ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 430 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 8581 - 8600 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
8581 | รายงานผลการปฏิบัติงานและผลการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายของหน่วยรับงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 (ไตรมาสที่ 2) | นร.07 | 27/04/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานและผลการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายของหน่วยรับงบประมาณ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ (ไตรมาสที่ ๒) ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.
ผลการปฏิบัติงานและผลการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ (ไตรมาสที่ ๒)
ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๓ ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๔ วงเงินงบประมาณรวมทั้งสิ้น
๓,๒๘๕,๙๖๒.๔๗๙๗ ล้านบาท มีการเบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๑,๕๕๑,๔๒๖.๕๖๑๕ ล้านบาท
มีการก่อหนี้แล้ว จำนวน ๑,๗๘๒,๒๔๗.๔๓๓๙ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๗.๒๑ และ ๕๔.๒๔
ตามลำดับ ๒. ปัญหาและอุปสรรค
เช่น สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ส่งผลให้บางหน่วยรับงบประมาณดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างงบประมาณรายจ่ายประจำปี
พ.ศ. ๒๕๖๔ ล่าช้ากว่าแผนที่กำหนดไว้
บุคลากรในพื้นที่ยังขาดความชำนาญและองค์ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ
และรายการผูกพันใหม่ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ที่มีวงเงินเกิน ๑,๐๐๐ ล้านบาท
บางรายการยังไม่เข้าสู่กระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง เป็นต้น ๓. ข้อเสนอแนะ เช่น หน่วยรับงบประมาณควรเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามเป้าหมายและหรือแผนที่กำหนดไว้
และกระทรวงการคลังควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจให้แก่บุคลากรหน่วยรับงบประมาณอย่างต่อเนื่องและชัดเจน
โดยเฉพาะหน่วยรับงบประมาณใหม่ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
ที่อาจยังขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8582 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ [ASEAN Economic Ministers (AEM) Retreat] ครั้งที่ 27 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | พณ. | 27/04/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ
[ASEAN Economic Ministers (AEM) Retreat] ครั้งที่ ๒๗ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ ๒-๓ มีนาคม ๒๕๖๔ ผ่านระบบการประชุมทางไกล
(VDO Conference) โดยที่ประชุม AEM Retreat ครั้งที่ ๒๗ ได้มีการแลกเปลี่ยนแนวทางการรับมือและฟื้นฟูประเทศจากสถานการณ์โควิด-๑๙
และเร่งรัดการดำเนินงานตามกรอบการฟื้นฟูของอาเซียน
และแผนการดำเนินการในการส่งเสริมความร่วมมือและประสานงานระหว่างองค์กรรายสาขา
รวมทั้งเห็นชอบการขยายรายการสินค้าจำเป็น (Essential Goods) ภายใต้บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการดำเนินมาตรการที่มิใช่ภาษีและสินค้าจำเป็นภายใต้แผนปฏิบัติการฮานอยว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและความเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานของอาเซียนให้เข้มแข็งในการตอบสนองต่อการระบาดใหญ่ของโควิด-๑๙
และเห็นชอบประเด็นด้านเศรษฐกิจที่บรูไนดารุสซาลามในฐานะประธานอาเซียนผลักดันให้ร่วมกันดำเนินการให้บรรลุผลสำเร็จในปี
๒๕๖๔ (Priority Economic Deliverables : PEDs) รวมถึงแสดงความกังวลเกี่ยวกับความตกลงด้านเศรษฐกิจที่ตกลงแล้วแต่ยังค้างการมีผลบังคับใช้เป็นเวลายาวนาน
และแนวทางปรับปรุงการบังคับใช้ความตกลงด้านเศรษฐกิจให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้
ที่ประชุมได้รับทราบสถานะล่าสุดของการดำเนินการเพื่อริเริ่มทบทวนความตกลงการค้าสินค้าภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-อินเดีย
(ASEAN-India Trade in Goods Agreement : AITIGA) และปัญหาจากประกาศศุลกากรของสาธารณรัฐอินเดียด้านกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า
(CAROTAR 2020) ความคืบหน้าการจัดทำร่างกรอบขอบเขตความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-สหภาพยุโรป
(Draft Framework Setting Out the Parameters of a Future EU-ASEAN
Agreement on Trade and Investment) และความคืบหน้าในการให้สัตยาบันความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค
(Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP) ของแต่ละประเทศ สำหรับการประชุมที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย การหารือระหว่างรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนกับสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียน
(ASEAN Business Advisory Council : ASEAN-BAC) และการหารือทวิภาคีกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมสิงคโปร์
ซึ่งได้มีการหารือเกี่ยวกับการร่วมกันผลักดันและฟื้นฟูเศรษฐกิจและการค้าการลงทุนด้วยมาตรการต่าง
ๆ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8583 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหน่วยงานของรัฐที่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับทางปกครอง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ยธ. | 27/04/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหน่วยงานของรัฐที่สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับทางปกครอง
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน)
และสถาบันอนุญาโตตุลาการ เป็นหน่วยงานของรัฐตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
เพื่อให้เจ้าพนักงานบังคับคดีในสังกัดกรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม
ดำเนินการบังคับคดีทางปกครองแทนได้
อันจะทำให้การบังคับทางปกครองมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รวมพิจารณาร่างกฎกระทรวงในเรื่องนี้กับร่างกฎกระทรวงฯ
ที่เป็นเรื่องทำนองเดียวกันซึ่งอยู่ระหว่างสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาให้เป็นฉบับเดียวกัน
แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8584 | ร่างประกาศ เรื่อง การกำหนดอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีตามกฎหมายเป็นอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี (ฉบับที่ ๓) | นร.08 | 27/04/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างประกาศ เรื่อง
การกำหนดอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีตามกฎหมายเป็นอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี
(ฉบับที่ ๓) เพื่อให้บรรดาอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงตามกฎหมาย
หรือที่เป็นผู้รักษาการตามกฎหมายหรือที่มีอยู่ตามกฎหมายโอนมาเป็นอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีเป็นการชั่วคราวเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการอนุญาต
อนุมัติ สั่งการ บังคับบัญชา หรือช่วยในการป้องกัน แก้ไข ปราบปราม
ระงับยับยั้งในสถานการณ์ฉุกเฉินหรือฟื้นฟูหรือช่วยเหลือประชาชน จำนวน ๓๑ ฉบับ
ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8585 | มาตรการทางภาษีและค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของสถาบันการเงินประชาชน (ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดิน กรณีที่มีการจัดตั้งและการดำเนินงานของสถาบันการเงินประชาชน ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด รวม ๒ ฉบับ) | กค. | 27/04/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบมาตรการทางภาษีและค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของสถาบันการเงินประชาชน
เพื่อลดภาระต้นทุนของสถาบันการเงินประชาชนและลดภาระค่าใช้จ่ายของสมาชิกสถาบันการเงินประชาชน
และเพื่อเป็นการส่งเสริมการออมทรัพย์และช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของสมาชิกสถาบันการเงินประชาชน
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒.
อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์
ให้แก่สถาบันการเงินประชาชนและสมาชิกของสถาบันการเงินประชาชนสำหรับการดำเนินการต่าง
ๆ ตามกฎหมายว่าด้วยสถาบันการเงินประชาชน และอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย
เรื่อง การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดิน กรณีที่มีการจัดตั้งและการดำเนินงานของสถาบันการเงินประชาชน
ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด มีสาระสำคัญเป็นการลดหย่อนการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดิน
สำหรับกรณีที่มีการจัดตั้งและการดำเนินงานของสถาบันการเงินประชาชน รวม ๒ ฉบับ
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้พิจารณาในประเด็นตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นควรตัดการอ้างข้อ
๒ (๗) (ฎ) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๗ (พ.ศ. ๒๕๔๑)
ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗
ในร่างประกาศกระทรวงมหาดไทยฯ ออก
เนื่องจากมิใช่กรณีการกำหนดให้เรียกเก็บหรือลดหย่อนค่าธรรมเนียมสิทธิและนิติกรรม
แต่เป็นการประกาศหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนดเพื่อประโยชน์ในการลดหย่อนค่าธรรมเนียมที่กฎกระทรวงได้กำหนดไว้แล้ว
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓.
ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจและประโยชน์ที่จะได้รับให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
รวมทั้งควรให้ความสำคัญกับการให้ความรู้ทางด้านการเงิน
และแนวนโยบายการดำเนินงานของสถาบันการเงินประชาชนให้กับประชาชนและสมาชิกของสถาบันการเงินประชาชนควบคู่ไปด้วย
และควรมีการติดตามและวิเคราะห์ถึงปัญหาและอุปสรรคที่ส่งผลกระทบต่อกระบวนการจดทะเบียนเป็นสถาบันการเงินประชาชนขององค์กรการเงินชุมชน
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8586 | การออกประกาศกระทรวงพาณิชย์เกี่ยวกับการส่งออกข้าวภายใต้โควตาภาษีและการกำหนดค่าธรรมเนียมพิเศษในการส่งออกข้าวไปสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักร | พณ. | 27/04/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์
เรื่อง การส่งออกข้าวภายใต้โควตาภาษีไปสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักร พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ว่าด้วยการส่งสินค้าออกไปนอกราชอาณาจักร
(ฉบับที่ ๗๖) พ.ศ. ๒๕๓๙
และกำหนดให้ข้าวขาวและข้าวหักที่ส่งออกไปสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักรเป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองการส่งออก
(Export Certificate) ที่ออกโดยกรมการค้าต่างประเทศไปประกอบการขอใบอนุญาตนำเข้า
(Import License) เพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี
และกำหนดให้การส่งออกข้าวขาวไปสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักรต้องเสียค่าธรรมเนียมพิเศษ
และร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การกำหนดค่าธรรมเนียมพิเศษในการส่งออกข้าวไปสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักร
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง
การกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมพิเศษในการส่งออกสินค้าข้าวไปสหภาพยุโรป (ฉบับที่ ๔)
พ.ศ. ๒๕๔๘ และกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมพิเศษสำหรับการส่งออกข้าวไปสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักรขึ้นใหม่
รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
โดยให้รับข้อสังเกตของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นว่า
ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การกำหนดค่าธรรมเนียมพิเศษในการส่งออกข้าวไปสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักร
พ.ศ. .... ควรระบุวรรคหนึ่งของมาตรา ๖ ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่ให้อำนาจในการกำหนดค่าธรรมเนียมพิเศษให้ชัดเจน
และหากร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ฯ ทั้ง ๒ ฉบับ อ้างถึงเพียงสิทธิประโยชน์ทางภาษีตามความตกลงระหว่างประเทศไทยกับสหราชอาณาจักร
ก็อาจครอบคลุมปริมาณโควตาสินค้าข้าวที่สหราชอาณาจักรจัดสรรให้ไทยเป็นการเฉพาะเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น
ดังนั้น ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ฯ น่าจะอ้างถึงทั้งปริมาณโควตาสินค้าข้าวที่ไทยได้รับจัดสรรตามปริมาณโควตาสินค้าข้าวตามหนังสือแลกเปลี่ยนระหว่างไทยกับสหราชอาณาจักร
เมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๖๓ ควบคู่ไปกับกฎระเบียบของสหราชอาณาจักรที่ ๒๐๒๐/๑๔๓๒
ด้วย ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8587 | คู่มือแนวทางการจัดทำแผนระดับที่ 3 และการเสนอแผนระดับที่ 3 ในส่วนของแผนปฏิบัติการด้าน... ต่อคณะรัฐมนตรี | นร.11 | 27/04/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคู่มือแนวทางการจัดทำแผนระดับที่
๓ และการเสนอแผนระดับที่ ๓ ในส่วนของแผนปฏิบัติการด้าน... ต่อคณะรัฐมนตรี ซึ่งคู่มือดังกล่าวมีสาระสำคัญ
เช่น (๑) นิยามของแผนทั้ง ๓ ระดับ (๒) หลักการในการจัดทำและเสนอแผนระดับที่ ๓
ในส่วนของแผนปฏิบัติการด้าน... ต่อคณะรัฐมนตรี และ (๓)
สาระสำคัญของแผนปฏิบัติการด้าน... เป็นต้น ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ในฐานะสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8588 | รายงานผลการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ของคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 | นร.01 | 27/04/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ ของคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ซึ่งคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการในการประชุม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๖๔ ได้มีมติเห็นชอบแล้ว โดยรายงานฯ มีสาระสำคัญครอบคลุมผลการดำเนินงานของ ๓ องค์กรสำคัญ ได้แก่ (๑) คณะอนุกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ (๒) คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารในสาขาต่าง ๆ และ (๓) สำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ เช่น การปรับปรุงแก้ไขร่างกฎหมายเกี่ยวกับข้อมูลข่าวสาร และการตรวจสอบข้อมูลข่าวสารตามกฎหมาย และเห็นชอบตามข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการที่เห็นควรให้สำนักงาน ก.พ. เป็นผู้พิจารณาให้การผ่านเกณฑ์การทดสอบพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารฯ เป็นคุณสมบัติหนึ่งของการเลื่อนระดับสูงขึ้นของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ควรให้หน่วยงานของรัฐดำเนินการสรุปผลการพิจารณาการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงาน เพื่อให้ประชาชนตรวจดูได้เป็นรายเดือน ทุก ๆ เดือน และให้สำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการติดตามประเมินผลอย่างเป็นระบบ ตามที่คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการเสนอ และให้สำนักงาน ก.พ. รับความเห็นของกระทรวงการคลังซึ่งมีข้อคิดเห็นสำหรับข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการในเรื่องการกำหนดการผ่านเกณฑ์การทดสอบพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสาร พ.ศ. ๒๕๔๐ เป็นคุณสมบัติหนึ่งของการเลื่อนระดับสูงขึ้นของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ว่าควรมีการบูรณาการร่วมกับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการกำหนดตำแหน่งของสำนักงาน ก.พ. เพื่อให้เกิดความชัดเจนและไม่ซ้ำซ้อนในทางปฏิบัติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8589 | การเสนอขอรับเป็นเจ้าภาพสำนักงาน Decade Coordination Office (DCO) | ทส. | 27/04/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการเสนอขอรับเป็นเจ้าภาพสำนักงาน
Decade Coordination Office (DCO) ซึ่งการได้เป็นเจ้าภาพสำนักงาน
DCO จะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของสำนักงานระดับภูมิภาคในการดำเนินการภายใต้ทศวรรษแห่งสหประชาชาติว่าด้วยวิทยาศาสตร์ทางมหาสมุทรเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
[UN Decade of Ocean Science for Sustainable Development (UN Decade)] ปี ค.ศ. ๒๐๒๑-๒๐๓๐ ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อนำความรู้ด้านสมุทรศาสตร์มาใช้ในการวิจัยเพื่อนำไปสู่การกำหนดนโยบายในการบริหารจัดการและการใช้ประโยชน์จากมหาสมุทรอย่างยั่งยืน
โดยจะส่งผลให้ประเทศไทยมีการพัฒนาองค์ความรู้ด้านสมุทรศาสตร์และสามารถเข้าถึงโครงการต่าง
ๆ ด้านสมุทรศาสตร์ได้มากขึ้น
ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการอนุรักษ์และพัฒนาทรัพยากรทางทะเลของไทย
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ทั้งนี้
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นว่า
หากประเทศได้รับการคัดเลือกให้เป็นเจ้าภาพสำนักงาน DCO และจะต้องดำเนินการจัดทำความตกลงกับคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยสมุทรศาสตร์
[Intergovernmental Oceanographic Commission (IOC)] ประกอบด้วย
ความตกลงจัดตั้งสำนักงาน (Seat Agreement) และบันทึกความเข้าใจเพื่อกำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบของคู่ภาคี
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะต้องเสนอเรื่องให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ
รวมถึงประเด็นการดำเนินการตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ไปดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8590 | ขอบเขตพื้นที่เมืองเก่า และแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่าอุทัยธานี เมืองเก่าตรัง และเมืองเก่าฉะเชิงเทรา | ทส. | 27/04/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบขอบเขตพื้นที่เมืองเก่า
และแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่าอุทัยธานี เมืองเก่าตรัง และเมืองเก่าฉะเชิงเทรา
ซึ่งได้ผ่านการประชุมรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์
และเมืองเก่า ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๖๔ เรียบร้อยแล้ว
โดยขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าอุทัยธานี มีเนื้อที่ประมาณ ๑.๖๙ ตารางกิโลเมตร
(๑,๐๕๘.๘๗ ไร่) ครอบคลุมองค์ประกอบเมืองที่สำคัญ เช่น วัดอุโปสถาราม (วัดโบสถ์)
พื้นที่ย่านการค้าดั้งเดิมบริเวณถนนศรีอุทัยและถนนท่าช้าง
ย่านชุมชนชาวจีนตรอกโรงยา และชุมชนชาวแพแม่น้ำสะแกกรัง ขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าตรัง
เนื้อที่ประมาณ ๑.๙๑ ตารางกิโลเมตร (๑,๑๙๒.๙๕ ไร่) ครอบคลุมองค์ประกอบเมืองที่สำคัญ
เช่น หอนาฬิกาจังหวัดตรัง สถานีรถไฟตรัง และขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าฉะเชิงเทรา
เนื้อที่ประมาณ ๓.๙๖ ตารางกิโลเมตร (๒,๔๗๕.๖๙ ไร่)
ครอบคลุมองค์ประกอบเมืองที่สำคัญ เช่น ป้อมและกำแพงเมือง วัดโสธรวรารามวรวิหาร ย่านการค้าตลาดทรัพย์สินพระมหากษัตริย์
จังหวัดฉะเชิงเทรา ส่วนแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า ประกอบด้วยแนวทางทั่วไป
เช่น การมีส่วนร่วมและการประชาสัมพันธ์ การสร้างจิตสำนึกการอนุรักษ์และพัฒนาอย่างยั่งยืน
การส่งเสริมกิจกรรมและวิถีชีวิตท้องถิ่น และแนวทางสำหรับพื้นที่หลัก เช่น ด้านการใช้ประโยชน์ที่ดิน
ด้านอาคารและสภาพแวดล้อม ด้านระบบการราจรและคมนาคมขนส่ง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงคมนาคม
กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เช่น หน่วยงานผู้รับผิดชอบในพื้นที่ควรมีแผนการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยว
และแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อรองรับการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยว
โดยต้องคำนึงถึงสุขอนามัย ความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวเป็นสำคัญ
หน่วยงานที่รับผิดชอบทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น
รวมถึงองค์กรภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องจะต้องให้ความสำคัญกับการนำแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาพื้นที่เมืองเก่าไปสู่การปฏิบัติอย่างจริงจัง
และในการจัดทำแผนแม่บทและผังแม่บทการอนุรักษ์และพัฒนาบริเวณเมืองเก่าฉะเชิงเทราซึ่งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
จังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรคำนึงถึงความเชื่อมโยงกับการพัฒนาเขตพัฒนาภาคตะวันออก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ประโยชน์จากโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนานบิน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
สำหรับค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ตามกรอบแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า
และการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า
เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีที่ได้รับจัดสรรไว้แล้ว
ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีต่อ ๆ ไป ให้ดำเนินการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีอย่างเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำชับให้เจ้าหน้าที่ในระดับพื้นที่ที่เกี่ยวข้องบูรณาการการปฏิบัติงานร่วมกันให้ถูกต้อง
เหมาะสม รวมทั้งสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบจากการกำหนดขอบเขตพื้นเมืองเก่าให้ทั่วถึงด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8591 | ผลการพิจารณารายงานสรุปผลการดำเนินงาน รอบ 9 เดือน (ตุลาคม 2562 - มิถุนายน 2563) ของคณะกรรมาธิการการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม วุฒิสภา | สว. | 27/04/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานสรุปผลการดำเนินงาน
รอบ ๙ เดือน (ตุลาคม ๒๕๖๒-มิถุนายน ๒๕๖๓) ของคณะกรรมาธิการการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม วุฒิสภา โดยคณะกรรมาธิการฯ ได้มีข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงานด้านการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้ประกอบการพิจารณาแก้ไขปัญหา รวม
๖ ด้าน ได้แก่ (๑) ด้านการดำเนินนโยบายของกระทรวง (๒) ด้านกฎหมาย (๓)
ด้านการจัดสรรงบประมาณและการสนับสนุนการลงทุน (๔)
ด้านการบูรณาการด้านการจัดการศึกษาเพื่อเพิ่มศักยภาพกำลังแรงงาน (๕)
ด้านธรรมาภิบาลในสถาบันอุดมศึกษา และ (๖)
ด้านผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ซึ่งกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พิจารณาแล้ว
เห็นด้วยกับข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ ในการปรับปรุงกฎ ระเบียบ
และนโยบายในการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลให้มีความยืดหยุ่น
การสร้างความเข้าใจให้กับหน่วยงานภาครัฐ สถาบันอุดมศึกษา
และผู้ขอรับทุนวิจัยการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8592 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นายอภิชาติ สุภาแพ่ง และนายธีระชาติ ปางวิรุฬห์รักษ์ | พณ. | 27/04/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน ๒ ราย โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเป็นต้นไป
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑. นายอภิชาติ สุภาแพ่ง ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ๒. นายธีระชาติ ปางวิรุฬห์รักษ์ ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8593 | รายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 | กค. | 27/04/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบรายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ประกอบด้วย
งบแสดงฐานะการเงิน และงบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงินของรัฐบาล หน่วยงานของรัฐ
รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน ๘,๔๒๒ หน่วยงาน จากจำนวนทั้งหมด
๘,๔๓๙ หน่วยงาน คิดเป็นร้อยละ ๙๙.๘๐
โดยมีหน่วยงานของรัฐที่ไม่ส่งรายงานการเงินภายในระยะเวลาตามมาตรา ๗๐ จำนวน ๕๑
หน่วยงาน คิดเป็นร้อยละ ๐.๖๐ ประกอบด้วย หน่วยงานของรัฐที่ส่งรายงานการเงินไม่ทันภายในระยะเวลาที่กำหนด
จำนวน ๓๔ หน่วยงาน และหน่วยงานของรัฐที่ไม่ส่งรายงานการเงิน จำนวน ๑๗ หน่วยงาน
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒.
ให้หน่วยงานของรัฐที่ไม่ส่งรายงานการเงินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓
ให้กระทรวงการคลังภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด รายงานเหตุผลหรือปัญหาอุปสรรคและแนวทางแก้ไข
เพื่อให้สามารถจัดส่งรายงานการเงินประจำปีให้ทันภายในระยะเวลาที่กำหนดให้กระทรวงการคลังทราบภายใน
๖๐ วันนับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ ๓.
ให้กระทรวงการคลังให้ความสำคัญกับมาตรการด้านการจัดเก็บรายได้
โดยจะต้องมีการปฏิรูปการจัดเก็บรายได้ โดยนำทรัพย์สินของภาครัฐมาสร้างรายได้ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการที่ราชพัสดุ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8594 | หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 [Coronavirus Disease 2019 (COVID - 19)] (ฉบับที่ 3) | สธ. | 27/04/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ
กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19
[Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)] (ฉบับที่ ๓) เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ
กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 [Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)] (ฉบับที่ ๒)
ให้ครอบคลุมถึงค่าใช้จ่ายที่เกิดจากอาการแพ้วัคซีนหรืออาคารไม่พึงประสงค์ที่เกิดจากการฉีดวัคซีน
ซึ่งมีความจำเป็นต้องใช้กับผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 [Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)] ของบุคคลกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 หรือโรคโควิด 19 [Coronavirus
Disease 2019 (COVID-19)]
และเกิดอาการแพ้วัคซีนหรืออาการไม่พึงประสงค์
และเพิ่มเติมค่าพาหนะรับส่งต่อผู้ป่วย ค่าอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (Personal
Protective Equipment : PPE)
รวมถึงค่าทำความสะอาดฆ่าเชื้อพาหนะส่งต่อผู้ป่วย ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
รวมทั้งความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการกำหนดค่าใช้จ่ายตามกรณีที่กำหนดในมาตรา
๓๖ วรรคห้า แห่งพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. ๒๕๔๑
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติสถานพยาบาล (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙
เป็นไปเพื่อการช่วยเหลือเยียวยาแก่ผู้ป่วยซึ่งจำเป็นต้องได้รับการรักษาพยาบาลโดยฉุกเฉินจากสถานพยาบาลตามที่รัฐมนตรีโดยคำแนะนำของคณะกรรมการประกาศกำหนดตามมาตรา
๓๓/๑ แต่โดยที่ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง
กำหนดผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ
กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19
[Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)] ซี่งออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๖
วรรคหนึ่ง และมาตรา ๓๓/๑ แห่งพระราชบัญญัติสถานพยาบาลฯ
ยังมิได้มีการกำหนดให้ผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ
กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 [Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)]
ครอบคลุมถึงบุคคลกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙
หรือโรคโควิด ๑๙ [Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)] และเกิดอาการแพ้วัคซีนหรืออาการไม่พึงประสงค์ด้วย
จึงเห็นควรแก้ไขประกาศกระทรวงสาธารณสุขดังกล่าวให้สอดคล้องกัน
เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปอย่างถูกต้องและเหมาะสม
และเห็นควรให้กระทรวงสาธารณสุขกำกับ ติดตาม
และตรวจสอบค่าใช้จ่ายงบประมาณดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ
เงื่อนไข อัตราที่กำหนด และสามารถตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอนพร้อมกับดำเนินการให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ค่าใช้จ่ายของกระทรวงการคลังด้วย
ไปพิจารณาดำเนินการให้ถูกต้องและเหมาะสมต่อไป ๓.
ให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งสร้างการรับรู้เกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 ที่แก้ไขเพิ่มเติมในครั้งนี้
ให้แก่สถานพยาบาลต่าง ๆ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องและทั่วถึง
เพื่อให้การดำเนินการป้องกันและการรักษาพยาบาลผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
รวมถึงการดำเนินการต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งนี้
ให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมมือกับศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมแผนการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง
ภายใต้กรณีศึกษาต่าง ๆ ตามระดับความรุนแรงและเร่งด่วนของสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา
2019 เพื่อให้การดำเนินการป้องกันและการรักษาพยาบาลผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 มีความเหมาะสม และสามารถรองรับสภาพปัญหาที่อาจเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างทันการณ์ ๔.
ให้กระทรวงสาธารณสุขได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8595 | ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สำหรับโครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สำหรับบริการประชากรในประเทศไทย เพิ่มเติม จำนวน 5 แสนโดส | สธ. | 27/04/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. รับทราบรายละเอียดโครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (COVID-19) สำหรับบริการประชากรในประเทศไทย เพิ่มเติม จำนวน ๕ แสนโคส
กรอบวงเงินจำนวน ๓๒๑,๖๐๔,๐๐๐ บาท และอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๔ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา
และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กรอบวงเงินจำนวน ๓๒๑,๖๐๔,๐๐๐ บาท
สำหรับโครงการจัดหาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สำหรับบริการประชากรในประเทศไทย
เพิ่มเติม จำนวน ๕ แสนโดส ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ๒.
ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาคเอกชนเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (COVID-19) ให้อยู่ในวงจำกัดโดยเร็วที่สุดและเพิ่มประสิทธิภาพในการคัดกรองระดับ/แยกประเภทผู้ป่วย
รวมทั้งการนำผู้ป่วยเข้าสู่ระบบการรักษาพยาบาลให้ทั่วถึงและรวดเร็วยิ่งขึ้น ๒.๒ ประเมินสถานการณ์ ตรวจสอบ
และแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในขั้นตอนต่าง ๆ เช่น การเฝ้าระวังโรค การเข้าตรวจโรค
และการรักษาพยาบาล เป็นต้น รวมทั้งให้จัดเตรียมแผนรองรับความเสี่ยงต่าง ๆ
ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
เพื่อให้การบริหารจัดการวิกฤติในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
(COVID-19)
เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน ๒.๓
เร่งรัดการดำเนินการกระจายวัคซีนไปยังกลุ่มเป้าหมายอย่างเป็นระบบ ทั่วถึง
และเป็นธรรม
รวมทั้งให้สร้างความเข้าใจแก่ประชาชนให้มีความพร้อมในการเข้ารับการฉีดวัคซีนและการป้องกันโรคในสถานการณ์การแพร่ระบาดที่ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ให้เผยแพร่ข้อมูลผลการดำเนินงานดังกล่าวสู่สาธารณชนเพื่อให้เกิดความโปร่งใสด้วย ๓.
ให้กระทรวงสาธารณสุขได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8596 | การเข้าร่วมงาน Expo 2025 Osaka Kansai | พณ. | 27/04/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติในหลักการให้ประเทศไทยเข้าร่วมงาน
EXPO 2025 Osaka Kansai ระหว่างวันที่ ๑๓ เมษายน-๑๓
ตุลาคม ๒๕๖๘ ณ นครโอซากา ประเทศญี่ปุ่น
โดยมอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานเจ้าภาพหลักรับผิดชอบการเข้าร่วมงาน EXPO
2025 Osaka Kansai ในนามประเทศไทย รวมถึงเป็นผู้นำเสนอรายละเอียดแผนงานและแผนเงินให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุข
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณที่เห็นว่า
การเตรียมการเข้าร่วมงาน Expo 2025 Osaka Kansai กระทรวงสาธารณสุขควรทำงานร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้สามารถนำเสนอศักยภาพและความพร้อมของประเทศไทยในด้านสาธารณสุข
รวมถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อสุขภาพและการแพทย์ได้อย่างครบถ้วนและมีความหลากหลาย
โดยเฉพาะเทคโนโลยีหุ่นยนต์ อุปกรณ์การแพทย์ ยา
และอุตสาหกรรมความงามและการดูแลสุขภาพ รวมทั้งคัดเลือกวิสาหกิจที่มีศักยภาพด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์เข้าร่วมกิจกรรมภายในงานดังกล่าว
สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นเห็นควรจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณที่เหมาะสมและทันต่อสถานการณ์ตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีให้ถูกต้องครบถ้วน
โดยคำนึงถึงประโยชน์ที่รัฐหรือประชาชนจะได้รับ ความคุ้มค่า และความครอบคลุมของทุกแหล่งเงินที่จะนำมาใช้จ่ายในการเข้าร่วมงานดังกล่าว
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8597 | รายงานการเงินแผ่นดิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 | กค. | 27/04/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการเงินแผ่นดิน
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ประกอบด้วย งบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน
งบแสดงฐานะการเงิน งบแสดงการเปลี่ยนแปลงสินทรัพย์สุทธิ/ส่วนทุน งบกระแสเงินสด
และรายงานการรับจ่ายเงินประจำปีงบประมาณ
ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบรับรองแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้เสนอรัฐสภาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8598 | การสมัครรับเลือกตั้งตำแหน่งสมาชิกสภาบริหารของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (ITU) | กสทช. | 27/04/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ประเทศไทยสมัครรับเลือกตั้งตำแหน่งสมาชิกสภาบริหารของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ
(International Telecommunication Union : ITU) อีกวาระหนึ่ง (ปี ๒๕๖๖-๒๕๖๙ หรือ ค.ศ. ๒๐๒๓-๒๐๒๖)
และมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการขอเสียง/แลกเสียงสนับสนุนจากประเทศสมาชิกของ
ITU ในการสมัครรับเลือกตั้งตำแหน่งสมาชิกสภาบริหารของประเทศไทย
รวมทั้งมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์
และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อสมัครรับเลือกตั้งตำแหน่งสมาชิกสภาบริหารของประเทศไทย
[มีกำหนดจะเลือกตั้งตำแหน่งสมาชิกสภาบริหารของ ITU
ในที่ประชุมใหญ่ผู้แทนผู้มีอำนาจเต็ม ปี ๒๕๖๕ (ค.ศ. ๒๐๒๒)
ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๖ กันยายน-๑๔ ตุลาคม ๒๕๖๕ ณ เมืองบูคาเรสต์ ราชอาณาจักรโรมาเนีย]
ตามที่สำนักงาน กสทช. เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8599 | การสมัครเข้ารับการคัดเลือกเป็นคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลเพื่อการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ (ICS-ICH) วาระปี พ.ศ. 2565 – 2569 | วธ. | 27/04/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติให้ราชอาณาจักรไทยสมัครเข้ารับคัดเลือกเป็นคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลเพื่อการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้
(Intergovernmental Committee for the Safeguarding of the Intangible
Cultural Heritage : ICS-ICH) วาระปี พ.ศ. ๒๕๖๕-๒๕๖๙ และเห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการขอเสียงและแลกเสียงสนับสนุนกับรัฐภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้
และการไขว้เสียงกับอนุสัญญาอื่น ๆ รวมทั้งมอบหมายให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณสนับสนุนให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินงานเพื่อสนับสนุนการสมัครเข้ารับการคัดเลือกเป็นคณะกรรมการฯ
วาระปี พ.ศ. ๒๕๖๕-๒๕๖๙ ให้แก่กรมส่งเสริมวัฒนธรรม
ในฐานะหน่วยประสานงานกลางอนุสัญญาว่าด้วยการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้
และกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อใช้ในกิจกรรมการรณรงค์สมัครเข้ารับการคัดเลือกและกิจกรรมอื่น
ๆ ที่เกี่ยวข้อง (กำหนดการคัดเลือกเป็นคณะกรรมการฯ วาระปี พ.ศ. ๒๕๖๕-๒๕๖๙ จะจัดขึ้นในการประชุมสมัชชาของรัฐภาคีแห่งอนุสัญญาว่าด้วยการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้
สมัยสามัญ ครั้งที่ ๙ ประมาณเดือนสิงหาคม ๒๕๖๕ ณ กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส)
ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ
สำหรับค่าใช้จ่ายในการเตรียมการที่อาจจะเกิดขึ้นก่อนการคัดเลือกเป็นคณะกรรมการฯ
เห็นควรให้หน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวข้องใช้จ่ายจากการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณโอนเงินจัดสรรหรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร
แล้วแต่กรณี ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.
ให้กระทรวงวัฒนธรรมรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ที่เห็นควรให้กระทรวงวัฒนธรรมหารือร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศเพื่อพิจารณาประเด็นเรื่องจำนวนสัดส่วนของประเทศสมาชิกอาเซียนกับตำแหน่งที่ว่างของกรรมการดังกล่าว
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8600 | รายงานผลการประชุมรัฐมนตรีแรงงานอาเซียน (ASEAN Labour Ministers’ Meeting : ALMM) ครั้งที่ 26 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ผ่านระบบการประชุมทางไกลผ่านจอภาพ (Video Conference) | รง. | 27/04/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีแรงงานอาเซียน (ASEAN Labour Ministers’ Meeting : ALMM) ครั้งที่ ๒๖
และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ผ่านระบบการประชุมทางไกลผ่านจอภาพ (Video
Conference) ระหว่างวันที่ ๒๖-๒๘ ตุลาคม ๒๕๖๓ ณ กระทรวงแรงงาน
และเห็นชอบร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุม จำนวน ๓ ฉบับ ได้แก่ (๑)
ร่างแผนงานรัฐมนตรีแรงงานอาเซียน ฉบับใหม่ ค.ศ. ๒๐๒๑-๒๐๒๕ และร่างแผนงานอื่น ๆ
ที่เกี่ยวข้อง (๒) ร่างแถลงการณ์ร่วม (Joint Communique) ของการประชุมรัฐมนตรีแรงงานอาเซียน
ครั้งที่ ๒๖ และ (๓) ร่างถ้อยแถลงร่วม (Joint Statement) ของการประชุมรัฐมนตรีแรงงานอาเซียนบวกสาม
ครั้งที่ ๑๑ โดยร่างแผนงานรัฐมนตรีอาเซียนฯ เป็นกรอบแนวทางการดำเนินงานของประเทศสมาชิกอาเซียนและอาเซียนบวกสามด้านแรงงาน
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้แรงงานมีคุณภาพชีวิตที่ดี
มีความสามารถในการแข่งขัน เข้าถึงการคุ้มครอง มีอาชีวอนามัย
และความปลอดภัยในสถานประกอบการ ผ่านการขับเคลื่อนโครงการ/กิจกรรม ในกรอบระยะเวลา ๕
ปี โดยไม่ได้มีผลผูกพันทางกฎหมาย สำหรับร่างแถลงการณ์ร่วมฯ และร่างถ้อยแถลงร่วมฯ เป็นเอกสารแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองของรัฐมนตรีของประเทศสมาชิกอาเซียนและอาเซียนบวกสามในความร่วมมือเพื่อส่งเสริมความสามารถในการปรับตัวของแรงงานต่อความท้าทายของอนาคตของงาน
ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารทั้ง ๓ ฉบับ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงแรงงานดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ๒.
ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และรับข้อสังเกตของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติที่เห็นว่า
ร่างแผนงานรัฐมนตรีแรงงานอาเซียน ฉบับใหม่ ค.ศ. ๒๐๒๑-๒๐๒๕ และร่างแผนงานอื่น ๆ
ที่เกี่ยวข้อง ควรให้ความสำคัญต่อการคุ้มครองความเสี่ยงทางการเงินของแรงงาน
การลดความเสี่ยงของแรงงานในสถานการณ์ฉุกเฉินและการฟื้นฟูแรงงานที่ได้รับผลกระทบ
โดยเฉพาะแรงงานในภาคนอกระบบ รวมทั้งการกระจายอำนาจรัฐจากส่วนกลางสู่ท้องถิ่น
ตลอดจนการส่งเสริมบทบาทการเป็นหุ้นส่วนทางสังคม
เพื่อประโยชน์ในการบรรลุเป้าหมายให้ประชาชนมีหลักประกันและความมั่นคงในระยะยาว
นอกจากนี้
ในอนาคตประเทศไทยมีแนวโน้มในการพึ่งพาแรงงานทักษะต่ำจากประเทศเพื่อนบ้านสูง
จึงอาจหยิบยกประเด็นการบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติอย่างมีประสิทธิภาพร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนขึ้นหารือในโอกาสที่เหมาะสม
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |