ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 530 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 10581 - 10600 จากข้อมูลทั้งหมด 123963 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
10581 | ร่างบันทึกความร่วมมือด้านไปรษณีย์ระหว่างกระทรวงกิจการภายในและการสื่อสารแห่งประเทศญี่ปุ่นและกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับใหม่ | ดศ | 19/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติให้มีการลงนามในร่างบันทึกความร่วมมือด้านไปรษณีย์ระหว่างกระทรวงกิจการภายในและการสื่อสารแห่งประเทศญี่ปุ่นและกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งราชอาณาจักรไทย (Memorandum of Cooperation in the Postal Field between the Ministry of Internal Affairs and Communications of Japan and the Ministry of Digital Economy and Society of the Kingdom of Thailand) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความร่วมมือฯ (ยังไม่มีกำหนดวันลงนามในร่างบันทึกความร่วมมือฯ) โดยร่างบันทึกความร่วมมือฯ จัดทำขึ้นเพื่อใช้บังคับแทนบันทึกความร่วมมือฯ ฉบับเดิม ที่สิ้นสุดการใช้บังคับเมื่อเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๒ โดยคงหลักการและทิศทางในแนวทางเดิม แต่ปรับรายละเอียดเนื้อหาและเพิ่มกิจกรรมให้สอดคล้องกับสภาพการณ์และการดำเนินงานในปัจจุบัน เช่น การแปลงที่ทำการไปรษณีย์ในประเทศไทยให้ประชาชนได้นำผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นหรือผลิตภัณฑ์เกษตรมาขายในช่องทางออนไลน์ และกำหนดให้การสิ้นสุดของบันทึกความร่วมมือฯ จะไม่มีผลต่อกิจกรรมความร่วมมือข้างต้นที่ยังอยู่ระหว่างการดำเนินการในช่วงที่บันทึกความร่วมมือฯ หมดอายุ รวมทั้งเปลี่ยนการลงนามเป็นรัฐมนตรีว่าการของทั้งสองฝ่ายเพื่อยกระดับความร่วมมือด้านไปรษณีย์ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ และให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมที่เห็นควรดำเนินการตามระเบียบ กฎหมาย และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความร่วมมือฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10582 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างอาเซียนกับสหพันธรัฐรัสเซียว่าด้วยความร่วมมือด้านการจัดการภัยพิบัติ | มท | 19/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างอาเซียนและสหพันธรัฐรัสเซียว่าด้วยความร่วมมือด้านการจัดการภัยพิบัติ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับสหพันธรัฐรัสเซียในการพัฒนา จัดโครงการเฉพาะ หรือกิจกรรมด้านการจัดการภัยพิบัติโดยอาศัยทรัพยากรและสิ่งอำนวยความสะดวกของคู่ภาคีที่หามาได้ โดยขึ้นอยู่กับกฎหมายภายในประเทศ กฎ ระเบียบ และนโยบายแห่งชาติซึ่งใช้บังคับในแต่ละประเทศสมาชิกอาเซียน รวมทั้งสหพันธรัฐรัสเซีย โดยมีเป้าหมายของโครงการความร่วมมือด้านการจัดการภัยพิบัติ เน้นการส่งเสริมและสนับสนุนการแจ้งเตือนภัยล่วงหน้า อำนวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการจัดการภัยพิบัติ และการตอบโต้สถานการณ์ฉุกเฉิน ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีที่ทันสมัยสำหรับการบรรเทาความเสี่ยงจากภัยพิบัติ สนับสนุนการปฏิบัติงานของศูนย์ประสานงานอาเซียนในการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และศูนย์ภาวะวิกฤตของสหพันธรัฐรัสเซีย ๑.๒ ให้เลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามร่วมกับสหพันธรัฐรัสเซีย เนื่องจากเป็นการดำเนินงานตามความตกลงอาเซียนว่าด้วยการจัดการภัยพิบัติและการตอบโต้สถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งเป็นพันธกรณีที่ประเทศไทยได้ลงนามรับรองไว้แล้วเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๘ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในฐานะผู้ประสานงานหลักในคณะกรรมการอาเซียนด้านการจัดการภัยพิบัติทำความเข้าใจร่วมกันกับกระทรวงป้องกันภัยฝ่ายพลเรือนแห่งสหพันธรัฐรัสเซียที่เป็นตัวแทนของสหพันธรัฐรัสเซียในประเด็นเนื้อหาในร่างบันทึกความเข้าใจฯ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันในแต่ละประเด็น และไม่ก่อให้เกิดการสร้างภาระผูกพันในประเด็นที่อาจจะขัดกับกฎหมายของแต่ละประเทศทั้งทางตรงและทางอ้อม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10583 | ขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อทำเหมืองแร่ของห้างหุ้นส่วนจำกัด พลัดแอกอุตสาหกรรมเหมืองแร่ ที่จังหวัดสระบุรี | อก | 19/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการขอผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี เพื่อทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง ตามคำขอประทานบัตรที่ ๔/๒๕๕๘ ของห้างหุ้นส่วนจำกัด พลัดแอกอุตสาหกรรมเหมืองแร่ ที่จังหวัดสระบุรี ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ และ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมกำหนดมาตรการและเงื่อนไขในการอนุญาตประทานบัตรให้รัดกุม เข้มงวด เพื่อป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งกำกับและติดตามการดำเนินการให้ผู้ที่ได้รับประทานบัตรดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และเงื่อนไขในการอนุญาตประทานบัตรอย่างเคร่งครัด เพื่อให้การทำเหมืองเกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจโดยรวมและสามารถลดผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และมีการฟื้นฟูป่าต้นน้ำและการปลูกป่าทดแทนเพื่อให้พื้นที่ทำเหมืองฟื้นคืนสภาพป่าในระยะต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ เช่น (๑) หน่วยงานที่เกี่ยวกับควรมีการกำกับติดตามให้ผู้ขอประทานบัตรปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมถึงมาตรการด้านสุขภาพของประชาชน และมาตรการการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้ความสำคัญกับการดำเนินงานภายใต้กองทุนเฝ้าระวังสุขภาพในการเฝ้าระวังสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ที่อาจได้รับผลกระทบจากการทำเหมืองแร่ และ (๒) หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรศึกษาเพื่อประเมินสถานการณ์ปัจจุบันของพื้นที่ป่าต้นน้ำของไทยทั้งในภาพรวมและในเชิงพื้นที่ของแต่ละลุ่มน้ำให้ชัดเจน เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจเชิงนโยบายในภาพรวมและตามบริบทของแต่ละพื้นที่ เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10584 | ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง หลักเกณฑ์การลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเป็นพิเศษ ตามประมวลกฎหมายที่ดิน สำหรับกรณีการโอนและการจำนองอสังหาริมทรัพย์ในภารกิจของสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด [การลดหย่อนค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามภารกิจของสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน)] | อื่นๆ | 19/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง หลักเกณฑ์การลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเป็นพิเศษ ตามประมวลกฎหมายที่ดิน สำหรับกรณีการโอนและการจำนองอสังหาริมทรัพย์ในภารกิจของสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด มีสาระสำคัญเป็นการขยายระยะเวลาการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๗ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ เกี่ยวกับการจดทะเบียนโอนและการจำนองอสังหาริมทรัพย์ในการบริหารจัดการธนาคารที่ดินของสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) จากอัตราร้อยละ ๒ และร้อยละ ๑ ตามลำดับ เหลืออัตราร้อยละ ๐.๐๑ ตามราคาประเมินทุนทรัพย์ ตั้งแต่วันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๖๓ ถึงวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๖๕ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของเกษตรกรผู้มีรายได้น้อยในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ตามที่สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10585 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นายเกษม ทวีปัญญสกุล) | นร08 | 19/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายเกษม ทวีปัญญสกุล ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการประสานกิจการความมั่นคง (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10586 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นายอภิชาต จารุศิริ) | ยธ | 19/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายอภิชาต จารุศิริ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาเฉพาะด้านนโยบายและการบริหารงานยุติธรรม (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงยุติธรรม ตั้งแต่วันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๖๒ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10587 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงสถานที่ควบคุมงานก่อสร้างเรือนจำจังหวัดนครนายก 1 แห่ง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ด้วยวิธีคัดเลือก | ยธ | 19/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงยุติธรรม (กรมราชทัณฑ์) เปลี่ยนแปลงสถานที่ควบคุมงานก่อสร้างเรือนจำจังหวัดนครนายก ๑ แห่ง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ด้วยวิธีคัดเลือก จากเดิม ตำบลเขาพระ อำเภอเมืองนครนายก จังหวัดนครนายก เป็น ตำบลทรายมูล อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ จำนวน ๔,๖๔๘,๓๐๐ บาท ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้ขยายเวลาเบิกจ่ายเงินงบประมาณได้ถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนกันยายน ๒๕๖๓ ส่วนที่เหลืออีก จำนวน ๑๘,๓๕๑,๗๐๐ บาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ทั้งนี้ เห็นควรให้กรมราชทัณฑ์เร่งปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี หนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วน อย่างโปร่งใส คุ้มค่า ประหยัด โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. การดำเนินการแผนงาน/โครงการต่าง ๆ ในครั้งต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงยุติธรรมถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการและการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ) ที่กำหนดให้ในขั้นตอนการริเริ่มโครงการ ให้ส่วนราชการตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการนั้น ๆ อย่างละเอียดรอบคอบให้ถูกต้อง ครบถ้วนในทุกมิติก่อนอย่างเคร่งครัดด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10588 | ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2563 เรื่อง อนุมัติการกู้เงิน Soft loan ของสำนักงานธนานุเคราะห์ (สธค.) จำนวน 2,000 ล้านบาท จากธนาคารออมสิน โดยให้กระทรวงการคลังค้ำประกัน | พม | 19/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๓ (เรื่อง โครงการ สธค. โรงรับจำนำของรัฐ สู้ภัยโควิด ๑๙ โดยขยายเวลาตั๋วจำนำและลดดอกเบี้ยรับจำนำและการกู้เงิน Soft loan จำนวน ๒,๐๐๐ ล้านบาท จากธนาคารออมสิน โดยให้กระทรวงการคลังค้ำประกัน) ในข้อ ๑ เป็น “๑. อนุมัติการกู้เงิน Soft loan ของสำนักงานธนานุเคราะห์ (สธค.) จำนวน ๒,๐๐๐ ล้านบาท จากธนาคารออมสิน โดยให้กระทรวงการคลังค้ำประกัน เพื่อเป็นการเตรียมเงินทุนหมุนเวียนรองรับธุรกรรมการให้บริการรับจำนำแก่ประชาชน สำหรับโครงการ สธค. โรงรับจำนำของรัฐ สู้ภัยโควิด ๑๙ ทั้งนี้ ในส่วนของการปรับเป้าหมายผลการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดย สธค. ดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด” ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดย สธค. รับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรกำหนดแนวทางการบริหารจัดการภาระหนี้ที่จะเพิ่มขึ้นอย่างรอบคอบ เพื่อลดผลกระทบต่อสภาพคล่องและผลการดำเนินงานของ สธค. และ สธค. ควรดำเนินการก่อหนี้ให้สอดคล้องตามนัยมาตรา ๔๙ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ สำหรับการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการค้ำประกันให้เป็นไปตามกฎกระทรวงกำหนดอัตราและเงื่อนไขการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการค้ำประกันของกระทรวงการคลัง พ.ศ. ๒๕๕๑ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10589 | ร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. .... | นร07 | 19/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว พร้อมเอกสารประกอบ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ และให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเป็นเรื่องด่วนต่อไป ๒. ให้สำนักงบประมาณได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10590 | พระพุทธศาสนาในสถานการณ์ COVID-19 | พศ | 19/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินงานตามพระดำริของสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เรื่อง “พระพุทธศาสนาในสถานการณ์ COVID-19” ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์ บท “รตนสูตร” เพื่อความเป็นสวัสดิมงคล สร้างขวัญ และกำลังใจแก่ประชาชน รัฐบาลและคณะสงฆ์ได้ดำเนินการทั้งในส่วนกลาง (กรุงเทพมหานคร) และส่วนภูมิภาค ให้มีการเจริญพระพุทธมนต์ บท “รตนสูตร” พร้อมกันในวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๖๓ ๒. การรณรงค์สร้างความเชื่อมั่นให้วัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวทั่วประเทศร่วมทำความสะอาดป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติดำเนินการประสานความร่วมมือกับวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เพื่อนำร่องการจัดกิจกรรมรณรงค์ ป้องกัน การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 จำนวน ๗ วัด ในส่วนภูมิภาคได้มอบหมายให้สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดทุกจังหวัดประสานความร่วมมือกับคณะจิตอาสาในพื้นที่ร่วมกันทำความสะอาดวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญในแต่ละจังหวัด ทั่วประเทศไม่น้อยกว่า ๑๕๐ วัด ๓. สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มีพระบัญชาโปรดให้ไวยาวัจกรจัดกัปปิยภัณฑ์เท่าจำนวน ๒ ล้านบาท ประทานเป็นทุนประเดิมสำหรับจัดหาหน้ากากอนามัยที่ได้มาตรฐานถวายแด่พระภิกษุสามเณรทั่วประเทศ ๔. จัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) (โรงทาน) ตามพระดำริของสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก โดยศูนย์ช่วยเหลือฯ ได้ประสานภารกิจร่วมกับหน่วยงานและบุคลากรทางการแพทย์และการสาธารณสุขซึ่งประจำอยู่ในพื้นที่ในการปฏิบัติเกี่ยวกับการจัดตั้งโรงทาน และการแจกจ่ายให้เป็นไปตามหลักสุขอนามัย รวมจำนวน ๔๒,๑๘๖ วัด โรงทาน ๘๐๔ ศูนย์ ๕. สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติและองค์กรคณะสงฆ์สนับสนุนงบประมาณช่วยเหลือวัดที่ขาดแคลนและได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ได้แก่ (๑) โอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณจากงบเงินอุดหนุนทั่วไป โครงการเงินอุดหนุนค่าใช้จ่ายสนับสนุนวัดเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการป้องกันโรค COVID-19 วงเงิน ๒๑.๓๖ ล้านบาท โดยได้อุดหนุนวัดที่เป็นศูนย์กลางระดับจังหวัด ๆ ละ ๕๐,๐๐๐ บาท รวม ๓.๘๐ ล้านบาท และอุดหนุนวัดที่เป็นศูนย์กลางระดับอำเภอ ๆ ละ ๒๐,๐๐๐ บาท รวม ๑๗.๕๖ ล้านบาท และ (๒) งบประมาณจากกองทุน “วัดช่วยวัด” พ.ศ. ๒๕๖๒ วงเงิน ๒๔ ล้านบาท ได้จัดสรรให้กับวัดและพระภิกษุสามเณร ในลักษณะสมทบรายหัว ๆ ละ ๔๐ บาท จำนวน ๒๐,๐๐๐ รูป (งวดแรก) จากวัดที่สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดรายงานและรับรองข้อมูลวัดที่ต้องช่วยเหลือเร่งด่วน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10591 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นางสาวศศิริทธิ์ ตันกุลรัตน์) | กต | 19/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสาวศศิริทธิ์ ตันกุลรัตน์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงไนโรบี สาธารณรัฐเคนยา เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10592 | การแต่งตั้งประธานกรรมการ กรรมการผู้แทนสมาคม และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการขายตรงและตลาดแบบตรง | นร | 19/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการ กรรมการผู้แทนสมาคม และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการขายตรงและตลาดแบบตรง รวม ๙ คน เนื่องจากประธานกรรมการ กรรมการผู้แทนสมาคม และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสามปี โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๙ พฤษภาคม ๒๕๖๓) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายเทวัญ ลิปตพัลลภ) เสนอ ดังนี้
ประธานกรรมการ ๑. นางสร้อยทิพย์ ไตรสุทธิ์ กรรมการผู้แทนสมาคม ๒. นายนพปฎล เมฆเมฆา (ผู้แทนสมาคมที่มีวัตถุประสงค์เกี่ยวกับธุรกิจขายตรง) ๓. นายนคร เสรีรักษ์ (ผู้แทนสมาคมที่มีวัตถุประสงค์เกี่ยวกับธุรกิจตลาดแบบตรง) ๔. นายทวี กาญจนภู (ผู้แทนสมาคมที่มีวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค) ๕. นายบรรจง บุญรัตน์ (ผู้แทนสมาคมที่มีวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค) กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๖. พลตำรวจโท ปัญญา เอ่งฉ้วน ๗. นายวิฑูรย์ สิมะโชคดี (ผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน) ๘. นายจุลพงษ์ ทวีศรี ๙. พันเอก ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ (ผู้ทรงคุณวุฒิภาคเอกชน)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10593 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (1. นายทวีศักดิ์ วาณิชย์เจริญ ฯลฯ รวม 4 ราย) | กก | 19/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง เพื่อสับเปลี่ยนหมุนเวียน จำนวน ๔ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ดังนี้
๑. นายทวีศักดิ์ วาณิชย์เจริญ ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นายอนันต์ วงศ์เบญจรัตน์ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการท่องเที่ยว ๓. นายสันติ ป่าหวาย ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๔. นายนิวัฒน์ ลิ้มสุขนิรันดร์ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมพลศึกษา
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10594 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกของปี 2563 และแนวโน้มปี 2563 | นร11 | 19/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกของปี ๒๕๖๓ และแนวโน้มปี ๒๕๖๓ ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปี ๒๕๖๓ ปรับตัวลดลงร้อยละ ๑.๘ เทียบกับการขยายตัวร้อยละ ๑.๕ ในไตรมาสก่อนหน้า (%YoY) และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปี ๒๕๖๓ ลดลงจากไตรมาสที่สี่ของปี ๒๕๖๒ ร้อยละ ๒.๒ (%QoQ_SA) โดยด้านการใช้จ่าย การบริโภคภาคเอกชนชะลอตัว การใช้จ่ายภาครัฐ การลงทุนภาครัฐและภาคเอกชนปรับตัวลดลง การส่งออกรวมปรับตัวลดลงตามการส่งออกบริการที่ปรับตัวลดลงมาก ในขณะที่การส่งออกสินค้ากลับมาขยายตัว ส่วนด้านการผลิต การผลิตสาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร สาขาอุตสาหกรรม สาขาเกษตรกรรม สาขาการขนส่ง และสาขาก่อสร้างปรับตัวลดลง ขณะที่การผลิตสาขาการขายส่งและการขายปลีก สาขาไฟฟ้าและก๊าซ สาขาการเงินและการประกันภัย และสาขาข้อมูลข่าวสารขยายตัว ๒. แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี ๒๕๖๓ คาดว่าจะปรับตัวลดลงในช่วงร้อยละ (-๖.๐)-(-๕.๐) เนื่องจาก (๑) การปรับตัวลดลงรุนแรงของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก (๒) การลดลงรุนแรงของจำนวนและรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างประเทศ (๓) เงื่อนไขข้อจำกัดที่เกิดจากการระบาดของโรคโควิด ๑๙ ในประเทศ และ (๔) ปัญหาภัยแล้ง โดยคาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าจะปรับตัวลดลงร้อยละ ๘.๐ การบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนรวมปรับตัวลดลงร้อยละ ๑.๗ และร้อยละ ๒.๑ ตามลำดับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ในช่วงร้อยละ (-๑.๕)-(-๐.๕) และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ ๔.๙ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10595 | ร่างแถลงการณ์ร่วมเนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปี สนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ | กต | 19/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการร่วมรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมเนื่องในโอกาสครบรอบ ๕๐ ปี สนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ (Joint Communique to Commemorate the 50th Anniversary of the Treaty on the Non-Proliferation of Nuclear Weapons) ซึ่งเป็นเอกสารที่รัฐภาคีสนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์จะร่วมกันรับรองโดยไม่มีการลงนาม เนื่องในโอกาสครบรอบ ๕๐ ปี ของการมีผลใช้บังคับของสนธิสัญญาฯ มีสาระสำคัญเพื่อย้ำเจตนารมณ์ร่วมกันของรัฐภาคีสนธิสัญญาฯ ต่อการอนุวัติพันธกรณีของสนธิสัญญาฯ ในมิติต่าง ๆ อย่างครบถ้วนและมีประสิทธิภาพ โดยได้ให้ความสำคัญในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ (๑) การส่งเสริมความเป็นสากลของสนธิสัญญาฯ (๒) การตระหนักถึงความล่าช้าของการดำเนินงานด้านการลดอาวุธนิวเคลียร์และเรียกร้องให้ประเทศที่ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ (nuclear-weapon States) เร่งรัดการดำเนินการที่เกี่ยวข้อง (๓) การตระหนักถึงผลกระทบทางมนุษยธรรมร้ายแรงอันเกิดจากการใช้อาวุธนิวเคลียร์ (๔) การย้ำความสำคัญของการจัดตั้งเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์ในทุกภูมิภาค ซึ่งจะเป็นสิ่งสำคัญต่อการป้องกันการแพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ และ (๕) การเรียกร้องให้รัฐภาคีร่วมกันหารืออย่างเปิดเผย โปร่งใส และสร้างสรรค์ เพื่อผลักดันให้สนธิสัญญาฯ มีความก้าวหน้า ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10596 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานและกิจการที่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 พ.ศ. .... | ดศ | 19/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานและกิจการที่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. ๒๕๖๒ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้บางหน่วยงานและบางกิจการที่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. ๒๕๖๒ ในช่วงระยะเวลาที่ยังไม่พร้อมที่จะปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมายนี้ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเร่งรัดการดำเนินการเพื่อจัดทำกฎหมายลำดับรอง หลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะเรื่องที่จำเป็นต้องมีเมื่อกฎหมายมีผลบังคับใช้ ๓. รับทราบรายงานเหตุผลที่ไม่อาจดำเนินการจัดทำระเบียบและประกาศออกตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. ๒๕๖๒ ได้ภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ๔. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมอบหมายให้สำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมทำหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อเร่งดำเนินการออกกฎหมายลำดับรอง และกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประเทศ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว รวมทั้งเร่งสื่อสารทำความเข้าใจกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง และนำไปสู่การปฏิบัติตามกฎหมายได้ทันที ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๕. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10597 | ร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมทางไกลเจ้าหน้าที่อาวุโสของประเทศสมาชิกและคู่เจรจาสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดียว่าด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) การรับมือ ความร่วมมือและความเป็นหุ้นส่วน | กต | 19/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างถ้อยแถลงเจ้าหน้าที่อาวุโสสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดียว่าด้วยความร่วมมือและเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวในการรับมือกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ [Committee of Senior Officials (CSO) Statement on IORA Solidarity and Cooperation in response to COVID-19] และให้อธิบดีกรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะเจ้าหน้าที่อาวุโส IORA ของไทย หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมให้การรับรองเอกสารดังกล่าว โดยร่างถ้อยแถลงฯ เป็นเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมที่จะมีการรับรองโดยไม่มีการลงนามในการประชุมทางไกลเจ้าหน้าที่อาวุโสของประเทศสมาชิกและคู่เจรจาสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดียว่าด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) การรับมือ ความร่วมมือและความเป็นหุ้นส่วน [Indian Ocean Rim Association (IORA) Virtual Meeting of the Committee of Senior Officials (CSO)-Dialogue Partner Engagement on COVID-19 : Responses, Cooperation, and Partnerships] ในวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๓ มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ของเจ้าหน้าที่อาวุโสของประเทศสมาชิกในการแสดงความมุ่งมั่นร่วมกันในการรับมือกับการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ โดยมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูล มาตรการและแนวปฏิบัติอันเป็นเลิศ การจัดตั้งช่องทางการแลกเปลี่ยนข้อมูล การเปิดตลาดการค้าการลงทุน ความร่วมมือพหุภาคี การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน การให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศสมาชิกที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศสมาชิกที่เปราะบาง และประเทศที่พัฒนาน้อยที่สุด ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10598 | รายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work From Home) และการเหลื่อมเวลาในการทำงานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการรายสัปดาห์ ครั้งที่ 1 | นร10 | 19/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง (Work From Home) และการเหลื่อมเวลาในการทำงานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการ รายสัปดาห์ ครั้งที่ ๑ โดยสรุปข้อมูล ณ วันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๓ จาก ๑๔๐ ส่วนราชการ คิดเป็นร้อยละ ๙๘.๖ ของส่วนราชการทั้งหมด ๑๔๒ ส่วนราชการ ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งของส่วนราชการ (Work From Home) ส่วนราชการร้อยละ ๑๐๐ (๑๔๐ ส่วนราชการ) มีการมอบหมายให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้ง ซึ่งส่วนราชการร้อยละ ๕๓ (๗๔ ส่วนราชการ) กำหนดสัดส่วนให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ร้อยละ ๕๐ ขึ้นไปปฏิบัติงานนอกสถานที่ โดยมีการมอบหมายในหลายรูปแบบ เช่น ปฏิบัติงานที่บ้านสลับกับมาปฏิบัติงาน ณ สถานที่ตั้งของส่วนราชการแบบวันเว้นวัน สัปดาห์ละ ๑ วัน สัปดาห์ละ ๒ วัน หรือ สัปดาห์เว้นสัปดาห์ เป็นต้น ๒. การเหลื่อมเวลาในการทำงานในสถานที่ตั้งของส่วนราชการ ส่วนใหญ่เลือกใช้การเหลื่อมเวลาการปฏิบัติงาน เวลา ๐๗.๓๐-๑๕.๓๐ น. และเวลา ๐๘.๓๐-๑๖.๓๐ น. แต่บางส่วนราชการก็มีรูปแบบการเหลื่อมเวลาการปฏิบัติงานอื่น ๆ ได้แก่ เวลา ๐๖.๐๐-๑๔.๐๐ น. เวลา ๑๔.๐๐-๒๒.๐๐ น. และเวลา ๒๒.๐๐-๐๖.๐๐ น. รวมทั้งมอบหมายให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานในสถานที่ตั้งตามวันเวลาปกติในบางลักษณะงานที่มีความจำเป็น โดยลักษณะงานส่วนใหญ่ เช่น งานให้บริการประชาชน งานรักษาพยาบาลในโรงพยาบาล งานในห้องปฏิบัติการ และงานตามนโยบายเร่งด่วนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10599 | ปัญหาการเบิกค่าใช้จ่ายในการดำเนินการที่เกี่ยวกับการกักกันผู้เดินทางที่มาจากต่างประเทศ | นร | 19/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้ส่วนราชการที่รับผิดชอบการดำเนินการแยกกัก กักกัน หรือคุมไว้ สังเกตอาการของบุคคลที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ทั้งที่เป็นคนไทยที่อยู่อาศัยในประเทศและที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ รวมทั้งบุคคลไร้สัญชาติและชาวต่างประเทศที่พำนักอยู่ในประเทศไทย ทั้งที่อยู่ในที่พักอาศัยของตนเอง (Home Quarantine) อยู่ในสถานที่กักกันโรคในท้องที่ (Local Quarantine) หรืออยู่ในสถานที่กักกันโรคที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) ให้สามารถเบิกค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในส่วนของภาครัฐที่เกี่ยวข้องที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๖๓ ได้ทุกรายการตามข้อเท็จจริงและความจำเป็น เช่น ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่ายานพาหนะ ค่าเครื่องมือและค่าอุปกรณ์ที่จำเป็นในการป้องกันและควบคุมโรค ค่าเบี้ยเลี้ยงและค่าตอบแทนผู้ปฏิบัติงาน ค่าทำความสะอาดสถานที่ เป็นต้น โดยให้เบิกจ่ายจากงบกลาง งบประมาณรายจ่ายประจำปีของส่วนราชการ งบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือเงินทดรองราชการในเชิงป้องกันหรือยับยั้งภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ได้ตามแต่กรณี ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามระเบียบหลักเกณฑ์ที่มีอยู่ของส่วนราชการ หรือระเบียบ หลักเกณฑ์ที่กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณพิจารณากำหนดตามแต่กรณี ๒. ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องที่ประสงค์จะขอเบิกค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ตามข้อ ๑ จากเงินงบกลาง ส่งคำขอการเบิกจ่ายดังกล่าวพร้อมเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องไปยังกระทรวงสาธารณสุขโดยด่วน เพื่อพิจารณาอัตราค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน และแจ้งผลการพิจารณาอัตราค่าใช้จ่ายให้ส่วนราชการที่รับผิดชอบทราบ เพื่อให้ส่วนราชการพิจารณาดำเนินการตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามขั้นตอนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
10600 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) ครั้งที่ 5/2563 | นร | 19/05/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอขอแก้ไขสรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ ๕/๒๕๖๓ วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๓ หน้า ๕ ข้อ ๓.๔ แพลตฟอร์ม (Platform) บรรทัดที่ ๑๑ จาก เดิม “...โดยแพลตฟอร์มดังกล่าว จะเก็บข้อมูลไว้ไม่เกิน ๓๐ วัน” เป็น “...โดยแพลตฟอร์มดังกล่าว จะเก็บข้อมูลไว้ไม่เกิน ๖๐ วัน” ๒. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ ๕/๒๕๖๓ วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๓ โดยสาระสำคัญของการประชุมฯ ได้แก่ (๑) รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดและผู้ติดเชื้อ (๒) รายงานการประเมินผลการดำเนินมาตรการผ่อนคลายระยะที่ ๑ (๓) ข้อเสนอมาตรการผ่อนคลายระยะที่ ๒ (๔) แนวทางการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแทนตำแหน่งที่ว่างของจังหวัดลำปางในช่วงการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน (๕) การเคลื่อนย้ายแรงงานสัญชาติเมียนมากลับประเทศ และ (๖) การเตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดสถานศึกษา ตามที่สำนักงานเลขาธิการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 เสนอ
|
.....