ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 436 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 8701 - 8720 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
8701 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ 1/2564 เรื่อง โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน (งานจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน) | สกพอ. | 30/03/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔
เรื่อง โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน (งานจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน)
ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน โดยที่ประชุมฯ มีมติอนุมัติให้ขยายกรอบวงเงินสำหรับงานจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและค่าสำรวจอสังหาริมทรัพย์ในโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน
จากเดิม ๓,๕๗๐.๒๙ ล้านบาท (ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๖๑)
เป็นจำนวนไม่เกิน ๕,๗๔๐.๔๔ ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้น ๒,๑๗๐.๑๕ ล้านบาท
เพื่อให้เป็นไปตามความเห็นของคณะกรรมการกำหนดราคาเบื้องต้นและจำนวนเงินทดแทนค่าอสังหาริมทรัพย์
และเพื่อให้ครอบคลุมค่างานจัดกรรมสิทธิ์ฯ สำหรับช่วงดอนเมือง-พญาไท
ซึ่งไม่ได้รวมอยู่ในกรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีเคยอนุมัติไว้ข้างต้น โดยที่ประชุมฯ อนุมัติให้การรถไฟแห่งประเทศไทยขอรับจัดสรรงบประมาณส่วนที่เพิ่มขึ้น
๒,๑๗๐.๑๕ ล้านบาท แบ่งเป็น งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๖๐๗,๕๖ ล้านบาท
และงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ จำนวน ๑,๕๖๒.๕๙ ล้านบาท
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเสนอ ๒.
เห็นชอบการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๖๑ (เรื่อง
ขออนุมัติโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม ๓ สนามบิน และการกำหนด
“พื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก” เพิ่มเติม) โดยให้การรถไฟแห่งประเทศไทยขยายกรอบวงเงินค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและค่าสำรวจอสังหาริมทรัพย์ของโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน
จากเดิม ๓,๕๗๐.๒๙ ล้านบาท เป็นจำนวนไม่เกิน ๕,๗๔๐.๔๔ ล้านบาท ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเสนอ
ทั้งนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก การรถไฟแห่งประเทศไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นว่า ในส่วนของงบประมาณที่จะเพิ่มขึ้น ซึ่งการรถไฟแห่งประเทศไทยมีแผนจะใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น นั้น ขอให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
ในฐานะหน่วยงานเจ้าภาพแผนงานบูรณาการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกตรวจสอบผลการใช้จ่ายงบประมาณ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ของหน่วยรับงบประมาณในแผนงานบูรณาการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกที่สามารถชะลอได้โดยไม่เกิดความเสียหาย
หรือคาดว่าไม่สามารถก่อหนี้ได้ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
และรายการที่ดำเนินการแล้วมีงบประมาณเหลือจ่ายจากการดำเนินการ
เพื่อโอนงบประมาณรายจ่ายบูรณาการนำมาเป็นค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินสำหรับโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินเป็นลำดับแรก
สำหรับในส่วนที่เหลือขอให้การรถไฟแห่งประเทศไทยจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อขอจัดสรรงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกและการรถไฟแห่งประเทศไทยรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เช่น
ควรเร่งพิจารณาตรวจสอบรายละเอียดการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและสำรวจอสังหาริมทรัพย์ของโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน
(งานจัดกรรมสิทธิ์) ที่อยู่ภายใต้โครงการแอร์พอร์ต เรล ลิงก์
ส่วนต่อขยายช่วงพญาไท-ดอนเมือง และโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดง
ช่วงบางซื่อ-พญาไท-มักกะสัน-หัวหมาก ให้ชัดเจน
ซึ่งจะช่วยให้การใช้จ่ายเงินงบประมาณของภาครัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และควรให้การรถไฟแห่งประเทศไทยเร่งดำเนินโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดง
ส่วนต่อขยายที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้วโดยเร็ว
เพื่อให้วงเงินลงทุนโครงการอยู่ภายใต้กรอบที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้ ซี่งจะช่วยให้การดำเนินโครงการเป็นไปอย่างคุ้มค่า
รวมทั้งช่วยเพิ่มทางเลือกในการเดินทางของประชาชนจากพื้นที่บริเวณรอบนอกกรุงเทพมหานครเข้าสู่บริเวณกรุงเทพมหานครชั้นในมีความสะดวกยิ่งขึ้น
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8702 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 10/2564 | นร.11 | 30/03/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ ๑๐/๒๕๖๔
เมื่อวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๖๔ ซึ่งได้พิจารณาอนุมัติโครงการค่าบริการสาธารณสุขภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
และโครงการค่าตอบแทน เยียวยา ชดเชยและเสี่ยงภัย
สำหรับการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ในการเฝ้าระวัง ป้องกัน
และควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ ในชุมชน และมอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการฯ
ดำเนินการ
พร้อมทั้งอนุมัติให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพปรับปรุงรายละเอียดโครงการค่าตอบแทน
เยียวยา ชดเชยและเสี่ยงภัย สำหรับการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน
ในการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ ในชุมชน (ระยะที่ ๒)
และกรมการพัฒนาชุมชน ปรับปรุงรายละเอียดโครงการโอทอปไทย สู้ภัยโควิด-๑๙
อนุมัติให้จังหวัดอุดรธานียุติการดำเนินโครงการอบรมนวดไทยเพื่อสุขภาพ ๑๕๐ ชั่วโมง
เพื่อฟื้นฟูภายหลังการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) เห็นชอบคู่มือการเสนอโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากภายใต้กลุ่มแผนงาน/โครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่นและชุมชนบนพื้นฐานของโอกาสและศักยภาพของท้องถิ่น
: ระดับพื้นที่
รวมทั้งรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต
กรณีศึกษาการใช้จ่ายงบประมาณตามพระราชกำหนดการเงิน
เพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙
ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ
และให้หน่วยงานเจ้าของโครงการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
หน่วยงานเจ้าของโครงการควรเตรียมความพร้อมให้ทันต่อสถานการณ์ และปฏิบัติตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
ให้ถูกต้องครบถ้วนอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระยะเวลาดำเนินการ
และความเหมาะสมของค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในทุกมิติ ซึ่งจะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์
อัตราค่าใช้จ่าย และมาตรฐานของทางราชการอย่างประหยัด
ตลอดจนเร่งรัดการใช้จ่ายให้เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่าย
ตลอดจนให้ความสำคัญกับระบบการติดตามและประเมินผลให้ทันต่อสถานการณ์ เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒.
รับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตกรณีศึกษาการใช้จ่ายงบประมาณตามพระราชกำหนดการเงิน
เพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ และคู่มือการเสนอโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก
ภายใต้กลุ่มแผนงาน/โครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่นและชุมชนบนพื้นฐานของโอกาสและศักยภาพของท้องถิ่น
: ระดับพื้นที่
และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติตามแนวทางที่กำหนดไว้ในคู่มือดังกล่าว
รวมถึงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องของทางราชการอย่างเคร่งครัด ๓.
ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8703 | การให้สิทธิขั้นพื้นฐานด้านสาธารณสุขกับบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิเด็กและบุคคลที่เรียนอยู่ในสถานศึกษา ครั้งที่ 2 | สธ. | 30/03/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบในหลักการการให้สิทธิขั้นพื้นฐานด้านสาธารณสุขกับบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิเด็กและบุคคลที่เรียนอยู่ในสถานศึกษา
ครั้งที่ ๒ ที่กระทรวงมหาดไทยได้ตรวจสอบความซ้ำซ้อนและกำหนดเลขประจำตัว ๑๓
หลักเรียบร้อยแล้ว และกระทรวงสาธารณสุขได้ตรวจสอบคัดกรองข้อมูล จำนวน ๕,๒๐๓ คน
ซึ่งครอบคลุมบริการด้านสาธารณสุข ได้แก่ การสร้างเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค
การรักษาพยาบาล และการฟื้นฟูสมรรถภาพ นับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
และให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งประชาสัมพันธ์
สร้างการรับรู้แก่ผู้ให้บริการและผู้ได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานด้านสาธารณสุขให้ถูกต้องและทั่วถึงต่อไป
ทั้งนี้ ให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และข้อสังเกตของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เช่น
อัตรางบประมาณเหมาจ่ายรายหัว จำนวน ๒,๔๕๓.๙๕ บาท/คน ที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอมาในครั้งนี้
ยังไม่สอดคล้องกับอัตรางบประมาณเหมาจ่ายรายหัวตามสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปี
๒๕๖๔ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒.
ให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๐ เมษายน ๒๕๕๘ [เรื่อง การให้สิทธิ (คืนสิทธิ) ขั้นพื้นฐานด้านสาธารณสุขกับบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิ
เพิ่มเติม
และการจัดการสถานะและสิทธิในการบริการสาธารณสุขของบุคคลไร้รัฐไร้สัญชาติทั้งระบบ] และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๒ กันยายน ๒๕๖๓ [เรื่อง การให้สิทธิ (คืนสิทธิ)
ขั้นพื้นฐานด้านสาธารณสุขกับบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิเด็กและบุคคลที่เรียนอยู่ในสถานศึกษา]
ในการตรวจสอบข้อมูลเพื่อยืนยันความถูกต้องและรับรองการขึ้นทะเบียนของกลุ่มเด็กและบุคคลที่เรียนอยู่ในสถานศึกษา
รวมถึงบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิกลุ่มอื่น ๆ
ที่ยังไม่ได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานด้านสาธารณสุขให้แล้วเสร็จโดยเร็ว |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8704 | การเลือกรับทรัพย์สินหรือสิ่งติดตั้งที่ผู้รับสัมปทานจะส่งมอบให้รัฐบาลไทยเมื่อสิ้นอายุสัมปทาน | พน. | 30/03/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานชี้แจงเพิ่มเติมว่า
เรื่องที่กระทรวงพลังงานเสนอในครั้งนี้ถือเป็นแนวทางปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง
วัสดุ อุปกรณ์ และสิ่งอำนวยความสะดวกในการสำรวจ ผลิต เก็บรักษา
หรือขนส่งปิโตรเลียมเมื่อสิ้นสุดสัมปทานปิโตรเลียมในอนาคตด้วย
โดยผู้รับสัมปทานได้ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างถูกต้อง ครบถ้วน
และไม่มีข้อโต้แย้งที่อาจนำไปสู่การฟ้องร้องในอนาคตได้อีก
และรับทราบตามที่อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติชี้แจงว่า กระทรวงพลังงาน
(กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ) ได้พิจารณากลั่นกรองการเลือกรับรายการทรัพย์สินหรือสิ่งติดตั้งของสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่
๑/๒๕๒๖/๒๓ แปลงสำรวจบนบกหมายเลข NC
ที่ผู้รับสัมปทานต้องส่งมอบให้แก่รัฐบาลไทยเมื่อสัมปทานสิ้นอายุตามข้อกำหนดในสัญญาสัมปทานและกฎหมายที่เกี่ยวข้องด้วยแล้ว
ทั้งนี้ กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติได้มีหนังสือแจ้งผู้รับสัมปทานเพื่อประสานงานเกี่ยวกับเรื่องนี้ตั้งแต่เดือนเมษายน
๒๕๖๒
โดยเรื่องดังกล่าวยังมีประเด็นเกี่ยวกับการตรวจสอบเอกสารกรรมสิทธิ์ที่ดินและการขอถือครองกรรมสิทธิ์ตามมาตรา
๖๕ แห่งพระราชบัญญัติการปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๑๔ ด้วย ดังนั้น
การดำเนินการของกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติดังกล่าว จึงเป็นไปตามข้อ ๒๒
ของกฎกระทรวงกำหนดแผนงาน ประมาณการค่าใช้จ่าย
และหลักประกันในการรื้อถอนสิ่งติดตั้งที่ใช้ในกิจการปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๕๙
ที่กำหนดให้แจ้งผู้รับสัมปทานทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสองปีก่อนเริ่มกิจกรรมการรื้อถอน
หรือก่อนสิ้นสุดระยะเวลาผลิตปิโตรเลียม หรือระยะเวลาผลิตปิโตรเลียมที่ได้รับการต่อ
แล้วแต่กรณีใดเกิดขึ้นก่อน ว่ามีสิ่งติดตั้งใดที่รัฐจะรับมอบ
และให้ผู้รับสัมปทานส่งมอบสิ่งติดตั้งดังกล่าวให้แก่รัฐ
โดยไม่คิดมูลค่าภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่ได้ทำข้อตกลงระหว่างหน่วยงานของรัฐผู้รับมอบกับผู้รับสัมปทาน
แล้ว ๒.
รับทราบรายงานผลการทบทวนกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับสัมปทานก๊าซธรรมชาติ
และเห็นชอบรายการทรัพย์สินหรือสิ่งติดตั้งของสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ ๑/๒๕๒๖/๒๓
แปลงสำรวจบนบกหมายเลข NC
ที่ผู้รับสัมปทานต้องส่งมอบให้แก่รัฐบาลไทยเมื่อสัมปทานสิ้นอายุ
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานในฐานะเป็นคู่สัญญาสัมปทานปิโตรเลียมเป็นผู้ให้ความเห็นชอบรายการทรัพย์สินหรือสิ่งติดตั้งแทนคณะรัฐมนตรีของสัมปทานปิโตรเลียมที่จะสิ้นสุดในอนาคตได้ตามที่สมควร
และให้สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขรายการทรัพย์สินหรือสิ่งติดตั้งแทนคณะรัฐมนตรีสำหรับการดำเนินการตามสัมปทานปิโตรเลียมนี้
ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และให้กระทรวงพลังงาน (กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ)
ดำเนินการตามกฎกระทรวงกำหนดแผนงาน ประมาณการค่าใช้จ่าย
และหลักประกันในการรื้อถอนสิ่งติดตั้งที่ใช้ในกิจการปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๕๙ และข้อตกลงการส่งมอบสิ่งติดตั้งของสัมปทานปิโตรเลียม
เลขที่ ๑/๒๕๒๖/๒๓ แปลงสำรวจบนบกหมายเลข NC อย่างเคร่งครัด
รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เช่น ควรเร่งทบทวนกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวกับสัมปทานก๊าซธรรมชาติให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
เพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการด้านสัมปทานก๊าซธรรมชาติที่มีความชัดเจน โปร่งใส
และเป็นธรรม ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๖๓
และเร่งหารือกับผู้รับสัมปทานรายเดิมในการรื้อถอนทรัพย์สินหรือสิ่งติดตั้งที่ใช้ประโยชน์ไม่ได้ให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาตามที่กำหนดไว้ในสัญญา
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓.
ให้กระทรวงพลังงานได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8705 | ผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ (กบส.) ครั้งที่ 2/2563 และร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี จำนวน 2 ฉบับ | นร.11 | 30/03/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ
(กบส.) ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๓ ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี
(นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์) เป็นประธาน มีผลการประชุมที่สำคัญ เช่น รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานตามมติการประชุม
กบส. ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ เกี่ยวกับการพัฒนาท่าเรือบก (Dry Port) ซึ่งเป็นไปตามข้อ ๕ ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ
พ.ศ. ๒๕๕๒ ที่กำหนดให้ กบส. กำกับดูแลการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์และแผนแม่บท
และรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบ เป็นต้น และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติ
กบส. และรายงานให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อนำเสนอ กบส.
ตามขั้นตอนต่อไป ตามที่ กบส. เสนอ ๒. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
ว่าด้วยการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ (ฉบับที่ ..)
พ.ศ. .... และร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์สำหรับการนำเข้า
การส่งออก การนำผ่าน และโลจิสติกส์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... จำนวน ๒ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงองค์ประกอบ
อำนาจและหน้าที่ของ กบส. ให้ครอบคลุมถึงการกำกับดูแลการดำเนินการของหน่วยงานของรัฐเพื่อการเชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์
ณ จุดเดียว และเป็นการกำหนดให้หน่วยงานของรัฐมีอำนาจในการออกระเบียบ ประกาศ
หรือคำสั่งที่เกี่ยวข้องกับใบอนุญาต/ใบรับรองในการนำเข้าส่งออกสินค้า รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมข้อมูลรายการสินค้าที่เป็นเหตุให้ต้องมีการแก้ไขปรับปรุงระบบข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์
โดยต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการพัฒนานโยบายและกำกับดูแลระบบ National
Single Window (NSW) ตามที่ กบส. เสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา
โดยให้รับข้อสังเกตของคณะกรรมการกฤษฎีกา เช่น ร่างข้อ ๓ และร่างข้อ ๕ ของร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
ว่าด้วยการพัฒนาระบบการบริหารฯ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมเฉพาะบทนิยาม “สำนักงาน”
และเพิ่มอำนาจหน้าที่ของ กบส. รูปแบบของการแก้ไขเพิ่มเติม
จึงอาจใช้วิธีการแก้ไขเพิ่มเติมเฉพาะบทนิยามคำดังกล่าว และเพิ่มอำนาจหน้าที่ของ
กบส. โดยไม่จำเป็นต้องยกเลิกทั้งข้อ
และการกำหนดให้หน่วยงานของรัฐต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการพัฒนานโยบายและกำกับดูแลระบบ
National Single Window (NSW) ของร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
ว่าด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลฯ อาจเป็นการเพิ่มขั้นตอน เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้ กบส.
รายงานผลการดำเนินการตามมติ กบส. ในเรื่องนี้ต่อคณะรัฐมนตรีภายในหนึ่งเดือน
และรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรสร้างความรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องครบถ้วนในทุกมิติ
เพื่อให้การพัฒนาระบบการนำเข้า การส่งออก การนำผ่านและโลจิสติกส์ของประเทศไทยมีประสิทธิภาพ
เป็นไปตามมาตรฐาน มีความเป็นเอกภาพและสอดคล้องกันอย่างเป็นระบบ
และก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8706 | ขออนุมัติเพิ่มระยะเวลาและวงเงินก่อหนี้ผูกพันค่าเช่าที่ดินการรถไฟแห่งประเทศไทย | วธ. | 30/03/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติให้กรมส่งเสริมวัฒนธรรมเพิ่มวงเงินค่าเช่าที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย
(รฟท.) รายการค่าเช่าทรัพย์สิน จากเดิมวงเงิน ๓๒,๖๔๓,๑๐๐ บาท เป็นภายในกรอบวงเงิน
๑๙๕,๓๘๘,๒๖๔ บาท และขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จาก ปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๓-พ.ศ. ๒๕๖๕ เป็น ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓-พ.ศ. ๒๕๗๗ ได้ สำหรับค่าใช้จ่ายในการเช่าที่ดินในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๓ และปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ให้กรมส่งเสริมวัฒนธรรมใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๓ และปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ที่ได้รับจัดสรรไว้แล้ว
ส่วนภาระงบประมาณในปีต่อไปเห็นควรให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นที่ต้องใช้จ่ายในแต่ละปีให้ครบถ้วนตามวงเงินในสัญญาเช่าที่ดินต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงวัฒนธรรม และ รฟท.
ร่วมกันพิจารณาปรับปรุงอัตราค่าเช่าที่ดินให้เป็นไปตามแนวทางการดำเนินการกรณีหน่วยงานของรัฐผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินได้จัดให้ส่วนราชการเช่าใช้ประโยชน์ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๑ (เรื่อง การกำหนดแนวทาง/มาตรการป้องกันหรือแก้ไขปัญหากรณีที่หน่วยงานของรัฐผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างได้ปรับอัตราค่าเช่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่หน่วยงานราชการอื่นได้เช่าใช้ประโยชน์
โดยปรับอัตราค่าเช่าเพิ่มสูงมากขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น) ก่อนดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ๒.
ให้กระทรวงวัฒนธรรม และ รฟท.
รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งดำเนินการให้ได้ข้อยุติเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์พื้นที่ที่อยู่ติดกับพื้นที่เช่าตามสัญญาเช่าที่ดิน
รฟท. เพื่อจะได้ดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8707 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ | กค. | 30/03/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง
นายสุริยะ วงศ์คงคาเทพ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการสร้างเสริมสุขภาพในคณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานของกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ แทนผู้ที่ลาออกโดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
(๓๐ มีนาคม ๒๕๖๔) เป็นต้นไป และให้ผู้ได้รับแต่งตั้งแทนตำแหน่งที่ว่าง อยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการซึ่งได้แต่งตั้งไว้แล้ว
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8708 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ (1. นายประเสริฐ ตปนียางกูร) | กค. | 30/03/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ จำนวน ๕ คน
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๓๐ มีนาคม ๒๕๖๔) เป็นต้นไป
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑. นายประเสริฐ ตปนียางกูร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากสภาวิศวกร ๒. พลอากาศตรี หม่อมหลวงประกิตติ เกษมสันต์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากสภาสถาปนิก ๓. นายเทพ วงษ์วานิช กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ๔. นายพีระ เพชรพาณิชย์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ๕ นายวิเชียร พงศธร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรม ทั้งนี้ ในครั้งต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงการคลังดำเนินการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้อย่างเคร่งครัดตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ (เรื่อง การดำเนินการแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามที่กฎหมายบัญญัติให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาตามกฎหมาย) และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๖๔ (เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการตามกฎหมาย/กรรมการและผู้บริหารขององค์การมหาชน)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8709 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล และ นายไพโรจน์ โชติกเสถียร | รง. | 30/03/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ
สังกัดกระทรวงแรงงาน ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๒ ราย เพื่อสับเปลี่ยนหมุนเวียน
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเสนอ
ดังนี้ ๑. นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระะทรวง
สำนักงานปลัดกระทรวง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8710 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | อว. | 30/03/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา
อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา
อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ
และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ พ.ศ. ๒๕๕๓ เพื่อเป็นการกำหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์เพิ่มขึ้น
ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8711 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองส่งน้ำสายใหญ่ 1 ซ้ายของคลองเชื่อมฝั่งซ้าย ของแม่น้ำแม่กลอง เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... | กษ. | 30/03/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองส่งน้ำสายใหญ่
๑ ซ้ายของคลองเชื่อมฝั่งซ้าย ของแม่น้ำแม่กลอง เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองส่งน้ำสายใหญ่ ๑
ซ้ายของคลองเชื่อมฝั่งซ้ายของแม่น้ำแม่กลอง ในท้องที่ตำบลทุ่งทอง อำเภอทุ่งทอง
และตำบลรางหวาย อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน
จากผู้ใช้น้ำที่นำน้ำไปใช้เพื่อกิจการโรงงาน การประปา หรือกิจการอื่นนอกจากภาคเกษตรกรรม
เพื่อประโยชน์ในการควบคุมดูแลปริมาณน้ำ และให้การใช้น้ำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8712 | ผลการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน ครั้งที่ 24 และการประชุมที่เกี่ยวข้องผ่านระบบการประชุมทางไกล | กก. | 30/03/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน ครั้งที่ ๒๔ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย การประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน ครั้งที่ ๒๔ การประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียนบวกสาม (จีน ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลี) ครั้งที่ ๒๐ และการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน-อินเดีย ครั้งที่ ๘ ผ่านระบบการประชุมทางไกล ระหว่างวันที่ ๔-๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุม โดยระหว่างการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียน ครั้งที่ ๒๔ รัฐมนตรีได้ให้การรับรองปฏิญญาพนมเปญมุ่งสู่การท่องเที่ยวของอาเซียนที่ยั่งยืน ครอบคลุม และฟื้นตัวได้เร็ว (Phnom Penh Declaration towards a More Sustainable, Inclusive and Resilient ASEAN Tourism) และภายหลังจากการประชุมรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียนฯ เสร็จสิ้นลง ได้มีการแถลงข่าวร่วม (Joint Media Statement) ซึ่งเป็นผลลัพธ์การประชุมระดับรัฐมนตรีท่องเที่ยวอาเซียนฯ โดยไม่มีการลงนาม ทั้งนี้ เอกสารผลลัพธ์การประชุมต่าง ๆ ที่ได้รับการรับรองในที่ประชุมมีสาระสำคัญไม่แตกต่างจากร่างเอกสารที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ มีเพียงการปรับหรือเพิ่มถ้อยคำให้กระชับและตรงประเด็นมากขึ้น ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8713 | รายงานประจำปี 2562 ของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ | อว. | 30/03/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี
๒๕๖๒ ของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ประกอบด้วยผลการดำเนินงานและรายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๒ ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบและรับรองแล้ว
ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ และให้เสนอรัฐสภาเพื่อทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8714 | รายงานผลการดำเนินการโครงการจิตอาสาพระราชทาน | นร.01 | 30/03/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการโครงการจิตอาสาพระราชทาน
ประจำเดือนตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๖๓ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้
ดังนี้ ๑.
การจัดฝึกอบรมชุดปฏิบัติการจิตอาสาภัยพิบัติประจำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)
ปัจจุบัน อปท. ทุกแห่งได้จัดตั้งชุดปฏิบัติการจิตอาสาภัยพิบัติฯ ครบเรียบร้อยแล้ว
และมีการบันทึกรายชื่อผู้สมัครในระบบรายงานแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Report)
ของกรมการปกครองแล้ว ๔๕๔,๘๓๒ คน และมีการฝึกอบรมชุดปฏิบัติการจิตอาสาภัยพิบัติฯ
ใน ๒๔ จังหวัด มีผู้ผ่านการอบรม ๒๒๕,๐๔๒ คน ๒.
การจัดกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาเพื่อสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณในโอกาสวันสำคัญของชาติไทยเพื่อร่วมกันแสดงออกถึงความจงรักภักดี
และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ เช่น กิจกรรม “ปณิธานความดี ทำดีเริ่มได้ที่ใจเรา”
กิจกรรมจิตอาสาพัฒนาโรงพยาบาล สถานพยาบาล ภายในจังหวัด และกิจกรรมพัฒนาภูมิทัศน์
ทำความสะอาดลำน้ำ คู คลอง และชุมชนที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำ คู คลอง เป็นต้น ๓. การจัดนิทรรศการ “ความสุขที่พ่อให้”
และนิทรรศการ “ความดีที่แบ่งปัน” โดยรัฐบาลได้จัดกิจกรรม “วันพ่อแห่งชาติ” ระหว่างวันที่
๑-๖ ธันวาคม ๒๕๖๓
เพื่อเป็นการรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณและเพื่อสืบสานพระราชปณิธาณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร
มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ๔.
การฝึกอบรมหลักสูตรจิตอาสา ๙๐๔ “หลักสูตรหลักประจำ” รุ่นที่ ๕/๖๓ “เป็นเป้า เป็น
แม่พิมพ์” ระหว่างวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน-๒๙ ธันวาคม ๒๕๖๓ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้สำเร็จการฝึกอบรมสามารถเป็นตัวอย่างให้กับประชาชนจิตอาสาในการสร้างอุดมการณ์
สร้างจิตสำนึกและระเบียบวินัย ๕. ข้อมูลจำนวนจิตอาสาและกิจกรรมจิตอาสา
ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๓ มีจิตอาสาลงทะเบียน ๖,๗๓๙,๗๙๖ คน และจัดกิจกรรมจิตอาสาพัฒนา
๕๓,๖๙๕ ครั้ง และกิจกรรมจิตอาสาภัยพิบัติ ๗๐๓ ครั้ง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8715 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การส่งเสริม เพิ่มขีดความสามารถ และสร้างความเป็นธรรมทางการแข่งขันของธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce) ของคณะกรรมาธิการการพาณิชย์และการอุตสาหกรรม วุฒิสภา | สว. | 30/03/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา
เรื่อง การส่งเสริม เพิ่มขีดความสามารถ
และสร้างความเป็นธรรมทางการแข่งขันของธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce)
ของคณะกรรมาธิการการพาณิชย์และการอุตสาหกรรม วุฒิสภา ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
โดยในภาพรวมไม่มีข้อขัดข้องกับข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ และมีความเห็นเพิ่มเติมว่าการสร้างความเป็นธรรมในการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบการไทยนั้น
มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากจะช่วยสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างทั่วถึงและยั่งยืนขึ้น
และการกำหนดแนวปฏิบัติสำหรับการประกอบธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ควรตั้งอยู่บนหลักไม่เลือกปฏิบัติและใช้บังคับเป็นการทั่วไปทั้งผู้ประกอบการในประเทศและต่างประเทศ
การพิจารณายกร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยธุรกิจบริการเกี่ยวกับธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ตามความมาตรา
๓๒ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๖๒ ควรตั้งอยู่บนหลักการไม่เลือกปฏิบัติ
และหลีกเลี่ยงการออกมาตรการที่จะนำไปสู่การสร้างภาระให้กับผู้ประกอบธุรกิจ
ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาศึกษา สำหรับการส่งเสริมธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
(e-Commerce) นั้น ปัจจุบันได้มีการจัดอบรมให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการ
SME ซึ่งเห็นควรมีการติดตามผลสัมฤทธิ์ของเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ กระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) อยู่ระหว่างการกำหนดแนวทางและรูปแบบการจัดเก็บรายได้จากผู้ประกอบการที่ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ต่างประเทศ
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8716 | ร่างกฎกระทรวงการขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลวโดยถังขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว พ.ศ. .... | พน. | 30/03/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงการขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลวโดยถังขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว
พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการประกอบกิจการขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลวโดยถังขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว
เพื่อให้เกิดความเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพการประกอบกิจการขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลวโดยถังขนส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลวในปัจจุบัน
ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8717 | สรุปผลการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 1/2564 | นร.10 | 30/03/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า
ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๖๔ ซึ่งนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน
และได้มีประเด็นข้อสั่งการสำคัญที่นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้คณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่ารับไปดำเนินการ
ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ ดังนี้ ๑.
ให้ทุกส่วนราชการพิจารณาข้อเสนอแนวทางการขับเคลื่อน กระตุ้น และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม
รวมถึงการใช้ชีวิตวิถีใหม่ของประชาชน
ภายใต้บริบทการบริหารจัดการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) ที่มีแนวโน้มดีขึ้น โดยมีจำนวนผู้ติดเชื้อภายในประเทศลดลง
และเริ่มมีการฉีดวัคซีนให้ประชาชนแล้ว ทั้งนี้
ให้ทุกส่วนราชการพิจารณาปรับเปลี่ยนรูปแบบการปฏิบัติงาน
และการให้บริการประชาชนให้สอดคล้องกับชีวิตวิถีใหม่ด้วย ๒.
ให้ทุกส่วนราชการจัดทำวิดีทัศน์นำเสนอผลงานของหน่วยงานที่สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล
เพื่อการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อประชาชนเกี่ยวกับผลงานและอำนาจหน้าที่ของหน่วยงาน
ทั้งนี้ วิดีทัศน์ควรมีรูปแบบการนำเสนอที่น่าสนใจ
ทันยุคสมัยและให้มีการเผยแพร่อย่างต่อเนื่อง ๓.
ให้ทุกส่วนราชการนำระบบเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการปฏิบัติงาน
การอำนวยความสะดวกในการให้บริการประชาชน โดยอาจพิจารณาสร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนที่มีความรู้
ความชำนาญ และประสบการณ์ในด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ๔.
ให้ทุกส่วนราชการเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาเรื่องราวร้องทุกข์ของประชาชนตามที่ได้รับการประสานจากศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีด้วยความรวดเร็ว ๕. ให้ทุกส่วนราชการพิจารณาจัดส่งข้อมูลให้กับสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีตามที่ได้รับการร้องขอ
ทั้งนี้ ขอให้ดำเนินการตามแนวทางที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ
พ.ศ. ๒๕๔๐ โดยเคร่งครัด ๖.
ให้ทุกส่วนราชการให้การสนับสนุนการจัดกิจกรรมจิตอาสา
โดยเฉพาะการจัดกิจกรรมจิตอาสาในพื้นที่ชุมชนต่าง ๆ
ซึ่งเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน ๗.
ให้ทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ อาทิ
สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เตรียมแนวทางในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างเป็นองค์รวมภายใต้สถานการณ์ต่าง ๆ
ที่เกิดขึ้น อาทิ ภัยแล้ง ปัญหาน้ำทะเลหนุน ๘.
ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงพาณิชย์
กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ
กระทรวงการคลัง และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ร่วมกันพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตร รวมถึงการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าทางการเกษตร
อาทิ (๑) การสร้างห้องเย็นเพื่อให้สามารถจัดเก็บสินค้าทางเกษตรได้นานขึ้น (๒)
การควบคุมความสมดุลระหว่างความสามารถในการเพาะปลูกพืชผล สินค้าทางการเกษตร
และความต้องการผลผลิตทางการเกษตร (๓)
การนำเทคโนโลยีทางการเกษตรมาใช้ในการควบคุมปริมาณการใช้น้ำสำหรับการเพาะปลูกพืชพันธุ์แต่ละชนิดให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
เพื่อลดปริมาณการใช้น้ำลง และ (๔) การสนับสนุนความรู้
สร้างความเข้าใจให้กับประชาชน
เพื่อการใช้ประโยชน์พื้นที่ได้อย่างเหมาะสมตามแนวทางของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ๙.
ให้กระทรวงมหาดไทยสนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจใหม่แบบองค์รวม
หรือ Bioeconomy, Circular Economy and Green Economy (BCG) ซึ่งเกี่ยวข้องกับหน่วยงานต่าง ๆ ในเชิงพื้นที่
เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปในทิศทางเดียวกันและมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาตินำนโยบายดังกล่าวไปพิจารณาประกอบการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ฉบับที่ ๑๓ ต่อไปด้วย ๑๐. ให้สำนักงาน ก.พ.
จัดทำข้อเสนอรูปแบบการจ้างงานที่หลากหลาย
รวมถึงแนวทางการจ่ายค่าตอบแทนและการจัดสวัสดิการที่เหมาะสม เพื่อดึงดูด
จูงใจ และรักษาไว้ซึ่งกำลังคนที่มีความรู้ความสามารถให้อยู่ในระบบราชการ ๑๑. ให้ทุกส่วนราชการเร่งรัดการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การดำเนินการสรรหา
สอบคัดเลือก
และบรรจุแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการหรือปฏิบัติงานในหน่วยงานของรัฐเพื่อทดแทนอัตราว่างจากการเกษียณอายุและอัตราตั้งใหม่ที่ได้รับการจัดสรรไว้แล้วแต่ยังไม่ได้มีการบรรจุแต่งตั้งให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
ทั้งนี้
เพื่อเพิ่มโอกาสในการมีงานทำของประชาชนและบรรเทาผลกระทบของการว่างงานจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) ซึ่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๖๔
๑๒.
ให้ทุกส่วนราชการกวดขันและเข้มงวดในการปฏิบัติงานของข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐของหน่วยงานทุกระดับให้เป็นไปด้วยความซื่อสัตย์
สุจริต โปร่งใส ตรวจสอบได้ เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล
เพื่อลดโอกาสในการทุจริตประพฤติมิชอบ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8718 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ยุทธศาสตร์และแนวทางการสร้างคนดี คนเก่ง คนกล้า และโอกาสสู่สังคมเพื่อพัฒนาชาติไทยอย่างยั่งยืน ของคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาแนวทางการสร้างคนดี คนเก่ง สู่สังคมเพื่อพัฒนาชาติไทยอย่างยั่งยืน วุฒิสภา | สว. | 30/03/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ยุทธศาสตร์และแนวทางการสร้างคนดี คนเก่ง คนกล้า และโอกาสสู่สังคมเพื่อพัฒนาชาติไทยอย่างยั่งยืน ของคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาแนวทางการสร้างคนดี คนเก่ง สู่สังคมเพื่อพัฒนาชาติไทยอย่างยั่งยืน วุฒิสภา ซึ่งสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณารายงานและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ แล้ว สรุปได้ว่า ได้ดำเนินการเพื่อสร้างคนดี มีคุณธรรม จริยธรรม ความพอเพียง วินัย สุจริต และจิตอาสาภายใต้แผนแม่บทส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๔) ซึ่งสอดคล้องและสนับสนุนการขับเคลื่อนงานตามแนวทางการสร้างคนดี คนเก่ง คนกล้า โดยมีแนวทางที่เป็นประโยชน์ในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ มีความสอดคล้องกับแผนปฏิบัติราชการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ และ ๒๕๖๕ ส่วนในด้านการส่งเสริมและการบูรณาการได้มีแผนแม่บทส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ โดยมีการมุ่งเน้นหลักสูตรที่ส่งเสริมทักษะและตอบสนองต่อตลาดแรงงาน เช่น การสร้างบันฑิตพันธุ์ใหม่ การให้ความสำคัญกับการผลิตกำลังคนเพื่อรองรับนโยบายไทยแลนด์ ๔.๐ ซึ่งโครงการบันฑิตพันธุ์ใหม่ได้มีการสอดแทรกความรู้ทางด้านคุณธรรม จริยธรรม เข้าไปในกระบวนการเรียนการสอนด้วย ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8719 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ครั้งที่ 1/2564 | นร.11 | 30/03/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (โควิด-19) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๔ โดยที่ประชุมได้รับทราบเรื่องที่สำคัญ
ได้แก่ สถานการณ์เศรษฐกิจไทยล่าสุด เป้าหมายการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี ๒๕๖๔
ความคืบหน้าการดำเนินมาตรการด้านเศรษฐกิจ
แนวทางการปรับปรุงกฎระเบียบเพื่ออำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจและดึงดูดการลงทุน
ความคืบหน้าการดำเนินการในการฟื้นฟูเศรษฐกิจในภาคการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต และพิจารณาแนวทางการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (โควิด-19) เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8720 | ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ภายในระยะเวลาที่กำหนด พ.ศ. .... | คค. | 23/03/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข
๗ และทางหลวงพิเศษหมายเลข ๙ ภายในระยะเวลาที่กำหนด พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข
๗ และทางหลวงพิเศษหมายเลข ๙ สายถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (ถนนกาญจนาภิเษก)
ตอนบางปะอิน-บางพลี และ ตอนพระประแดง-บางแค ช่วงพระประแดง - ต่างระดับบางขุนเทียน
ตั้งแต่เวลา ๐๐.๐๑ นาฬิกา ของวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๖๔ ถึงเวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา ของวันที่
๑๖ เมษายน ๒๕๖๔ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว
และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้กระทรวงคมนาคมเร่งประชาสัมพันธ์การยกเว้นค่าธรรมเนียมผ่านทางหลวงพิเศษในช่วงวันหยุดเทศกาลดังกล่าว
พร้อมทั้งกำชับให้หน่วยงานในสังกัดปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-๑๙
ตามประกาศของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-๑๙ อย่างเคร่งครัด
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|