ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 4 จากทั้งหมด 14 หน้า แสดงรายการที่ 61 - 80 จากข้อมูลทั้งหมด 267 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 61 | ขออนุมัติกู้เงินเพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงิน (กรณีรายได้ไม่พอสำหรับจ่าย) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | คค. | 05/11/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ
กู้เงินเพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงิน (กรณีรายได้ไม่พอสำหรับรายจ่าย) ประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ รวมจำนวน ๘,๕๔๐.๗๓ ล้านบาท
และให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ กำหนดวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข
และรายละเอียดต่าง ๆ ในการกู้เงิน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ให้กระทรวงคมนาคม องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
(หนังสือสำนักงบประมาณ ที่ นร ๐๗๐๙/๖๗๑๘ ลงวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๖๗)
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (หนังสือสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่ นร ๑๑๒๔/๓๒๑๐ ลงวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๖๗) ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการคลัง เห็นควรมอบหมายให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ
(ขสมก.) เร่งดำเนินการปรับปรุงแผนขับเคลื่อนกิจการ ขสมก. โดยให้นำความเห็นของคณะอนุกรรมการกลั่นกรองแผนการแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจไปดำเนินการต่อไป
ให้กระทรวงคมนาคม
และกรมการขนส่งทางบกดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาฯ
ในประเด็นการกำหนดบทบาทของ ขสมก.
ให้ชัดเจนในกรณีที่มีผู้ประกอบการเอกชนสามารถให้บริการได้ดี และกำหนดเส้นทางเดินรถของ
ขสมก. ให้สอดคล้องกับบทบาทดังกล่าว และในระหว่างการจัดทำแผนขับเคลื่อนกิจการ ขสมก.
ขอให้กระทรวงคมนาคมกำกับให้ ขสมก. เร่งดำเนินมาตรการต่าง ๆ
เพื่อลดรายจ่ายและเพิ่มรายได้ขององค์กร เช่น การนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ แผนการศึกษาพัฒนาพื้นที่เชิงธุรกิจ
ตลอดจนการปรับโครงสร้างองค์กรให้มีความกระชับ เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 62 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี (1. พลเอก นิพัทธ์ ทองเล็ก ฯลฯ จำนวน 11 ราย) | นร.04 | 05/11/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี จำนวน ๑๑
ราย โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่นายกรัฐมนตรีลงนามในประกาศแต่งตั้ง ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
ดังนี้ ๑. พลเอก นิพัทธ์ ทองเล็ก ๒. พลตำรวจตรี สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ ๓. นางสาวณหทัย ทิวไผ่งาม ๔. นายนิยม เวชกามา ๕. นางสุภาภรณ์ คงวุฒิปัญญา ๖. นายเอกพร รักความสุข ๗. นายวิวัฒน์ชัย โหตระไวศยะ ๘. นายกฤชนนท์ อัยยปัญญา ๙. นายพลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ ๑๐. นายกองตรี ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 63 | ตัวชี้วัดขับเคลื่อนการบูรณาการร่วมกัน (Joint KPIs) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 | นร.12 | 05/11/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบตัวชี้วัดขับเคลื่อนการบูรณาการร่วมกัน
(Joint
KPIs) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ ตามที่คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเสนอ
ดังนี้
๑.๑ ประเด็นการจัดทำ Joint KPIs ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘
ทั้ง ๖ ประเด็น ได้แก่ (๑) การบริหารจัดการและอนุรักษ์ฟื้นฟูน้ำทั้งระบบ (๒)
การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (๓) รายได้จากการท่องเที่ยว (๔)
รายได้ของผู้ประกอบการ SMEs และ OTOP (๕)
การลดปริมาณฝุ่นละออง PM2.5 และ (๖)
การยกระดับผลการประเมินสมรรถนะนักเรียนตามมาตรฐานสากล (Programme of
International Student Assessment : PISA) รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนเป้าหมาย
และมอบหมายให้ ก.พ.ร. พิจารณาการกำหนดตัวชี้วัดและค่าเป้าหมายของ Joint
KPIs
๑.๒ ให้ ก.พ.ร. นำ Joint
KPIs ไปขับเคลื่อนส่วนราชการ จังหวัด
และองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒
และที่แก้ไขเพิ่มเติม
รวมทั้งองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะที่ไม่อยู่ภายใต้พระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน
พ.ศ. ๒๕๕๘
๑.๓ ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจนำ Joint KPIs ไปขับเคลื่อนหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ
และส่งผลการดำเนินงานหรือผลการประเมินให้สำนักงาน ก.พ.ร. ในสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๘
๑.๔ ให้กรมบัญชีกลางนำ Joint KPIs ไปขับเคลื่อนองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะที่อยู่ภายใต้พระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน
พ.ศ. ๒๕๕๘ และทุนหมุนเวียนอื่นภายใต้ระบบการประเมินของกรมบัญชีกลาง
และส่งผลการดำเนินงานหรือผลการประเมินให้สำนักงาน ก.พ.ร. ในสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๘
๑.๕ ให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นนำ Joint KPIs ไปขับเคลื่อนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
และส่งผลการดำเนินงานหรือผลการประเมินให้สำนักงาน ก.พ.ร. ในสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๘
๑.๖ ให้สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม นำ Joint KPIs ไปขับเคลื่อนในมหาวิทยาลัย (ยกเว้นสถาบันวิทยาลัยชุมชน)
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล มหาวิทยาลัยราชภัฏ และมหาวิทยาลัยในกำกับรัฐ
(ยกเว้นสถาบันการพยาบาลศรีสวรินทิรา และสภากาชาดไทย)
และส่งผลการดำเนินงานหรือผลการประเมินให้สำนักงาน ก.พ.ร. ในสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘
๑.๗
ให้องค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะที่อยู่ภายใต้พระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน
พ.ศ. ๒๕๕๘ และไม่อยู่ในระบบการประเมินของกรมบัญชีกลาง กรุงเทพมหานคร
และหน่วยงานอื่น ๆ นำ Joint
KPIs ไปขับเคลื่อนภายในหน่วยงาน
และส่งผลการดำเนินงานหรือผลการประเมินให้สำนักงาน ก.พ.ร. ในสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๘ ๒. ให้คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงาน ก.พ.ร.
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เช่น การจัดทำ Joint
KPIs ให้บรรลุเป้าหมาย
ควรกำหนดเป้าหมายตัวชี้วัดให้มีความสอดคล้องกับงบประมาณและสะท้อนกับภารกิจ
อำนาจหน้าที่ของหน่วยงานที่สามารถดำเนินการได้
เพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายสำคัญของรัฐบาล
และการบูรณาการการทำงานร่วมกันของส่วนราชการสามารถตอบสนองเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติและนโยบายของคณะรัฐมนตรีเป็นไปอย่างมีประสิทธิผล
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 64 | ขอความเห็นชอบการจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับการใช้พลังงานนิวเคลียร์ในทางสันติ (Agreement for Cooperation between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the United States of America concerning Peaceful Uses of Nuclear Energy) (123 Agreement) | อว. | 29/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ ดังนี้
๑.๑ เห็นชอบการจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับการใช้พลังงานนิวเคลียร์ในทางสันติ
(Agreement
for Cooperation between the Government of the Kingdom of Thailand and the
Government of the United States of America concerning Peaceful Uses of Nuclear
Energy) (123 Agreement) โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมความร่วมมือทวิภาคีด้านการใช้พลังงานนิวเคลียร์ในทางสันติระหว่างสหรัฐฯ
และไทย มีสารัตถะของความตกลงฯ
เป็นการกำหนดแนวทางจัดหาวัสดุนิวเคลียร์ให้กับเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์วิจัยของไทย
และความตกลง Comprehensive Safeguards Agreement ระหว่างไทยกับทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ
(International Atomic Energy Agency : IAEA)
๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย เป็นผู้ลงนามความตกลงฯ
๑.๓ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายดังกล่าว ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 65 | หลักเกณฑ์เพื่อเร่งรัดการแก้ไขปัญหาสัญชาติและสถานะบุคคลให้แก่บุคคลที่อพยพเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลานาน และกลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักร | นร.08 | 29/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักเกณฑ์เพื่อเร่งรัดการแก้ไขปัญหาสัญชาติและสถานะบุคคลให้แก่บุคคลที่อพยพเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลานาน
และกลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักร เพื่อใช้ทดแทนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖
มกราคม ๒๕๖๔ เรื่อง
หลักเกณฑ์การกำหนดสถานะและสิทธิของบุคคลที่อพยพเข้ามาและอาศัยอยู่มานาน
และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๕๙ เรื่อง
การแก้ไขปัญหาสัญชาติและสถานะบุคคลของเด็กนักเรียนนักศึกษา และบุคคลไร้สัญชาติที่เกิดในราชอาณาจักรไทย
ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มบุคคลที่อพยพเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลานาน และกลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักร
ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำนักงานอัยการสูงสุดไปพิจารณาในรายละเอียดร่วมกับกระทรวงมหาดไทย
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ได้ข้อยุติที่ถูกต้อง ชัดเจน แล้วให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
เห็นควรมีมาตรการ แนวทาง หรือบทลงโทษที่รุนแรงสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ทุจริต
ประพฤติมิชอบ แอบอ้าง หรือสวมสิทธิให้แก่บุคคลต่างด้าวที่อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศ
จากบุคคลในประเทศที่สูญหาย และควรมีการดำเนินการตรวจสอบประวัติอาชญากรรมของบุคคลที่เข้ามาอยู่ในประเทศเพื่อป้องกันเหตุการณ์การลักลอบกระทำความผิดและอาจก่อให้เกิดปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ
ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศได้ กระทรวงสาธารณสุข เห็นควรเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้กลุ่มเป้าหมายที่ได้รับการตรวจสอบคัดกรองข้อมูล
และยืนยันความถูกต้องอย่างรอบคอบรัดกุมเรียบร้อยแล้ว ให้ได้รับการเร่งรัดการแก้ไขปัญหาสัญชาติและสถานะบุคคล
ทั้งนี้
เมื่อบุคคลกลุ่มเป้าหมายได้รับการแก้ไขปัญหาสัญชาติและสถานะบุคคลเรียบร้อยแล้ว
ขอให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการจัดส่งรายละเอียดรายการบุคคลดังกล่าวให้แก่กระทรวงสาธารณสุข
เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 66 | ขอความเห็นชอบต่อร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับองค์การอนามัยโลกต่อการจัดการประชุมสุขภาพช่องปากโลก (WHO Global Oral Health Meeting) | สธ. | 29/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 67 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (1. นายบุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ ฯลฯ จำนวน 5 ราย) | กษ. | 29/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน ๕ ราย
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๗) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
ดังนี้ ๑. นายบุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ๒. นางสาวอนงค์นาถ จ่าแก้ว ดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ๓. นายธนสาร ธรรมสอน ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
[รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
(นายอัครา พรหมเผ่า)] ๔. นายอาดิลัน อาลีอิสเฮาะ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ [รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายอิทธิ
ศิริลัทธยากร)] ๕. นายภูผา ลิกค์ ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ [รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายอิทธิ
ศิริลัทธยากร)]
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 68 | การปรับปรุงโครงสร้างการแบ่งส่วนราชการภายในกรมของส่วนราชการในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ | นร.09 | 29/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง
กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง
(สป.) กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) รวมทั้งหน้าที่และอำนาจของ สป.ศธ.
เนื่องจากพระราชบัญญัติส่งเสริมการเรียนรู้ พ.ศ. ๒๕๖๖ มีผลใช้บังคับ ทำให้สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยใน
สป.ศธ. เปลี่ยนฐานะเป็นกรมส่งเสริมการเรียนรู้ ศธ.
ส่งผลให้ภารกิจที่อยู่ในความรับผิดชอบของ สป.ศธ. เปลี่ยนแปลงไป ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕๔๖
โดยกำหนดให้มีกลุ่มตรวจสอบภายในและกลุ่มพัฒนาระบบบริหารขึ้นในสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
(สอศ.) ศธ. เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบการดำเนินงาน สนับสนุนการปฏิบัติงาน
และพัฒนาการบริหารของ สอศ. อันจะทำให้การปฏิบัติภารกิจตามหน้าที่และอำนาจมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น
และร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ (ฉบับที่
..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา
กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕๔๖ โดยกำหนดให้มีกลุ่มตรวจสอบภายในและกลุ่มพัฒนาระบบบริหารขึ้นในสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา
(สกศ.) ศธ. เพื่อทำหน้าที่ในการตรวจสอบการดำเนินงาน
สนับสนุนการปฏิบัติงานและการพัฒนาการบริหารของ สกศ.
อันจะทำให้การปฏิบัติภารกิจตามหน้าที่และอำนาจมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น รวม
๓ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการลงนามและประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 69 | การลงนามข้อตกลงอาร์เทมิส (Artemis Accords) ระหว่างสหรัฐอเมริกากับประเทศไทย | อว. | 29/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบข้อตกลงอาร์เทมิส (Artemis Accords) ระหว่างสหรัฐอเมริกากับประเทศไทย
และมอบหมายให้สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (สทอภ.) เป็นหน่วยงานปฏิบัติ
(Implementor) และหน่วยงานหลักแห่งชาติ (National
Focal Point) ของประเทศไทยในการดำเนินการใด ๆ ในข้อตกลงฯ
และกิจการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องหรือต่อเนื่อง และให้ สทอภ. พิจารณากลั่นกรองโครงการของหน่วยงานของรัฐทุกหน่วยงานที่จะดำเนินการในโครงการอาร์เทมิส
(Artemis Program) ในด้านต่าง ๆ เช่น การพัฒนา ส่งเสริม
สนับสนุน ค้นคว้า วิจัย และดำเนินการอื่นที่เกี่ยวข้อง
เสนอคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ พิจารณาก่อนการดำเนินการต่อไป โดยข้อตกลงฯ
มีสาระสำคัญเพื่อสร้างวิสัยทัศน์ร่วมกันผ่านชุดหลักการ แนวปฏิบัติ
และแนวทางปฏิบัติ เพื่อยกระดับการกำกับดูแลการสำรวจและการใช้อวกาศโดยพลเรือนด้วยความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาโปรแกรมอาร์เทมิส
แนวปฏิบัติในการดำเนินกิจกรรมในอวกาศ
และส่งเสริมการใช้อวกาศอย่างยั่งยืนและเป็นประโยชน์สำหรับมวลมนุษยชาติ และนำไปใช้กับกิจกรรมด้านอวกาศของพลเรือนที่ดำเนินการโดยองค์กรอวกาศพลเรือนของรัฐผู้ลงนาม
(องค์กรอวกาศพลเรือนของรัฐของประเทศไทย คือ สทอภ.) ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ โดยกระทรวงการต่างประเทศไม่ต้องจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม
(Full Powers) ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนข้อตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม [สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน)] และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เห็นควรให้
สทอภ. ดำเนินการตามมติของคณะกรรมการฯ เพื่อส่งเสริมการใช้อวกาศอย่างยั่งยืนและเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 70 | ร่างพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | มท. | 22/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน
พ.ศ. ๒๕๔๓ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ในปัจจุบัน โดยกำหนดหลักการให้ผู้ซื้อที่ดินในโครงการจัดสรรที่ดินสามารถริเริ่มจัดตั้งนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรได้เองในกรณีที่ผู้จัดสรรที่ดินไม่ดำเนินการให้ผู้ซื้อที่ดินจัดสรรจัดตั้งนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรหรือนิติบุคคลอื่นตามกฎหมาย
หรือมิได้ปฏิบัติหน้าที่ในการบำรุงรักษากิจการอันเป็นสาธารณูปโภคเพื่อเข้าไปบริหารจัดการและบำรุงรักษาสาธารณูปโภคในหมู่บ้านจัดสรรของตนเองให้เหมาะสมกับบริบทของสังคมในปัจจุบัน
รวมทั้งการแก้ไขระยะเวลาการจัดเก็บค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและการจัดการสาธารณูปโภคเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบันและไม่ก่อให้เกิดภาระกับประชาชน
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
และให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเป็นเรื่องด่วนต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 71 | สรุปผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 57 และการประชุมระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง | กต. | 22/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน
ครั้งที่ ๕๗ และการประชุมระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และพิจารณามอบหมายส่วนราชการที่เกี่ยวข้องติดตามผลการประชุมฯ
และดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเข้าร่วมการประชุมฯ
เช่น การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนกับคู่เจรจา ๑๑ ประเทศ/องค์กร การประชุมคณะกรรมาธิการสำหรับเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนกับคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน
การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนบวกสาม
การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศของการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก และการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย
- แปซิฟิก รวม ๑๗ รายการ เมื่อวันที่ ๒๔ - ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๖๗ ณ นครหลวงเวียงจันทน์
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งมีสาระสำคัญในภาพรวม เช่น ประเทศสมาชิกอาเซียนได้ร่วมกันผลักดันความร่วมมือในประเด็นที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกันของภูมิภาค
และมีประเด็นที่ไทยผลักดัน เช่น การส่งเสริมการหารือที่ครอบคลุมเพื่อสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างประเทศต่าง
ๆ ในภูมิภาค การส่งเสริมความร่วมมือเพื่อเร่งแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ รวมทั้งมีการรับรองเอกสารระหว่างการประชุมฯ จำนวน ๘ ฉบับ
เช่น ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ ๕๗
ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน - สหราชอาณาจักร :
การเสริมสร้างความเชื่อมโยงเพื่ออนาคตที่เจริญรุ่งเรืองและยั่งยืน เป็นต้น ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
และให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยให้ดำเนินการตามกฎหมาย
ระเบียบ และข้อบังคับที่มีอยู่ในปัจจุบันและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด
ไปดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 72 | ผลการประชุมคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐ ครั้งที่ 3/2567 | กค. | 22/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐ
ครั้งที่ ๓/๒๕๖๗ เมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๖๗
เพื่อให้หน่วยรับงบประมาณและรัฐวิสาหกิจดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐ
เพื่อให้การเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐเป็นไปตามเป้าหมาย
และเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศต่อไป ตามที่คณะกรรมการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 73 | ขอความเห็นชอบการจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับการใช้พลังงานนิวเคลียร์ในทางสันติ (Agreement for Cooperation between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the United States of America concerning Peaceful Uses of Nuclear Energy) (123 Agreement) | อว. | 22/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้เลื่อนการพิจารณาเรื่อง
ขอความเห็นชอบการจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหรัฐอเมริกาเกี่ยวกับการใช้พลังงานนิวเคลียร์ในทางสันติ
(Agreement
for Cooperation between the Government of the Kingdom of Thailand and the
Government of the United States of America concerning Peaceful Uses of Nuclear
Energy) (123 Agreement) ออกไปก่อนเป็นวันอังคารที่
๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๗ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมเสนอ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 74 | การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (1. นายมนตรี เดชาสกุลสม ฯลฯ รวม 3 ราย) | คค. | 22/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติให้คณะกรรมการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยมีจำนวนกรรมการเกินกว่าสิบเอ็ดคนแต่ไม่เกินสิบห้าคน
(นับรวมประธานกรรมการ และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่คณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง
กรรมการโดยตำแหน่ง
และผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยซึ่งเป็นกรรมการและเลขานุการโดยตำแหน่ง)
ตามความในมาตรา ๖ วรรคสอง
แห่งพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๑๘
และที่แก้ไขเพิ่มเติม ๒. อนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย
แทนประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากขอลาออก รวม
๓ คน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๒ ตุลาคม ๒๕๖๗) เป็นต้นไป
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๒.๑
นายมนตรี เดชาสกุลสม ประธานกรรมการ ๒.๒
นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๒.๓
นายพิษณุ โหระกุล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 75 | ร่างพระราชบัญญัติล้มละลาย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (กระบวนพิจารณาเกี่ยวกับการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้) | ยธ. | 22/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติล้มละลาย (ฉบับที่ ..)
พ.ศ. .... (กระบวนพิจารณาเกี่ยวกับการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้) ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
และให้กระทรวงยุติธรรมเร่งจัดทำเอกสารบันทึกวิเคราะห์สรุปสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติเพื่อเป็นเอกสารประกอบการเสนอร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวต่อสภาผู้แทนราษฎร
แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา
โดยให้ส่งความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
สำนักงานศาลยุติธรรม และสมาคมธนาคารไทย ไปเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรด้วย
ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
ที่เห็นควรให้กระทรวงยุติธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
โดยคำนึงถึงความครอบคลุมทุกแหล่งเงิน ศักยภาพและความพร้อมในทุกมิติ
ประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ ความคุ้มค่าและประหยัด รวมถึงผลสัมฤทธิ์หรือประโยชน์ที่จะได้รับอย่างยั่งยืน
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
สำหรับในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ หากหน่วยงานมีความจำเป็นเร่งด่วนต้องดำเนินการ
เห็นควรให้พิจารณาใช้จ่ายตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖ ไปพลางก่อน ในโอกาสแรกก่อน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 76 | ผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน ครั้งที่ 4/2567 | นร.08 | 15/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่จังหวัดนราธิวาส
ยกเว้นอำเภอยี่งอ อำเภอสุไหงโก-ลก อำเภอแว้ง และอำเภอสุคิริน จังหวัดปัตตานี ยกเว้นอำเภอยะหริ่ง อำเภอปะนาเระ อำเภอมายอ อำเภอไม้แก่น
อำเภอทุ่งยางแดง อำเภอกะพ้อ และอำเภอแม่ลาน และจังหวัดยะลา ยกเว้นอำเภอเบตง
อำเภอรามัน อำเภอกาบัง และอำเภอกรงปินัง ออกไปอีก ๓ เดือน ตั้งแต่วันที่ ๒๐ ตุลาคม
๒๕๖๗ ถึงวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๖๘ ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ ๒. เห็นชอบและรับทราบร่างประกาศ ดังนี้ ๒.๑
เห็นชอบร่างประกาศ เรื่อง
การขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่จังหวัดนราธิวาส
ยกเว้นอำเภอยี่งอ อำเภอสุไหงโก-ลก อำเภอแว้ง และอำเภอสุคิริน จังหวัดปัตตานี
ยกเว้นอำเภอยะหริ่ง อำเภอปะนาเระ อำเภอมายอ อำเภอไม้แก่น อำเภอทุ่งยางแดง
อำเภอกะพ้อ และอำเภอแม่ลาน และจังหวัดยะลา ยกเว้นอำเภอเบตง อำเภอรามัน อำเภอกาบัง
และอำเภอกรงปินัง และร่างประกาศ เรื่อง
การให้ประกาศที่คณะรัฐมนตรีกำหนดตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงยังคงมีผลใช้บังคับ ๒.๒ รับทราบร่างประกาศ เรื่อง การให้ประกาศและคำสั่งที่นายกรัฐมนตรีกำหนดตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงยังคงมีผลใช้บังคับ รวม ๓ ฉบับ ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 77 | ร่างบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย - ฟิลิปปินส์ ครั้งที่ 6 | กต. | 15/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย
- ฟิลิปปินส์ ครั้งที่ ๖ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศร่วมรับรองร่างบันทึกการประชุมฯ
ในวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๖๗ โดยร่างบันทึกการประชุมฯ มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมของทั้งสองประเทศที่จะเสริมสร้างความร่วมมือทวิภาคีร่วมกันในทุกมิติ
เช่น การเสริมสร้างความร่วมมือทางการเมืองและความมั่นคง
การส่งเสริมกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะการอำนวยความสะดวกด้านการค้าและการลงทุน
การพัฒนาศักยภาพรวมถึงการส่งเสริมความร่วมมือทางการศึกษา สังคม วัฒนธรรม และกีฬา
รวมทั้งการดูแลแรงงานไทยและฟิลิปปินส์ในประเทศ นอกจากนี้
ทั้งสองฝ่ายได้หารือเกี่ยวกับความร่วมมือในระดับภูมิภาคโดยเฉพาะการรวมตัวทางเศรษฐกิจและเห็นพ้องที่จะส่งเสริมความร่วมมือและแลกเปลี่ยนประสบการณ์เพื่อป้องกันและปราบปรามการก่อการร้ายและอาชญากรรมไซเบอร์ภายใต้กรอบอาเซียน
เป็นต้น ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักข่าวกรองแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
ดังนี้ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรบูรณาการประเด็นความร่วมมือตามกรอบทวิภาคีนี้ร่วมกับกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศอื่นที่เกี่ยวข้อง
และควรติดตามผลการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด
รวมทั้งสื่อสารผลลัพธ์ให้สาธารณชนได้รับรู้ถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับ และให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ตามความเหมาะสม
โดยให้รวบรวมผลการปรับแก้ร่างบันทึกการประชุมฯ
ดังกล่าวกับผลการปรับแก้เอกสารความตกลงระหว่างประเทศของกรอบความร่วมมืออื่น ๆ
พร้อมทั้งผลการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง รายงานต่อคณะรัฐมนตรีทราบในคราวเดียวกัน สำนักข่าวกรองแห่งชาติ เห็นว่าเนื้อหาโดยรวมของร่างบันทึกการประชุมฯ
ครอบคลุมวัตถุประสงค์ในการแสดงเจตนารมณ์ร่วมของทั้งสองประเทศที่จะกระชับความสัมพันธ์และส่งเสริมความร่วมมืออย่างรอบด้าน
แต่อาจพิจารณาปรับถ้อยคำบางส่วนเพื่อให้เนื้อหามีความครบถ้วนสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
ได้แก่ ข้อ ๘ “ฝ่ายไทยชื่นชมรัฐบาลฟิลิปปินส์ที่ใช้มาตรการเข้มงวดรับมือกับการกระทำผิดกฎหมายจากธุรกิจพนันออนไลน์
(POGOs)” เป็น “ฝ่ายไทยชื่นชมรัฐบาลฟิลิปปินส์ที่ใช้มาตรการเข้มงวดในการปราบปรามเครือข่ายหลอกลวงทางออนไลน์
นำไปสู่คำสั่งยกเลิกธุรกิจพนันออนไลน์ (POGOs) ภายในปี ๒๕๖๗”
และข้อ ๑๒ “ฝ่ายฟิลิปปินส์เป็นเจ้าภาพการหารือประจำปีระหว่าง NIA และ NICA เมื่อวันที่ ๑ - ๕ มีนาคม ๒๕๖๒
ที่เมืองเซบู” เป็น “ฝ่ายไทยเป็นเจ้าภาพการหารือประจำปีระหว่าง NIA และ NICA เมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม - ๑ กันยายน ๒๕๖๕
ที่กรุงเทพมหานคร” ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกการประชุมฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 78 | โครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลางและกรุงเทพมหานคร เพื่อเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้า (โครงการ TIEC) ระยะที่ 3.1 (ภายใต้โครงการ TIEC ระยะที่ 3) | พน. | 08/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
ดำเนินโครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือตอนล่าง
ภาคกลาง และกรุงเทพมหานคร เพื่อเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้า ระยะที่ ๓.๑ วงเงินลงทุน
๓๘,๕๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ให้กระทรวงพลังงาน (การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย)
รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย
สำนักงบประมาณ ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(หนังสือสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ด่วนที่สุด ที่ นร ๑๑๐๖/๒๑๔๔
ลงวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๖๗) ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นว่าหากมีการดำเนินการใด
ๆ ในเขตพื้นที่ป่า ขอให้ปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด สำนักงบประมาณ เห็นควรให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยบริหารจัดการเรื่องการเงินและการลงทุนให้เหมาะสม
มีมาตรการรองรับในกรณีที่อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศมีความผันผวน โดยพิจารณาจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงในกรณีที่การดำเนินงานไม่เป็นไปตามแผน
เพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อฐานะทางการเงินในอนาคต รวมทั้งปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
ตลอดจนดำเนินการก่อหนี้และบริหารหนี้ในทุกมิติ ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 79 | ผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2567 การช่วยเหลือประชาชนที่อยู่อาศัยในเขตที่ดินของรัฐให้เข้าถึงสาธารณูปโภคไฟฟ้า ประปา และการเร่งรัดดำเนินการพิสูจน์สิทธิการครอบครองที่ดินของบุคคลในเขตที่ดินของรัฐ | สคทช | 08/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบในการผ่อนผันมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๘
เมษายน ๒๕๔๖ เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่อยู่อาศัยในเขตที่ดินของรัฐให้เข้าถึงสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานต่าง
ๆ เช่น ไฟฟ้า ประปา เป็นต้น ในพื้นที่นำร่องจังหวัดกาญจนบุรีและแม่ฮ่องสอน
โดยมีกลุ่มเป้าหมาย แบ่งเป็น กลุ่มเป้าหมายที่ ๑
ประชาชนที่ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินของรัฐ
ซึ่งอยู่ระหว่างการพิสูจน์สิทธิในที่ดิน หรือ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒๖
พฤศจิกายน ๒๕๖๑ กลุ่มนี้ควรจะได้รับการพิจารณาผ่อนผันก่อนเป็นลำดับแรก และกลุ่มเป้าหมายที่ ๒
ประชาชนที่ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินของรัฐประเภทอื่น ๆ ควรจะพิจารณาผ่อนผันตามเหตุผลและความจำเป็น
เป็นรายกรณี โดยไม่ขัดหรือแย้งกับมาตรการการบุกรุกที่ดินของรัฐ มาตรการแก้ไขปัญหาการอยู่อาศัยและทำกิน
และการใช้ประโยชน์ตามภารกิจของหน่วยงานของรัฐนั้น ๆ และให้คณะอนุกรรมการพิสูจน์สิทธิในที่ดินของรัฐจังหวัด
(คพร.จังหวัด) กาญจนบุรีและแม่ฮ่องสอน ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตรวจสอบ
รวบรวมข้อมูลข้อเท็จจริง เพื่อเร่งรัดการพิสูจน์สิทธิในที่ดินให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี
หากมีเหตุผลความจำเป็นให้ สคทช.
ประสานกำหนดแผนการดำเนินการเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเสนอสำนักงบประมาณพิจารณาต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติเสนอ ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
รวมทั้งความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และข้อเสนอแนะของกระทรวงมหาดไทยไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย เช่น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่าหน่วยงานที่เข้าไปดำเนินการติดตั้งสาธารณูปโภคในพื้นที่
ต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกัน แก้ไข และลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด กระทรวงมหาดไทย ควรสนับสนุนการวางโครงสร้างสำหรับการเข้าถึงสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานต่าง
ๆ เช่น ไฟฟ้าและประปา ควรมีการผ่อนผันการขออนุญาตเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้
(ทุกประเภท) สำหรับการวางท่อส่งน้ำและท่อจ่ายน้ำประปา
รวมทั้งการขยายเขตระบบไฟฟ้า ทั้งนี้ การพิจารณาผ่อนผันให้ประชาชนอยู่อาศัยหรือเข้าทำประโยชน์ในเขตที่ดินของรัฐ
ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาความจำเป็นเหมาะสมและสอดคล้องกับข้อกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง
โดยให้ความสำคัญกับการรักษาไว้ซึ่งพื้นที่สีเขียวและสภาพธรรมชาติของพื้นที่เพื่อป้องกันปัญหาการเสื่อมโทรมของพื้นที่ป่าอันเป็นต้นตอสำคัญของปัญหาโลกร้อนและภัยธรรมชาติต่าง
ๆ ที่เกิดขึ้น |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 80 | ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เฉพาะสารสกัดจากพืชกัญชาหรือกัญชง พ.ศ. .... | สธ. | 08/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตผลิต
นำเข้า ส่งออก จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท ๕
เฉพาะสารสกัดจากพืชกัญชาหรือกัญชง พ.ศ. .... .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขการขออนุญาตและการอนุญาตผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย
หรือมีไว้ในครอบครอง กำหนดคุณสมบัติของผู้ขออนุญาต การออกใบอนุญาต การออกใบแทนใบอนุญาต
การต่ออายุใบอนุญาต การแก้ไขรายการในใบอนุญาต
การดำเนินการของผู้รับอนุญาตเพื่อประโยชน์ในการควบคุมดูแล
และการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียม ซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท ๕ เฉพาะสารสกัดจากพืชกัญชาหรือกัญชง
เพื่อประโยชน์ในทางการแพทย์ เชิงพาณิชย์ หรืออุตสาหกรรม
การวิเคราะห์หรือศึกษาวิจัยทางการแพทย์หรือวิทยาศาสตร์
รวมทั้งเพื่อประโยชน์ของทางราชการในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด
ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานอัยการสูงสุด และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้ เช่น สำนักงาน ก.พ.ร.
เห็นว่าการกำหนดระยะเวลาการแจ้งคำสั่งไม่อนุญาตตามร่างกฎกระทรวงฯ ข้อ ๑๘ ควรกำหนดให้สอดคล้องตามมาตรา
๑๐ แห่งพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๕๘ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เห็นว่าในกลุ่มสินค้าที่มีสารสกัดจากกัญชาหรือกัญชงจัดเป็นสินค้าที่มีส่วนผสมของยาเสพติดให้โทษในประเภท
๕ ที่ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพ ครอบครัว อุบัติเหตุและอาชญากรรม และอาจลุกลามก่อให้เกิดผลเสียต่อสังคมส่วนรวม
จึงควรมีหลักเกณฑ์ควบคุมการประกอบธุรกิจดังกล่าว โดยจำกัดสิทธิบางประการของผู้ประกอบธุรกิจและ/หรือผู้รับอนุญาตผลิต
นำเข้า ส่งออก จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองและควรมีบทกำหนดโทษที่ชัดเจนสำหรับผู้ประกอบธุรกิจและ/หรือผู้รับอนุญาตฯ
ซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์ทางการค้าเพื่อลดปัญหาผลกระทบทั้งด้านสังคมและเศรษฐกิจของประเทศ
ตลอดจนป้องกันเด็กและเยาวชนเข้าถึงสินค้าที่มีสารสกัดจากกัญชาหรือกัญชงและประสงค์ที่จะนำไปใช้อย่างผิดวิธีได้โดยง่าย ๒.
ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม สำนักงานอัยการสูงสุด
และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
