ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 431 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 8601 - 8620 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
8601 | ชำระหนี้ค่าวัสดุอาหาร ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 | ยธ. | 27/04/2564 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติให้กรมราชทัณฑ์ก่อหนี้ผูกพันเกินกว่างบประมาณที่ได้รับในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามนัยมาตรา ๔๒ ของพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑
โดยให้กรมราชทัณฑ์พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ จำนวน ๒,๒๕๖,๑๔๐,๙๐๐ บาท
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการชำระหนี้ค่าวัสดุอาหารที่ค้างเบิกข้ามปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๓ โดยให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
สำหรับการเบิกค่าใช้จ่ายดังกล่าว ให้กระทรวงยุติธรรมถือปฏิบัติตามหนังสือกระทรวงการคลัง
ด่วนที่สุด ที่ กค ๐๔๐๙.๓/ว ๑๔ ลงวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๔๘ เรื่อง
การเบิกค่าใช้จ่ายค้างเบิกข้ามปีในระบบบริหารการเงินการคลังภาครัฐด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์
(GFMIS) ตามความเห็นของกระทรวงการคลังต่อไป ๒. ให้กระทรวงยุติธรรม
(กรมราชทัณฑ์) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงพลังงาน สำนักงานศาลยุติธรรม
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
เร่งดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๖๑
(เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
ชำระหนี้ค่าวัสดุอาหารประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๐)
และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ (เรื่อง
ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ชำระหนี้ค่าสาธารณูปโภค ปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๐) ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมและต่อเนื่อง
รวมทั้งให้ติดตามและประเมินผลการดำเนินการเพื่อนำข้อมูลประกอบการพิจารณาก่อนขอรับการจัดสรรงบประมาณในปีต่อ
ๆ ไป ให้เหมาะสมด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
8602 | ร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+3 ครั้งที่ 24 | กค. | 27/04/2564 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแถลงการณ์ร่วมการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+๓
ครั้งที่ ๒๔ (Joint Statement of the 24th ASEAN+3
Finance Ministers’ and Central Bank Governors’ Meeting) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังร่วมรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ
โดยร่างแถลงการณ์ร่วมฯ
เป็นเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมที่จะมีการรับรองในการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+๓
(ASEAN+3 Finance Ministers’ and
Central Bank Governors’ Meeting :
AFMGM+3) ครั้งที่ ๒๔ ในวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๖๔
ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Virtual Meeting) มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน+๓
โดยมีประเด็นครอบคลุมการพัฒนาและแนวโน้มเศรษฐกิจของภูมิภาค
การรับมือกับการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) และแสดงถึงความคืบหน้าของความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการเงินภายใต้กรอบอาเซียน+๓
ตลอดจนการกำหนดแนวทางการทำงานร่วมกันในอนาคต ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการคลังดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
8603 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ข้อเสนอทิศทางประเทศไทยหลังวิกฤตโควิด 19 ในด้านการพาณิชย์และการอุตสาหกรรม ของคณะกรรมาธิการการพาณิชย์และการอุตสาหกรรม วุฒิสภา | 27/04/2564 | |||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา
เรื่อง ข้อเสนอทิศทางประเทศไทยหลังวิกฤตโควิด ๑๙ ในด้านการพาณิชย์และการอุตสาหกรรม
ของคณะกรรมาธิการการพาณิชย์และการอุตสาหกรรม วุฒิสภา ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว
โดยเห็นด้วยกับรายงานและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ
และมีความเห็นเพิ่มเติมว่าการปรับโครงสร้างการผลิตควรส่งเสริมการขยายห่วงโซ่อุปทานของกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความจำเป็น
พัฒนาระบบโลจิสติกส์ให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น และลดการพึ่งพาการผลิตหรือการนำเข้าวัตถุดิบจากแหล่งใดแหล่งหนึ่ง
รวมทั้งการนำระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์มาใช้ในกระบวนการผลิตและพัฒนาบุคลากรที่อยู่ในกระบวนการผลิต
นอกจากนี้ ควรส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เนื่องจากมีความสามารถในการบริหารจัดการด้านการเงินและการตลาดค่อนข้างต่ำ
การส่งเสริมการค้าภาคบริการ เห็นควรผลักดันให้เกิดแพลตฟอร์มการค้าดิจิทัลระหว่างประเทศของไทย
โดยการพัฒนาแพลตฟอร์มการค้าระดับชาติเพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการธุรกิจ SMEs และรายย่อย เพื่อลดต้นทุนและระยะเวลาในการทำธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศ
สำหรับด้านการพาณิชย์และอุตสาหกรรม
ควรเน้นนโยบายการค้าของไทยโดยใช้หลักการตลาดนำการผลิต เพื่อให้เกิดสมดุลระหว่างปริมาณการผลิตและความต้องการสินค้า
รวมถึงควรส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพและยกระดับศักยภาพของสมุนไพรไทย ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
8604 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นายทรงศักดิ์ ส่งเสริมอุดมชัย ) | คค. | 20/04/2564 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นายทรงศักดิ์ ส่งเสริมอุดมชัย
เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ปฏิบัติหน้าที่เลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม
(นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๐
เมษายน ๒๕๖๔) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
8605 | การเลื่อนวันประชุมคณะรัฐมนตรี (เดือนพฤษภาคม 2564) | นร.05 | 20/04/2564 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีรายงานว่า
ในวันอังคารที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๖๔ เป็นวันหยุดราชการเนื่องจากตรงกับวันฉัตรมงคล
นายกรัฐมนตรีจึงมีบัญชาให้เลื่อนวันประชุมคณะรัฐมนตรีจากวันอังคารที่ ๔ พฤษภาคม
๒๕๖๔ ไปเป็นวันพุธที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๔
|
|||||||||||||||||||||||||||
8606 | การจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งรัฐคูเวตว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูต หนังสือเดินทางพิเศษ และหนังสือเดินทางราชการ | กต. | 20/04/2564 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งรัฐคูเวตว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูต
หนังสือเดินทางพิเศษ และหนังสือเดินทางราชการ
โดยให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามความตกลงฯ
ทั้งนี้ ในกรณีมอบหมายผู้แทน
เห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full
Powers) ให้แก่ผู้ลงนามดังกล่าว
และให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการมีผลใช้บังคับของความตกลงฯ
โดยสาระสำคัญของร่างความตกลงฯ เป็นการอนุญาตให้ผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางราชการ
(กรณีคนชาติไทย) และผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางพิเศษ
(กรณีคนชาติคูเวต) เดินทางเข้า เดินทางผ่าน พำนัก
และเดินทางออกจากดินแดนของแต่ละฝ่ายโดยไม่ต้องมีการตรวจลงตราและได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียม
โดยสามารถพำนักอยู่ในดินแดนของไทยหรือรัฐคูเวตเป็นระยะเวลาต่อเนื่องหรือระหว่างการพำนักหลายครั้งไม่เกิน
๙๐ วัน ในช่วงระยะเวลา ๑๘๐ วัน นับจากวันแรกที่เดินทางเข้ามาในไทยหรือรัฐคูเวต
โดยความตกลงฯ ยังคงมีผลใช้บังคับต่อไปโดยไม่มีกำหนดระยะเวลา เว้นแต่ภาคีคู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแจ้งยกเลิกความตกลงฯ
ล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นเวลา ๙๐ วัน
ให้ภาคีคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งทราบผ่านช่องทางการทูต ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
8607 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 11/2564 และครั้งที่ 12/2564 | นร.11 | 20/04/2564 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบและอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ในคราวประชุมครั้งที่ ๑๑/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๖๔ และครั้งที่ ๑๒/๒๕๖๔
เมื่อวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๖๔ ซึ่งพิจารณาอนุมัติโครงการสร้างรายได้ด้วยแฟรนไชส์ฝ่าโควิด-๑๙
ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์
และอนุมัติการปรับปรุงรายละเอียดโครงการเราชนะ ของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
กระทรวงการคลัง รวมทั้งรับทราบแนวทางการพิจารณากลั่นกรองและติดตามประเมินผลโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก
และรายงานสรุปผลการดำเนินงานของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ตามผลการตรวจสอบการใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา
และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ และข้อเสนอแนะต่อการพิจารณากลั่นกรองโครงการ
และการกำกับดูแลการดำเนินงานตามแผนงานหรือโครงการที่ใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
ของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ
และให้หน่วยงานเจ้าของโครงการรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
(๑) กรมพัฒนาธุรกิจการค้าควรปรับแนวทาง/กิจกรรมดำเนินโครงการสร้างรายได้ด้วยแฟรนไชส์ฝ่าโควิด-๑๙
ให้มีความสอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙
ในปัจจุบัน และปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ให้ถูกต้องครบถ้วนอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ระยะเวลาดำเนินการ และความเหมาะสมของค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในทุกมิติ และ (๒) ให้กระทรวงมหาดไทยกำชับให้หัวหน้าหน่วยงานของรัฐในส่วนภูมิภาคที่จะจัดทำข้อเสนอโครงการเพื่อขอใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
ถือปฏิบัติแนวทางที่กำหนดไว้ในคู่มือแนวปฏิบัติการเสนอโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก
(ภายใต้กลุ่มแผนงาน/โครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่นและชุมชนบนพื้นฐานของโอกาสและศักยภาพของท้องถิ่น
: ระดับพื้นที่) โดยเฉพาะการจัดทำข้อเสนอโครงการที่มีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ตามบัญชีท้ายพระราชกำหนดฯ
และมีการกำหนดแผนดำเนินโครงการที่ได้คำนึงถึงการปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง
รวมถึงความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ ในพื้นที่เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๔
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒.
ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้ |
|||||||||||||||||||||||||||
8608 | ขอความเห็นชอบการเสียภาษีสลากบำรุงสภากาชาดไทย | กช. | 20/04/2564 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้สภากาชาดไทย
หรือเหล่ากาชาดจังหวัด หรือกิ่งกาชาดอำเภอ ซึ่งเป็นตัวแทนของสภากาชาดไทยผู้รับใบอนุญาตจัดให้มีการเล่นการพนันสลากกินแบ่งหรือสลากบำรุงสภากาชาดไทย
ประจำปี ๒๕๖๔ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อหารายได้มอบให้สภากาชาดไทย
เสียภาษีในอัตราร้อยละ ๐.๕ แห่งยอดราคาสลาก ซึ่งมีผู้รับซื้อก่อนหักรายจ่ายตามข้อ
๑๒ (๔) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๗ (พ.ศ. ๒๕๐๓) ออกตามความในพระราชบัญญัติการพนัน
พุทธศักราช ๒๔๗๘ ได้ ตามที่สภากาชาดไทยเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
8609 | ขอเพิ่มครัวเรือนเป้าหมายเกษตรกรโครงการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย ปี 2563 | กษ. | 20/04/2564 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบขยายจำนวนครัวเรือนเกษตรกรเป้าหมายโครงการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย
ปี ๒๕๖๓ จาก ๒๐๒,๐๑๓ ครัวเรือน เป็น ๒๐๒,๑๗๓ ครัวเรือน
โดยเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายดังกล่าวภายใต้กรอบวงเงินงบประมาณเดิมที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้เรียบร้อยแล้ว
เมื่อวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๖๓ วงเงินงบประมาณ ๓,๔๔๐,๐๔๙,๗๓๕ บาท
รวมถึงค่าบริหารจัดการโครงการสำหรับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
ครัวเรือนละ ๗ บาท โดยมอบหมายให้ ธ.ก.ส.
ดำเนินการโอนเงินให้เกษตรกรได้ตั้งแต่วันถัดจากวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ
และเห็นชอบขยายระยะเวลาโครงการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย ปี ๒๕๖๓
จากเดิมสิ้นสุดวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๖๔ เป็นสิ้นสุดวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๔ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
(กรมส่งเสริมการเกษตร) ควรมีการกำกับและตรวจสอบการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่เพื่อให้สามารถตรวจสอบคุณสมบัติของผู้เข้าร่วมโครงการฯ
ได้อย่างถูกต้อง รวมทั้งตรวจสอบเอกสารหลักฐานต่าง ๆ
เพื่อให้การช่วยเหลือเกษตรกรเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒.
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำกับ ติดตามการดำเนินโครงการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย ปี
๒๕๖๓ ที่ขอขยายจำนวนครัวเรือนเกษตรกรเป้าหมายเพิ่มขึ้นในครั้งนี้ ให้ถูกต้อง
โปร่งใส ตรวจสอบได้ และให้รายงานผลการดำเนินการไปยังนายกรัฐมนตรีโดยเร็ว |
|||||||||||||||||||||||||||
8610 | การเสนอความเห็นการขอยุบเลิกและการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียนของคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน | กค. | 20/04/2564 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
อนุมัติตามผลการพิจารณาการขอยุบเลิกและการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียน
ในคราวประชุมคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓ เมื่อวันที่
๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๓ ตามที่คณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ยุบเลิกเงินทุนหมุนเวียนเพื่อพัฒนากฎหมาย
ของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
เนื่องจากการปฏิบัติงานพัฒนากฎหมายโดยใช้เงินทุนหมุนเวียนเพื่อพัฒนากฎหมายไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน
และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้รับการจัดสรรงบประมาณปี ๒๕๖๔
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเกี่ยวกับการพัฒนากฎหมายแล้ว
จึงหมดความจำเป็นที่จะต้องใช้เงินทุนหมุนเวียนดังกล่าว ๑.๒
ไม่เห็นควรให้จัดตั้งกองทุนความปลอดภัยในการออกกำลังกาย นันทนาการ และกีฬา
ของกรมพลศึกษา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
ตามร่างพระราชบัญญัติความปลอดภัยในการออกกำลังกาย นันทนาการ และกีฬา พ.ศ. ....
และกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบ ของสำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน
กระทรวงแรงงาน ตามร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบ พ.ศ.
.... เนื่องจากมีการดำเนินงานที่ซ้ำซ้อนกับภารกิจปกติของหน่วยงานและซ้ำซ้อนกับทุนหมุนเวียนอื่น ๒. ให้กรมพลศึกษา
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน กระทรวงแรงงาน
และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับความเห็นของสำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนที่เห็นว่า (๑) กรมพลศึกษา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาควรกำหนดมาตรฐานความปลอดภัยในการออกกำลังกาย
นันทนาการ และกีฬา
เพื่อส่งเสริมและคุ้มครองประชาชนให้ได้รับความปลอดภัยจากการออกกำลังกายต่อไป (๒) ในส่วนของกองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบ
กระทรวงแรงงานควรบูรณาการงานภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงแรงงาน
และอาจขยายวัตถุประสงค์ของกองทุนเพื่อผู้รับงานไปทำที่บ้านให้ครอบคลุมแรงงานนอกระบบ
และ (๓)
กระทรวงแรงงานควรกำหนดนโยบายการคุ้มครองแรงงานนอกระบบเป็นนโยบายสำคัญและเร่งด่วนที่จะดำเนินการเพื่อเร่งรัดมาตรการส่งเสริม
คุ้มครอง พัฒนา และสร้างหลักประกันทางสังคม
เพื่อให้แรงงานนอกระบบสามารถเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานในการทำงานหรือการประกอบอาชีพ
และมีหลักประกันทางสังคมที่มั่นคงและเท่าเทียบกับแรงงานในระบบ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
8611 | ร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน เรื่อง รายชื่อหน่วยงานอื่นของรัฐ (ฉบับที่ 2) | กค. | 20/04/2564 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน
เรื่อง รายชื่อหน่วยงานอื่นของรัฐ (ฉบับที่ ๒) มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมที่มีทุนหมุนเวียนเป็นหน่วยงานของรัฐตามมาตรา
๔ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ในฐานะประธานกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนเสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา
โดยให้รับความเห็นของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินที่เห็นว่า กองทุนเพื่อการพัฒนาการตรวจเงินแผ่นดินจัดตั้งขึ้นโดยกฎหมายเฉพาะและมีกรอบการบริหารที่ชัดเจนตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน
พ.ศ. ๒๕๖๑ จึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องประกาศให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเป็นหน่วยงานของรัฐตามคำนิยาม
“หน่วยงานของรัฐ” ตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๘ ไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||||||||
8612 | ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตประกอบกิจการยาง พ.ศ. .... | กษ. | 20/04/2564 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตประกอบกิจการยาง
พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการอนุญาต การออกใบอนุญาต
การขอต่อใบอนุญาต และการขอรับใบแทนใบอนุญาต ในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร
หรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักร ซึ่งต้นยาง ดอก เมล็ด หรือตาของต้นยาง
หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของต้นยางที่อาจใช้เพาะพันธุ์ได้ การขนย้ายยางเข้าใน ผ่าน
หรือออกจากเขตควบคุมการขนย้ายยาง การขยายพันธุ์ต้นยางเพื่อการค้า การค้ายาง
การตั้งโรงทำยาง การนำยางเข้าหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักร
และการเป็นผู้จัดให้มีการวิเคราะห์หรือทดสอบคุณภาพยาง
เพื่อให้การควบคุมกำกับดูแลในเรื่องของการนำเข้าและส่งออกต้นยาง ดอก เมล็ด
หรือตาของต้นยาง หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของต้นยางสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
8613 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 7/2563 | ทส. | 20/04/2564 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
ครั้งที่ ๗/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ จำนวน ๕ เรื่อง ได้แก่ (๑)
รายงานสถานภาพการเงินกองทุนสิ่งแวดล้อม ณ สิ้นไตรมาส ๔ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ (๒) รายงานการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม
โครงการท่าเทียบเรือขนถ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนกระบี่
ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (๓) โครงข่ายทางหลวงเชื่อมโยงระหว่างประเทศทางหลวงหมายเลข
๑๐๑ ตอน น่าน-อ.เฉลิมพระเกียรติ (ตอน ๒) ของกรมทางหลวง (๔)
การปรับปรุงประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดโครงการ
กิจการ หรือการดำเนินการ ซึ่งต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และ (๕)
การปรับปรุงมาตรฐานคุณภาพดิน ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
8614 | รายงานความก้าวหน้าตามข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตที่เกิดจากการอนุญาตให้ราษฎรครอบครองที่ดินของรัฐตามประมวลกฎหมายที่ดิน | มท. | 20/04/2564 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความก้าวหน้าตามข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตที่เกิดจากการอนุญาตให้ราษฎรครอบครองที่ดินของรัฐตามประมวลกฎหมายที่ดิน
โดยได้ดำเนินการตรวจสอบเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ (๑)
การตรวจสอบโครงการจัดที่ดินผืนใหญ่ได้ดำเนินการตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๑-พ.ศ. ๒๕๓๐ (๒)
การตรวจสอบพื้นที่ทับซ้อนกับเขตที่ดินของรัฐประเภทอื่น (๓) การตรวจสอบความถูกต้องของการออกใบจอง
(๔)
การตรวจสอบตำแหน่งพื้นที่ในโครงการจัดที่ดินผืนใหญ่ที่กันไว้เป็นสาธารณสมบัติส่วนกลาง
ร้อยละ ๒๐ และ (๕) การตรวจสอบแนวเขตที่ดินทับซ้อนจากเขตที่ดินของรัฐ
และจัดทำแผนที่ระวางมาตราส่วน ๑ : ๔๐๐๐ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
8615 | ผลการดำเนินงานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยในปีงบประมาณ 2563 นโยบายของคณะกรรมการ และโครงการและแผนงานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยในอนาคต | คค. | 20/04/2564 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินงานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย
(รฟม.) ในปีงบประมาณ ๒๕๖๓ นโยบายของคณะกรรมการ และโครงการและแผนงานของ รฟม. ในอนาคต
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑. ผลการดำเนินงานในปีงบประมาณ
๒๕๖๓ (ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๓) ได้แก่ (๑) ด้านการพัฒนาระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน
เช่น การเปิดให้บริการโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง-บางแค
และช่วงบางซื่อ-ท่าพระ (๒) ด้านการให้บริการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน เปิดให้บริการรถไฟฟ้าแล้ว
๒ เส้นทาง คือ รถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล และรถไฟฟ้ามหานคร สายคลองรัชธรรม โดยมีจำนวนผู้โดยสารสูงกว่าเป้าหมาย
(๓) ด้านการเงิน เช่น รฟม. มีผลประกอบการกำไรสุทธิ ๑,๘๑๙.๒๕ ล้านบาท
เบิกจ่ายงบลงทุนได้ร้อยละ ๙๙.๙๙ (๔) ด้านการพัฒนาองค์กรและทรัพยากรบุคคล เช่น
พนักงานร้อยละ ๙๖.๘๑ มีสมรรถนะตามมาตฐานที่องค์กรกำหนด และมีระดับความผูกพันเท่ากับ
๔.๒๐ (สูงกว่าเป้าหมาย) และ (๕) ด้านการกำกับดูแลที่ดี เช่น ผลประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ
(Integrity and Transparency Assessment : ITA) อยู่ในลำดับที่ ๓ ของรัฐวิสาหกิจ กระทรวงคมนาคม เท่ากับ ๘๘.๐๑ คะแนน (ปี
๒๕๖๒ เท่ากับ ๘๘.๙๖ คะแนน) ๒.
นโยบายของคณะกรรมการฯ เช่น ให้บริการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนด้วยความสะดวก รวดเร็ว
ปลอดภัย ตรงเวลา ประหยัด โดยคำนึงถึงความพึงพอใจของผู้ใช้บริการแต่ละกลุ่ม
เร่งรัดดำเนินโครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนสายต่าง ๆ
ให้แล้วเสร็จและเปิดบริการได้ตามแผนงาน ๓. โครงการและแผนงานของ
รฟม. ในอนาคต เช่น แผนพัฒนาระบบเชื่อมต่อการเดินทางสายฉลองรัชธรรม
บริเวณสถานีพระนั่งเกล้า-ท่าเรือพระนั่งเกล้า โดยคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จและสามารถเปิดให้บริการได้ในปี
๒๕๖๔ และแผนเตรียมความพร้อมสำหรับการใช้ระบบตั๋วร่วม โดยจะพัฒนาระบบตั๋ว EMV ให้แล้วเสร็จภายในปี ๒๕๖๔
|
|||||||||||||||||||||||||||
8616 | รายงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 กองทุนยุติธรรม | ยธ. | 20/04/2564 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๓ กองทุนยุติธรรม ประกอบด้วย ข้อมูลสถิติด้านการเงิน
ผลการดำเนินงานที่สำคัญ ซึ่งเป็นการดำเนินการตามภารกิจของกองทุนยุติธรรม
และรายงานการเงินของกองทุนยุติธรรม ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
8617 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนของประชาชนในระดับฐานรากอย่างยั่งยืน ของคณะกรรมาธิการการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ วุฒิสภา | สว. | 20/04/2564 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา
เรื่อง
แนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนของประชาชนในระดับฐานรากอย่างยั่งยืน
ของคณะกรรมาธิการการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ วุฒิสภา
ซึ่งกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พิจารณารายงานและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ
แล้ว เห็นด้วยกับข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ
โดยเห็นว่าควรขยายผลการจัดตั้งศูนย์จัดการกองทุนชุมชนในพื้นที่
โดยให้การสนับสนุนงบประมาณในการจัดตั้งศูนย์จัดการกองทุนชุมชน
มีการบูรณาการกองทุนชุมชนในการขับเคลื่อนการบริหารจัดการหนี้ร่วมกัน
และปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย/ระเบียบ/ข้อบังคับของแต่ละกองทุน
เพื่อให้สอดคล้องกับรูปแบบกระบวนการบริหารจัดการหนี้และไม่ขัดต่อระเบียบ/ข้อบังคับ
ในส่วนการพัฒนาในระดับนโยบายได้วางระบบติดตาม ประเมินผล โดยระบบพี่เลี้ยง
ผลักดันให้การแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือน
เป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหาความยากจน และลดความเหลื่อมล้ำตามนโยบายรัฐบาล
โดยใช้ข้อมูลจากระบบ Thai People Map and Analytics Platform : TPMAP (ระบบบริหารจัดการข้อมูลการพัฒนาคนแบบชี้เป้า) เป็นหลัก
และเชื่อมโยงกับฐานข้อมูลของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และบูรณาการความร่วมมือทางวิชาการกับสถาบันการศึกษาและสถาบันการเงินในท้องถิ่น
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
8618 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) ครั้งที่ 5/2564 | นร. | 20/04/2564 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (โควิด-19) (ศบค.) ครั้งที่
๕/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๖๔ ซึ่งมีผลการประชุมที่สำคัญ ได้แก่ (๑)
การรายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดและผู้ติดเชื้อ (๒)
การปรับระดับพื้นที่สถานการณ์ในพื้นที่ทั่วราชอาณาจักร
และการยกระดับมาตรการป้องกันควบคุมโรคโควิด-19 ในการระบาดระลอกเมษายน
๒๕๖๔ (๓) แผนการให้บริการวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 (๔)
การจัดหาหอผู้ป่วยเฉพาะกิจ (Hospitel) ของสำนักงานประกันสังคม
(๕) การป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ตามแนวชายแดน
และ (๖) ข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี
ตามที่สำนักงานเลขาธิการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
8619 | ขออนุมัติสมัครเป็นสมาชิก The Asia Pacific Accreditation Cooperation (APAC) The International Accreditation Forum (IAF) และ International Laboratory Accreditation Cooperation (ILAC) | กษ. | 20/04/2564 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. อนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
ดังนี้ ๑.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ
(มกอช.)
สมัครขอทำความตกลงการยอมรับร่วมด้านการรับรองระบบงานกับองค์การภูมิภาคแปซิฟิกว่าด้วยการรับรองระบบงาน
(The Asia Pacific Accreditation Cooperation : APAC) องค์การระหว่างประเทศว่าด้วยการรับรองระบบงาน
(The International
Accreditation Forum : IAF) และองค์กรระหว่างประเทศว่าด้วยการรับรองห้องปฏิบัติการ
(International Laboratory Accreditation Cooperation : ILAC) โดยตรงในนาม มกอช. และลงนามในใบสมัคร ๑.๒ อนุมัติค่าธรรมเนียมสมาชิกแรกเข้าของ APAC
เป็นจำนวนเงินประมาณ ๕,๐๐๐ ดอลลาร์ออสเตรเลีย หรือประมาณ ๑๒๕,๐๐๐
บาท ค่าสมาชิกแรกเข้า IAF เป็นจำนวนเงินประมาณ ๒,๓๐๐
ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ ๗๐,๐๐๐ บาท และสมาชิกแรกเข้า ILAC เป็นจำนวนเงินประมาณ
๖๐๐ ดอลลาร์ออสเตรเลีย หรือประมาณ ๑๔,๐๐๐ บาท รวมทั้งค่าสมาชิกรายปีตามที่ APAC IAF และ ILAC เรียกเก็บ โดยจะใช้เงินงบประมาณในส่วนงบเงินอุดหนุนของ มกอช.
๒. ในส่วนของค่าธรรมเนียมสมาชิกแรกเข้าที่
APAC เรียกเก็บระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
จำนวนประมาณ ๕,๐๐๐ ดอลลาร์ออสเตรเลีย หรือประมาณ ๑๒๖,๒๐๐ บาท เห็นควรให้ มกอช. พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ โอนเงินจัดสรรหรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร แล้วแต่กรณี
ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดังกล่าว
สำหรับค่าธรรมเนียมสมาชิกรายปีในปีต่อ ๆ ไป ให้ มกอช. จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||||||||
8620 | แผนปฏิบัติการด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยทางการแพทย์และการสาธารณสุข พ.ศ. 2563-2565 | สธ. | 20/04/2564 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบแผนปฏิบัติการด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยทางการแพทย์และการสาธารณสุข
พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๕ โดยแผนปฏิบัติการด้านป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยฯ เป็นไปตามวิสัยทัศน์
“ประชาชนในพื้นที่ประสบภัยได้รับบริการทางการแพทย์และการสาธารณสุขที่มีคุณภาพ
ปลอดภัย และมีความมั่นใจในระบบบริการสาธารณสุขทุกระยะของการเกิดภัยอย่างทันท่วงทีในทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้น”
โดยมีเป้าหมาย พันธกิจ และกรอบยุทธศาสตร์ เป็นแนวทางการปฏิบัติสำหรับการดำเนินงาน
รวมทั้งได้กำหนดตัวชี้วัดและกลไกการประเมินผลและติดตามเพื่อเป็นช่องทางการติดตาม
รายงานความคืบหน้า
ตลอดจนวัดประสิทธิภาพและระดับความสำเร็จของผลการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการดังกล่าวด้วย
ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
และให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ข้อสังเกตของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
และข้อเสนอแนะเพิ่มเติมของกระทรวงศึกษาธิการ เช่น (๑) หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรคำนึงถึงความคุ้มค่า
ต้นทุน และผลประโยชน์ ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของรัฐ ประกอบการดำเนินการภายใต้แผนปฏิบัติการด้านป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยฯ
เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของบทบัญญัติมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ (๒) กำหนดความเชื่อมโยงของแผนปฏิบัติการด้านป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยฯ ที่ครอบคลุมถึงแผนการปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุข
(ฉบับปรับปรุง) และ (๓)
ให้ความสำคัญกับการจัดการภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์และการสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพ
ทั้งการเตรียมความพร้อมในทุกพื้นที่
การคำนึงถึงผลกระทบต่อพื้นที่และประชาชนบริเวณอื่นโดยรอบพื้นที่
และการจัดทำแผนรองรับการบริการทางการแพทย์ฯ เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒.
ให้กระทรวงสาธารณสุขจัดลำดับความสำคัญของการดำเนินงานแผนปฏิบัติการด้านป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยฯ
ให้มีความชัดเจน เหมาะสม เพื่อลดความซ้ำซ้อนด้านภารกิจและงบประมาณของหน่วยงานต่าง
ๆ และกำหนดกลไกลำดับขั้นตอนในการรายงานและสื่อสารข้อมูลสถานการณ์ที่ชัดเจน
ตลอดจนมีการซักซ้อมและทดสอบประสิทธิภาพของระบบที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบ
เพื่อให้มีความพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์จริงอย่างเป็นเอกภาพ
รวมทั้งกำหนดกลไกการเชื่อมโยงฐานข้อมูลร่วมกันของหน่วยงานในแต่ละระดับ
เพื่อให้หน่วยงานที่ได้รับมอบหมายในแต่ละพื้นที่สามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถปรับปรุงแผนการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องให้เหมาะสมกับสถานการณ์ภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นต่อไป |