ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 941 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 18801 - 18820 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
18801 | การขอต่อระยะเวลาผลิตปิโตรเลียมของบริษัท เชฟรอน ออฟชอร์ (ประเทศไทย) จำกัด และคณะผู้รับสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ 1/2534/36 แปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข B8/32 | พน | 07/12/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ บริษัท เชฟรอน ออฟชอร์ (ประเทศไทย) จำกัด และคณะ ต่อระยะเวลาผลิตปิโตรเลียมสำหรับสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ ๑/๒๕๓๔/๓๖ แปลงสำรวจในทะเลอ่าวไทยหมายเลข B8/32 ออกไปอีก ๑๐ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๓-๓๑ กรกฎาคม ๒๕๗๓ และให้กระทรวงพลังงานดำเนินการตามกฎหมาย กฎ ระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18802 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง มาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแข่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ในทาง และการควบคุมสถานบริการหรือสถานประกอบการที่เปิดให้บริการในลักษณะที่คล้ายกับสถานบริการ | ยธ | 07/12/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบ อนุมัติ และเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ประธานกรรมการอำนวยการศูนย์ประสานกำกับติดตามผลการดำเนินงานตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒๒/๒๕๕๘ เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการดำเนินงานตามมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแข่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ในทาง และการควบคุมสถานบริการหรือสถานประกอบการที่เปิดให้บริการในลักษณะที่คล้ายกับสถานบริการ และปัญหาอุปสรรคในการดำเนินการ ๑.๒ อนุมัติให้ไม่ต้องกำหนดรูปแผนที่สำหรับสถานศึกษาในระดับอนุบาล เนื่องจากเด็กในวัยนี้มีอายุน้อยและไม่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ๑.๓ เห็นชอบให้กระทรวงศึกษาธิการรวบรวมรายชื่อโรงเรียนกลุ่มเสี่ยงและนักเรียนนักศึกษาที่ได้รับการจำแนกแล้วพบว่ามีความสุ่มเสี่ยงต่อการเป็นแกนนำต่อการทะเลาะวิวาทในทุกภาคการศึกษาของแต่ละปี ส่งให้คณะกรรมการอำนวยการศูนย์ฯ ภายในระยะเวลา ๓๐ วัน นับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ โดยให้กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน และกรมกิจการเด็กและเยาวชน ร่วมกันดำเนินการสนับสนุนและจัดทำโครงการพัฒนาศักยภาพเชิงบวกด้านจิต-สังคมบำบัด สำหรับนักเรียนนักศึกษาในกลุ่มนี้ โดยให้ประมวลผลและรายงานผลการดำเนินการดังกล่าวให้แก่คณะกรรมการอำนวยศูนย์ฯ ทราบ ทุกรอบ ๖ เดือน ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงยุติธรรม กระทรวงสาธารณสุข สถาบันการศึกษาภาครัฐและภาคเอกชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติและมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๗ และข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ และวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ในการกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาพฤติกรรมนักเรียนนักศึกษาที่ก่อเหตุทะเลาะวิวาทใช้ความรุนแรง ให้เป็นรูปธรรมอย่างยั่งยืน โดยให้กำหนดมาตรการและแนวทางในการลงโทษผู้กระทำความผิดในกรณีดังกล่าวให้เกิดความเหมาะสมและคำนึงถึงการดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเข้มงวดและจริงจัง รวมทั้งการสร้างจิตสำนึกให้นักเรียนนักศึกษารู้จักหน้าที่ของตนเองในการศึกษาหาความรู้และมีความรับผิดชอบต่อสังคม ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการรายงานผลการดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีทราบโดยด่วนต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18803 | การสนับสนุนเงินสำหรับกองทุนเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแห่งอาเซียน ครั้งที่ 2 | ดท | 07/12/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นชอบในหลักการให้ประเทศไทย โดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมสนับสนุนงบประมาณสำหรับกองทุนเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารแห่งอาเซียน (ASEAN ICT Fund) ครั้งที่ ๒ จำนวน ๕ แสนดอลลาร์สหรัฐ โดยแบ่งจ่ายเป็นระยะ ๕ ปี ปีละ ๑ แสนดอลลาร์สหรัฐ เริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑-พ.ศ. ๒๕๖๕ โดยให้สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ทั้งนี้ ควรมีการติดตามผลการดำเนินงานและประเมินผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินโครงการของ ASEAN ICT Fund ในรอบที่ ๑ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการบริหารจัดการกองทุนและการพิจารณาโครงการที่จะดำเนินการในระยะต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ที่เห็นควรมีการประเมินและเผยแพร่ผลการดำเนินงานของแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ASEAN ICT Masterplan) โครงการต่าง ๆ ที่ได้รับงบประมาณสนับสนุนจาก ASEAN ICT Fund เป็นระยะ ๆ อย่างต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18804 | การแก้ไขปัญหาเรื่องสัญชาติและสถานะบุคคลของเด็กนักเรียนนักศึกษาและบุคคลไร้สัญชาติที่เกิดในราชอาณาจักรไทย | มท | 07/12/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้บุตรของชนกลุ่มน้อยหรือกลุ่มชาติพันธุ์ที่เกิดในราชอาณาจักรไทยและมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ ได้สัญชาติไทยเป็นการทั่วไป คือ ๑.๑.๑ บิดาหรือมารดาที่เป็นชนกลุ่มน้อยหรือกลุ่มชาติพันธุ์จะต้องได้รับการจัดทำทะเบียนประวัติ มีเลขประจำตัว ๑๓ หลักตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร และต้องเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยเป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๑๕ ปีนับถึงวันที่บุตรยื่นคำร้องขอมีสัญชาติไทย ๑.๑.๒ ต้องมีหลักฐานการเกิดในราชอาณาจักรไทยและทะเบียนบ้านหรือทะเบียนประวัติ ๑.๑.๓ ต้องไม่ปรากฏหลักฐานการมีและใช้สัญชาติอื่น ๑.๑.๔ ต้องพูดและเข้าใจภาษาไทย ๑.๑.๕ มีความจงรักภักดีและเลื่อมใสระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ๑.๑.๖ มีความประพฤติดี ไม่มีพฤติการณ์ที่เป็นภัยต่อความมั่นคง ไม่เคยต้องรับโทษความผิดคดีอาญา เว้นแต่ความผิดโดยประมาทหรือลหุโทษ หรือถ้าเคยรับโทษคดีอาญาต้องพ้นโทษมาแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๕ ปีนับถึงวันที่ยื่นคำร้องขอมีสัญชาติไทย ๑.๒ ให้เด็กและบุคคลที่กำลังศึกษาเล่าเรียนอยู่ในสถาบันการศึกษาหรือสำเร็จการศึกษาแล้วที่เกิดในราชอาณาจักรไทยโดยมีบิดาหรือมารดาเป็นคนต่างด้าวอื่นที่ไม่ใช่ชนกลุ่มน้อยหรือกลุ่มชาติพันธุ์ตามที่กระทรวงมหาดไทยจัดทำทะเบียนประวัติ หรือไม่ปรากฏบิดามารดา และมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ ได้สัญชาติไทยเป็นการทั่วไป คือ ๑.๒.๑ ต้องมีคุณสมบัติตามข้อ ๑.๑.๒-๑.๑.๖ ๑.๒.๒ จบการศึกษาระดับอุดมศึกษาหรือเทียบเท่าจากสถาบันการศึกษาในประเทศไทย สำหรับผู้ที่เรียนจบจากสถาบันในต่างประเทศจะต้องเป็นผู้ที่ได้รับทุนการศึกษาจากหน่วยงานของรัฐ ๑.๒.๓ สำหรับคนไร้รากเหง้า ไม่ปรากฏบิดามารดาหรือบิดามารดาทอดทิ้งตั้งแต่วัยเยาว์ และยังไม่จบการศึกษาระดับอุดมศึกษา ต้องมีหนังสือรับรองความเป็นคนไร้รากเหง้าจากหน่วยงานในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และต้องมีภูมิลำเนาอาศัยอยู่ในราชอาณาจักรไทยติดต่อกันไม่น้อยกว่า ๑๐ ปีนับถึงวันที่ยื่นคำร้องขอมีสัญชาติไทย ๑.๒.๔ สำหรับบุคคลที่อยู่ระหว่างการศึกษาในสถาบันการศึกษาและมีความจำเป็นต้องขอมีสัญชาติไทย ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยหรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยด้วย ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ อาทิ เห็นควรมีการจัดเตรียมงบประมาณด้านสาธารณสุขเพิ่มเติมสำหรับกลุ่มเป้าหมายตามข้อ ๑.๑ และ ๑.๒ นอกจากนี้ การดำเนินการกำหนดสถานะบุคคลและสัญชาติในทางปฏิบัติทั้งการสำรวจจัดทำทะเบียน การแสวงหาพยานหลักฐานและพยานบุคคลเพื่อพิสูจน์คุณสมบัติของบุคคลที่จะขอสัญชาติไทย กระทรวงมหาดไทยควรดำเนินการอย่างรอบคอบ มีระบบการตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันการลักลอบสวมสิทธิ หรือใช้เป็นช่องทางในการขอสถานะและสัญชาติให้แก่บุคคลอื่น ๆ ที่ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์และข้อกำหนดที่กำหนดไว้ รวมทั้งควรมีการเตรียมการรองรับคนกลุ่มนี้อย่างเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18805 | คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 69/2559 เรื่อง การแก้ไขปัญหาการดำเนินคดีความผิดเกี่ยวกับกฎหมายการประมง | สลธ.คสช. | 07/12/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๖๙/๒๕๕๙ เรื่อง การแก้ไขปัญหาการดำเนินคดีความผิดเกี่ยวกับกฎหมายการประมง สั่ง ณ วันที่ ๒๙ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๙ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18806 | การจัดทำความตกลงทางการค้าระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งยูเครน | พณ | 07/12/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างความตกลงทางการค้าระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งยูเครน (Trade Agreement between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of Ukraine) มีสาระสำคัญเป็นการส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างกัน ได้แก่ (๑) สนับสนุนและอำนวยความสะดวกในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศผ่านการแลกเปลี่ยนการเยือนของคณะผู้แทนและนักธุรกิจ การจัดงานแสดงสินค้าและนิทรรศการทางการค้า (๒) ส่งเสริมการลงทุนและความร่วมมือทางด้านวิชาการระหว่างกันผ่านทางการร่วมลงทุน (Joint venture) และ (๓) จัดตั้งคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee) ทั้งนี้ จะมีการลงนามในร่างความตกลงฯ ในช่วงการเดินทางเยือนประเทศไทยของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของยูเครนในเดือนธันวาคม ๒๕๕๙ ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ลงนามในร่างความตกลงฯ ฉบับภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษายูเครน ๑.๓ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายสำหรับการลงนามในร่างความตกลงฯ ๑.๔ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตภายหลังจากที่คณะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ลงนามในความตกลงฯ เพื่อให้ความตกลงฯ มีผลบังคับใช้ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18807 | รายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 | กค | 07/12/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบรายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ ซึ่งรวบรวมงบแสดงฐานะการเงิน งบรายได้และค่าใช้จ่ายของรัฐบาลกลางและหน่วยงานภาครัฐ ทุนหมุนเวียนรัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน ๘,๒๘๑ หน่วยงาน จาก ๘,๔๑๒ หน่วยงาน คิดเป็นร้อยละ ๙๘.๔๔ ๑.๒ เห็นชอบข้อเสนอแนะในการจัดทำรายงานการเงินรวมภาครัฐ โดย ๑.๒.๑ ให้หน่วยงานภาครัฐทุกแห่งบันทึกและส่งข้อมูลงบการเงินภายในระยะเวลาที่กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) กำหนด โดยรัฐมนตรีเจ้าสังกัดให้ความสำคัญ ควบคุม กำกับดูแล หน่วยงานภายใต้สังกัดส่งรายงานการเงินของหน่วยงานภายในระยะเวลาที่กำหนด หากไม่สามารถส่งรายงานการเงินให้กระทรวงการคลังได้ตามกำหนด หน่วยงานต้องรายงานเหตุผลหรือปัญหาอุปสรรคต่อรัฐมนตรีเจ้าสังกัดทราบ ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดให้การบันทึกและส่งข้อมูลรายงานการเงินประจำปีเป็นเกณฑ์การประเมินของผู้บริหารระดับหน่วยงาน และกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) รวบรวมและเผยแพร่ข้อมูลรายงานการเงินของแต่ละหน่วยงานที่ผ่านการตรวจสอบจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินแล้ว ไว้ในระบบรายงานการเงินรวมภาครัฐ (ระบบ CFS) ๑.๒.๒ ให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบรายงานการเงินของหน่วยงานภาครัฐทุกแห่งเป็นประจำทุกปี และกำหนดระยะเวลาการตรวจสอบให้ชัดเจน เพื่อให้การจัดทำและนำเสนอรายงานการเงินรวมภาครัฐมีความถูกต้อง ผู้บริหารสามารถนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๑.๒.๓ ให้มีมาตรการส่งเสริมให้องค์การมหาชนและหน่วยงานอิสระที่มีสภาพคล่องส่วนเกินจำนวนมาก นำเงินสดส่วนเกินที่ฝากธนาคารพาณิชย์มาฝากกระทรวงการคลัง เพื่อให้รัฐบาลสามารถบริหารฐานะการคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และเป็นการแบ่งเบาภาระทางการคลังของประเทศ ๑.๒.๔ ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิจารณาจัดทำงบประมาณรายจ่ายให้สอดคล้องกับรายได้ที่ได้รับจัดสรร เพื่อให้มีการนำเงินสะสมที่มีอยู่มาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาหรือดำเนินงานบริการสาธารณะในพื้นที่ที่รับผิดชอบ และเพิ่มการใช้จ่ายด้านการลงทุนสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานหรือรายจ่ายเกี่ยวกับการส่งเสริมอาชีพในชุมชน รวมทั้งเร่งรัดการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายค้างจ่าย โดยเร่งดำเนินงานตามแผนงานโครงการที่ได้รับอนุมัติและจัดสรรเงินงบประมาณแล้ว ๒. ให้หน่วยงานภาครัฐทุกแห่งดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามข้อเสนอแนะของกระทรวงการคลังอย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18808 | รายงานความก้าวหน้าโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ณ พื้นที่ราชพัสดุ ถนนทหาร (เกียกกาย) ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2559 (ครั้งที่ 21) | มท | 07/12/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความก้าวหน้าโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ณ พื้นที่ราชพัสดุ ถนนทหาร (เกียกกาย) ถึงวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๙ (ครั้งที่ ๒๑) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยมีผลงานสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. ผลงานสะสมที่ทำได้ คิดเป็นร้อยละ ๒๖.๗๗ เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑.๔๓ ๒. การส่งมอบพื้นที่ก่อสร้าง ยังไม่มีการส่งมอบพื้นที่เพิ่มเติมโดยส่งมอบพื้นที่ครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๙ อยู่ระหว่างเตรียมส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างให้แก่ผู้รับจ้าง [บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน)] เพิ่มเติม และคาดว่าจะส่งมอบได้ภายในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๙ ๓. ปัญหา/อุปสรรค คือ การส่งมอบพื้นที่ที่เหลือยังส่งมอบไม่ได้ตามสัญญาก่อสร้างกระทบกับแผนงานก่อสร้างตามที่ได้รับอนุมัติ และการจัดจ้างผู้ออกแบบระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (ICT) ล่าช้า ซึ่งอยู่ระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหา ๔. คณะทำงานติดตามความก้าวหน้าโครงการฯ มีความเห็นว่า ๔.๑ การขยายระยะเวลาการก่อสร้างออกไป จำนวน ๓๘๗ วัน ยังไม่สามารถทำให้งานก่อสร้างแล้ว เสร็จได้ อีกทั้งยังมีเหตุให้ผู้รับจ้างขอขยายระยะเวลาการก่อสร้างออกไปได้อีก ทั้งนี้ อยู่ระหว่างการขออนุมัติขยายระยะเวลาการก่อสร้าง ครั้งที่ ๒ จำนวน ๔๒๑ วัน ซึ่งผ่านการพิจารณาโดยคณะกรรมการตรวจการจ้างแล้ว ๔.๒ ให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเร่งรัดการพิจารณาขยายระยะเวลาการก่อสร้าง ครั้งที่ ๒ เนื่องจากสัญญาก่อสร้างจะสิ้นสุดในวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๙ ๔.๓ ให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเร่งรัดการดำเนินการส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างที่เหลือให้แก่ผู้รับจ้างหลัก (บริษัท ซิโน-ไทยฯ) โดยเร็วต่อไป ๔.๔ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้ใช้เวลาในการจัดจ้างผู้ออกแบบระบบ ICT มากกว่า ๕ เดือน ยังไม่แล้วเสร็จ ทำให้กระทบกับระยะเวลาการทำงานของผู้รับจ้างหลัก (บริษัท ซิโน-ไทยฯ) จึงเห็นควรแจ้งสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรให้เร่งรัดการจัดจ้างผู้ออกแบบโดยเร็วเพื่อไม่ให้เป็นเหตุให้ผู้รับจ้างหลักขอสงวนสิทธิ์ในการขยายระยะเวลาการก่อสร้างออกไปอีก
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18809 | ร่างพระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 07/12/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ธนาคารแห่งประเทศไทย โดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีอาจประกาศกำหนดหลักเกณฑ์ในการกำกับดูแลเพื่อให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจต้องปฏิบัติ และปรับปรุงบทกำหนดโทษตามมาตรา ๑๒๕ ให้สอดคล้องกับฐานความผิดตามมาตรา ๔๐ รวมทั้งกำหนดความผิดตามมาตรา ๑๒๐/๖ ให้คณะกรรมการที่รัฐมนตรีแต่งตั้งมีอำนาจเปรียบเทียบได้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรองและกรอบระยะเวลาตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทยที่อาจจะกำหนดหลักเกณฑ์เพิ่มเติมในอนาคตเพื่อให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจปฏิบัติตามนั้น ต้องไม่ขัดกับวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งของสถาบันการเงินเฉพาะนั้น ๆ และควรคำนึงถึงความสอดคล้องกับบทบาทของสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่อาจแตกต่างจากธนาคารพาณิชย์ทั่วไป และการดำเนินนโยบายมาตรการของรัฐผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจควรมีความเห็นจากธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งเป็นผู้กำกับดูแลประกอบการพิจารณาด้วย รวมทั้งการกำหนดหลักเกณฑ์เรื่องการดำรงเงินกองทุนและสินทรัพย์ตลอดจนการบริหารสินทรัพย์และดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องนั้น ควรพิจารณากำหนดให้มีความสอดคล้องกับภารกิจของสถาบันการเงินเฉพาะกิจแต่ละรายเพื่อมิให้เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการของสถาบันการเงินเฉพาะกิจในการเป็นกลไกการดำเนินนโยบายของภาครัฐได้ นอกจากนี้ หลักเกณฑ์ในการกำกับดูแลด้านความมั่นคงของสถาบันการเงินเฉพาะกิจควรจะมีความสมดุลเพียงพอที่จะไม่ส่งผลให้เป็นข้อจำกัดในการดำเนินการตามแนวนโยบายของ รัฐ และกระทรวงการคลังควรเร่งรัดการเสนอเรื่องดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจ และสหกรณ์ มีมาตรฐานในการกำกับดูแลที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งจะทำให้ระบบการเงินของประเทศมีความมั่นคง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18810 | ร่างพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 07/12/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดกลไกในการพิจารณาให้ความช่วยเหลือสถาบันการเงินที่ประสบภาวะวิกฤตทางการเงินอันอาจจะกระทบต่อเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจและระบบการเงิน และเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินในการแก้ไขปัญหาสถาบันการเงินตามแผน แนวทาง และวิธีการที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับกรณีการกำหนดให้รัฐบาลอาจชดเชยภาระของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินในการให้ความช่วยเหลือแก่สถาบันการเงินทั้งหมดหรือบางส่วน อาจส่งผลกระทบต่อภาระงบประมาณที่จะต้องตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีชดใช้ จึงเห็นควรให้มีการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติให้ชัดเจน โดยคำนึงถึงประโยชน์ของทางราชการและวงเงินที่มีการเรียกเก็บจากสถาบันการเงินในระบบให้เหมาะสมและเพียงพอเป็นลำดับแรก เพื่อมิให้มีผลกระทบต่อภาระงบประมาณในอนาคต ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรองและกรอบระยะเวลาตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่าการแก้ไขฟื้นฟูสถาบันการเงินควรยึดหลักการถ่วงดุลอำนาจโดยให้หน่วยงานที่ทำหน้าที่ในการให้ความช่วยเหลือฟื้นฟูฯ แยกเป็นอิสระจากหน่วยงานที่ทำหน้าที่ในการกำกับดูแล ประกอบกับการช่วยเหลือสถาบันการเงินเมื่อประสบภาวะวิกฤติอาจก่อให้เกิดปัญหาภาวะภัยทางศีลธรรม (Moral Hazard) ดังนั้น เพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าว การพิจารณาให้ความช่วยเหลือสถาบันการเงินที่ประสบปัญหาจึงควรยึดหลักการป้องกันก่อนที่จะเกิดปัญหาและดำเนินการเท่าที่เหมาะสมจำเป็น และเห็นควรให้มีการดำเนินการตามมาตรา ๔๒ ของพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๑ ก่อน หากไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้หรือพิจารณาแล้วไม่ใช่ปัญหาด้านสภาพคล่อง จึงจะดำเนินการให้ความช่วยเหลือฟื้นฟูฯ ตามข้อเสนอของกระทรวงการคลังในครั้งนี้ และให้กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยรับความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่เห็นว่า ควรมีการกำกับดูแลสถาบันการเงินทั้งระบบอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อไม่ให้สถาบันการเงินประสบภาวะวิกฤติทางการเงินอันอาจกระทบต่อเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจและระบบการเงินของประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๔. ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ชี้แจงรายละเอียดเพิ่มเติมต่อประเด็นข้อสังเกตของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ ซึ่งนายกรัฐมนตรีพิจารณาแล้วเห็นชอบให้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี โดยส่งร่างให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อตรวจพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป โดยให้รับข้อสังเกตของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและคำชี้แจงเพิ่มเติมของธนาคารแห่งประเทศไทยไปประกอบการพิจารณาด้วย เพื่อจะได้แก้ไขปรับปรุงในรายละเอียดให้มีความครบถ้วนสมบูรณ์ต่อไป ทั้งนี้ ให้กำชับให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเตรียมความพร้อมในการสร้างการรับรู้ในช่วงเวลาที่เหมาะสมเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องและลดประเด็นข้อคัดค้านที่อาจเกิดขึ้นต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18811 | ร่างพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การปรับปรุงการจัดเก็บภาษีเงินได้ปิโตรเลียม) | กค | 07/12/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การปรับปรุงการจัดเก็บภาษีเงินได้ปิโตรเลียม) มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ผู้รับสัมปทานสามารถนำมูลค่าหลักประกันการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างหรือวัสดุอื่นใดตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมมาหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิที่ได้จากกิจการปิโตรเลียมได้ และกำหนดหลักเกณฑ์การจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ รวมทั้งวิธีการและระยะเวลาการขอคืนภาษีเงินได้ปิโตรเลียม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณารวมกับร่างพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการกำหนดให้ใช้สกุลเงินอื่นที่ไม่ใช่สกุลเงินไทยในการคำนวณรายได้ รายจ่าย และกำไรสุทธิ เพื่อเสียภาษีเงินได้ปิโตรเลียม) ที่อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงพลังงานไปประกอบการพิจารณาด้วยว่า หากกำหนดให้มูลค่าหลักประกันการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างหรือวัสดุอื่นใดตามกฎหมายว่าด้วยปิโตรเลียมให้สามารถนำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้ปิโตรเลียมนั้น ยังไม่ครอบคลุมถึงกิจกรรมการรื้อถอนในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซียซึ่งอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (ฉบับที่ ๕) จึงเห็นควรเร่งรัดให้ดำเนินการในเรื่องดังกล่าวด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรจัดทำข้อมูลผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อการจัดเก็บรายได้ภาครัฐประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีเพื่อให้เกิดความรัดกุม และคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรองและกรอบระยะเวลาตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18812 | ขอความเห็นชอบในหลักการให้กระทรวงพลังงานมีการก่อสร้างอาคารที่ทำการกระทรวงพลังงานแห่งใหม่ และขออนุมัติค่าเช่าที่ดินการรถไฟแห่งประเทศไทย | พน | 07/12/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงพลังงานก่อสร้างอาคารที่ทำการกระทรวงพลังงานแห่งใหม่บนพื้นที่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย บริเวณผ่านพหลโยธิน (นิคมรถไฟ กม. ๑๑) จำนวนพื้นที่ ๑๓,๒๐๐ ตารางเมตร (๘ ไร่ ๑ งาน) ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ๒. ให้กระทรวงพลังงานรับไปหารือกับการรถไฟแห่งประเทศไทย กระทรวงคมนาคม และสำนักงบประมาณเพื่อพิจารณาผ่อนปรนเกี่ยวกับอัตราการเช่าที่ดินและระยะเวลาการเช่าที่ดิน ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณ รวมทั้งการขอสงวนสิทธิการใช้พื้นที่ของการรถไฟแห่งประเทศไทยให้ได้ข้อยุติร่วมกันที่เหมาะสม คุ้มค่า และเกิดประโยชน์สูงสุดกับทางราชการ แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18813 | ขอผ่อนผันมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2523 ในกรณีจังหวัดอุตรดิตถ์ขอใช้พื้นที่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าน้ำปาด เพื่อก่อสร้างตลาด การค้าชายแดน ณ ช่องภูดู่ ท้องที่จังหวัดอุตรดิตถ์ | ทส | 07/12/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๒๓ (เรื่อง การเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้) เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย โดยให้จังหวัดอุตรดิตถ์ใช้พื้นที่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าน้ำปาด เพื่อก่อสร้างตลาดการค้าชายแดน ณ ช่องภูดู่ และปรับปรุงถนนสายบ้านม่วงเจ็ดต้น-ด่านภูดู่ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดจำนวนพื้นที่ที่ต้องการขอผ่อนผันเท่าที่จำเป็นให้ชัดเจน ส่วนพื้นที่ที่เหลือให้กำหนดเป็นพื้นที่ป่าและมีการปลูกป่าทดแทนต่อไป และพิจารณาหาแนวทาง มาตรการในการป้องกันการละเมิดกฎหมายการเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ของหน่วยงานรัฐก่อนได้รับอนุญาตในอนาคตที่เหมาะสมต่อไป นอกจากนี้ ในการดำเนินการโครงการต่อไปนั้น ควรจะดำเนินการให้ถูกต้องเหมาะสม โดยให้ดำเนินการตามเงื่อนไขและขั้นตอนที่กำหนดไว้ในกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด และยึดหลักการพัฒนาที่ยั่งยืน ตลอดจนเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้มีโอกาสเสนอความเห็นและมีส่วนร่วมในการตัดสินใจในการดำเนินโครงการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมป่าไม้) พิจารณาดำเนินการ ๒.๑ เร่งรัดการตรวจสอบการเข้าใช้พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐทั้งหมดที่ยังมิได้ขออนุมัติการเข้าใช้พื้นที่ให้ครบถ้วนทุกกรณีในภาพรวมของทั้งประเทศ และประสานกับส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐดังกล่าวเพื่อดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนและเป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒.๒ ปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และขั้นตอนปฏิบัติที่เกี่ยวข้องในการขออนุมัติใช้พื้นที่ป่าไม้ของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐให้มีความคล่องตัว สะดวก และรวดเร็วยิ่งขึ้น ๒.๓ กำกับให้มีการปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับภารกิจในความรับผิดชอบอย่างเคร่งครัดเพื่อให้การดูแลและบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งป่าไม้ทุกประเภทให้เป็นไปอย่างยั่งยืนตามยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี ของรัฐบาล เพื่อป้องกันมิให้ผู้ใดเข้าใช้ประโยชน์ภายในพื้นที่ป่าไม้ทุกประเภทก่อนได้รับอนุญาตตามกฎหมาย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18814 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งหอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | วธ | 07/12/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งหอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งหอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๕๒ ให้สอดคล้องกับกฎหมายว่าด้วยองค์การมหาชน เพื่อให้การบริหารงานหอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับคำชี้แจงของกระทรวงวัฒนธรรมเกี่ยวกับชื่อของหน่วยงาน และความเห็นของกระทรวงการคลังที่ให้ปรับแก้ข้อความในร่างมาตรา ๑๗ เป็น “การบัญชีของหอภาพยนตร์ ให้จัดทำตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำหนด ซึ่งต้องเป็นไปตามมาตรฐานและนโยบายการบัญชีภาครัฐ ตลอดจนรายงานผลการตรวจสอบให้คณะกรรมการทราบอย่างน้อยปีละครั้ง ...” เพื่อให้มีความชัดเจนในการเลือกใช้มาตรฐานการบัญชี ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18815 | ขออนุมัติการจัดทำและลงนามร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีแห่งราชอาณาจักรไทย | วท | 07/12/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การจัดทำและลงนามร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งราชอาณาจักรไทย มีวัตถุประสงค์เป็นการต่อยอดและสร้างความเข้มแข็งให้กับกิจกรรมความร่วมมือในสาขาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม บนพื้นฐานของหลักต่างตอบแทนและผลประโยชน์ร่วมกัน รวมถึงการพิจารณาถึงการปกป้องและเคลื่อนย้ายสิทธิแห่งทรัพย์สินทางปัญญา และมีการเพิ่มเติมความร่วมมือในสาขายนตกรรม หุ่นยนต์ และการร่วมพัฒนานวัตกรรมเพื่อช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาเขตพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม (Eastern Economic Corridor of Innovation : EECi) อันจะนำไปสู่การพัฒนาโครงการและกิจกรรมที่สามารถตอบสนองต่อเป้าหมายที่คาดหวังจากความร่วมมือได้ชัดเจนขึ้น ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นผู้ลงนามร่างบันทึกความเข้าใจฯ ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติกรณีหากมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นจากความร่วมมือดังกล่าวในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ เห็นควรให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับจัดสรรไว้แล้ว สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณต่อไป ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป รวมทั้งพิจารณาเพิ่มเติมประเด็นความร่วมมือในสาขาการผลิตเครื่องจักรกลชั้นสูง และความร่วมมือวิจัยและพัฒนา และนวัตกรรมที่ใช้เทคโนโลยีระดับสูง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18816 | การปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่คณะกรรมการพิจารณาการจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 คณะที่ 5.1 และ คณะที่ 5.2 | นร07 | 07/12/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่คณะกรรมการพิจารณาการจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ คณะที่ ๕.๑ เพิ่มองค์ประกอบคณะกรรมการ ได้แก่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน รองประธานกรรมการ และ ผู้แทนกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กรรมการและเลขานุการร่วม ๑.๒ คณะที่ ๕.๒ ยกเลิกองค์ประกอบคณะกรรมการ ได้แก่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน รองประธานกรรมการ และผู้แทนกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กรรมการและเลขานุการร่วม ๑.๓ แก้ไขอำนาจหน้าที่ ข้อ ๔ พิจารณากลั่นกรองข้อเสนอการจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ของประเด็น ๑) การส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และ ๒) การพัฒนาด้านคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ ๒. ให้สำนักงบประมาณได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18817 | แนวทางการจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมและปฏิทินงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 | นร07 | 07/12/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ในวงเงิน ๑๙๐,๐๐๐ ล้านบาท และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำคำของบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ และการตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองโครงการตามแนวทางการสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศ ๑.๒ เห็นชอบปฏิทินงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ เพื่อให้สำนักงบประมาณไปดำเนินการจัดทำรายละเอียดรายจ่ายเพิ่มเติมฯ ตามขั้นตอนปฏิทินงบประมาณฯ ต่อไป ๑.๓ อนุมัติให้คำของบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ เป็นส่วนหนึ่งของแผนปฏิบัติราชการประจำปี ๑.๔ อนุมัติในหลักการให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ พ.ศ. .... เป็นเรื่องเร่งด่วนและแจ้งผลการพิจารณาให้สำนักงบประมาณทราบโดยตรง เพื่อให้สำนักงบประมาณจัดพิมพ์ร่างพระราชบัญญัติฯ และเอกสารงบประมาณ เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ และเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้สำนักงบประมาณรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาที่สำคัญของรัฐบาลและแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ เพื่อให้สามารถสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจและเพิ่มศักยภาพการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะยาวควบคู่กันไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ ให้สำนักงบประมาณนำแผนพัฒนากลุ่มจังหวัดและร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ เสนอคณะรัฐมนตรีภายในวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๖๐ และเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาภายในเดือนมกราคม ๒๕๖๐ ต่อไปด้วย ๓. ให้สำนักงบประมาณเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการจัดสรรงบประมาณโครงการของกลุ่มจังหวัดตามแนวทางการสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศให้แล้วเสร็จภายใน ๓ เดือนนับจากวันที่พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ มีผลใช้บังคับ ๔. ให้สำนักงบประมาณได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18818 | การแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ | นร05 | 07/12/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ เรื่อง แต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๕๘ เรื่อง แต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และให้แต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ มอบหมายให้มีผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ตามลำดับ ได้แก่ ๑.๑.๑ รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ๑.๑.๒ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ) ๑.๒ มอบหมายให้มีผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ตามลำดับ ได้แก่ ๑.๒.๑ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นายธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์) ๑.๒.๒ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (พลเอก สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์) โดยให้ครอบคลุมถึงกรณีไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ แล้วแต่กรณีด้วย ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๗ ธันวาคม ๒๕๕๙) เป็นต้นไป ๒. โดยที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้ลาออกจากตำแหน่งแล้ว ดังนั้น เพื่อให้การบริหารราชการของกระทรวงยุติธรรมและกระทรวงศึกษาธิการเป็นไปอย่างต่อเนื่อง สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจึงไม่ต้องส่งเรื่องคืนกระทรวงยุติธรรมและกระทรวงศึกษาธิการ ๓. สำหรับที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการและผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการที่แต่งตั้งไว้ก่อนแล้ว ให้ยังคงปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ จนกว่าผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการจะเสนอเปลี่ยนแปลงมาใหม่
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18819 | การดำเนินการขับเคลื่อนดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม | ดท | 07/12/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ผลการประชุมคณะกรรมการเตรียมการด้านดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมในการประชุม ครั้งที่ ๒/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ ซึ่งเห็นชอบในหลักการต่อ (ร่าง) แผนปฏิบัติการเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนารายยุทธศาสตร์ของแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ระยะ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) และผลการดำเนินการ รวมทั้งปัญหาอุปสรรคในการดำเนินการโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ๑.๒ แนวทางการดำเนินโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยมอบหมายให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจซึ่งเป็นผู้มีความเชี่ยวชาญด้านโครงข่ายโทรคมนาคมเป็นผู้ดำเนินการ ในลักษณะการเบิกจ่ายงบประมาณแทนกัน ตามที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการเตรียมการด้านดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ทั้งนี้ ทรัพย์สินที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการของหน่วยงานที่รับผิดชอบจากการเบิกจ่ายเงินงบประมาณแทนกัน ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมขอทำความตกลงกับกระทรวงการคลัง ๑.๓ ให้ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ดำเนินการกิจกรรมการขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้ครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจภายในประเทศ และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ดำเนินการกิจกรรมการเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศสู่การเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนข้อมูลดิจิทัลของภูมิภาคอาเซียน (ASEAN Digital Hub) ๑.๔ ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดำเนินการขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้ครอบคลุม ๒๔,๗๐๐ หมู่บ้าน โดยใช้เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ และมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติดำเนินการในหมู่บ้านที่เหลือเพิ่มเติมอีก จำนวน ๑๕,๗๓๒ หมู่บ้าน โดยใช้งบประมาณโครงการจัดให้มีบริการโทรคมนาคมพื้นฐานโดยทั่วถึงและบริการเพื่อสังคม (USO) ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลและที่กำหนดไว้ใน (ร่าง) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๙ ฉบับลงประชามติ มาตรา ๕๖ ที่กำหนดให้ “โครงสร้างหรือโครงข่ายขั้นพื้นฐานของกิจการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของรัฐอันจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของประชาชน หรือเพื่อความมั่นคงของรัฐ รัฐจะกระทำด้วยประการใดให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของเอกชน หรือทำให้รัฐเป็นเจ้าของน้อยกว่าร้อยละห้าสิบเอ็ดมิได้” ๒. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ๒.๑ กำกับดูแลและดำเนินโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างถูกต้องครบถ้วน โปร่งใส และตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอนอย่างเคร่งครัด เช่น การนำเสนอโครงการฯ ต่อคณะกรรมการทีโอทีและคณะกรรมการ กสท. การดำเนินการตามขั้นตอนของการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) (ถ้ามี) เป็นต้น ทั้งนี้ ให้โครงการสามารถเริ่มดำเนินการได้ภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๙ ๒.๒ จัดทำแผนการบริหารจัดการทรัพย์สินหรือโครงข่ายทั้งในระหว่างการดำเนินโครงการและภายหลังการดำเนินโครงการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผนการดูแล บำรุงรักษา และซ่อมแซมอุปกรณ์โครงข่ายที่จะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประชาชนเป็นสำคัญ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๒.๓ ประเมินผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินโครงการฯ ภายหลังจากการติดตั้งแล้วเสร็จ โดยเฉพาะในเรื่องของความสามารถในการใช้งานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในแต่ละพื้นที่เป้าหมาย เพื่อให้การดำเนินการเกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริงตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ และเกิดความคุ้มค่ากับงบประมาณที่ใช้ไปในการดำเนินโครงการฯ ๓. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ อาทิ ควรจัดทำแผนการดำเนินงานเป็นรายหมู่บ้านให้ชัดเจนเพื่อให้การดำเนินโครงการเกิดประโยชน์ คุ้มค่า และไม่ซ้ำซ้อนในพื้นที่ดำเนินการ ควรเร่งดำเนินการแก้ปัญหาอุปสรรคในการดำเนินการ ควรมีการบริหารความเสี่ยงเพื่อรองรับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลในระยะต่อไปควรจะดำเนินการในทุกมิติ โดยเฉพาะการพัฒนาบุคลากร ระบบ กฎระเบียบ และสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง การมอบหมายผู้ดำเนินการควรพิจารณากำหนดกลไกในการดูแลความทั่วถึงของการบริการและติดตามผลการดำเนินงานในการเปิดให้ภาคเอกชนเข้ามาดำเนินการ มีการรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบและสร้างการรับรู้ถึงประโยชน์ของการดำเนินโครงการที่ประชาชนจะได้รับในโอกาสแรก นอกจากนี้ ควรต้องจัดเตรียมโครงสร้างการบริหารจัดการทั้งในด้านการกำกับดูแลการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามเป้าหมายและการตรวจรับผลการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กำหนดไว้ ควรกำหนดแนวทางการบริหารจัดการการให้บริการที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการให้บริการและไม่ส่งผลกระทบต่อภาระงบประมาณแผ่นดินในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๔. ในส่วนความเห็นบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นวิธีการปฏิบัติ ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรับไปพิจารณาหารือกับบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) เพื่อดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18820 | โครงการจัดหารถจักรยานยนต์งานสายตรวจ ขนาด 250 ซีซี พร้อมอุปกรณ์ (ทดแทน) จำนวน 15,015 คัน | ตช | 07/12/2559 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินโครงการจัดหารถจักรยานยนต์งานสายตรวจ ขนาด ๒๕๐ ซีซี พร้อมอุปกรณ์ จำนวน ๑๕,๐๑๕ คัน วงเงินรวมทั้งสิ้น ๒,๒๒๙,๙๖๗,๗๔๐ บาท ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ และให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ โปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้
|
.....