ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 2 จากทั้งหมด 11 หน้า แสดงรายการที่ 21 - 40 จากข้อมูลทั้งหมด 209 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 21 | การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (นายพรชัย ฐีระเวช และนายกิตติศักดิ์ จุลสำรวล) | กค. | 28/11/2566 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก
รวม ๒ คน
เนื่องจากประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสี่ปี
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๖) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
ดังนี้ ๑. นายพรชัย ฐีระเวช ประธานกรรมการ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 22 | รายงานสัดส่วนหนี้สาธารณะ ตามมาตรา 50 และรายงานสถานะหนี้สาธารณะ หนี้ภาครัฐ และความเสี่ยงทางการคลัง ตามมาตรา 76 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ณ วันสิ้นปีงบประมาณ 2566 | กค. | 28/11/2566 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสัดส่วนหนี้สาธารณะ ตามมาตรา ๕๐ และรายงานสถานะหนี้สาธารณะ
หนี้ภาครัฐ และความเสี่ยงทางการคลัง ตามมาตรา ๗๖ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ ณ วันสิ้นปีงบประมาณ ๒๕๖๖ โดยสัดส่วนหนี้สาธารณะ
ตามมาตรา ๕๐ ได้กำหนดกรอบในการบริหารหนี้สาธารณะ
ดังนี้ ๑) สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ต้องไม่เกินร้อยละ ๗๐ ๒) สัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ
ต้องไม่เกินร้อยละ ๓๕ ๓) สัดส่วนหนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศต่อหนี้สาธารณะทั้งหมด
ต้องไม่เกินร้อยละ ๑๐ และ ๔) สัดส่วนหนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศต่อรายได้จากการส่งออกสินค้าและบริการ
ต้องไม่เกินร้อยละ ๕ และรายงานสถานะหนี้สาธารณะ หนี้ภาครัฐ
และความเสี่ยงทางการคลัง ตามมาตรา ๗๖ ดังนี้ ๑) มีหนี้สาธารณะคงค้าง จำนวน ๑๑.๑๓
ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๖๒.๔๔ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าจำนวน ๐.๗๖
ล้านล้านบาท ๒) หนี้เงินกู้คงค้างของหน่วยงานของรัฐ เช่น รัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ
ที่ไม่เป็นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ
คือ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาซน) จำนวน ๑๗,๔๐๐.๐๐ ล้านบาท รัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะที่ทำธุรกิจให้กู้ยืมธุรกิจบริหารสินทรัพย์
และธุรกิจประกันสินเชื่อที่กระทรวงการคลังไม่ได้ค้ำประกัน จำนวน ๐.๖๐ ล้านล้านบาท องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีจำนวน ๐.๐๔ ล้านล้านบาท ธนาคารแห่งประเทศไทย
มีจำนวน ๔.๒๑ ล้านล้านบาท เป็นต้น และ ๓) ความเสี่ยงทางการคลัง พบว่า
ยังอยู่ภายใต้กรอบในการบริหารหนี้สาธารณะที่คณะกรรมการฯ กำหนด ซึ่งหนี้สาธารณะ
จำนวน ๑๑.๑๓ ล้านล้านบาท โดยหนี้ส่วนใหญ่ (ร้อยละ ๙๘.๕๘) เป็นหนี้ในประเทศ
และร้อยละ ๘๓.๙๘ ของหนี้สาธารณะเป็นหนี้ที่เป็นภาระต่องบประมาณโดยตรง
และหนี้เงินกู้ของหน่วยงานของรัฐที่ไม่นับเป็นหนี้สาธารณะ
ไม่มีผลกระทบต่อภาระทางการคลัง หรือเงินงบประมาณแผ่นดินในภาพรวม
เนื่องจากเป็นหน่วยงานที่มีสถานะการดำเนินงานที่มั่นคงและมีรายได้เพียงพอที่จะชำระหนี้เงินกู้ได้เอง
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 23 | คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (กระทรวงสาธารณสุข) | สธ. | 28/11/2566 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรีของกระทรวงสาธารณสุข จำนวน ๙ คณะ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๖ เป็นต้นไป ดังนี้ ๑. คณะกรรมการควบคุมโรคขาดสารไอโอดีนแห่งชาติ ๒.
คณะกรรมการพิจารณาจัดสรรนักศึกษาแพทย์ผู้ทำสัญญาการเป็นนักศึกษาแพทย์ ๓.
คณะกรรมการพิจารณาจัดสรรนักศึกษาทันตแพทย์ผู้ทำสัญญาการเป็นนักศึกษาทันตแพทย์ ๔. คณะกรรมการพิจารณาจัดสรรนักศึกษาเภสัชศาสตร์ผู้ทำสัญญาการเป็นนักศึกษาเภสัชศาสตร์ ๕. คณะกรรมการพัฒนาอนามัยการเจริญพันธุ์แห่งชาติ ๖. คณะกรรมการอำนวยการเพื่อพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ ๗. คณะกรรมการนโยบายการดื้อยาต้านจุลชีพแห่งชาติ ๘. คณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนกำลังคนด้านสาธารณสุข
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 24 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดวันเวลาเปิดปิดของสถานบริการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | มท. | 28/11/2566 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดวันเวลาเปิดปิดของสถานบริการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนดวันเวลาเปิดปิดของสถานบริการ
พ.ศ. ๒๕๔๗
เพื่อกำหนดวันเวลาเปิดปิดของสถานบริการทุกประเภทที่ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่เพื่อการอนุญาตให้ตั้งสถานบริการ
เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของประเทศที่เพิ่งผ่านพ้นสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค
COVID ๑๙
จึงจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการขยายเวลาเปิดสถานบริการที่อยู่ในสถานที่ตั้งโรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม
และสถานบริการที่ตั้งอยู่ในท้องที่กรุงเทพมหานคร จังหวัดภูเก็ต จังหวัดชลบุรี
จังหวัดเชียงใหม่ และท้องที่อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี
ซึ่งจะมีส่วนช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่องสร้างรายได้ให้แก่ประเทศ
ผู้ประกอบธุรกิจ และประชาชนในพื้นที่
สมควรกำหนดเป็นท้องที่นำร่องขยายเวลาเปิดสถานบริการถึง ๐๔.๐๐ นาฬิกา
ของวันรุ่งขึ้น ส่วนท้องที่อื่นที่ประสงค์จะขยายเวลาเปิดสถานบริการถึง ๐๔.๐๐
นาฬิกา ของวันรุ่งขึ้น
ให้เป็นไปตามประกาศจังหวัดภายใต้หลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ปลัดกระทรวงมหาดไทย กำหนด ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 25 | คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (กระทรวงพาณิชย์) | พณ. | 28/11/2566 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรีของกระทรวงพาณิชย์
จำนวน ๔ คณะ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๖
เป็นต้นไป ดังนี้ ๑. คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ๒. คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการมันสำปะหลัง ๓. คณะกรรมการว่าด้วยการให้สิทธิพิเศษแก่ประเทศพัฒนาน้อยที่สุด โดยการยกเลิกภาษีนำเข้าและโควตา
(Duty free Quota Free
Scheme : DFQF) ๔. คณะกรรมการนโยบายอาหาร
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 26 | ขอความเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติกับกระทรวงการต่างประเทศ การค้า และการพัฒนาแห่งประเทศแคนาดา | อว. | 21/11/2566 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติกับกระทรวงการต่างประเทศ
การค้า และการพัฒนาแห่งประเทศแคนาดา (Department of Foreign Affairs, Trade and
Development of Canada : DFATD) และให้เลขาธิการสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ
โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเพื่อสร้างความร่วมมือที่ไม่ใช่ทางการเงินและการสนับสนุนอุปกรณ์
การให้บริการและการฝึกอบรมแบบให้เปล่า
เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถของไทยในการป้องกันตนเองจากภัยคุกคามด้านความมั่นคงปลอดภัยทางนิวเคลียร์และรังสีและจะทำให้เกิดความต่อเนื่องในการทำงาน
ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงานเพื่อสนับสนุนและเสริมสร้างสมรรถนะด้านความมั่นคงทางนิวเคลียร์ของไทยและการฝึกอบรมระดับชาติ
ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติกับกระทรวงการต่างประเทศ
การค้า และการพัฒนาแห่งประเทศแคนาดา เพื่อสนับสนุนหลักสูตรด้านความมั่นคงปลอดภัยทางนิวเคลียร์ที่ยั่งยืนในประเทศไทยและประเทศในภูมิภาคอาเซียนในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ)
รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นว่าการขอยกเว้นภาษีนำเข้า
ภาษีอากร ค่าธรรมเนียม
และภาษีอื่นใดที่อาจเกิดจากการขนส่งอุปกรณ์หรือการให้บริการอันเนื่องมาจากการให้ความช่วยเหลือจากต่างประเทศนั้น
กระทรวงการคลังขอให้สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติพิจารณาและดำเนินการตามระเบียบการนำเข้าของที่ได้รับยกเว้นอากร
ตามที่กรมศุลกากรกำหนด และควรดำเนินการให้ความช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกแก่กระทรวงการต่างประเทศ
การค้า และการพัฒนาแห่งประเทศแคนาดา ในส่วนที่เกี่ยวข้องด้าน อากร ภาษี
และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ อันเกิดจากการส่งสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือภายใต้ร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ให้มีความสอดคล้องตามกฎระเบียบอย่างเหมาะสมต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 27 | ขอขยายระยะเวลาในการออกกฎหรือดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดตามมาตรา 22 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 (พระราชบัญญัติการประปาส่วนภูมิภาค พ.ศ. 2522 และพระราชบัญญัติรักษาคลองประปา พ.ศ. 2526) | มท. | 21/11/2566 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาดำเนินการจัดทำกฎหมายลำดับรองที่ออกตามพระราชบัญญัติการประปาส่วนภูมิภาค
พ.ศ. ๒๕๒๒ และพระราชบัญญัติรักษาคลองประปา พ.ศ. ๒๕๒๖ ออกไปอีก ๑ ปี ตั้งแต่วันที่
๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ รวม ๘ ฉบับ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑. พระราชบัญญัติการประปาส่วนภูมิภาค พ.ศ. ๒๕๒๒
จำนวน ๒ ฉบับ ดังนี้ ๑.๑
ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง
การกำหนดบริเวณที่ดินที่เดินท่อน้ำและติดตั้งอุปกรณ์ ๑.๒
ร่างข้อบังคับการประปาส่วนภูมิภาค ว่าด้วยค่าทดแทนและการวินิจฉัยข้อพิพาท ๒. พระราชบัญญัติรักษาคลองประปา พ.ศ. ๒๕๒๖ จำนวน ๖
ฉบับ ดังนี้ ๒.๑
ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง
กำหนดบริเวณและเขตคลองประปาและบริเวณคลองรับน้ำในเขตการประปาส่วนภูมิภาค
ตามพระราชบัญญัติรักษาคลองประปา พ.ศ. ๒๕๒๖ ๒.๒
ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง เขตหวงห้ามในเขตการประปาส่วนภูมิภาค ๒.๓
ร่างข้อบังคับการประปาส่วนภูมิภาค ว่าด้วยหลักเกณฑ์
วิธีการการขออนุญาตใช้น้ำดิบจากคลองประปา และอัตราค่าน้ำดิบ ๒.๔
ร่างข้อบังคับการประปาส่วนภูมิภาค ว่าด้วยการกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไขและวิธีการขุดขยายคลองประปา
คลองรับน้ำ คลองขังน้ำ โดยเอกชนดำเนินการเอง ๒.๕. ร่างข้อบังคับการประปาส่วนภูมิภาค
ว่าด้วยหลักเกณฑ์
เงื่อนไขและวิธีการสร้างทำนบหรือปลูกสร้างสิ่งก่อสร้างในเขตคลองประปา คลองรับน้ำ
คลองส่งน้ำ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 28 | การแก้ไขสัญญาประธานในการจ้างธนาคารโลกเป็นที่ปรึกษาแบบมีค่าใช้จ่าย (Amendments to the Framework Agreement for Reimbursable Advisory Services) | กค. | 21/11/2566 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการแก้ไขสัญญาประธานในการจ้างธนาคารโลกเป็นที่ปรึกษาแบบมีค่าใช้จ่าย (Amendments
to the Framework Agreement for Reimbursable Advisory Services)
ว่า ไม่จำเป็นต้องแสดงหนังสือมอบอำนาจเต็ม
เนื่องจากในทางปฏิบัติเป็นที่ยอมรับกันระหว่างกระทรวงการคลังและธนาคารโลก เห็นชอบร่างสัญญาประธานในการจ้างธนาคารโลกเป็นที่ปรึกษาแบบมีค่าใช้จ่าย
ฉบับแก้ไข และอนุมัติให้ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลังลงนามในร่างสัญญาประธานในการจ้างธนาคารโลกเป็นที่ปรึกษาแบบมีค่าใช้จ่าย
ฉบับแก้ไข ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงร่างสัญญาประธานในการจ้างธนาคารโลกเป็นที่ปรึกษาแบบมีค่าใช้จ่าย
ฉบับแก้ไข
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการคลังดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 29 | ขอขยายระยะเวลาการดำเนินการจัดทำกฎหมายลำดับรองที่ออกตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม | พม. | 21/11/2566 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการดำเนินการจัดทำกฎหมายลำดับรองที่ออกตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
พ.ศ. ๒๕๕๐ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ออกไปอีก ๑ ปี นับแต่วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๖
จำนวน ๑ ฉบับ ได้แก่ ระเบียบกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขการดำเนินการขององค์กรด้านคนพิการหรือองค์กรอื่นใดที่ให้บริการแก่คนพิการที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน
ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 30 | ขอขยายระยะเวลาดำเนินการจัดทำกฎหมายลำดับรอง (พระราชบัญญัติความร่วมมือระหว่างประเทศในทางแพ่งเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิควบคุมดูแลเด็ก พ.ศ. 2555) | พม. | 21/11/2566 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาดำเนินการจัดทำกฎหมายลำดับรองตามพระราชบัญญัติความร่วมมือระหว่างประเทศในทางแพ่งเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิควบคุมดูแลเด็ก
พ.ศ. ๒๕๕๕ ออกไปอีก ๑ ปี นับแต่วันที่ครบกำหนดตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย
พ.ศ. ๒๕๖๒ จนถึงวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 31 | ขอขยายระยะเวลาดำเนินการจัดทำกฎหมายลำดับรองตามความในพระราชบัญญัติการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ การวิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. 2562 และพระราชบัญญัติสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2562 | อว. | 21/11/2566 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการดำเนินการจัดทำกฎหมายลำดับรองตามความในพระราชบัญญัติการส่งเสริมวิทยาศาสตร์
การวิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. ๒๕๖๒ และพระราชบัญญัติสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๒ ออกไปอีก ๑ ปี ตั้งแต่วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๖
รวม ๓ ฉบับ ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.
ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์การวิจัยและข้อกำหนดจริยธรรมการวิจัยซึ่งมีปัญหากับหลักศาสนา
วัฒนธรรม จารีตประเพณี หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน พ.ศ. .... ๒. ร่างระเบียบคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมว่าด้วยมาตรฐานการวิจัยทั่วไป พ.ศ. .... ๓. ร่างระเบียบคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมว่าด้วยการให้รางวัลผลงานวิจัยและนวัตกรรมและการประกาศเกียรติคุณ
พ.ศ. ....
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 32 | ขอขยายระยะเวลาการดำเนินการจัดทำกฎหมายลำดับรองที่ออกตามพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542 | สธ. | 14/11/2566 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการดำเนินการจัดทำกฎหมายลำดับรองตามพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย
พ.ศ. ๒๕๔๒ ออกไปอีก ๑ ปี ตั้งแต่วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ จำนวน ๓ ฉบับ ได้แก่ ๑)
ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขอจดทะเบียน
การออกหนังสือสำคัญแสดงการจดทะเบียน
และการเพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิในภูมิปัญญาการแพทย์พื้นเมือง พ.ศ. .... ๒) ร่างกฎกระทรวงการจัดทำแผนที่แนวเขตที่ดินกำหนดเขตพื้นที่คุ้มครองสมุนไพร
พ.ศ. .... และ ๓)
ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตจัดการบริหารพื้นที่คุ้มครองสมุนไพรหรือใช้ประโยชน์จากสมุนไพร
พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 33 | ขยายระยะเวลาในการออกกฎหรือดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดตามมาตรา 22 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 | คค. | 14/11/2566 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการดำเนินการจัดทำกฎหมายลำดับรองที่ออกตามความในกฎหมายที่กระทรวงคมนาคมรับผิดชอบ
ออกไปอีก ๑ ปี ตั้งแต่วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 34 | ร่างพิธีสารการเจรจาทวิภาคีไทยและติมอร์ - เลสเต เพื่อการภาคยานุวัติเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลกของติมอร์ - เลสเต | พณ. | 07/11/2566 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในสารัตถะของร่างพิธีสารการเจรจาทวิภาคีไทยและติมอร์-เลสเต
เพื่อการภาคยานุวัติเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) ของติมอร์-เลสเต
ซึ่งเป็นตราสารที่จัดทำขึ้นเพื่อแสดงถึงผลการเจรจาทวิภาคีระหว่างประเทศไทยและติมอร์-เลสเต
เพื่อนำไปสู่การบรรลุข้อตกลงในเรื่องสิทธิประโยชน์ทางการค้าที่ติมอร์-เลสเต
จะให้ในกรอบ WTO ตามกระบวนการภาคยานุวัติเป็นสมาชิก WTO
โดยผลการเจรจาระหว่างประเทศไทยกับติมอร์-เลสเต
ในการลดภาษีสินค้านำเข้าและข้อผูกพันเฉพาะรายสาขาการค้าบริการของติมอร์-เลสเต
ต่อไทยที่บรรจุในร่างพิธีสารฯ จะนำไปรวมกับผลการเจรจาระหว่างติมอร์-เลสเตกับประเทศสมาชิกอื่น
ๆ และจะกลายเป็นส่วนต่อท้าย (addendum)
ของพิธีสารภาคยานุวัติ (Protocol of Accession) เข้าเป็นสมาชิก
WTO ของติมอร์-เลสเต และมอบหมายให้เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำ WTO
และองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างพิธีสารฯ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างพิธีสารการเจรจาทวิภาคีไทยและติมอร์-เลสเต
เพื่อการภาคยานุวัติเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลกของติมอร์-เลสเต
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 35 | รายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ยุทธศาสตร์ "Indo - Pacific" ของสหรัฐฯ และ "Belt and Road Initiative: BRI" ของจีน : ผลกระทบต่อภูมิภาคและประเทศไทย ของคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภา | สว. | 07/11/2566 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบรายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ยุทธศาสตร์
“Indo-Pacific” ของสหรัฐฯ
และ “Belt and Road Initiative : BRI” ของจีน
: ผลกระทบต่อภูมิภาคและประเทศไทย ของคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ วุฒิสภา
โดยมีข้อเสนอแนะ แบ่งเป็น ๓ แนวทาง ได้แก่
ท่าทีและข้อเสนอแนะสำหรับไทยที่เกี่ยวข้องกับสหรัฐฯ เช่น
มิติทางด้านการทหารและความมั่นคง ไทยควรสนับสนุนให้สหรัฐฯ
หลีกเลี่ยงการใช้สรรพกำลัง อาวุธ และความรุนแรง หรือในการจัดการกับปัญหาต่าง ๆ
ที่เกิดขึ้น และควรสนับสนุนให้สหรัฐฯ ดำเนินยุทธศาสตร์ให้เป็นไปในเชิงสร้างสรรค์ แก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธีในลักษณะการทูตเชิงป้องกัน
เพื่อป้องกันปัญหาความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ท่าทีและข้อเสนอแนะสำหรับไทยในส่วนที่เกี่ยวข้องกับจีน
เช่น ไทยควรหารือกับจีนในเรื่องการเสริมสร้างความร่วมมือกับอาเซียน
โดยเข้าร่วมเจรจาและสนับสนุนการจัดทำประมวลการปฏิบัติในทะเลจีนใต้ (Code of
Conduct in the South China Sea : COC) ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม และควรสนับสนุนให้จีนใช้เวทีอาเซียนในการเจรจาหารือหรือดำเนินกิจกรรมต่าง
ๆ เกี่ยวกับการปกป้องผลประโยชน์แห่งชาติในเชิงสร้างสรรค์ร่วมกันในพื้นที่ทะเลจีนใต้
เพื่อเป็นการเสริมสร้างความร่วมมือ ความเชื่อมั่น
และความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างจีนกับอาเซียน และข้อเสนอแนะอื่น ๆ สำหรับไทย เช่น
สหรัฐฯ และจีน มองว่าไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่มีความสำคัญต่อภูมิภาคอาเซียน ดังนั้น
ไทยควรพิจารณาดำเนินนโยบายทางการทูตแบบสมดุลและสนับสนุนเสริมสร้างความสามัคคีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของอาเซียน
ซึ่งจะเป็นการช่วยสร้างอำนาจในการเจรจาต่อรองกับสหรัฐฯ และจีนได้ดียิ่งขึ้น และควรนำกรอบความร่วมมือที่ทำร่วมกับสหรัฐฯ
และจีน มาพิจารณาแสวงหาประโยชน์ผ่านเวทีระดับพหุภาคี
ซึ่งไทยมีบทบาทสำคัญทั้งต่อระบบเศรษฐกิจและที่ตั้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ดังนั้น ไทยควรพิจารณาถึงการแสดงบทบาทนำและผลักดันในประเด็นข้อตกลงที่ไทยจะได้รับประโยชน์มากที่สุด
ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเสนอ ๒.
มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานหลักรับรายงานพร้อมทั้งข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการดังกล่าวไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงกลาโหม
สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของรายงานพร้อมทั้งข้อเสนอแนะดังกล่าว
และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม
แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน
นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 36 | ร่างพระราชกฤษฎีกาการจ่ายเงินเดือน เงินปี บำเหน็จ บำนาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค. | 07/11/2566 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจ่ายเงินเดือน
เงินปี บำเหน็จ บำนาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาจ่ายเงินเดือน เงินปี บำเหน็จ บำนาญ
และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยแก้ไขเพิ่มเติมบทนิยามคำว่า
“เงินเดือน” และปรับเงื่อนไขการจ่ายเงินเดือนของข้าราชการโดยสามารถแบ่งจ่ายเป็น ๒
รอบ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๗ เป็นต้นไป
เพื่อเป็นการเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินและพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ให้แก่ข้าราชการ
รวมทั้งเป็นการเพิ่มอัตราเงินหมุนเวียนซึ่งจะช่วยเศรษฐกิจของประเทศ
อีกทั้งเพื่อให้เป็นการเบิกจ่ายเงินเดือนของข้าราชการมีความคล่องตัว รวดเร็ว
และสอดคล้องกับสภาวการณ์ปัจจุบัน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของกระทรวงแรงงาน
สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงานศาลปกครอง ที่เห็นว่าข้อสังเกตตามร่างมาตรา
๓ ที่แก้ไขเพิ่มเติมนิยามคำว่า “เงินเดือน” หมายความว่า
เงินเดือนและเงินอื่นที่มีกำหนดจ่ายเป็นรายเดือน
หรือที่มีกำหนดจ่ายเป็นอย่างอื่นตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด ... คำว่า “หรือที่มีกำหนดจ่ายเป็นอย่างอื่นตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด”
อาจทำให้เกิดการตีความได้ว่าให้สามารถจ่ายเป็นอย่างอื่นที่มิใช่ตัวเงินได้
เพื่อให้เกิดความชัดเจนอาจปรับปรุงถ้อยคำดังกล่าวเป็น “หรือที่กำหนดจ่ายตามรอบระยะเวลาอื่นภายในแต่ละเดือนตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด”
การใช้ถ้อยคำในมาตรา ๒๐ ที่บัญญัติให้ “การจ่ายเงินเดือนข้าราชการประจำเดือน... ทั้งนี้
กรมบัญชีกลางจะกำหนดวันจ่ายหรือวิธีการจ่ายเป็นอย่างอื่นก็ได้” ควรมีการ
การปรับถ้อยคำเป็น “การจ่ายเงินเดือนข้าราชการประจำเดือน... ทั้งนี้
กรมบัญชีกลางจะกำหนดวันจ่ายและหรือวิธีการจ่ายเป็นอย่างอื่นก็ได้” เพื่อให้ครอบคลุมทั้งกรณีที่จะมีการปรับเปลี่ยนกำหนดวันจ่ายและวิธีการจ่ายอย่างอื่นในอนาคตด้วย
และการแก้ไขมาตรา ๒๐ ควรจะเกี่ยวข้องและสัมพันธ์กับระยะเวลาการจ่ายเงินเดือนก่อนวันทำการสุดท้ายของเดือน
ซึ่งอาจกำหนดให้มากหรือน้อยกว่าสามวันทำการก็ได้
และเพื่อให้สอดคล้องกับหลักการและเหตุผลในการแก้ไขร่างพระราชกฤษฎีกาการจ่ายเงินเดือน
เงินปี บำเหน็จ บำนาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน (ฉบับที่ ..) พ.ศ .... และนิยามในมาตรา ๔ การกำหนดวันจ่ายหรือวิธีการจ่ายเป็นอย่างอื่นโดยกรมบัญชีกลางจึงควรได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี
ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
๒.
ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัย และนวัตกรรม กระทรวงพลังงาน กระทรวงสาธารณสุข สำนักงาน ก.พ.
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้
และสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน เช่น การแบ่งจ่ายเงินเดือนของข้าราชการเป็น ๒ รอบ
ควรเป็นไปด้วยความสมัครใจของข้าราชการแต่ละราย
เนื่องจากภาระหนี้สินของข้าราชการแต่ละรายมีบริบทที่แตกต่างกัน ควรพิจารณาวิธีการดำเนินการจ่ายเงินเดือนที่เหมาะสมและรอบคอบ
และมีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนในการสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับข้าราชการ
รวมถึงเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องด้วย ในกรณีคณะรัฐมนตรีจะกำหนดจ่ายเงินเดือนเป็นอย่างอื่นที่มิใช่กำหนดจ่ายเป็นรายเดือน
หรือในกรณีกรมบัญชีกลางจะกำหนดวันจ่ายหรือวิธีการจ่ายเป็นอย่างอื่นที่มิใช่กำหนดจ่ายเป็นรายเดือนในวันทำการก่อนวันทำการสุดท้ายของเดือนสามวันทำการ
เห็นควรขอให้คณะรัฐมนตรีหรือกรมบัญชีกลางพิจารณาในประเด็นว่า
ข้าราชการจะขอแจ้งความประสงค์ต่อหน่วยงานต้นสังกัดเพื่อให้มีการจ่ายเงินเดือน ๑
รอบ หรือ ๒ รอบ ให้แก่ตน ได้หรือไม่ อย่างไร ควรกำหนดให้ชัดเจนว่าการแบ่งจ่ายเงินเดือน
๒ รอบนั้น ควรเป็นภาคสมัครใจ
และวิธีการจะต้องไม่เป็นการสร้างภาระเกินควรให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบในการหักชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ของข้าราชการ
เป็นต้นไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 37 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (นายพิสิฐ รังสฤษฎ์วุฒิกุล) | นร.04 | 07/11/2566 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายพิสิฐ
รังสฤษฏ์วุฒิกุล เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ
แทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากมีอายุครบเจ็ดสิบปีบริบูรณ์
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๖) เป็นต้นไป ตามที่รองนายกรัฐมนตรี
(นายอนุทิน ชาญวีรกูล) เสนอ โดยผู้ได้รับแต่งตั้งแทนนี้อยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 38 | รัฐบาลสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านประจำประเทศไทย (นายนอเศเรดดีน ฮัยแดรี) | กต. | 31/10/2566 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายนอเศเรดดีน ฮัยแดรี (Mr. Nassereddin Heidari) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐอิหร่านประจำประเทศไทยคนใหม่
โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทน นายซัยยิด เรซา โนบัคตี (Mr. Seyed
Reza Nobakhti) ซึ่งครบวาระการดำรงตำแหน่ง
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 39 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นางสาววราภรณ์ รุ่งตระการ) | อว. | 31/10/2566 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสาววราภรณ์ รุ่งตระการ
ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง ผู้อำนวยการกอง (ผู้อำนวยการระดับสูง) กองส่งเสริมและพัฒนากำลังคน
สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านระบบบริหารการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (นักทรัพยากรบุคคลทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๖๖
ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 40 | แนวทางการแก้ไขปัญหาของสมัชชาคนจน | นร.01 | 31/10/2566 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางการแก้ไขปัญหาของสมัชชาคนจน
ตามที่สมัชชาคนจนได้ยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาซึ่งประเด็นปัญหาส่วนใหญ่หน่วยงานของรัฐได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องและรัฐบาลอยู่ระหว่างการเสนอแต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของสมัชชาคนจนเพื่อมาพิจารณาข้อเรียกร้องดังกล่าว
ประกอบกับมีหลายกรณีเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาดำเนินการในระดับนโยบาย
ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องพิจารณาให้ความเห็นประกอบการนำเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาตามหน้าที่และอำนาจ
โดยละเอียดรอบคอบและเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หรือมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ซึ่งแก้ไขปัญหาดังกล่าวมีความจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการรวบรวม
ข้อมูล ข้อเท็จจริงในการแก้ไขปัญหา
อย่างไรก็ตามยังมีอีกหลายกรณีปัญหาที่เป็นความเดือดร้อนของประชาชนและอยู่ระหว่างการดำเนินการแก้ไขปัญหาของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกินซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต
หากปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนไม่ได้รับการแก้ไขอย่างต่อเนื่องจนได้ข้อยุติ
อาจเป็นเหตุให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน
และทำให้กลุ่มประชาชนผู้ไร้ที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกินมีจำนวนที่สูงขึ้น
และนำไปสู่ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย
เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน
และกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน
ให้เป็นไปอย่างต่อเนื่องด้วยความเรียบร้อย
ตามที่คณะกรรมการกำกับติดตามการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของมวลชนเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
