั่วไป   เนื่องจากเห็นว่ามาเลเซียยังมิได้ลดภาษีลงเหลือ ร้อยละ 0-5  ตามข้อผูกพันภายใต้เขตการค้า
เสรีอาเซียน และในพิธีสารฯ ก็ไม่มีบทบัญญัติให้มีการเรียกเก็บภาษีในอัตราต่างตอบแทนได้

             คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) และรัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงพาณิชย์เสนอให้มีการลงนามแถลงการณ์ร่วม หรือพิธีสารอันเนื่องมาจากการประชุมร่วมไทยจีนว่า
ด้วยความร่วมมือด้านการค้า การลงทุน และเศรษฐกิจ  ครั้งที่  2  ซึ่งจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 21-23 กันยายน
2548 ณ จังหวัดเชียงใหม่

           คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง
การนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักรตามความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศสมาชิก
สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และสาธารณรัฐประชาชนจีน พ.ศ. 2548 โดยมีสาระสำคัญคือ
ให้สินค้าเกษตร 7 รายการ ได้แก่ น้ำนมดิบ นมผงขาดมันเนย มันฝรั่ง หอมหัวใหญ่ มะพร้าว  กระเทียม  และ
ลำไยแห้ง ที่มีถิ่นกำเนิดและส่งตรงมาจากอาเซียน และสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับ
รองถิ่นกำเนิดสินค้าที่ออกโดยรัฐบาลหรือหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลของอาเซียนหรือสาธารณ
รัฐประชาชนจีน  ภายใต้ความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างอาเซียน และสาธารณรัฐประชา
ชนจีน   และให้สินค้าเกษตรที่นำเข้าจากอาเซียน หรือสาธารณรัฐประชาชนจีน  ตามความตกลงว่าด้วยความ
ร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างอาเซียน และสาธารณรัฐประชาชนจีน จำนวน 7 รายการเป็นสินค้าที่ต้องมีหนัง
สือรับรองการชำระภาษี  รวมทั้งให้สินค้าเกษตร 7 รายการ ที่นำเข้าจากอาเซียน หรือสาธารณรัฐประชาชน
จีน  ตามความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างอาเซียน และสาธารณรัฐประชาชนจีน  เป็นสิน
ค้าที่ไม่ต้องขออนุญาตในการนำเข้าไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมพิเศษในการนำเข้า และไม่ต้องปฏิบัติตามมาตร
การเพื่อประโยชน์ในการจัดระเบียบนำเข้า  ตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ที่ออกตามกฎหมายว่าด้วยการส่ง
ออกและนำเข้าในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติ
ที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการ

            สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์เกี่ยวกับความเคลื่อนไหวดัชนี
ราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนสิงหาคม 2548  ดังนี้  ดัชนีราคา
ผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนสิงหาคม  2548   เท่ากับ  111.2   เทียบกับเดือนกรกฎาคม  2548 
(110.4) สูงขึ้นร้อยละ 0.7 จากการสูงขึ้นของดัชนีราคาสินค้าหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ร้อยละ 1.3  
โดยสินค้าสำคัญที่ราคาสูงขึ้น   ได้แก่  ไก่สด ปลาและสัตว์น้ำ ผัก ผลไม้  อาหารสำเร็จรูป  และเครื่อง
ดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และจากการสูงขึ้นของดัชนีราคาสินค้าหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม ร้อย
ละ  0.4  โดยสินค้าสำคัญที่ราคาสูงขึ้น  ได้แก่  น้ำมันเชื้อเพลิงค่าโดยสารสาธารณะ  สิ่งที่เกี่ยวกับทำ
ความสะอาด  ค่าตรวจรักษาและค่ายา  บุหรี่ และไวน์  สำหรับดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศ
เดือนสิงหาคม 2548 เท่ากับ 102.9เทียบกับเดือนกรกฎาคม 2548 สูงขึ้นร้อยละ 0.2 เดือนสิงหาคม 
2547  สูงขึ้นร้อยละ 2.3  และเดือนมกราคม-สิงหาคม  2548  เทียบกับช่วงเดือนเดียวกันของปี พ.ศ. 
2547 สูงขึ้นร้อยละ 1.2

             คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอการแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงพาณิชย์ในกรณีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ไม่อยู่หรือไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามลำดับ ดังนี้
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม  (นายสุริยะ  จึงรุ่งเรืองกิจ)  และรัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงการคลัง  (นายทนง พิทยะ)  ทั้งนี้ ตามมาตรา 7 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการ
ประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548

             สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์เกี่ยวกับภาวะราคาขายปลีกสินค้า
อุปโภคประจำสัปดาห์ที่ 3 เดือนสิงหาคม 2548  (วันที่ 15-19 สิงหาคม 2548)  โดยสินค้าที่มีราคาสูงขึ้น 
ได้แก่  ไก่สด  ราคาขายปลีกสูงขึ้นเฉลี่ยร้อยละ  5.50  เนื่องจากความต้องการบริโภคเพิ่มขึ้น ส่วนสินค้าที่มี
ราคาลดลง ได้แก่ เหล็กแผ่นเรียบดำ ราคาขายปลีกลดลงเฉลี่ยร้อยละ 3.85  เนื่องจากมีการแข่งขันในด้าน
ราคา   และไข่ไก่  ราคาขายปลีกลดลงเฉลี่ยร้อยละ  6.78 มีสาเหตุมาจากปริมาณไข่ไก่ที่เข้าสู่ตลาดเพิ่มขึ้น  
สำหรับสินค้าที่มีราคาทรงตัว  ได้แก่ ข้าวสารบรรจุถุง ผลิตภัณฑ์นม  น้ำมันพืช  น้ำส้มสายชูกลั่น  น้ำปลา  
น้ำซีอิ๊วผงชูรส ผลิตภัณฑ์ชำระล้าง แป้งผงโรยตัว ผ้าอนามัย และผักสด

            คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
สรุปผลการตรวจเยี่ยมพื้นที่ของรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2548  โดยได้ตรวจเยี่ยมในพื้นที่ 8 อำเภอของ
จังหวัดพังงา   และมีข้อสั่งการดังนี้  ให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคสนับสนุนเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเคลื่อนที่ให้องค์การ
บริหารส่วนตำบลเกาะปันหยียืมใช้  เพื่อแก้ปัญหาไฟฟ้าในแหล่งท่องเที่ยวเกาะปันหยี   ให้การประปาส่วนภูมิ
ภาคพิจารณาสนับสนุนงบประมาณในการขยายเขตประปา จากเกาะปันหยีไปยังเกาะไม้ไผ่   ให้กระทรวงการ
ท่องเที่ยวและกีฬาสนับสนุนงบประมาณในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศบ้านสองแพรก   ให้กรมทรัพยา
กรทางทะเลและชายฝั่งเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาตามหลักวิชาการ  พร้อมทั้งสำรวจและศึกษาความเป็นไปได้
ของการก่อสร้างท่าเทียบเรือและเขื่อนป้องกันตลิ่ง   ให้ศูนย์เตือนภัยแห่งชาติเร่งดำเนินการติดตั้งระบบเตือน
ภัยพร้อมประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยว ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวด
ล้อมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบพื้นที่ที่ยังมีปัญหาการทับซ้อนกับที่ดินของรัฐและการกำหนดแนว
เขตพื้นที่ป่าให้ชัดเจน  กับให้รณรงค์ส่งเสริมการเก็บน้ำไว้ใช้ในระดับครัวเรือนเพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำเพื่อ
อุปโภคบริโภค    รวมทั้งประสานกับอุตสาหกรรมจังหวัด   สถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
ร่วมกับสถาบันการศึกษาในท้องถิ่นพัฒนาออกแบบและคุณภาพสินค้า OTOP  ให้สอดคล้องกับความต้องการ
ของตลาด  ให้กรมขนส่งทางน้ำและพาณิชย์นาวี สำรวจข้อมูลท่าเทียบเรือทั้งหมดของ  3  จังหวัดสามเหลี่ยม
อันดามัน  เพื่อกำหนดทิศทางการพัฒนาท่าเทียบเรือโดยรวมของกลุ่มจังหวัดให้ชัดเจน    และให้จังหวัดพังงา
ประสานงานกับองค์การบริหารส่วนจังหวัด    เพื่อโอนถนนสายที่ชำรุดและไม่สามารถทำการปรับปรุงให้กับ
กรมทางหลวงชนบท   และให้กรมการขนส่งทางน้ำจัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินการ ดำเนินการขุดเจาะบ่อ
บาดาลในหมู่บ้านที่ขาดแคลน    ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรดำเนินการเปิดสาขาย่อย
ในพื้นที่อำเภอ   ให้กระทรวงพาณิชย์จัดตั้งตลาดกลางสินค้าเกษตรขึ้นเพื่อแก้ปัญหาพืชผลตกต่ำ   ให้กรมชล
ประทานพิจารณาสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินการก่อสร้างโครงการชลประทาน  3  โครงการ     ให้
สำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเร่งรัดดำเนินการออกเอกสารสิทธิ์  สปก. 4-01  ในพื้นที่ประกาศเขต
สปก. แล้ว  ให้กรมทางหลวงชนบทบรรจุโครงการสร้างถนนของอำเภอ สายบ้านป่าทราย-บ้านท่าเขา เป็น
โครงการเพิ่มเติมไว้ในแผนปี 2549     และให้กรมขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวีจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมปี
2549  หรือ  2550    เพื่อดำเนินการขุดลอกร่องน้ำระหว่างเกาะยาวน้อยและเกาะยาวใหญ่      และให้กรม
ทรัพยากรน้ำ สนับสนุนงบประมาณดำเนินการก่อสร้างบ่อน้ำดิบ  สำหรับระบบประปาเทศบาลตำบลเกาะ
ยาว  สำหรับโครงการจัดตั้งวิทยาลัยเทคโนโลยีคุระบุรี  ให้พิจารณารายละเอียดเพิ่มเติมในเรื่องความเหมาะ
สมของจำนวนนักเรียนรูปแบบสถานศึกษา  การมีส่วนร่วมของนักธุรกิจในชุมชนและปรับลดงบประมาณลง
โดยระยะแรกควรทำการศึกษาออกแบบและเตรียมพืที่ก่อน

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือน
สามัญ สังกัดกระทรวงพาณิชย์ ให้ดำรงตำแหน่งระดับ 10 จำนวน  5  ราย  ตั้งแต่วันที่  1  ตุลาคม  2548
ประกอบด้วย  นายพิษณุ เหรียญมหาสาร  และนายวรารักษ์ ชั้นสามารถ ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง
(นักบริหาร 10)  สำนักงานปลัดกระทรวง  นางสาวชุติมา  บุณยประภัศร  นางไพเราะ สุดสว่าง  และนาง
สุจินตา วังวสุ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการ 10) สำนักงานปลัดกระทรวง  ทั้งนี้
ตามมาตรา 7 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548

             คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอให้ขยายระยะเวลาการ
ดำรงตำแหน่งของข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงพาณิชย์  จำนวน 3 ราย  ประกอบด้วย นาย
ศิริพล ยอดเมืองเจริญ ตำแหน่งอธิบดี  (นักบริหาร 10)  กรมการค้าภายใน ที่ดำรงตำแหน่งครบ  4  ปี
ในวันที่ 13 ตุลาคม 2548 ต่อไปอีก 1 ปี  (ครั้งที่ 1)  ตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม 2548  ถึงวันที่ 13 ตุลาคม
2549  นางสาวพจนีย์  ธนวรานิช ตำแหน่งอธิบดี (นักบริหาร 10) กรมการประกันภัย ที่ดำรงตำแหน่ง
ครบ 4 ปี ในวันที่ 30 กันยายน 2548 ต่อไปอีก 1 ปี (ครั้งที่ 1) ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2548 ถึงวันที่ 30
กันยายน 2549  และนางสาวอรจิต สิงคาลวณิช ตำแหน่งอธิบดี (นักบริหาร 10) กรมพัฒนาธุรกิจการ
ค้า  ที่ดำรงตำแหน่งครบ  4  ปี  ในวันที่  30  กันยายน  2548  ต่อไปอีก  1  ปี (ครั้งที่ 1) ตั้งแต่วันที่ 1
ตุลาคม 2548 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2549

               สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลภาวะราคาขายสินค้าอุปโภคบริโภค ประจำสัปดาห์ที่ 2
เดือนสิงหาคม 2548  (วันที่ 8-11 สิงหาคม 2548)  ของกระทรวงพาณิชย์  โดยสินค้าที่มีราคาสูงขึ้น  ได้แก่
ไก่สด  ราคาขายปลีกสูงขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 3.81  เนื่องจากผู้เลี้ยงชะลอการจำหน่าย  โดยคาดหวังว่าราคาจะสูง
ขึ้นในช่วงเทศกาลสารทจีน และเส้นหมี่อบแห้ง ราคาขายปลีกสูงขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 5.17 มีสาเหตุจากราคาวัตถุ
ดิบปรับตัวสูงขึ้น  ส่วนสินค้าที่มีราคาลดลง  ได้แก่ ไ ข่ไก่  ราคาขายปลีกลดลงเฉลี่ยร้อยละ 3.28  เนื่องจากมี
ปริมาณไข่ไก่เข้าสู่ตลาดเพิ่มขึ้น  สำหรับสินค้าที่มีราคาทรงตัว ได้แก่ ข้าวสารบรรจุถุง  ผลิตภัณฑ์นม  น้ำปลา
น้ำซีอิ๊ว ผลิตภัณฑ์ชำระล้าง แป้งผงโรยตัว และผักสด

              คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติให้ดำเนินการต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ร่างหนังสือแลกเปลี่ยนสรุปผลการเจรจาขอชดเชยผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงระบบนำเข้าข้าวของสห
ภาพยุโรปภายใต้มาตรา 28 ของแกตต์  โดยให้อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์
เป็นผู้แทนรัฐบาลไทยลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยน  ฯ   และให้กระทรวงพาณิชย์สามารถปรับปรุงถ้อยคำ
ในร่างหนังสือแลกเปลี่ยน ฯ โดยไม่มีผลเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของร่างหนังสือแลกเปลี่ยนดังกล่าว  รวม
ทั้งให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม  (Full  Powers)  ให้อธิบดีกรมเจรจาการค้า
ระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เป็นผู้ลงนาม

               คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอให้ นายการุณ  กิตติสถาพร
ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งปลัดกระทรวง (นักบริหาร 11) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพาณิชย์
ที่ดำรงตำแหน่งครบ 4 ปี ในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2548  ต่อไปอีก 1 ปี  (ครั้งที่ 1)  ตั้งแต่วันที่  8  พฤศจิกายน
2548 ถึงวันที่ 7 พฤศจิกายน 2549

            คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 
เลขานุการคณะกรรมการติดตามมาตรการเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2548   รายงานผลการประชุม
คณะกรรมการ ฯ ครั้งที่ 2/2548 เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2548  สรุปดังนี้ การดำเนินงานในส่วนของกลุ่มที่
1  ดำเนินการแล้วและมีผลเป็นรูปธรรม  โดยที่ประชุมได้มีมติมอบหมายให้หน่วยงานต่าง ๆ  ที่เกี่ยวข้องรับ
ไปดำเนินการ  อาทิเช่น  การปรับราคาน้ำมันดีเซลให้สะท้อนต้นทุนราคาน้ำมันที่แท้จริง  (มาตรการที่ 1)
ให้กระทรวงพลังงานประเมิน และรายงานผลกระทบของมาตรการปรับราคาน้ำมันดีเซล การสนับสนุนให้
ภาคเอกชนปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำให้เหมาะสมกับภาวะค่าครองชีพ และเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย การเพิ่ม
รายได้จากสินค้าเกษตร โดยการขยายตลาดต่างประเทศและส่งเสริมการบริโภค  โดยให้กระทรวงพาณิชย์
ติดตาม  และรายงานความคืบหน้าแผนการผลิตสินค้าเกษตรที่จะนำมาทำการค้าแบบแลกเปลี่ยนในระยะ
5  ปีข้างหน้า  และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ติดตามรายงานสถานการณ์ผลผลิตยางพารา  และผลิต
ภัณฑ์ยาง  และพืชผลไม้สำคัญ  ๆ สำหรับฤดูกาลต่อไป  เป็นต้น  สำหรับกลุ่มที่  2  ต้องเร่งรัดดำเนินการ 
อาทิเช่น  การปรับเพิ่มฐานเงินเดือนข้าราชการขึ้นร้อยละ 5  โดยยังคงเงินค่าส่วนเพิ่มที่รัฐบาลได้ปรับเพิ่ม
ให้ก่อนหน้านี้แล้ว    และรวมถึงการปรับฐานเงินเดือนของข้าราชการบำนาญ ร้อยละ 5  (มาตรการที่ 2)
ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดการพิจารณาร่างกฎหมาย เกี่ยวกับการปรับฐานเงินเดือน และเงินช่วยเหลือค่า
ครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ (ช.ค.บ.) ของผู้รับบำนา ญ ให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน
ดำเนินการในส่วนของการปรับเพิ่มฐานเงินเดือนข้าราชการ  เป็นต้น  และที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการ
พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอเพิ่มเติมว่า  ในการดำเนินการตามมาตรการสร้างเสถียรภาพ
ทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2548 กลุ่มที่ 1  ขยายการให้เบี้ยยังชีพคนชราผู้ยากไร้ 300 บาท/คน
/เดือนให้ครบทุกคน  (จาก  530,000  คน เป็น  1.07  ล้านคน)  ในมาตรการที่ 15 นั้น  กระทรวงการ
พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้ถ่ายโอนภารกิจดังกล่าวให้กระทรวงมหาดไทยแล้ว และเห็นชอบ
ให้กระทรวงที่รับผิดชอบแต่ละมาตรการทั้งในกลุ่มที่ 1 และกลุ่มที่  2  เร่งรัดดำเนินการให้แล้วเสร็จและมี
ผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วภายในเดือนธันวาคม 2548

             คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 6.2 (เดิม)
(ฝ่ายกฎหมาย ระบบราชการและการประชาสัมพันธ์) ที่มีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอเกี่ยวกับการ
จ่ายบำเหน็จตามกฎหมายเบี้ยหวัดของทางการสหรัฐฯ ให้แก่นางเพียงเพ็ญ สวนปาน ลูกจ้างชั่วคราวตำแหน่ง
เสมียนสำนักงานพาณิชย์ในต่างประเทศ  ณ  กรุงวอชิงตัน  ตามหลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับลูกจ้าง
ชั่วคราวของส่วนราชการที่มีสำนักงานในต่างประเทศ ปี 2529  ซึ่งจะได้รับเงินเพิ่มเติมอีกจำนวน 12,397.90
ดอลลาร์สหรัฐ จากเดิมที่อนุมัติไปแล้ว  22,500  ดอลลาร์สหรัฐ รวมเป็น  34,897.90  ดอลลาร์สหรัฐ  เป็น
กรณีพิเศษเฉพาะราย     สำหรับภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นให้กระทรวงพาณิชย์ปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 ที่ได้รับจัดสรรไว้แล้วไปดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ

         สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์เกี่ยวกับสถานการณ์การค้าระหว่าง
ประเทศในระยะ 7 เดือนแรกของปี พ.ศ. 2548 (มกราคม-กรกฎาคม) สรุปได้ดังนี้ การส่งออกในระยะ  7  
เดือนแรกของปี พ.ศ. 2548 มีมูลค่า 61,348.8 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.7 เป็นการขยายตัว
ของการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมร้อยละ 15.0  และสินค้าเกษตรกรรม/อุตสาหกรรมการเกษตร ร้อยละ 
3.9 สำหรับการส่งออกยังขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทั้งตลาดใหม่และตลาดหลัก  โดยตลาดสำคัญที่ขยายตัว
ในอัตราสูง  ได้แก่  อินเดีย (ร้อยละ  72.0)  ลาตินอเมริกา (ร้อยละ  39.3) ออสเตรเลีย (ร้อยละ  32.4) 
จีน (ร้อยละ  27.2) ยุโรปตะวันออก (ร้อยละ  26.3) อินโดจีนและพม่า  (ร้อยละ  23.8)  แอฟริกา (ร้อย
ละ 19.7)   และตะวันออกกลาง  (ร้อยละ  14.5)  รวมทั้งการส่งออกไปตลาดหลักยังขยายตัวเพิ่มขึ้นตาม
การขยายตัวของการส่งออกไปญี่ปุ่น  สหรัฐ ฯ   และอาเซียน ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.3, 9.5 และ 10.9  ตาม
ลำดับในส่วนของการนำเข้าในระยะ  7 เดือนแรกของปี พ.ศ. 2548 มีมูลค่า 69,587 ล้านเหรียญสหรัฐ ฯ
เพิ่มขึ้นร้อยละ  30.2  เป็นการขยายตัวของการนำเข้าในทุกหมวด ที่สำคัญ  ได้แก่  สินค้าเชื้อเพลิง  อาวุธ
ยุทธปัจจัย/สินค้าอื่น   และสินค้าทุน   ทั้งนี้  แนวโน้มการส่งออกและการนำเข้าในช่วง  5  เดือนหลังของ
ปี พ.ศ. 2548  (สิงหาคม-ธันวาคม)  การส่งออกคาดว่า  จะสามารถส่งออกได้เป็นมูลค่า  54,448  ล้าน
เหรียญสหรัฐ ฯ ในขณะที่การนำเข้าคาดว่า จะมีการนำเข้าน้ำมันดิบ เหล็ก และทองคำ