ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 946 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 18901 - 18920 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
18901 | ท่าทีไทยสำหรับการประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ สมัยที่ 13 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง และร่างปฏิญญาแคนคูน ว่าด้วยการบูรณาการการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืนเพื่อความเป็นอยู่ที่ดี | ทส | 22/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบท่าทีไทยสำหรับการประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ สมัยที่ ๑๓ (The Twelfth Conference of the Parties to the Convention on Biological Diversity : COP13) และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๒-๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๙ ณ เมืองแคนคูน สหรัฐเม็กซิโก โดยประเทศไทยจะแสดงเจตนารมณ์ที่ชัดเจนในการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ทรัพยากรความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืนกับประชาคมโลก โดยเฉพาะการบูรณาการความหลากหลายทางชีวภาพในภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ๑.๒ เห็นชอบในการรับรองร่างปฏิญญาแคนคูนว่าด้วยการบูรณาการการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืนเพื่อความเป็นอยู่ที่ดี โดยไม่มีการลงนาม มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการบูรณาการการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างยั่งยืน สนับสนุนการดำเนินงานตามวัตถุประสงค์ของอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ แผนกลยุทธ์ความหลากหลายทางชีวภาพ ค.ศ. ๒๐๑๑-๒๐๒๐ และเป้าหมายไอจิ รวมทั้งสนับสนุนการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุวาระการพัฒนาปี ค.ศ. ๒๐๓๐ และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) ในมิติต่าง ๆ เช่น การปกป้องคุ้มครองและจัดการระบบนิเวศอย่างยั่งยืน ความมั่นคงทางอาหาร การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การผลิตและการบริโภคอย่างยั่งยืน เป็นต้น ทั้งนี้ จะมีการรับรองร่างปฏิญญาแคนนูนฯ ในการประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาฯ ๑.๓ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมให้การรับรองปฏิญญาแคนคูนฯ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับข้อสังเกตของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับท่าทีไทยสำหรับการประชุมระดับสูง เรื่อง การบูรณาการด้านความหลากหลายทางชีวภาพในภาคป่าไม้ ที่ระบุว่า ประเทศไทยจะมีการดำเนินนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาการบุกรุกและการบริหารจัดการพื้นที่ป่าไม้ ควรพิจารณาเพิ่มเติมการดำเนินนโยบายด้านการอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศป่าไม้ เพื่อให้สอดคล้องกับแผนแม่บทบูรณาการจัดการความหลากหลายทางชีวภาพ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๔ และแผนปฏิบัติการจัดการความหลากหลายทางชีวภาพ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๕๙ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนท่าทีไทยสำหรับการประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาฯ และร่างปฏิญญาแคนคูนฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18902 | ขออนุมัติกรอบการหารือสำหรับการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ 23 | ทส | 22/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติกรอบการหารือสำหรับการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๒๓ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการดำเนินงานและความร่วมมือของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงภายใต้พันธกรณีของความตกลงว่าด้วยความร่วมมือเพื่อการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขงอย่างยั่งยืน พ.ศ. ๒๕๓๘ เช่น การกำหนดให้สำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission Secretariat : MRCS) มีที่ตั้งเหลือ ๑ แห่ง ณ นครหลวงเวียงจันทน์ และกำหนดให้ศูนย์บริหารจัดการและบรรเทาอุทกภัยระดับภูมิภาคประจำอยู่ ณ กรุงพนมเปญ เช่นเดิม การเพิ่มพูนความร่วมมือกับประเทศคู่เจรจา (จีน-เมียนมา) แผนการดำเนินงานประจำปี ค.ศ. ๒๐๑๗ ระเบียบปฏิบัติการใช้น้ำและบทเรียนจากกระบวนการปรึกษาหารือล่วงหน้า กรณีโครงการไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี และดอนสะโฮง ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และการถ่ายโอนภารกิจหลักด้านการบริหารจัดการลุ่มน้ำจากคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงให้แก่ประเทศสมาชิก ค.ศ. ๒๐๑๗ เป็นต้น ทั้งนี้ การประชุมดังกล่าวจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๒-๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ ณ เมืองปากเซ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ๒. เห็นชอบให้คณะผู้แทนไทยหารือกับประเทศสมาชิกคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ตามประเด็นในกรอบการหารือสำหรับการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๒๓ เพื่อสนับสนุนให้การดำเนินงานและความร่วมมือเป็นไปตามพันธกรณีของความตกลงฯ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18903 | การขยายระยะเวลาพำนักในราชอาณาจักรไทยสำหรับกลุ่มพำนักระยะยาว (Long Stay Visa) | สธ | 22/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการขยายระยะเวลาพำนักในราชอาณาจักรไทยสำหรับกลุ่มพำนักระยะยาว (Long Stay Visa) จำนวน ๑๔ ประเทศ ได้แก่ เดนมาร์ก นอร์เวย์ เนเธอร์แลนด์ สวีเดน ฝรั่งเศส ฟินแลนด์ อิตาลี เยอรมนี สวิสเซอร์แลนด์ ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ญี่ปุ่น แคนาดา จากเดิม ๑ ปี เป็น ๑๐ ปี (แบ่งเป็น ๒ ครั้ง ๆ แรกไม่เกิน ๕ ปี และสามารถต่ออายุได้อีก ๑ ครั้ง ในลักษณะ Multiple Entry) ซึ่งคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางด้าน Medical and Wellness Tourism ได้มีมติเห็นชอบด้วยแล้ว ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนักข่าวกรองแห่งชาติ อาทิ เห็นควรให้มีการดำเนินการตามมาตรา ๓๗ (๕) แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ อย่างเคร่งครัด โดยคนต่างด้าวซึ่งได้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวแล้ว คนต่างด้าวผู้นั้นมีหน้าที่ต้องรายงานตัวแจ้งที่พักอาศัยต่อพนักงานสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองทุก ๙๐ วัน ตามช่องทางที่กฎหมายกำหนด และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องควรประสานงานด้านข่าวกรองเพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลที่ไม่หวังดีต่อประเทศไทยใช้โอกาสนี้เข้ามาดำเนินกิจกรรมที่อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงแห่งชาติ รวมทั้งควรมีกลไกในการคัดกรอง ติดตาม และตรวจสอบพฤติกรรมชาวต่างชาติระหว่างที่พำนักอยู่ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันการแฝงตัวเข้ามาดำเนินกิจกรรมทางการเมืองหรืออยู่เบื้องหลังกลุ่มองค์กรระหว่างประเทศหรือกลุ่มก่อการร้ายที่เข้ามาเคลื่อนไหวในลักษณะที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบด้านความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยของประเทศหรือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ตลอดจนควรมีการกำหนดมาตรการป้องกันและบรรเทาผลกระทบเชิงลบที่อาจเกิดต่อการเข้าถึงบริการสุขภาพและมาตรฐานการครองชีพของประชาชนไทย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติพิจารณากำหนดกลไกการคัดกรองและตรวจสอบผู้ที่ต้องการพำนักระยะยาวในประเทศไทยให้มีความชัดเจน รอบคอบ และรัดกุม เพื่อป้องกันคนต่างด้าวที่มีประวัติหรือมีความสุ่มเสี่ยงเข้ามาแสวงหาประโยชน์อันมิชอบหรือกระทำการใด ๆ ที่ก่อให้เกิดผลกระทบในทางลบแก่ประเทศไทย ๔. ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการออกประกาศหรือปรับปรุงกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีในข้อ ๑ ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18904 | ขอความเห็นชอบให้ข้าราชการลาอุปสมบทถวายเป็นพระราชกุศล แด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยไม่ถือเป็นวันลา | พศ | 22/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาเสนอ
๑. ให้ข้าราชการทุกประเภท พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ ลาอุปสมบทถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เมื่อครบกำหนดปัญญาสมวาร (๕๐ วัน) หรือสตมวาร (๑๐๐ วัน) คราวละ ๙ วัน จำนวน ๒ คราว โดยไม่ถือเป็นวันลา เสมือนเป็นการปฏิบัติราชการและได้รับเงินเดือนปกติ ดังนี้ ๑.๑ เตรียมการจนถึงวันลาสิกขา ระหว่างวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๙-๖ ธันวาคม ๒๕๕๙ (วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๙ เป็นวันครบกำหนดปัญญาสมวาร) ๑.๒ เตรียมการจนถึงวันลาสิกขา ระหว่างวันที่ ๑๖-๒๕ มกราคม ๒๕๖๐ (วันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๖๐ เป็นวันครบกำหนดสตมวาร) ๒. การใช้สิทธิการลาตามข้อ ๑ ดังกล่าว ให้สิทธิแก่ข้าราชการทุกประเภท พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และพนักงานรัฐวิสาหกิจที่เคยลาอุปสมบทระหว่างรับราชการมาแล้ว สามารถจะลาอุปสมบทเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลตามมติคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้ได้อีก ๓. ข้าราชการ พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ ที่ไม่เคยลาอุปสมบทระหว่างรับราชการ หากได้ลาอุปสมบทเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลตามมติคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้แล้ว ไม่มีผลกระทบถึงสิทธิในการลาอุปสมบทในอนาคต ซึ่งเป็นการใช้สิทธิการลาอุปสมบทครั้งแรกตั้งแต่เริ่มราชการ ตามระเบียบว่าด้วยการลาของข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยยังคงได้สิทธิการลาอุปสมบทและยังคงได้สิทธิในการรับเงินเดือนระหว่างลาไม่เกินหนึ่งร้อยยี่สิบวัน ตามพระราชกฤษฎีกาการจ่ายเงินเดือน เงินปี บำเหน็จ บำนาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ๔. ผู้ลาอุปสมบทจะต้องเข้าร่วมอุปสมบทในโครงการที่ส่วนราชการ หน่วยงานภาครัฐหรือภาคเอกชนร่วมกับคณะสงฆ์จัดขึ้นเป็นโครงการอย่างชัดเจน และมีการจัดอบรมตามหลักสูตรสำหรับผู้บวชระยะสั้นที่คณะสงฆ์กำหนด ภายในระยะเวลาที่กำหนดของโครงการแต่ไม่เกิน ๙ วัน หากอุปสมบทเป็นเอกเทศโดยไม่ได้เข้าร่วมโครงการตามที่กำหนด จะไม่ได้รับสิทธิในการลาตามมติคณะรัฐมนตรี
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18905 | ความต้องการงบประมาณของศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย (ช่วง 1 ตุลาคม 2559 - 31 มีนาคม 2560) | อื่นๆ | 22/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย ระหว่างวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๙-๓๑ มีนาคม ๒๕๖๐ ภายในกรอบวงเงิน ๖๒๕,๗๕๖,๓๐๐ บาท โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังอนุมัติกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว ตามที่ศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมายเสนอ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด โดยให้คำนึงถึงผลสัมฤทธิ์ ความคุ้มค่า และประสิทธิภาพด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18906 | รายงานผลการตรวจสอบและผลการปฏิบัติหน้าที่ประจำปี พ.ศ. 2557 (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) | ปช | 22/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการตรวจสอบและผลการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยมีผลการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ด้านปราบปรามการทุจริต ด้านป้องกันการทุจริต ด้านตรวจสอบทรัพย์สิน ด้านบริหารจัดการองค์กร รวมทั้งข้อสังเกตและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับคำวินิจฉัยของศาลปกครองที่มีผลต่อมติของคณะกรรมการ ป.ป.ช. และมาตรการในการคุ้มครองช่วยเหลือแก่ผู้กล่าวหา ผู้เสียหาย ผู้ทำคำร้อง ผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษ ผู้ให้ถ้อยคำ หรือผู้ที่แจ้งเบาะแสหรือข้อมูลใดเกี่ยวกับการทุจริตต่อหน้าที่ การร่ำรวยผิดปกติ หรือข้อมูลอื่นอันเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ ๒. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) รับไปประสานงานกับคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อขอความร่วมมือเร่งรัดการดำเนินการเรื่องต่าง ๆ ที่มีความสำคัญเร่งด่วนให้แล้วเสร็จโดยเร็วด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18907 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 22 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย - มาเลเซีย - ไทย (IMT - GT) | นร11 | 22/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๒๒ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (IMT-GT) และการแก้ไขแถลงการณ์ร่วม ซึ่งการประชุมจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๑-๒๓ กันยายน ๒๕๕๙ ณ จังหวัดพังงา โดยมีความก้าวหน้าในการดำเนินการเกี่ยวกับ (๑) การจัดทำวิสัยทัศน์ระยะยาว (๒๐ ปี) และแผนดำเนินงานระยะ ๕ ปี แผนที่ ๓ ปี ๒๕๖๐-๒๕๖๔ (๒) ความร่วมมือกับสภาธุรกิจ IMT-GT (๓) เครือข่ายมหาวิทยาลัย IMT-GT UNINET (๔) โครงสร้างพื้นฐาน (๕) โครงการสำคัญอื่น ๆ และ (๕) ความร่วมมือกับธนาคารพัฒนาเอเชีย และสำนักเลขาธิการอาเซียน ทั้งนี้ ในส่วนของการแก้ไขแถลงการณ์ร่วมได้มีการปรับปรุงประเด็นเพิ่มเติมเล็กน้อยจากร่างแถลงการณ์ร่วมที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๙ เพื่อให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริง เพื่อเพิ่มความชัดเจนของแถลงการณ์ และส่งผลให้การประสานงานทั้งในระดับปฏิบัติและในระดับนโยบายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมฯ ต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และในคราวต่อไปให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจัดทำตารางมอบหมายภารกิจเฉพาะกรณีที่มีประเด็นภารกิจใหม่ โครงการใหม่ หรือระบุหน่วยงานที่รับผิดชอบเพิ่มเติม ๒. ให้ทุกหน่วยงานให้ความสำคัญกับการดำเนินการตามแผนงานพัฒนาตามกรอบความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น แผนงาน IMT-GT และแผนงาน GMS รวมทั้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณานำแผนงาน/โครงการดังกล่าวมาประกอบการวางแผนพัฒนาโครงการภายในประเทศ โดยเฉพาะด้านโครงสร้างพื้นฐานให้มีความสอดคล้องเชื่อมโยงกันด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18908 | ผลการประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค ครั้งที่ 4 | กษ | 22/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค ครั้งที่ ๔ ระหว่างวันที่ ๒๖-๒๗ กันยายน ๒๕๕๙ ณ เมืองเพียวร่า สาธารณรัฐเปรู ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมฯ ได้รับรองปฏิญญาเพียวร่าว่าด้วยความมั่นคงอาหารเอเปค ในระหว่างการประชุมฯ เพื่อเป็นแนวทางการดำเนินงานและความร่วมมือในการส่งเสริมความมั่นคงระหว่างสมาชิกเอเปค โดยไม่มีข้อผูกพันทางกฎหมาย มีสาระสำคัญประกอบด้วย ๗ หัวข้อหลัก คือ (๑) ความท้าทายและโอกาสสำหรับความมั่นคงอาหารในภูมิภาค (๒) ตลาดอาหารในภูมิภาคและการค้า (๓) ความยั่งยืนสำหรับระบบอาหารที่มีความยืดหยุ่นปรับตัวได้ (๔) นวัตกรรมและเทคโนโลยี (๕) การพัฒนาชนบทและเขตเมือง (๖) โครงสร้างพื้นฐาน การลงทุน และการบริการเพื่อความมั่นคงอาหาร และ (๗) การเข้าสู่ระบบอาหารในปี ค.ศ. ๒๐๒๐ โดยไม่มีการปรับปรุงแก้ไขปฏิญญาฯ ในส่วนที่เป็นสาระสำคัญหรือมีนัยสำคัญที่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ๒. รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายเลิศวิโรจน์ โกวัฒนะ) ในฐานะผู้แทนของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้กล่าวถ้อยแถลงในหัวข้อ “การพัฒนาชนบทและเขตเมือง (Rural-Urban Development)” เพื่อแสดงแนวทางการดำเนินงานความมั่นคงอาหารของประเทศไทยที่ได้น้อมนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชในการวางแผนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งเป็นแนวทางที่มีความยั่งยืน คำนึงถึงชุมชน ทรัพยากรธรรมชาติ และเป็นการจัดการความเสี่ยงให้กับเกษตรกร รวมถึงการดำเนินโครงการต่าง ๆ ผ่านโครงการประชารัฐในการพัฒนา การเกษตรอย่างยั่งยืน ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อยกระดับการผลิตและการค้าสินค้าเกษตรของไทยในระยะยาว ๓. ประเทศสมาชิกเอเปค ได้แก่ จีน รัสเซีย แคนาดา สหรัฐอเมริกา ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ ได้กล่าวถ้อยแถลงที่สำคัญเพื่อส่งเสริมความมั่นคงอาหาร
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18909 | ผลการประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือเอเชีย ครั้งที่ 2 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | กต | 22/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือเอเชีย (ACD Summit) ครั้งที่ ๒ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๙ ณ กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน โดยได้ร่วมรับรองเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ ๓ ฉบับ ได้แก่ (๑) เอกสารวิสัยทัศน์ความร่วมมือเอเชีย ค.ศ. ๒๐๓๐ (๒) ปฏิญญากรุงเทพฯ และแผนปฏิบัติการพิมพ์เขียวระยะ ๕ ปี (ค.ศ. ๒๐๑๗-๒๐๒๑) และ (๓) แถลงการณ์บทบาทของเอเชียในการกระตุ้นพลวัตการเติบโตผ่านความเป็นหุ้นส่วนเพื่อความเชื่อมโยง นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ได้รับทราบข้อเสนอแนะของภาคเอกชนต่อผู้นำซึ่งย้ำความสำคัญของการสร้างความเป็นหุ้นส่วนระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน รวมทั้งสนับสนุนกลไก ACD Connect Business Forum ที่เน้นเรื่องการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเอเชียและสนับสนุนให้เอเชียมีความเชื่อมโยงทางการเงินที่เข้มแข็งด้วย FinTech และ Infrastructure Financing และมอบหมายส่วนราชการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอในการติดตามและผลักดันผลการประชุมฯ ๘ ด้าน ได้แก่ ความเชื่อมโยงระหว่างอาหาร น้ำ และพลังงาน ความเชื่อมโยง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและนวัตกรรม การศึกษาและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ วัฒนธรรมและการท่องเที่ยว การส่งเสริมแนวทางสู่การพัฒนาที่ทั่วถึงและยั่งยืน การหารือเกี่ยวกับกลไกของสำนักเลขาธิการ ACD และการส่งเสริมความร่วมมือกับภาคเอกชนผ่านกลไก ACD Connect Business Forum ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและธนาคารแห่งประเทศไทยเกี่ยวกับการนำเอาเทคโนโลยีจากโครงการพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ มาผลักดันสู่คณะทำงานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ของ ACD การจัดตั้งคณะทำงานย่อยด้านความเชื่อมโยงทางการเงินกับประเทศในกลุ่ม ACD โดยไทยสามารถเสนอโครงการสำคัญ (Flagship Project) เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานในเสาหลักนี้ รวมทั้งการมีเวทีที่เปิดโอกาสให้ภาคเอกชนได้แสดงความคิดเห็นเพื่อผลักดันความร่วมมือที่เป็นประโยชน์และทันการณ์ต่อพลวัตทางเศรษฐกิจของภูมิภาค เป็นแนวคิดริเริ่มที่ดีและน่าจะสนับสนุนให้ดำเนินการต่อไปในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18910 | ขออนุมัติลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงเกษตร อาหาร และกิจการชนบทแห่งสาธารณรัฐเกาหลี ว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตร | กษ | 22/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบและอนุมัติให้มีการลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงเกษตร อาหาร และกิจการชนบทแห่งสาธารณรัฐเกาหลีว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตร มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นกรอบในการดำเนินความร่วมมือด้านการเกษตร รวมทั้งเป็นกลไกในการอำนวยความสะดวกด้านการค้าสินค้าเกษตรและแก้ไขปัญหาทางเทคนิคระหว่างกัน โดยมีเนื้อหาสาระเป็นการระบุถึงขอบเขตความร่วมมือที่ทั้งสองฝ่ายกำหนดไว้ เช่น การแลกเปลี่ยนนักวิชาการและนักวิจัย การแลกเปลี่ยนข้อมูล การประชุมเชิงปฏิบัติการ การสัมมนา และการประชุมในเรื่องที่มีความสนใจร่วมกัน เป็นต้น ทั้งนี้ จะมีการลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ระหว่างการประชุม Building Ocean Health : Sharing experiences to move towards sustainable fisheries management ระหว่างวันที่ ๒๗-๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ ณ สาธารณรัฐเกาหลี ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับแจ้งจากกระทรวงเกษตร อาหาร และกิจการชนบทแห่งสาธารณรัฐเกาหลี ว่าการลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ไม่จำเป็นต้องแสดงหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับภาระค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ สำหรับค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ รวมทั้งรายละเอียดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการให้ถูกต้องครบถ้วน เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. การลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ในครั้งนี้ต้องไม่มีข้อผูกพันเกี่ยวกับการให้ภาคเอกชนเข้าร่วมดำเนินโครงการของรัฐในอนาคต ๔. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18911 | มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ผ่านโครงการค้ำประกันสินเชื่อ SMEs ทวีทุน (Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 6) | กค | 22/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบหลักเกณฑ์และเงื่อนไขโครงการค้ำประกันสินเชื่อผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมทวีทุน (Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ ๖) (PGS ระยะที่ ๖) มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือ SMEs ที่มีศักยภาพแต่ขาดหลักประกันให้มีโอกาสเข้าถึงสินเชื่อสถาบันการเงินได้มากขึ้น และช่วยเหลือ SMEs ในภาคส่วนต่าง ๆ ให้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินในระบบสถาบันการเงินได้มากขึ้น รวมทั้งช่วยให้เกิดความคล่องตัวในการอนุมัติสินเชื่อให้กับ SMEs เพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตและเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สำหรับภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นในการจ่ายค่าประกันชดเชยให้แก่สถาบันการเงินในอัตราไม่เกินร้อยละ ๒๓.๒๕ ของวงเงินค้ำประกันสินเชื่อ ๕,๗๕๐ ล้านบาท ให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง โดยใช้จ่ายจากค่าธรรมเนียมการค้ำประกันสินเชื่อของโครงการ PGS ระยะที่ ๖ ก่อน หากไม่เพียงพอ จึงขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ส่วนแหล่งเงินการจ่ายค่าประกันชดเชยจาก บสย. วงเงิน ๕๐๐ ล้านบาท ให้ บสย. จัดทำแผนการบริหารจัดการและแผนการบริหารความเสี่ยง โดยมีการจัดหาเงินรายได้สำหรับนำมาใช้จ่ายค่าประกันชดเชยดังกล่าวอย่างเหมาะสมและชัดเจน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการด้วย ดังนี้ ๒.๑ เพื่อให้การประเมินผลการดำเนินโครงการนี้เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินการในระยะต่อไป ให้กระทรวงการคลังรวบรวมข้อมูลผลผลิต ผลลัพธ์ และผลกระทบทุกด้านของโครงการ PGS ระยะที่ ๖ รวมทั้งปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ พร้อมทั้งมาตรการและแนวทางปรับปรุงแก้ไขปัญหาดังกล่าว แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป ๒.๒ ให้ บสย. และสถาบันการเงินร่วมกันกำหนดหลักเกณฑ์ในการคัดกรองผู้ประกอบการ SMEs ที่เข้าร่วมโครงการเพื่อให้ได้ลูกค้าที่มีคุณภาพและมีคุณสมบัติตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่รัฐบาลต้องการให้ความช่วยเหลืออย่างแท้จริง โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs ที่อยู่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) เช่น อุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เป็นต้น นอกจากนี้ ควรมีแผนการบริหารความเสี่ยงเพื่อควบคุมสัดส่วนของการค้ำประกันที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Guarantee : NPG) ไม่ให้เพิ่มสูงขึ้นด้วย ๒.๓ โดยที่การให้ความช่วยเหลือในด้านการค้ำประกันสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมขนาดย่อมถือเป็นภารกิจหลักของ บสย. และเป็นภารกิจที่สอดคล้องกับนโยบายหลักของรัฐบาลที่ต้องการส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs เพื่อให้เป็นกลจักรสำคัญในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจของประเทศ สมควรที่กระทรวงการคลังจะได้ดำเนินการให้ บสย. พิจารณาปรับปรุงการดำเนินงานให้มีความเข้มแข็งและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เน้นการทำงานเชิงรุก โดยเฉพาะการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตรงตามความต้องการของตลาด เพื่อให้การช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถลดการพึ่งพิงงบประมาณภาครัฐได้ในอนาคต
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18912 | มาตรการเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้มีรายได้น้อยในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ | กค | 22/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการมาตรการเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้มีรายได้น้อยในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ สำหรับผู้มีรายได้น้อยที่ไม่ใช่เกษตรกร ซึ่งมีเงื่อนไขและวิธีการดำเนินการสอดคล้องกับมาตรการเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรผู้มีรายได้น้อยที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการเมื่อวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๙ โดยมีกรอบวงเงินงบประมาณเพื่อดำเนินมาตรการฯ จำนวน ๑๒,๗๕๐ ล้านบาท และรับทราบกรณีกระทรวงการคลังจะใช้วิธีการโอนเงินที่เสนอมาในครั้งนี้สำหรับการโอนเงินให้แก่เกษตรกรผู้มีสิทธิ์ตามมาตรการเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกรผู้มีรายได้น้อย และให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณากำหนดมาตรการเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืนและได้รับประโยชน์ในระยะยาว การติดตามตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลจากโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐเพื่อให้ได้กลุ่มเป้าหมายที่เป็นประชาชนที่มีรายได้น้อยอย่างแท้จริง การแบ่งชั้นรายได้ให้มีความถี่มากขึ้น การกำหนดระดับอัตราเงินช่วยเหลือให้เหมาะสมกับแต่ละชั้นรายได้ รวมทั้งการดำเนินมาตรการที่เสริมสร้างความยั่งยืนและยกระดับการดำรงชีวิตประจำวันของผู้มีรายได้น้อย และนำฐานข้อมูลผู้มีรายได้น้อยไปประกอบการศึกษาพฤติกรรมของผู้มีรายได้น้อย ทั้งในด้านจำนวนตัวบุคคลและที่อยู่ของผู้มีรายได้น้อยเพื่อใช้เป็นข้อมูลสำหรับการกำหนดนโยบายที่เหมาะสมในการดูแลและช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย สำหรับงบประมาณในการดำเนินมาตรการฯ จำนวน ๑๒,๗๕๐ ล้านบาท เห็นควรให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารออมสิน และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สำรองจ่ายค่าใช้จ่ายไปก่อน โดยรัฐบาลจะชำระคืนเงินต้นและต้นทุนเงินให้กับธนาคารดังกล่าวในอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ๖ เดือน ประเภทบุคคลธรรมดาของ ๔ ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ (FDR) บวกร้อยละ ๑ ซึ่งเป็นอัตราเดียวกับที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้ผู้มีรายได้น้อยในภาคเกษตรตามมาตรการเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรผู้มีรายได้น้อย เมื่อวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๙ โดยให้ธนาคารทั้ง ๓ แห่งจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม เพื่อชดเชยต้นทุนเงินในอัตราดอกเบี้ย (FDR) บวกร้อยละ ๑ ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงการคลังดำเนินการติดตามและประเมินผลการดำเนินมาตรการดังกล่าวในภาพรวม ทั้งในด้านผลการดำเนินการและผลกระทบต่อเศรษฐกิจ แล้วนำเสนอต่อคณะกรรมการขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศ และคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ๔. ให้กระทรวงการคลังได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๙ (เรื่อง การเสนอโครงการที่ต้องขออนุมัติงบประมาณจากคณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18913 | ขออนุมัติโครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อพัฒนาการเกษตรแบบแปลงใหญ่ | กษ | 22/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ยกเลิกโครงการสนับสนุนสินเชื่อให้กลุ่มชาวนาผู้ผลิตข้าวแบบแปลงใหญ่ ปี ๒๕๕๙/๖๐ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙ และโครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อพัฒนาระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๙ ๑.๒ อนุมัติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมการเกษตรดำเนินงานโครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อพัฒนาการเกษตรแบบแปลงใหญ่ จำนวน ๒,๐๐๐ แปลง ๑.๓ อนุมัติกรอบวงเงินสินเชื่อ จำนวน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท (ระยะเวลา ๕ ปี ตั้งแต่เดือนธันวาคม ๒๕๕๙-ธันวาคม ๒๕๖๔) ๑.๔ อนุมัติค่าชดเชยดอกเบี้ยให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จำนวน ๓,๐๐๐ ล้านบาท โดยให้ ธ.ก.ส. เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง ตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ ธ.ก.ส. ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณในส่วนที่เกี่ยวข้อง อาทิ ให้ ธ.ก.ส. จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามรายจ่ายที่จะเกิดขึ้นจริง โดยไม่รวมรายจ่ายชำระต้นเงินกู้ และไม่รวมถึงการชดเชยความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และควรพิจารณาผ่อนปรนเงื่อนไข หลักเกณฑ์ ในการขออนุมัติวงเงินสินเชื่อ และสนับสนุนสร้างความรับรู้และเข้าใจในการจัดทำแผนธุรกิจ รวมทั้งการดำเนินโครงการฯ ต้องไม่ซ้ำซ้อนกับโครงการให้ความช่วยเหลือสินเชื่อแก่เกษตรกรของภาครัฐในลักษณะเดียวกัน และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์สำรวจความต้องการของเกษตรกร/กลุ่มเกษตรกร/สหกรณ์การเกษตรที่จะเข้าร่วมโครงการฯ เพื่อกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้มีความเหมาะสมอย่างชัดเจน และสามารถวางแผนการดำเนินงานให้บรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับกรอบวงเงินสินเชื่อของกลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่ควรคำนึงถึงความเหมาะสมของต้นทุนการผลิตของกลุ่มเกษตรกรแปลงใหญ่ที่แท้จริง ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ ธ.ก.ส. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาแนวทางที่เหมาะสมในการดำเนินการสำหรับกลุ่มเกษตรกร/วิสาหกิจชุมชน/สหกรณ์การเกษตรที่ได้รับสินเชื่อจากโครงการฯ และควรกำหนดกรอบวงเงินชดเชยความเสียหายที่ชัดเจน เพื่อให้รัฐบาลทราบถึงภาระขาดทุนและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น โดยไม่ควรเป็นภาระทางการคลังและงบประมาณในอนาคตมากจนเกินไป รวมทั้งให้นำบทเรียนที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการที่ผ่านมา มาปรับปรุงวิธีการดำเนินโครงการฯ ให้มีประสิทธิภาพและสร้างการรับรู้ข้อมูลโครงการฯ ที่ได้ปรับปรุงเงื่อนไขในการกู้เงินและระยะเวลา เพื่อจูงใจให้กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และสหกรณ์การเกษตรเข้าร่วมโครงการฯ ได้รับประโยชน์ในวงกว้างมากขึ้น นอกจากนี้ หลักเกณฑ์การสนับสนุนสินเชื่อยังคงจะต้องให้ความสำคัญกับการจัดทำแผนธุรกิจที่มีรายละเอียดของแผนการผลิตและแผนการตลาดรองรับที่ชัดเจน สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุนการผลิต มีการพัฒนาคุณภาพสินค้าที่ได้มาตรฐาน และดำเนินการในพื้นที่ที่เหมาะสมตามแผนที่เพื่อบริหารธุรกิจเชิงรุกของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. ในการยกเลิกโครงการสนับสนุนสินเชื่อให้กลุ่มชาวนาผู้ผลิตข้าวแบบแปลงใหญ่ ปี ๒๕๕๙/๖๐ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙ และโครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อพัฒนาระบบส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๙ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะต้องดำเนินการโดยไม่ให้เกิดผลกระทบกับกลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และสหกรณ์การเกษตรที่ได้รับสินเชื่อในการดำเนินโครงการไปแล้วด้วย ๕. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ติดตามและประเมินผลโครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อพัฒนาการเกษตรแบบแปลงใหญ่ แล้วให้รายงานความก้าวหน้าในการดำเนินโครงการดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ โดยให้กำกับดูแลการดำเนินงานตามโครงการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด และโปร่งใสทุกขั้นตอน ๖. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18914 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี) (นางณัฐฏ์จารี อนันตศิลป์) | นร05 | 22/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางณัฐฏ์จารี อนันตศิลป์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาประจำสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติเกี่ยวกับระยะเวลาขั้นต่ำในการดำรงตำแหน่งหรือเคยดำรงตำแหน่งในสายงานที่จะแต่งตั้งครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ที่ ก.พ. กำหนด ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18915 | การกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ | รง | 22/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่อง อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ (ฉบับที่ ๘) ลงวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๙ กำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ปี ๒๕๖๐ โดยเพิ่มอัตราค่าจ้างขั้นต่ำขึ้น ๕-๑๐ บาท/วัน จำนวน ๖๙ จังหวัด ครอบคลุมทุกภูมิภาค และคงอัตราค่าจ้างขั้นต่ำไว้ที่ ๓๐๐ บาท/วัน จำนวน ๘ จังหวัด ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๐ เป็นต้นไป เพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อให้มีผลใช้บังคับต่อไป ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18916 | รายงานผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (กชท.) ไทย - มาเลเซีย ครั้งที่ 53 | กห | 22/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (กชท.) ไทย-มาเลเซีย ครั้งที่ ๕๓ ระหว่างวันที่ ๙-๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย มีวัตถุประสงค์เพื่อรับทราบผลการดำเนินงาน และมอบหมายแนวทางการปฏิบัติงานให้กับคณะกรรมการระดับสูง คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค และคณะกรรมการฝึกร่วม/ผสม ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ก่อนการประชุมฯ ทั้งสองฝ่ายได้มีการพบปะหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในเรื่องการขยายความร่วมมือในด้านต่าง ๆ อาทิ ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาบุคคลสองสัญชาติ การแลกเปลี่ยนข้อมูลการก่อการร้ายในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ระบบตรวจสอบอัตลักษณ์บุคคล ยาเสพติด และการหาผู้นำตัวจริงในการพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งการเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบสารประกอบระเบิดในบริเวณพื้นที่ชายแดน นอกจากนี้ ได้เห็นชอบในการพิจารณาจัดตั้งคณะกรรมการขึ้น ๔ คณะ คือ คณะกรรมการเพื่อสนับสนุนกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ คณะกรรมการแก้ไขปัญหาบุคคลสองสัญชาติ คณะกรรมการแก้ไขปัญหายาเสพติด และคณะกรรมการด้านการข่าว เพื่อแก้ไขปัญหาร่วมกันแบบบูรณาการ โดยมอบหมายให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ กองทัพไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวง และหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง หารือกันในรายละเอียดเกี่ยวกับองค์ประกอบและวิธีดำเนินการต่อไป ๒. ผลการประชุม กชท. ไทย-มาเลเซีย ครั้งที่ ๕๓ ที่ประชุมฯ รับทราบผลการดำเนินงานตามงานมอบของการประชุม กชท. ไทย-มาเลเซีย ครั้งที่ ๕๒ และงานมอบจากการประชุม กชท. ไทย-มาเลเซีย ครั้งที่ ๕๓ ให้คณะกรรมการระดับสูงดำเนินการตามงานมอบและแผนงานจากการประชุม รวมทั้งกิจกรรมที่ได้วางแผนไว้ โดยเฉพาะในเรื่องเกี่ยวกับ (๑) เพิ่มการแลกเปลี่ยนข่าวและการปฏิบัติการร่วมด้านการควบคุมความมั่นคงชายแดน เพื่อตอบสนองต่อความท้าทายต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้น (๒) ดำเนินการวางแผนสำหรับการฝึกร่วม/ผสม ไทย-มาเลเซีย ครั้งที่ ๓ โดยเน้นด้านการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการบรรเทาภัยพิบัติกับมิตรประเทศ และ (๓) พัฒนาการบริหารจัดการชายแดนร่วมเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งทางด้านเศรษฐกิจสังคมและความมั่นคงบริเวณชายแดน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18917 | ผลการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน อย่างไม่เป็นทางการ และการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน - ญี่ปุ่น อย่างไม่เป็นทางการ | กห | 22/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน อย่างไม่เป็นทางการ และการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน-ญี่ปุ่น อย่างไม่เป็นทางการ ระหว่างวันที่ ๑๖-๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ ณ กรุงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. การประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน อย่างไม่เป็นทางการ ๑.๑ รัฐมนตรีกลาโหมประเทศสมาชิกอาเซียนได้เห็นพ้องกันว่า (๑) การประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนได้รับการพัฒนาให้มีความก้าวหน้ามาเป็นลำดับ และเป็นกลไกหลักในการเสริมสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงในประชาคมอาเซียน (๒) ความท้าทายด้านความมั่นคงที่สำคัญในภูมิภาค ได้แก่ การแพร่ขยายของแนวคิดนิยมความรุนแรง การก่อการร้าย ความมั่นคงทางทะเล ภัยพิบัติทางธรรมชาติ และความมั่นคงทางไซเบอร์ (๓) ความท้าทายดังกล่าวมีความสลับซับซ้อน มีลักษณะข้ามชาติ ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างและทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น และ (๔) กระทรวงกลาโหมประเทศสมาชิกอาเซียนควรร่วมมือกันและร่วมมือกับกระทรวงกลาโหมประเทศคู่เจรจาเพื่อพัฒนาศักยภาพในการป้องกันและแก้ไขปัญหาโดยใช้ทั้งกลไกความร่วมมือที่มีอยู่และพัฒนากลไกใหม่ที่เหมาะสมบนพื้นฐานหลักการของอาเซียนและกฎหมายระหว่างประเทศ ๑.๒ รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้เสนอแนวคิดในการขับเคลื่อนประชาคมอาเซียนให้มีความมั่นคงและยั่งยืน ประเทศสมาชิกควรก้าวไปข้างหน้าพร้อมกันโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เน้นการพัฒนาที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง มีความอยู่ดีกินดี และการให้บริการประชาชนทุกระดับอย่างเท่าเทียมกัน โดยยกตัวอย่างนโยบายของรัฐบาลเกี่ยวกับนโยบายประเทศไทย ๔.๐ และความร่วมมือของไทยกับประเทศเพื่อนบ้านผ่านการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตามแนวชายแดน รวมทั้งการลงทุนในลักษณะ ๑+๑ ๑.๓ รัฐมนตรีกลาโหมประเทศสมาชิกอาเซียนได้ร่วมชมการสาธิตเครือข่ายการสื่อสารแบบเร่งด่วนครั้งที่ ๑ โดยผู้แทนกระทรวงกลาโหมบรูไนดารุสซาลาม เป็นผู้บรรยายและเข้าร่วมพิธีส่งมอบการเป็นประธานการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนให้กับกระทรวงกลาโหมสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ๒. การประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน-ญี่ปุ่น อย่างไม่เป็นทางการ ๒.๑ รัฐมนตรีกลาโหมประเทศสมาชิกอาเซียนมีความเห็นร่วมกันว่า อาเซียนและญี่ปุ่นอยู่ในสภาวะต้องเผชิญกับภัยคุกคามร่วมกัน โดยความสัมพันธ์อาเซียน-ญี่ปุ่นควรได้รับการพัฒนาให้มีความก้าวหน้าบนพื้นฐานของความไว้เนื้อเชื่อใจและเน้นผลประโยชน์ร่วมกัน และกล่าวชื่นชมกระทรวงกลาโหมญี่ปุ่นในการดำเนินการสร้างความเข้มแข็งให้กับกลไกด้านความมั่นคงในภูมิภาคที่มีอาเซียนเป็นแกนกลางเพื่อเสถียรภาพและความมั่นคงที่ยั่งยืนให้กับภูมิภาคต่อไป ๒.๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมญี่ปุ่นได้กล่าวว่า ญี่ปุ่นให้ความสำคัญต่อการดำรงไว้ซึ่งสันติภาพในภูมิภาคและการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธีด้วยการเจรจา และสนับสนุนความเป็นแกนกลางและความเป็นหนึ่งเดียวกันของอาเซียน รวมทั้งได้เสนอร่างวิสัยทัศน์เวียงจันทน์ ซึ่งระบุแนวทางการพัฒนาความร่วมมือระหว่างกระทรวงกลาโหมอาเซียนกับกระทรวงกลาโหมญี่ปุ่นให้เป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น ประกอบด้วย การยึดถือหลักการของกฎหมายระหว่างประเทศ การเสริมสร้างความมั่นคงทางทะเล และการพัฒนาศักยภาพของอาเซียนในด้านต่าง ๆ เช่น บุคลากร ยุทโธปกรณ์ เทคโนโลยี เป็นต้น ทั้งนี้ กระทรวงกลาโหมอาเซียนกับกระทรวงกลาโหมญี่ปุ่นจะได้พัฒนาร่างวิสัยทัศน์ฯ และเสนอให้ที่ประชุมในกรอบการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนพิจารณาและให้การรับรองในปี ๒๕๖๐ ณ สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ๒.๓ รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้กล่าวสนับสนุนความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับญี่ปุ่น โดยมีอาเซียนเป็นศูนย์กลาง เพื่อรับมือกับความท้าทายด้านความมั่นคงทั้งแบบดั้งเดิม และรูปแบบใหม่ รวมทั้งแนวคิดการพัฒนาที่สอดคล้องกันของทั้งสองฝ่าย และเห็นว่า ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ มีความก้าวหน้าด้านอุตสาหกรรม และเทคโนโลยีป้องกันประเทศ สามารถให้การสนับสนุนประเทศสมาชิกอาเซียนได้ โดยเฉพาะในเรื่องอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและการบรรเทาภัยพิบัติ นอกจากนี้ ได้หารือทวิภาคีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมิตรประเทศ ได้แก่ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวและสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เพื่อพัฒนาความร่วมมือให้เกิดประสิทธิผลและมีความเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18918 | มาตรการดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติโดยการยกเว้นค่าธรรมเนียมการตรวจลงตรา (Visa) ณ สถานทูตหรือสถานกงสุลไทย และปรับลดค่าธรรมเนียมการตรวจลงตรา ณ ช่องทางอนุญาตของด่านตรวจคนเข้าเมือง (Visa on Arrival: VOA) เป็นการชั่วคราว | กก | 22/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบมาตรการดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ยกเว้นค่าธรรมเนียมการตรวจลงตรา (Visa) ณ สถานทูตหรือสถานกงสุลไทย จำนวน ๑,๐๐๐ บาทต่อคน เป็นการชั่วคราว ๑.๒ ปรับลดค่าธรรมเนียมการตรวจลงตรา ณ ช่องทางอนุญาตของด่านตรวจคนเข้าเมือง (Visa on Arrival : VOA) ให้แก่ชาวต่างชาติ โดยปรับค่าธรรมเนียมการตรวจลงตราที่ช่องทางอนุญาตของด่านตรวจคนเข้าเมือง ใช้ได้ครั้งเดียว จำนวน ๑๙ ประเทศ ได้แก่ อันดอร์รา บัลแกเรีย ภูฏาน จีน ไซปรัส เอธิโอเปีย อินเดีย คาซัคสถาน ลัตเวีย ลิทัวเนีย มัลดีฟส์ มอลตา มอริเชียส โรมาเนีย ซานมารีโน ซาอุดีอาระเบีย ไต้หวัน ยูเครน อุซเบกิสถาน เป็นจำนวน ๑,๐๐๐ บาทต่อคน เป็นการชั่วคราว ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาประสานงานกับกระทรวงมหาดไทยและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อดำเนินการออกกฎกระทรวง ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่ได้เคยให้ความเห็นไว้แล้วว่า ในการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมเป็นพิเศษต่ำกว่าอัตราค่าธรรมเนียมที่กำหนดไว้สำหรับคนต่างด้าวทั่วไป จะต้องกระทำโดยการออกเป็นกฎกระทรวงเท่านั้น โดยถือเป็นเรื่องเร่งด่วน ๓. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18919 | ทบทวนโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี และการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2559/60 (เพิ่มเติม) | พณ | 22/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติการทบทวนโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี และการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ (เพิ่มเติม) ตามที่กระทรวงพาณิชย์ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวเสนอ และให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวเหนียวสามารถเข้าร่วมโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ โดยให้เป็นไปตามกรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ความเห็นชอบไว้แล้วเมื่อวันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๙ ๑.๒ เห็นชอบการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรรายย่อยผู้ปลูกข้าวเปลือกเหนียวนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๙/๖๐ จำนวน ๑๒,๔๗๑.๔๗ ล้านบาท จำแนกเป็นวงเงินค่าเก็บเกี่ยว ๑๒,๑๘๒.๐๓ ล้านบาท ต้นทุนเงิน ๒๗๑.๐๕ ล้านบาท และค่าบริหาร ๑๘.๓๙ ล้านบาท ๑.๓ อนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณ จำนวน ๑๒,๔๗๑.๔๗ ล้านบาท โดยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ทำความตกลงกับสำนักงบประมาณต่อไป ๑.๔ ขยายระยะเวลาโครงการฯ สำหรับภาคใต้ จากเดิมที่กำหนดระยะเวลาตั้งแต่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๙-๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ เป็นสิ้นสุดวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ๒. สำหรับภาระงบประมาณในการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวเปลือกเหนียว จำนวน ๑๒,๔๗๑.๔๗ ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย FDR+1 นั้น ให้ ธ.ก.ส. จัดทำแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้งบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควรมีการตรวจสอบและติดตามการดำเนินโครงการฯ เพื่อให้เกษตรกรได้รับประโยชน์จากการดำเนินโครงการฯ อย่างถูกต้องและทั่วถึง และมีการประเมินผลโครงการฯ เสนอคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว และคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป รวมทั้งในระยะยาว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควรสนับสนุนให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนแนวคิดและระบบการผลิตสู่การพึ่งตนเองให้มากขึ้น โดยยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในการประกอบอาชีพเกษตรกรรมและการดำเนินชีวิต เช่น การทำเกษตรทฤษฎีใหม่ เกษตรผสมผสาน และการรวมกลุ่มเพื่อผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวที่ดีและแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18920 | แนวทางการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ภายใต้มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 | นร07 | 22/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบแนวทางการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ภายใต้มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รายจ่ายลงทุนในทุกงบรายจ่ายที่มีวงเงินแต่ละรายการไม่เกิน ๑,๐๐๐ ล้านบาท ยกเว้นรายการที่มีคุณสมบัติพิเศษ หรือต้องจัดหาจากต่างประเทศ ที่ไม่สามารถก่อหนี้ได้ภายในวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๙ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นพิจารณาระงับการดำเนินการ และให้นำงบประมาณไปดำเนินการรายการอื่นตามที่กำหนดในข้อ ๑.๓ หรือหากเห็นว่ามีความจำเป็นต้องดำเนินการตามที่ได้รับจัดสรรงบประมาณนั้นต่อไป ให้เสนอรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับหรือรัฐมนตรีเจ้าสังกัดพิจารณาให้ความเห็นชอบ และเร่งดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างให้แล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ ๒ ๑.๒ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น พิจารณาทบทวนรายการที่เป็นรายจ่ายประจำที่มีความสำคัญต่ำ หรือไม่สามารถตอบสนองนโยบายของรัฐบาลได้อย่างรวดเร็ว เพื่อชะลอ ยกเลิกการดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ เพื่อนำงบประมาณไปดำเนินการรายการอื่นตามนัยที่กำหนดในข้อ ๑.๓ ๑.๓ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น พิจารณาดำเนินภารกิจที่เห็นว่ามีความจำเป็นจะต้องดำเนินการให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรีที่กำกับหรือรัฐมนตรีเจ้าสังกัด ในส่วนที่ไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยให้ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณภายในวงเงินตามข้อ ๑.๑ และข้อ ๑.๒ เสนอต่อรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับหรือรัฐมนตรีเจ้าสังกัด ทั้งนี้ ภารกิจที่จะดำเนินการต้องเป็นไปตามเงื่อนไข ดังนี้ ๑.๓.๑ เป็นรายการที่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานอื่นมีความพร้อมดำเนินการ โดยสามารถก่อหนี้ผูกพันภายในไตรมาสที่ ๒ และ/หรือดำเนินการให้แล้วเสร็จได้ภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๐ ๑.๓.๒ เป็นรายการที่จะเกิดประโยชน์แก่ประชาชนโดยตรง เช่น ๑.๓.๒.๑ เป็นการจัดทำโครงสร้างพื้นฐาน หรือระบบสาธารณูปโภคที่ประชาชนเป็นผู้ใช้ประโยชน์ เช่น แหล่งน้ำเพื่อการเกษตร ระบบอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการหรือผู้สูงอายุ เป็นต้น ๑.๓.๒.๒ ส่งเสริมการประกอบอาชีพ หรือสร้างรายได้แก่ประชาชน เช่น สนับสนุนเครื่องมือการเกษตร เครื่องจักรกลการเกษตร เป็นต้น ๑.๓.๒.๓ สนับสนุนการดำเนินการตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ๑.๓.๒.๔ สนับสนุนการสร้างขีดความสามารถของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม วิสาหกิจชุมชน และกลุ่มเกษตรกร และสหกรณ์การเกษตรที่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่ ๑.๓.๔ ควรเป็นรายการที่อยู่ในแผนพัฒนาจังหวัด/กลุ่มจังหวัด และสามารถส่งผลต่อการยกระดับศักยภาพ การพัฒนาจังหวัด/กลุ่มจังหวัด และเกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม ๑.๔ การปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ แผนงานพื้นฐาน และแผนงานยุทธศาสตร์ ให้เสนอรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับหรือรัฐมนตรีเจ้าสังกัดให้ความเห็นชอบ กรณีแผนงานบูรณาการ ให้เสนอรองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายให้กำกับดูแลแผนงานบูรณาการให้ความเห็นชอบ และขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ ภายในวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๙ ๑.๕ แนวทางการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ภายใต้มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ นี้ ไม่รวมถึงแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณของแผนงานบุคลากรภาครัฐและแผนงานการบริหารจัดการหนี้ภาครัฐ ๒. สำหรับรายการที่จะเกิดประโยชน์แก่ประชาชนโดยตรง (เช่น การจัดทำโครงสร้างพื้นฐาน หรือระบบสาธารณูปโภคที่ประชาชนเป็นผู้ใช้ประโยชน์ เป็นต้น) ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นเร่งดำเนินโครงการให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๑ ๓. ให้สำนักงบประมาณได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
.....