ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 942 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 18821 - 18840 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
18821 | ขอความเห็นชอบร่างบันทึกความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยการกระชับความร่วมมือ ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟภายใต้กรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. 2558 - 2565 | คค | 07/12/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยการกระชับความร่วมมือในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟภายใต้กรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๕ มีวัตถุประสงค์เพื่อยืนยันความร่วมมือที่จะดำเนินโครงการรถไฟเส้นทางกรุงเทพฯ-นครราชสีมา และนครราชสีมา-หนองคาย โดยจะพยายามเริ่มการก่อสร้างโครงการรถไฟเส้นทางกรุงเทพฯ-นครราชสีมา ในต้นปี ๒๕๖๐ และจะเตรียมรายละเอียดของงานสำหรับโครงการรถไฟเส้นทางนครราชสีมา-หนองคาย อย่างต่อเนื่องในลำดับต่อไป ทั้งนี้ จะมีการลงนามร่างบันทึกความร่วมมือฯ ในการประชุมคณะกรรมการร่วมว่าด้วยการค้า การลงทุน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทย-จีน ในวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๙ ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า เพื่อให้การดำเนินโครงการรถไฟช่วงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา เป็นไปตามแผนดำเนินงานที่กำหนดไว้ในผลการประชุมคณะกรรมการร่วมเพื่อความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย-จีน ครั้งที่ ๑๖ เมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน-๒ ธันวาคม ๒๕๕๙ ณ กรุงเทพมหานคร เห็นควรให้กระทรวงคมนาคมเร่งดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ไปดำเนินการต่อไปด้วย ๓. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขร่างบันทึกความร่วมมือฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ และไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๔. ให้กระทรวงคมนาคมได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18822 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อแก้ไขหรือเยียวยาความเดือดร้อนเสียหายในบางกรณี พ.ศ. .... | นร | 07/12/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อแก้ไขหรือเยียวยาความเดือดร้อนเสียหายในบางกรณี พ.ศ. .... โดยมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในกรณีส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานของรัฐมีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เฉพาะเพื่อการแก้ไขหรือเยียวยาตามหลักมนุษยธรรมในความเดือดร้อนเสียหายทางเศรษฐกิจหรือสังคมของประชาชนหรือของผู้ประสบภัยอันเป็นสาธารณภัยไม่ว่าจะเกิดจากธรรมชาติ มีผู้ทำให้เกิดขึ้น อุบัติเหตุหรือเหตุอื่นใด ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เสนอ และให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) รับร่างระเบียบดังกล่าวไปตรวจพิจารณาร่วมกับผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และผู้แทนสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18823 | แต่งตั้งข้าราชการการเมือง [ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน (พลเอก ณัฐติพล กนกโชติ)] | พน | 07/12/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง พลเอก ณัฐติพล กนกโชติ เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน แทนตำแหน่งที่ว่างลง เนื่องจาก พลเอก สุรศักดิ์ ศรีศักดิ์ ได้ลาออกจากตำแหน่งแล้ว ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๗ ธันวาคม ๒๕๕๙) เป็นต้นไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18824 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ (กระทรวงการต่างประเทศ) (นายพรพงศ์ กนิษฐานนท์ และนายอรุณ จิวาศักดิ์อภิมาศ) | กต | 07/12/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำต่างประเทศ ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากประเทศผู้รับแล้ว จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนผู้เกษียณอายุราชการ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. นายพรพงศ์ กนิษฐานนท์ ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุมอัมมาน ราชอาณาจักรฮัชไมต์จอร์แดน ๒. นายอรุณ จิวาศักดิ์อภิมาศ ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงดาการ์ สาธารณรัฐเซเนกัล
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18825 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงพลังงาน) (นายธนธัช จังพานิช) | พน | 07/12/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายธนธัช จังพานิช ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพลังงาน ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนผู้เกษียณอายุราชการ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18826 | ขออนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา) (นายอนันต์ วงศ์เบญจรัตน์) | กก | 07/12/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายอนันต์ วงศ์เบญจรัตน์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18827 | ขอความเห็นชอบในการแต่งตั้งผู้อำนวยการสถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ (นางอัจฉรา เจริญสุข) | วท | 07/12/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้ง นางอัจฉรา เจริญสุข ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ ตามมติคณะกรรมการมาตรวิทยาแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๕๙ เมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๙ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18828 | แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการบริหารกิจการขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (จำนวน 3 คน 1. รองศาสตราจารย์ธำรงรัตน์ มุ่งเจริญ ฯ) | คค | 07/12/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการบริหารกิจการขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำนวน ๓ คน แทนตำแหน่งที่ว่าง ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๗ ธันวาคม ๒๕๕๙) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
๑. รองศาสตราจารย์ธำรงรัตน์ มุ่งเจริญ กรรมการอื่น ๒. รองศาสตราจารย์พัชรา พัชราวนิช กรรมการอื่น ๓. พลเอก ณรงค์ฤทธิ์ อิศรัตน์ กรรมการอื่น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18829 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (นายกิตติรัตน์ มังคละคีรี) | ศธ | 07/12/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายกิตติรัตน์ มังคละคีรี ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ แทน ศาสตราจารย์สุรพล นิติไกรพจน์ ที่ลาออกจากตำแหน่ง ตั้งแต่วันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๙ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๗ ธันวาคม ๒๕๕๙) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18830 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. .... | ศย | 29/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. .... โดยประเด็นการกำหนดให้จำเลยซึ่งไม่ได้ถูกคุมขังต้องแสดงตนในขณะยื่นอุทธรณ์ตามร่างมาตรา ๔๐ ได้ดำเนินการตราข้อบังคับของประธานศาลฎีกาว่าด้วยวิธีการดำเนินคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. ๒๕๕๙ กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการอุทธรณ์ (ข้อ ๒๕ และข้อ ๒๖) เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการปฏิบัติแล้ว รวมถึงกรณีที่บทบัญญัติหลายส่วนตามพระราชบัญญัติฉบับนี้มีความเกี่ยวพันกับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ สำนักงานศาลยุติธรรมได้ประชุมหารือร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตดังกล่าว เพื่อให้การยกร่างกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. ๒๕๔๒ เป็นไปตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่และมีความสอดคล้องกับพระราชบัญญัตินี้ด้วยแล้ว ส่วนประเด็นการกำหนดให้ใช้คำว่า “ผู้มีหน้าที่ต้องส่งสิ่งที่ศาลสั่งริบ” เนื่องจากมีความครอบคลุมมากกว่าคำว่า “ผู้ที่ศาลสั่งให้ส่งสิ่งที่ริบ” และเมื่อนำไปใช้บังคับโดยอนุโลมกับการดำเนินคดีร้องขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินจะหมายความรวมถึงผู้มีหน้าที่ต้องส่งสิ่งที่ศาลสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดินด้วย ซึ่งสำนักงานศาลยุติธรรมได้จัดทำข้อพิจารณาประกอบบทบัญญัติของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. ๒๕๕๙ เพื่ออธิบายบทบัญญัติของกฎหมายและเป็นแนวทางในการใช้กฎหมายดังกล่าวต่อไป ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18831 | รายงานผลการประชุมใหญ่สหภาพสากลไปรษณีย์ สมัยที่ 26 ณ นครอิสตันบูล สาธารณรัฐตุรกี | ดท | 29/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมใหญ่สหภาพสากลไปรษณีย์ สมัยที่ ๒๖ ณ นครอิสตันบูล สาธารณรัฐตุรกี ระหว่างวันที่ ๒๙ กันยายน-๙ ตุลาคม ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ประเทศไทยได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาปฏิบัติการไปรษณีย์เป็นสมัยที่ ๑๐ โดยได้รับคะแนนเสียงจำนวน ๑๐๒ คะแนน จัดอยู่ในลำดับที่ ๒๕ จากจำนวนสมาชิก ๔๐ ประเทศ แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของประเทศสมาชิกสหภาพสากลไปรษณีย์ที่ไว้วางใจให้ไทยเป็น ๑ ใน ๙ ประเทศ ในภูมิภาค Southern Asia and Oceania รวมทั้งเป็นผลจากการปฏิบัติหน้าที่ที่ผ่านมาของไทยในสภาปฏิบัติการไปรษณีย์ ๒. ประเทศสมาชิกสหภาพสากลไปรษณีย์ที่เข้าร่วมประชุมได้ลงนามรับรองกรรมสารสุดท้าย (Final Act) ที่เป็นเอกสารที่แสดงผลการประชุม โดยได้รวบรวมแผนกลยุทธ์และแผนปฏิบัติการของสหภาพสากลไปรษณีย์ รวมทั้งแผนงานในการบริหารจัดการองค์กรของสหภาพสากลไปรษณีย์ สำหรับช่วง ๔ ปีข้างหน้า ๓. กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้นำอนุสัญญาสากลไปรษณีย์ที่ได้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญในส่วนที่ว่าด้วยการให้บริการ ซึ่งประเทศสมาชิกสหภาพสากลไปรษณีย์ยึดถือเป็นแนวทางปฏิบัติในการให้บริการไปรษณีย์ระหว่างกัน และระเบียบข้อบังคับที่ได้มีการปรับเปลี่ยนจากการประชุมใหญ่ฯ มาทบทวนเพื่อดำเนินการจัดทำไปรษณียนิเทศฉบับใหม่ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18832 | รายงานผลการกู้เงินในรูป Euro Commercial Paper (ECP) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 | กค | 29/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการกู้เงินในรูป Euro Commercial Paper (ECP) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ กระทรวงการคลังได้ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ต่างประเทศภายใต้ ECP Programme จำนวน ๖ ครั้ง มีวงเงินรวม ๑๕๐.๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามสัญญาให้กู้ยืมเงินต่อบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และดำเนินการกู้เงินภายใต้ ECP Programme วงเงิน ๑๒,๓๔๔,๐๙๒,๗๐๔.๐๐ เยน (หรือเทียบเท่า ๑๑๘.๐๓ ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อให้การรถไฟแห่งประเทศไทยกู้ต่อเป็น Bridge Financing ให้แก่โครงการระบบขนส่งมวลชนทางรางในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต โดยกระทรวงการคลังมียอดเงินกู้คงค้างภายใต้ ECP Programme ณ สิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ วงเงิน ๒๖๘.๐๓ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18833 | การโอนกรรมสิทธิ์ที่ราชพัสดุคืนให้แก่ทายาทผู้ยกให้ ราย นายบัณฑิต สุวรรณงาม หรือ นายชยพร ศิริมงคลพาณิชย์ | กค | 29/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ สร. ๖๙๓ หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓) เลขที่ ๖๐/๕๗ ตำบลยะวึก อำเภอชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์ เนื้อที่ ๕-๓-๘๐ ไร่ คืนให้แก่ทายาทของนายทวน สุวรรณงาม ผู้ยกให้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18834 | การพิจารณาความเหมาะสมของอัตราการเรียกเก็บเงินนำส่งจากสถาบันการเงิน | กค | 29/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการพิจารณาความเหมาะสมของอัตราการเรียกเก็บเงินนำส่งจากสถาบันการเงิน โดยยังคงเรียกเก็บในอัตราเดิมที่ร้อยละ ๐.๔๖ ต่อปี ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. ผลการชำระหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ได้มีการชำระคืนต้นเงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนฯ พ.ศ. ๒๕๔๑ (FIDF1) และพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนฯ ระยะที่สอง พ.ศ. ๒๕๔๕ (FIDF3) เป็นจำนวน ๑๘๗,๘๘๔.๘๖ ล้านบาท มีผลให้ต้นเงินกู้ FIDF1 และ FIDF3 มียอดคงค้างจำนวนทั้งสิ้น ๙๔๙,๑๒๑.๐๓ ล้านบาท ในส่วนของเงินนำส่งจากสถาบันการเงินนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้รับมาแล้ว ๙ งวด (งวดเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕-เดือนกรกฎาคม ๒๕๕๙) เป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น ๒๒๒,๙๕๖.๗๐ ล้านบาท โดยนำเงินดังกล่าวไปชำระต้นเงินกู้ ดอกเบี้ย และค่าบริหารจัดการเกี่ยวกับ FIDF1 และ FIDF3 ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕-๑๕ กันยายน ๒๕๕๙ เป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น ๒๐๐,๐๐๙.๒๐ ล้านบาท สำหรับเงินส่วนที่เหลือสำรองไว้เพื่อชำระดอกเบี้ยในงวดต่อ ๆ ไป ๒. กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นว่า จากการประมาณการความสามารถในการชำระหนี้ดังกล่าว ยังคงมีความเสี่ยงหลายปัจจัย เช่น การชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจการเงินในประเทศ ความผันผวนของเศรษฐกิจและตลาดการเงินโลก ภาระดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มเติมจากการทยอยกู้เงินล่วงหน้า (Pre-funding) ของกระทรวงการคลัง เป็นต้น จึงเห็นควรคงอัตราเรียกเก็บเงินนำส่งจากสถาบันการเงินไว้ที่ร้อยละ ๐.๔๖ ต่อปี ไว้ตามเดิม โดยอาจพิจารณาปรับเปลี่ยนอัตราเงินนำส่งให้เหมาะสมและสอดคล้องกับปัจจัยและสถานการณ์แวดล้อมทางเศรษฐกิจการเงินที่เปลี่ยนแปลงต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18835 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง มาตรการสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจและสังคมภายในท้องถิ่น | มท | 29/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๙ เรื่อง มาตรการสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจและสังคมภายในท้องถิ่น ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ซึ่งกระทรวงมหาดไทย โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นได้ประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๕๙ เพื่อพิจารณากำหนดแนวทางดำเนินงานตามมาตรการสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานฯ โดยได้จัดทำหลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินสะสมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) สรุปได้ ดังนี้
๑. โครงการลงทุนด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ๑.๑ กรณีที่ อปท. แห่งใดมีเงินสะสมเหลืออยู่เพียงพอ ให้ อปท. พิจารณานำเงินสะสมที่มีอยู่ไปใช้ดำเนินการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะปัญหาเรื้อรัง เช่น สิ่งสาธารณประโยชน์ขาดแคลน ชำรุด เป็นต้น ๑.๒ กรณีที่ อปท. แห่งใดมีเงินสะสมไม่เพียงพอ อปท. อาจขอรับการสนับสนุนงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จากรัฐบาลตามมาตรการ Matching Fund ภายใต้กรอบมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๙ (กรอบวงเงินดำเนินการไม่เกิน ๑๙,๗๙๕ ล้านบาท) โดยมีหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติ เช่น (๑) โครงการต้องไม่ซ้ำซ้อนกับโครงการในข้อบัญญัติงบประมาณปี ๒๕๖๐ ของ อปท. และ (๒) เงินงบประมาณที่รัฐบาลจ่ายสมทบและเงินสมทบของ อปท. ในสัดส่วน ๑ : ๑ เป็นต้น ๒. โครงการด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ๒.๑ เป็นโครงการพัฒนาการศึกษาท้องถิ่น หรือโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้ด้อยโอกาส เด็กกำพร้า หรือผู้เจ็บป่วยเรื้อรัง เช่น การจัดสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐาน การส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ เป็นต้น ๒.๒ โครงการที่จัดทำจะต้องไม่มีลักษณะเป็นการท่องเที่ยว ศึกษาดูงาน หรือการแจกวัสดุสิ่งของ ๒.๓ โครงการดังกล่าวใช้เงินสะสมของ อปท.
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18836 | รายงานการดำเนินงานตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี เรื่อง มาตรการในการดูแลช่วยเหลือ ส่งเสริมและสนับสนุนศิลปินแห่งชาติ | วธ | 29/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการดำเนินงานตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี เรื่อง มาตรการในการดูแลช่วยเหลือ ส่งเสริมและสนับสนุนศิลปินแห่งชาติ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดทำกฎหมายเพื่อกำหนดมาตรการในการดูแลช่วยเหลือ ส่งเสริมและสนับสนุนศิลปินแห่งชาติ ได้แก่ การเพิ่มวงเงินสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลส่วนเกินจากสิทธิการเบิกค่ารักษาพยาบาลเฉพาะตัว จาก ๔๐,๐๐๐ บาท เป็น ๑๐๐,๐๐๐ บาท การปรับเพิ่มเงินค่าตอบแทนรายเดือนแก่ศิลปินแห่งชาติ จากเดือนละ ๒๐,๐๐๐ บาท เป็นเงินเดือนละ ๒๕,๐๐๐ บาท และการกำหนดมาตรการลดหย่อนภาษีจำนวน ๒ เท่า สำหรับผู้บริจาคเงินหรือทรัพย์สินให้แก่กองทุนส่งเสริมงานวัฒนธรรม ๒. การส่งเสริมและสนับสนุนศิลปินแห่งชาติ ศิลปินพื้นบ้าน เช่น จัดทำโครงการมหกรรมการแสดงพื้นบ้าน ๔ ภาค เพื่อน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณแด่องค์อัครศิลปิน เพื่อถวายความอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช สนับสนุนงบประมาณให้สมาคมเครือข่ายศิลปินพื้นบ้าน จำนวน ๗ แห่ง ๆ ละ ๕๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อจัดกิจกรรมการอบรม การถ่ายทอดการแสดงพื้นบ้าน โดยมีศิลปินพื้นบ้านแขนงต่าง ๆ เป็นผู้ถ่ายทอดองค์ความรู้สู่เยาวชนในภูมิภาคต่าง ๆ สนับสนุนงบประมาณให้สำนักงานวัฒนธรรมนำคณะนักแสดงพื้นบ้านแสดงในงานต่าง ๆ และขอความอนุเคราะห์กระทรวงการต่างประเทศเพื่ออำนวยความสะดวกในการออกหนังสือเดินทางฉบับสีน้ำเงินให้แก่ศิลปิน กรณีเดินทางไปเผยแพร่ผลงานหรือไปแสดงในต่างประเทศร่วมกับคณะของทางราชการ เป็นต้น ๓. แนวทาง/แผนการดำเนินการต่อไป แบ่งออกเป็น ๓ ระยะ ได้แก่ (๑) ระยะสั้น เช่น ในปี พ.ศ. ๒๕๖๐ จะจัดตั้งสมาคมศิลปินพื้นบ้านจากเดิม ๔ สมาคม เป็น ๗ สมาคม จัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมในการอุดหนุนศิลปินแห่งชาติและศิลปินพื้นบ้าน เป็นต้น (๒) ระยะกลาง เช่น นำศิลปินแห่งชาติ ศิลปินพื้นบ้าน เผยแพร่ผลงานให้เป็นที่รู้จักในต่างประเทศ การดำเนินการขอลดหย่อนภาษีสำหรับการจ้างศิลปินพื้นบ้านทำการแสดง และ (๓) ระยะยาว ได้แก่ การหาพื้นที่และตลาดในการจ้างงานสำหรับศิลปิน และการจัดตั้งองค์กรดูแลศิลปินโดยเฉพาะ เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18837 | ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนกันยายน 2559 | อก | 29/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนกันยายน ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ ๐.๖ โดยอุตสาหกรรมสำคัญที่ขยายตัว เช่น เครื่องประดับ เครื่องปรับอากาศ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านเรือน ผลิตภัณฑ์กระดาษ เป็นต้น ๒. โรงงานที่ได้รับใบอนุญาตและแจ้งประกอบกิจการเพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม ๒๕๕๙ ร้อยละ ๑๙.๑ การจ้างงานเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๗.๑ แต่มียอดเงินลงทุนรวมลดลงร้อยละ ๑๖.๓ และเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปี ๒๕๕๘ มีโรงงานที่ได้รับใบอนุญาตและแจ้งประกอบกิจการลดลงร้อยละ ๘.๔ ๓. การนำเข้าเครื่องจักรใช้ในอุตสาหกรรมและส่วนประกอบขยายตัวร้อยละ ๕.๗ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน จากการนำเข้าเครื่องสูบลม เครื่องสูบของเหลว ตลับลูกปืน เครื่องจักรใช้ในการแปรรูปโลหะ รวมถึงเครื่องจักรใช้ในการแปรรูปไม้ที่เพิ่มขึ้น ส่วนด้านการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (ไม่รวมทองคำ) ขยายตัวร้อยละ ๓.๑ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน จากการนำเข้าอุปกรณ์ส่วนประกอบของเครื่องใช้ไฟฟ้า เคมีภัณฑ์ และผลิตภัณฑ์ทำจากพลาสติกที่เพิ่มขึ้น ๔. การใช้ไฟฟ้าของภาคอุตสาหกรรมการผลิตลดลงจากเดือนสิงหาคม ๒๕๕๙ ร้อยละ ๑.๕ แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ ๔.๓ จากช่วงเดียวกันของปี ๒๕๕๘
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18838 | ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อทำเหมืองแร่ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ศิลานิล ที่จังหวัดสระบุรี | อก | 29/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมชี้แจงเพิ่มเติมว่า ในการทำเหมืองแร่ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ศิลานิล หากดำเนินการในส่วนเฉพาะที่มีการเปิดเหมืองไปแล้ว เพื่อทำเหมืองแร่ในระดับลึกลงไปจากเดิมตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาตินั้น ไม่สอดคล้องกับหลักความปลอดภัยในการทำเหมืองเพราะมีความเสี่ยงที่จะเกิดเหตุเหมืองถล่มได้ง่าย อันจะก่อให้เกิดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง แต่การทำเหมืองที่มีการขออนุญาตนี้ ได้มีการกันพื้นที่เป็น Buffer Zone เพื่อป้องกันเหตุดังกล่าวไว้แล้ว ๒. อนุมัติการขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี เพื่อทำเหมืองแร่ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ศิลานิล ที่จังหวัดสระบุรี ตามคำขอประทานบัตรที่ ๑๒/๒๕๕๕ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมกำกับและติดตามการดำเนินการของผู้ที่ได้รับอนุญาตต่อเนื่องเป็นระยะๆ โดยให้ผู้ได้รับอนุญาตดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และเงื่อนไขในการอนุญาตอย่างเคร่งครัด โปร่งใส และตรวจสอบได้ รวมทั้งต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดความขัดแย้งกับประชาชนและชุมชน ตลอดจนไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ด้วย ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงสาธารณสุข อาทิ เห็นควรให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกัน แก้ไข และลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมถึงมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม และการจัดตั้งกองทุนตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ไปกำหนดเป็นเงื่อนไขในการอนุญาตประทานบัตรเหมืองแร่ และสนับสนุนให้มีการเฝ้าระวังสุขภาพและสื่อสารข้อมูลแก่ประชาชนในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการวางแผนการตอบสนองความต้องการใช้แร่หินปูนของประเทศในระยะยาวให้สอดคล้องกับข้อจำกัดทางทรัพยากรในปัจจุบันไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18839 | ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อทำเหมืองแร่ของห้างหุ้นส่วนจำกัด พนาสิทธิ์ ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน | อก | 29/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี เพื่อทำเหมืองแร่ของห้างหุ้นส่วนจำกัด พนาสิทธิ์ ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ตามคำขอประทานบัตรที่ ๓/๒๕๔๘ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ และวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมกำกับและติดตามการดำเนินการของผู้ที่ได้รับอนุญาตอย่างต่อเนื่อง เป็นระยะ ๆ โดยให้ผู้ได้รับอนุญาตดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และเงื่อนไขในการอนุญาตอย่างเคร่งครัด โปร่งใส และตรวจสอบได้ รวมทั้งต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดความขัดแย้งกับประชาชนและชุมชน ตลอดจนไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ด้วย ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อาทิ เห็นควรให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกัน แก้ไข และลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม รวมถึงการจัดตั้งกองทุนตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA)และสนับสนุนกรเฝ้าระวังด้านสุขภาพและสื่อสารข้อมูลแก่ประชาชนในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมศึกษารายละเอียดของการใช้ประโยชน์และความจำเป็นทางเศรษฐกิจของการทำเหมืองแร่วุลแฟรมและซีไลต์ในการพัฒนาอุตสาหกรรมต่อเนื่อง และให้มีมาตรการควบคุมการส่งออกแร่ในรูปวัตถุดิบทั้งโดยถูกต้องตามกฎหมายหรือป้องกันการลักลอบส่งออกแร่ดังกล่าวอย่างเข้มงวด ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
18840 | ผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศ (ASEAN Ministerial Conference on Cybersecurity) และงาน Singapore International Cyber Week | ดท | 29/11/2559 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเข้าร่วมประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศ (ASEAN Ministerial Conference on Cybersecurity) และงาน Singapore International Cyber Week ระหว่างวันที่ ๙-๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๙ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ของรองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ มีประเด็นสำคัญ ดังนี้
๑. การประชุมสัมมนาและงานนิทรรศการ GovernmentWare (GovWare) มีประเด็นสำคัญ ได้แก่ การสร้างความตระหนักรู้ในระดับผู้นำประเทศ การสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภายในและระหว่างประเทศ การบังคับใช้กฎหมายในการรับมือกับอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ การส่งเสริมให้เกิดมาตรฐานสากลในการรักษาความปลอดภัยทางสารสนเทศ ความจำเป็นของการมีหน่วยงานหรือบุคคลเพื่อการติดต่อประสานงานที่เกี่ยวข้อง การส่งเสริมมาตรฐานสากล การสร้างมาตรการเพื่อสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ และการกำหนดยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศ ๒. การประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศ (ASEAN Ministerial Conference on Cybersecurity) มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลและข้อคิดเห็นร่วมกันระหว่างรัฐมนตรีอาเซียน ภายใต้หัวข้อต่าง ๆ ได้แก่ การกำหนดทิศทางของยุทธศาสตร์และนโยบายด้านความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศของอาเซียน การกำหนดลำดับความสำคัญของขอบเขตการดำเนินงานด้านความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศในอาเซียน การหลอมรวมความร่วมมือด้านความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศในอาเซียนให้มีความใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น และการพิจารณาองค์ประกอบสำคัญที่จะรวมไว้ในยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศของอาเซียน โดยรองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) ได้ร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูลและข้อคิดเห็นในประเด็นการกำหนดลำดับความสำคัญของขอบเขตการดำเนินงานด้านความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศในอาเซียน ซึ่งต้องคำนึงถึงนโยบาย ยุทธศาสตร์ กฎหมาย กฎระเบียบ ทรัพยากรที่มีอยู่ และระดับการพัฒนาที่แตกต่างกันของแต่ละประเทศสมาชิกอาเซียน รวมถึงสนับสนุนให้ประเทศสมาชิกอาเซียนจะต้องร่วมมือกันในทุกระดับในการรับมือกับภัยคุกคามผ่านเวทีหารือ การจัดฝึกอบรม และการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรม ๓. รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) ได้หารือทวิภาคีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสื่อสารและสารสนเทศของสิงคโปร์ โดยเสนอให้เพิ่มเติมสาขาความร่วมมือด้านความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศเข้าไปเป็นสาขาที่ ๑๔ ภายใต้กรอบการประชุมโครงการความร่วมมือระหว่างหน่วยราชการไทย-สิงคโปร์ (Civil Service Exchange Programme : CSEP) รวมทั้งหารือร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมของมาเลเซีย โดยประเด็นที่มีการหารือมุ่งเน้นการตระหนักถึงความสำคัญของการส่งเสริมศักยภาพบุคลากรด้านความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศ ๔. การศึกษาดูงาน ณ สำนักงานองค์การตำรวจอาชญากรรมระหว่างประเทศ (INTERPOL) ด้านนวัตกรรม (The INTERPOL Global Complex for Innovation : IGCI) ซึ่งจะเป็นศูนย์กลางการประสานงานความร่วมมือและสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ โดยคณะผู้แทนได้เยี่ยมชมอาคารและศูนย์ต่าง ๆ ของ IGCI พร้อมรับฟังการบรรยายเกี่ยวกับภาพรวมการทำงานของ INTERPOL
|
.....