ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1 จากทั้งหมด 1 หน้า แสดงรายการที่ 1 - 1 จากข้อมูลทั้งหมด 1 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจ การพาณิชย์และอุตสาหกรรม วุฒิสภา เรื่อง การศึกษาและติดตามการเชื่อมโยงเศรษฐกิจการค้าและการลงทุนของไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน | สว | 05/03/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจ การพาณิชย์และอุตสาหกรรม วุฒิสภา เรื่อง การศึกษาและติดตามการเชื่อมโยงเศรษฐกิจการค้าและการลงทุนของไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน พร้อมข้อสังเกตและข้อเสนอแนะกับผลการดำเนินการตามข้อสังเกตและข้อเสนอแนะตามรายงานที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุมิสภาทราบต่อไป โดยมีประเด็นสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. การให้จังหวัดชายแดนได้พิจารณาความเหมาะสมในการเปิดจุดผ่านแดน ๒. การจัดสรรงบประมาณเพื่อพัฒนาด่านชายแดนที่มีอยู่กับประเทศเพื่อนบ้านให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบริหารจัดการด่านชายแดนในลักษณะที่เป็นการให้บริการ ณ ที่เดียว (One stop Service) ๓. การพิจารณายกเลิกประกาศและกฎระเบียบของบางหน่วยงานที่อาจเป็นปัญหาอุปสรรคต่อการค้าชายแดนไทย โดยปรับปรุงแก้ไขให้สอดคล้องกับความเป็นจริงและสถานการณ์ในปัจจุบัน ๔. การให้ความรู้และความเข้าใจในเรื่องกฎหมาย ระเบียบ และนโยบายของแต่ละหน่วยงานแก่เจ้าหน้าที่ในหน่วยปฏิบัติงานต่าง ๆ ในพื้นที่ ให้มีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงบทบาทภารกิจและหน้าที่ความรับผิดชอบของแต่ละหน่วยงาน ๕. การให้ทางจังหวัด ซึ่งปัจจุบันได้บริหารราชการแบบบูรณาการ (Chief Executive officer : CEO) เช่น การพิจารณาดำเนินการขอถอนสภาพป่าในพื้นที่ที่เป็นจุดผ่านแดนถาวรหรือจุดผ่อนปรนทางการค้า ๖. การเร่งดำเนินการเจรจากับประเทศเพื่อนบ้าน ให้มีการปฏิบัติตามข้อตกลงหรือยกเลิกกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่มีลักษณะเป็นการกีดกันสินค้าไทยภายใต้ข้อตกลงเขตการค้าเสรี (AFTA) ๗. การขยายถนนให้มีขนาดเหมาะสมและสอดรับกันเพื่อเชื่อมโยงประเทศไทยกับประเทศสมาชิกประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน เอเชียตะวันออก (จีน ญี่ปุ่น) และอินเดีย ๘. การพัฒนาท่าเรือในอินโดจีนจะต้องเร่งพัฒนาท่าเรือและสิ่งอำนวยความสะดวกในการจัดเก็บและกระจายสินค้า รวมทั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษในจังหวัดที่มีศักยภาพอย่างจริงจัง ๙. การเชื่อมโยงโครงข่ายเส้นทางรถไฟในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๑๐. การให้จังหวัดใดที่ได้พิจารณาความเหมาะสมในการเปิดจุดผ่านแดน หรือยกระดับด่านเปิดเป็นจุดผ่านแดนถาวร หากเห็นว่าพื้นที่ใดมีศักยภาพในการเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านในการรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ๑๑. การพัฒนาด่านชายแดนให้มีมาตรฐานเดียวกันและมีการบริหารจัดการแบบ (One Stop Service) โดยการพัฒนาระบบข้อมูลระบบอิเล็กทรอนิกส์แบบบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตลอดจนการนำเอาพิกัดระบบฮาโมไนซ์อาเซียนมากำหนดพิกัดศุลกากรและรหัสสถิติสินค้า เพื่อให้การเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์มีความรวดเร็วและสะดวกในการเข้าถึงข้อมูล และยกเลิกประกาศและกฎระเบียบของหน่วยงานที่เป็นปัญหาและอุปสรรคต่อการค้าขายชายแดน ๑๒. การแสวงหาแหล่งวัตถุดิบและปัจจัยการผลิตที่มีคุณภาพมากขึ้น และมีราคาที่ต่ำกว่าที่มีอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านเพื่อการขยายประโยชน์จากการเชื่อมโยงในภูมิภาคต่อไป ๑๓. ภาคธุรกิจควรมีข้อมูลเชิงลึกด้านการตลาด เช่น รสนิยมของผู้บริโภค ช่องทางการจัดจำหน่าย นโยบายของรัฐ กฎหมายและระเบียบต่าง ๆ ในประเทศเพื่อนบ้าน เป็นต้น ๑๔. ภาคธุรกิจของไทยควรศึกษาและพัฒนาเชื่อมโยงเครือข่ายธุรกิจ เช่น การเลือกจุดผลิตภัณฑ์ที่มีต้นทุนที่ต่ำสุดและได้ประโยชน์สูงสุด ซึ่งในบางธุรกิจอาจจำเป็นต้องย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่มีแหล่งวัตถุดิบ หรือมีแรงงานที่ถูกกว่า รวมไปถึงการใช้ประโยชน์ของประเทศกัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม (CLMV) ในสถานะ Least Developed Countries : LCDs เป็นต้น ๑๕. ภาครัฐต้องคำนึงถึงศักยภาพและใช้ประโยชน์จากทำเลที่ตั้งของไทยที่เป็นศูนย์กลางของอาเซียน โดยการสร้างการเชื่อมโยงและพัฒนาระบบการขนส่งคมนาคมให้ทันสมัย สะดวก รวดเร็ว และคงทน ร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านและพัฒนาการเชื่อมโยงอย่างมีประสิทธิภาพ ๑๖. การผลิตสินค้าของไทยต้องเน้นการใช้เทคโนโลยีให้มากขึ้นเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมและเกษตรแปรรูป นอกจากนี้รัฐบาลควรส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา และการออกแบบสินค้าให้มากขึ้น ๑๗. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่เพียงพอและเพิ่มศักยภาพให้แก่ประเทศ โดยเฉพาะการคมนาคมทางรถไฟระบบทางคู่ และระบบการเดินรถที่รวดเร็วตรงเวลามากขึ้น รวมไปถึงส่งเสริมการใช้ระบบรถไฟเชื่อมโยงการขนส่งสินค้าจากนิคมอุตสาหกรรมมายังท่าเรือน้ำลึกเพื่อขนส่งต่อไปยังตลาดต่างประเทศ ๑๘. ธุรกิจไทยจำเป็นต้องปรับตัวควบคุมต้นทุนและสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยเฉพาะลดการเน้นธุรกิจที่ใช้แรงงานในสัดส่วนสูงหันมาพัฒนามาเป็นธุรกิจที่เน้นความรู้เข้มข้นหรือใช้เทคโนโลยีในการผลิตมากขึ้น ๑๙. การใช้แรงงานไทยจำเป็นต้องได้รับการฝึกฝนใหม่หรือฝึกฝนทักษะเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้สามารถแข่งขันด้านแรงงานและพัฒนาสินค้าและบริการให้มีมูลค่าและประสิทธิภาพเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงภาครัฐต้องจัดการดูแลอาชีพที่ขาดแคลนโดยการให้ข้อมูลแก่แรงงานรุ่นใหม่ให้เรียนสาขาที่ตลาดแรงงานมีความต้องการสูง ๒๐. ธุรกิจไทยต้องพยายามรักษาฐานมูลค่าเดิม โดยเน้นหลัก "ความคุ้มค่า" หรือ "Value for Money" อาศัยคุณภาพ รูปแบบ และความเชื่อถือได้ หรือ Reliability เป็นหลัก โดยราคายุติธรรม
|
.....