คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 เมษายน
2553 ดังนี้
              1. เห็นชอบ
                  1.1 ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร จังหวัดนนทบุรี อำเภอ
เมืองสมุทรปราการ  อำเภอบางพลี  อำเภอพระประแดง  อำเภอพระสมุทรเจดีย์  อำเภอบางบ่อ  และอำเภอบางเสา
ธง  จังหวัดสมุทรปราการ  อำเภอธัญบุรี  อำเภอลาดหลุ่มแก้ว  อำเภอสามโคก   อำเภอลำลูกกา   และอำเภอคลอง
หลวง จังหวัดปทุมธานี อำเภอพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม และอำเภอวังน้อย อำเภอบางปะอิน อำเภอบางไทร และ
อำเภอลาดบัวหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
                  1.2 ประกาศ  เรื่อง  การกำหนดอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีตามกฎหมายเป็นอำนาจหน้าที่ของนายก
รัฐมนตรี
                  1.3 คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ พิเศษ 1/2553  เรื่อง  การจัดตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน 
              2. รับทราบ
                  2.1 คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ พิเศษ 2/2553  เรื่อง  แต่งตั้งผู้กำกับการปฏิบัติงาน  หัวหน้าผู้รับผิดชอบ
และพนักงานเจ้าหน้าที่ในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง
                  2.2 ข้อกำหนด ออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุก
เฉิน พ.ศ. 2548
                  2.3 ประกาศตามมาตรา 11 แห่งพระราชกำหนดการบริหารในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548              

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนบางไผ่ จังหวัดพิจิตร
พ.ศ. ....  มีสาระสำคัญคือ  ให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลบางไผ่ อำเภอบางมูลนาก จังหวัดพิจิตร เพื่อ
ใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาและการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบทในด้านการใช้ประโยชน์
ในทรัพย์สิน  การคมนาคมและการขนส่ง  การสาธารณูปโภค  บริการสาธารณะ  และสภาพแวดล้อม  ตามที่
กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา  แล้วดำเนินการต่อไปได้

             คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนจันจว้า จังหวัดเชียงราย
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้บังคับผังเมืองรวมในท้องที่ตำบลจันจว้า และตำบลจันจว้าใต้ อำเภอแม่จัน  จังหวัด
เชียงราย เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาและการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการ
ใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน  การคมนาคมและการขนส่ง  การสาธารณูปโภค  บริการสาธารณะและสภาพแวดล้อม
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไป
ได้

              คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เสนอ ดังนี้
              1. อนุมัติขยายระยะเวลาการได้รับเงินสมนาคุณสำหรับผู้ปฏิบัติงานตำแหน่งประเภทบริหารและประเภท
เชี่ยวชาญเฉพาะใน กอ.รมน. ห้วงระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551 จนถึงวันที่ 26 กรกฎาคม 2552
              2. อนุมัติหลักการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553  งบกลาง  รายการเงิน
สำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 16,214,108 บาท

               คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
               1. อนุมัติหลักการการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 งบกลาง รายการ
เงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 112,500,000 บาท  เพื่อเป็นค่าเช่าใช้บริการวงจรสื่อสารข้อมูล
พร้อมอุปกรณ์ในโครงการพัฒนาเครือข่ายสื่อสารข้อมูลเชื่อมโยงหน่วยงานภาครัฐ  (Government Information Net
work : GIN)  ระยะที่ 3 ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ
               2. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. 2553 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 94,840,000 บาท  ที่เหลือจำนวน
17,660,000 บาท ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ของสำนักงานปลัดกระทรวง
เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร งบดำเนินงาน ค่าสาธารณูปโภค  รายการค่าบริการสื่อสารและโทรคมนาคม
ซึ่งหมดความจำเป็นในการใช้จ่ายแล้ว   เนื่องจากสำนักงานปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้ใช้
บริการเครือข่ายระบบ  GIN  เต็มรูปแบบแล้ว  ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ   และให้กระทรวงเทคโนโลยีสาร
สนเทศและการสื่อสารรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ให้ประสาน
กับสำนักงบประมาณในรายละเอียดโดยพิจารณาตามความจำเป็นของระบบและระยะเวลาที่เหลือ พร้อมทั้งประสาน
ตัวเลขรายจ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2554  ให้ครบถ้วนและประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการพัฒนาเครือข่ายสื่อสาร
ข้อมูลเชื่อมโยงหน่วยงานภาครัฐทั้ง 3 ระยะต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการด้วย

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักพระราชวังเช่ารถยนต์ชุดใหม่ จำนวนรวม  8  คัน ประกอบด้วย รถ
ยนต์ตู้ จำนวน 3 คัน  พร้อมอุปกรณ์  และรถบรรทุก (กระบะ 4 ประตู) หลังคาไฟเบอร์ พร้อมอุปกรณ์ จำนวน
5 คัน ซึ่งกระทรวงการคลังพิจารณาเห็นชอบแล้วในลักษณะก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. 2553-2555
ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2553-30 กันยายน 2555  รวม 30 เดือน  ภายในวงเงิน  5,945,000  บาท  โดยเบิก
จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ  พ.ศ. 2553  งบเงินอุดหนุนประเภทเงินอุดหนุนทั่วไป  ราย
การค่าใช้จ่ายในพระราชฐานที่ประทับสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามมกุฎราชกุมาร จำนวน 1,189,000
บาท และผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554-2555 อีกจำนวน 4,756,000 บาท

               คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
               1. เห็นชอบให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพร่วมจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการว่าด้วยความร่วมมือระดับภูมิ
ภาคเอเชีย-แปซิฟิก เพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน  (Workshop on Regional Cooperation for the
Promotion and Protection of Human Rights in the Asia-Pacific Region-AP Workshop)  ครั้งที่  15  ระหว่าง
วันที่ 21-23 เมษายน 2553 ที่กรุงเทพ ฯ  โดยให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลัก  และ
ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสนับสนุนเพื่อให้จัดการประชุมดังกล่าวเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
               2. เห็นชอบร่างหนังสือแลกเปลี่ยนระหว่างรัฐบาลไทยและสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่ง
สหประชาชาติ  (Office of the High Commissioner for Human Rights-OHCHR)  เกี่ยวกับการเป็นเจ้าภาพร่วม
จัดการประชุม AP Workshop ครั้งที่ 15  ทั้งนี้  หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขเพิ่มเติมร่างหนังสือแลกเปลี่ยน ฯ ใน
ส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาดำเนินการต่อไปได้
               3. มอบหมายให้เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรแห่งประเทศไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา เป็น
ผู้ลงนามร่างหนังสือแลกเปลี่ยนดังกล่าวในนามรัฐบาลไทย

             คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางลิงลีไง เอฟ. ลาคันลาเล (The Honorable Linglingay F. Lacanlale)
ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ประจำประเทศไทยคนใหม่  สืบ
แทนนายอันโตเนียว เวนุส โรดรีเกซ (Mr. Antonio Venus Rodriguez) โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร ตาม
ที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ

               คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายอับดุล  ซามัด  ซามัด  (Mr. Abdul Samad Samad)  ให้ดำรงตำแหน่ง
เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐอิสลามอัฟกานิสถานประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก
ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ สืบแทนนายฮารูน อามีน (Mr. Haron Amin) ซึ่งมีถิ่นพำนัก ณ กรุงโตเกียว  ตามที่กระทรวงการ
ต่างประเทศเสนอ

                คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ  สังกัดสำนักข่าวกรองแห่งชาติ  สำนักนายก
รัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์
ตามที่สำนักข่าวกรองแห่งชาติเสนอ ดังนี้
                1. นางสาวมาลินี พันธุ์ค้า         ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการดำเนินงานข่าวกรองในต่างประเทศ
                                                           (นักการข่าวทรงคุณวุฒิ) กลุ่มงานที่ปรึกษา สำนักข่าวกรองแห่งชาติ
                                                           ตั้งแต่วันที่ 26 ตุลาคม 2552                                             
                2. นายวัตตะ วุตติสันต์              ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการพัฒนาระบบงานการข่าว  (นักการ
                                                           ข่าวทรงคุณวุฒิ) กลุ่มงานที่ปรึกษา  สำนักข่าวกรองแห่งชาติ  ตั้งแต่
                                                           วันที่ 27 ตุลาคม 2552 
                3. นายฐากูร ดิษฐอำนาจ         ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านข่าวกรองความมั่นคงและสถาบันหลัก
                                                           (นักการข่าวทรงคุณวุฒิ) กลุ่มงานที่ปรึกษา สำนักข่าวกรองแห่งชาติ
                                                           ตั้งแต่วันที่ 30 ตุลาคม 2552

             คณะรัฐมนตรีมีมติให้นายสุรพล สุประดิษฐ์ พ้นจากตำแหน่งกรรมการผู้แทนกระทรวงการคลังในคณะ
กรรมการองค์การสะพานปลา และอนุมัติให้แต่งตั้งนางภัสฐาปนี มหาวรสินธรณ์ เป็นกรรมการผู้แทนกระทรวง
การคลังในคณะกรรมการองค์การสะพานปลา  ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ  โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่
คณะรัฐมนตรีมีมติ (7 เมษายน 2553) เป็นต้นไป

              คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอการเปลี่ยนแปลงบันทึกข้อ
ตกลงโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ระหว่างรัฐสภากับสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม โดยยกเลิกบันทึก
ข้อตกลงฯ  ฉบับลงวันที่  15  สิงหาคม  2551  ที่กำหนดให้รัฐสภาจัดซื้อที่ดินบริเวณถนนศรีสมาน ใกล้โรงงานสาร
ส้มจังหวัดนนทบุรี เนื้อที่ 31 ไร่ เพื่อชดเชยที่ดินแปลงหมายเลขทะเบียนที่ กท. 4591 โฉนดเลขที่ 3239  (ใช้ในราช
การสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม)  แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ กรุงเทพมหานคร (ข้างวัดสร้อยทอง) ให้สำนักงาน
ปลัดกระทรวงกลาโหมเพื่อใช้เป็นที่ก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยนายทหารชั้นสัญญาบัตรของสำนักงานปลัดกระทรวง
กลาโหม  เนื่องจากที่ดินบริเวณดังกล่าวอยู่ติดกับที่ดินของเทศบาลปากเกร็ด ซึ่งจะใช้เป็นสถานที่คัดแยกขยะ  สถานี
ขนถ่ายขยะมูลฝอย   และบ่อบำบัดน้ำเสีย   จะทำให้เป็นปัญหาเรื่องกลิ่นเหม็น   จึงได้ร่วมกันพิจารณาที่ดินแห่งใหม่
และเห็นว่า ที่ดินบริเวณถนนเลียบคูนายกิม  (ซอยเลียบคูนายกิม 39)  มีความเหมาะสม จึงได้มีข้อตกลงร่วมกันใหม่
ตามบันทึกข้อตกลงฯ ฉบับลงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2553 ให้รัฐสภาจัดซื้อที่ดินบริเวณถนนเลียบคูนายกิม เนื้อที่ 37-
2-55.9 ไร่ หรือ 15,055.90 ตารางวา  เพื่อชดเชยที่ดินแปลงหมายเลขทะเบียนที่ กท. 4591  โฉนดเลขที่ 3239 ฯ
ให้แก่สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม  เพื่อใช้เป็นที่ก่อสร้างอาคารสำนักงานและที่พักอาศัย พร้อมสิ่งอำนวยความ
สะดวกของกองทหารสารวัตร สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ด้านติดถนนเลียบคูนายกิม สาย 1  เนื้อที่ประมาณ
34 ไร่ และให้รัฐสภาประมาณ 3 ไร่ 2 งาน เพื่อใช้เป็นที่ก่อสร้างบ้านพักข้าราชการรัฐสภา ด้านติดคลองบ้านใหม่

              คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอผลการสำรวจความคิด
เห็นของประชาชนที่มีต่อการบริหารงานของรัฐบาล  เมื่อบริหารงานครบ 1 ปี  (มกราคม พ.ศ. 2553)  โดยสำนัก
งานสถิติแห่งชาติได้จัดเก็บข้อมูลในระหว่างวันที่ 4-25 มกราคม 2553  ภายหลังจากที่รัฐบาลนำโดยนายอภิสิทธิ์
เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้บริหารงานครบ  1  ปี  เพื่อติดตามการบริหารงานของรัฐบาล ความพึงพอใจ  รวมทั้ง
ความเชื่อมั่นต่อการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลในด้านเศรษฐกิจและสังคม สรุปได้ดังนี้
               1. ประชาชนร้อยละ  81.5  ระบุว่าได้ติดตามการปฏิบัติงาน/การนำเสนอลผการปฏิบัติงานของรัฐบาล 
ส่วนผู้ที่ระบุว่าไม่ได้ติดตามมีร้อยละ 18.5  สำหรับการติดตามรายการ "เชื่อมั่นประเทศไทยกับ นายก ฯ อภิสิทธิ์"
มีประชาชนร้อยละ 48.9 ระบุว่าติดตาม และมีร้อยละ 51.1 ที่ไม่ได้ติดตาม โดยผู้ที่ติดตามรายการ "เชื่อมั่นประเทศ
ไทยกับ นายก ฯ อภิสิทธิ์" ร้อยละ 37.3  ให้ข้อเสนอแนะรายการดังนี้  ควรปรับเพิ่มเนื้อหาสาระให้เข้มข้น  เปลี่ยน
เวลาออกอากาศเป็น 18.00 น. และควรประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบเรื่องราวต่าง ๆ อย่างทั่วถึง
               2. ประชาชนร้อยละ 77.6 เห็นว่ารัฐบาลจะสามารถแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจของประเทศไทย ส่วนผู้ที่
เห็นว่ารัฐบาลไม่สามารถแก้ไขได้มีร้อยละ 11.9 และที่ระบุว่าไม่ทราบ/ไม่แน่ใจมีร้อยละ 10.5 ในส่วนของการแก้ไข
ปัญหาด้านสังคม ประชาชนร้อยละ 71.5 เห็นว่าสามารถแก้ไขได้  ส่วนผู้ที่เห็นว่าไม่สามารถแก้ไขได้มีร้อยละ 16.7
และที่ระบุว่าไม่ทราบ/ไม่แน่ใจมีร้อยละ 11.8
               3. ประชาชนร้อยละ 87.3  มีความพึงพอใจโดยรวมต่อการบริหารงานของรัฐบาล  ส่วนผู้ที่ไม่พึงพอใจมี
ร้อยละ 8.5 และผู้ที่ไม่ทราบ/ไม่แน่ใจมีร้อยละ 4.2
               4. ประชาชนร้อยละ 86.3  ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับนโยบายที่ชื่นชอบ 5 อันดับแรก ได้แก่ การให้
เบี้ยยังชีพกับผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ร้อยละ 59.4  การจัดการศึกษาฟรี  15  ปี  ร้อยละ 53.9  นโยบายช่วย
เหลือค่าครองชีพประชาชน 5 มาตรการ ร้อยละ 47.7  การประกันราคาพืชผลทางการเกษตร  ร้อยละ 21.4  และ
การแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ ร้อยละ 13.0
               5. ประชาชนร้อยะล 87.0  ได้แสดงความคิดเห็นถึงปัญหาสำคัญที่ต้องการให้รัฐบาลแก้ไขอย่างเร่งด่วน
5 อันดับแรก ได้แก่ ปัญหายาเสพติด ร้อยละ 37.7 ปัญหาด้านเศรษฐกิจของประเทศ เช่น หนี้สิน การส่งออก ร้อย
ละ 35.3 ปัญหาความไม่สงบเรียบร้อย/ความแตกแยกภายในประเทศ ร้อยละ 27.2 ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาค
ใต้/พื้นที่ทับซ้อน ร้อยละ 24.3 และปัญหาการว่างงาน ร้อยละ 16.9
                6. ประชาชนร้อยละ 33.4  ให้ข้อคิดเห็น/ข้อเสนอแนะต่อการบริหารงานของรัฐบาล ดังนี้ การทำงาน
ด้วยความตั้งใจ เป็นระบบ ร้อยละ 30.2  การไม่เลือกปฏิบัติ/ไม่ปฏิบัติ 2 มาตรฐาน  ร้อยละ 22.5  การแก้ปัญหา
ด้านเศรษฐกิจ ร้อยละ 12.6 การสร้างความสมานฉันท์ภายในประเทศ ร้อยละ 9.6 และการแก้ปัญหาความขัดแย้ง
ทางการเมือง ร้อยละ 5.7 เป็นต้น

              คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพลังงานเสนอรายงานสถานการณ์น้ำในเขื่อนของการไฟฟ้า
ฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง สรุปได้ดังนี้
              1. สถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำของ กฟผ.  ณ  วันที่ 15 มีนาคม 2553  มีปริมาณน้ำในอ่าง ฯ  ทั้งหมด
39,347 ล้านลูกบาศก์เมตร  (ล้าน ลบ.ม.)  คิดเป็นร้อยละ  63.10 ของความจุอ่างทั้งหมด แยกเป็น
                  1.1 ภาคเหนือ  เขื่อนภูมิพล  เขื่อนสิริกิติ์  และเขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล  มีปริมาณน้ำร่วมกัน  10,261
ล้าน ลบ.ม. หรือร้อยละ 44.16 ของความจุอ่าง
                  1.2 ภาคกลาง-ตะวันตก เขื่อนศรีนครินทร์ เขื่อนท่าทุ่งนา เขื่อนวชิราลงกรณ เขื่อนแก่งกระจาน และ
เขื่อนคีรีธาร มีปริมาณน้ำร่วมกัน 21,312 ล้าน ลบ.ม. หรือร้อยละ 77.66 ของความจุอ่าง
                  1.3 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เขื่อนอุบลรัตน์ เขื่อนสิรินธร เขื่อนจุฬาภรณ์ เขื่อนน้ำพุง เขื่อนห้วยกุ่ม
และเขื่อนปากมูล มีปริมาณน้ำรวมกัน 2,371 ล้าน ลบ.ม. หรือร้อยละ 51.78 ของความจุอ่าง
                  1.4 ภาคใต้ เขื่อนรัชชประภา และเขื่อนบางลาง มีน้ำรวมกัน 5,402 ล้าน ลบ.ม.  หรือร้อยละ 76.16
ของความจุอ่าง
              2. การเตรียมการเพื่อรองรับปัญหาภัยแล้ง  กฟผ.  ได้จัดเตรียมรถบรรทุกน้ำตามเขื่อนต่าง  ๆ  เพื่อให้
ความช่วยเหลือแก่ประชาชนและชุมชนใกล้เคียงที่ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำเพื่อการอุปโภคและบริโภค

             คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราขั้นสูงสำหรับค่าโดยสารและค่าระวาง
สำหรับอากาศยานขนส่ง  พ.ศ. ....  ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ  และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
ตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้  โดยร่างกฎกระทรวงฯ  มีสาระสำคัญคือ  กำหนดอัตราขั้นสูงสำหรับค่า
โดยสารและค่าระวางสำหรับอากาศยานขนส่งตามมาตรา 20 วรรคสาม เฉพาะในเส้นทางภายในประเทศ ดังนี้
             1. อัตราค่าโดยสารไม่เกิน 30 บาทต่อหนึ่งกิโลเมตร  เว้นแต่ดังต่อไปนี้  ให้ผู้ประกอบการอากาศยาน
ขนส่งกำหนดอัตราค่าโดยสารได้โดยเสรี
                 1.1 เส้นทางบินที่มีระยะทางการบินไม่เกิน 300 กิโลเมตร
                 1.2 เส้นทางการบินที่บินเชื่อมระหว่างภาค โดยไม่แวะกรุงเทพฯ
             2. อัตราค่าระวางไม่เกิน 50 บาทต่อหนึ่งกิโลเมตร

                คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการขอให้รับรองใบรับรอง
แบบอากาศยานหรือใบรับรองแบบส่วนเพิ่มเติมที่ออกโดยรัฐภาคีแห่งอนุสัญญาหรือประเทศที่ได้ทำความตกลงกับ
ประเทศไทยเพื่อขอใบสำคัญสมควรเดินอากาศสำหรับอากาศยานที่จดทะเบียนอากาศยานในประเทศไทย พ.ศ. ....
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ  และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญดังนี้
                1. กำหนดให้ผู้ที่ประสงค์จะให้อธิบดีรับรองใบรับรองแบบอากาศยานหรือใบรับรองส่วนเพิ่มเติมที่ออก
โดยรัฐภาคีแห่งอนุสัญญาหรือประเทศที่ได้ทำความตกลงกับประเทศไทย เพื่อขอใบสำคัญสมควรเดินอากาศสำหรับ
อากาศยานที่จดทะเบียนในประเทศไทยยื่นคำขอต่ออธิบดีตามแบบที่อธิบดีประกาศกำหนดพร้อมด้วยเอกสารหลัก
ฐาน ดังต่อไปนี้
                    1.1 เอกสารหลักฐานแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับบุคคลซึ่งขอให้รับรองใบรับรองฯ
                    1.2 สำเนาใบรับรองฯ พร้อมทั้งรายละเอียดต้นแบบของอากาศยาน (Type Certificate and Type
Certificate Data Sheets)  ที่ประสงค์จะขอให้รับรอง
                    1.3 คู่มือและเอกสารต่าง ๆ ที่ออกโดยผู้ผลิต
                    1.4 สำเนาใบสำคัญสมควรเดินอากาศที่ออกโดยรัฐภาคีแห่งอนุสัญญาหรือประเทศที่ได้ทำความ
ตกลงกับประเทศไทยที่เคยได้รับ (ถ้ามี)
                    1.5 เอกสารแสดงข้อมูลและรายละเอียดของการคงความต่อเนื่องของความสมควรเดินอากาศ
                    1.6 เอกสารหลักฐานอื่นตามที่อธิบดีประกาศกำหนด
                2. กำหนดหลักเกณฑ์และขั้นตอนในการพิจารณาคำขอของอธิบดีเพื่อการออกหนังสือรับรองใบรับรอง
แบบฯ ให้แก่ผู้ขอ

                คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดผู้ทำหน้าที่อื่นเป็นผู้ประจำหน้าที่ พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้นักบินศิษย์การบินและศิษย์พนักงานควบคุมการจราจรทางอากาศเป็นผู้ประจำหน้า
ที่ นอกเหนือจากนักบิน ต้นหน  นายช่าง  พนักงานวิทยุ  พนักงานควบคุมการจราจรทางอากาศ  และพนักงาน
อำนวยการบิน  ซึ่งได้กำหนดไว้แล้วในบทนิยาม  "ผู้ประจำหน้าที่"  ตามมาตรา  4  ของพระราชบัญญัติการเดิน
อากาศ  พ.ศ. 2497  ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ  และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้

              คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติวัตถุ
อันตราย พ.ศ. 2535 ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวง ฯ มีสาระสำคัญดังนี้
              1. แก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การขออนุญาตผลิต นำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุอันตราย
และการขอต่ออายุใบอนุญาต
              2. แก้ไขการออกใบอนุญาตมีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุอันตรายให้สามารถออกใบอนุญาาตได้ตามแต่ละ
สถานที่เก็บรักษา
              3. แก้ไขหลักเกณฑ์การขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดใบอนุญาตผลิต นำเข้า  ส่งออก  หรือมีไว้ในครอบ
ครองซึ่งวัตถุอันตราย  รวมทั้งแก้ไขเพิ่มเติมแบบคำขออนุญาต แบบคำขอต่ออายุใบอนุญาต และแบบใบอนุญาต
ผลิต นำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุอันตราย
              4. ยกเลิกแบบ วอ.1  แบบ วอ.2  แบบ วอ.3  แบบ วอ.4  แบบ วอ.5  แบบ วอ.6  แบบ วอ.7  แบบ วอ.
8 และแบบ วอ.9 ท้ายกฎกระทรวง (พ.ศ. 2537) ออกตามความในพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 และ
ให้ใช้แบบใหม่ท้ายร่างกฎกระทรวงนี้แทน

              คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำข้าวเข้ามาในราชอาณา
จักรตามความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบ
ร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา  แล้วดำเนินการต่อไปได้   โดยร่างประกาศฯ  มี
สาระสำคัญดังนี้
              1. ให้ข้าวตามพิกัดอัตราศุลกากร 10.06 ที่มีถิ่นกำเนิดและส่งตรงมาจากประเทศสมาชิกสมาคมประชา
ชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตามความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน เป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองแสดงต่อ
กรมศุลกากรในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร เพื่อประกอบการใช้สิทธิพิเศษทางด้านภาษีศุลกากรในการนำเข้า
มาในราชอาณาจักรเพื่อประกอบการใช้สิทธิพิเศษทางด้านภาษีศุลกากร
              2. การนำเข้าข้าวที่จะได้รับสิทธิพิเศษทางด้านภาษีศุลกากรจะต้องนำเข้ามาเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมแปร
รูปอาหารเพื่อการอุปโภคบริโภคสำหรับมนุษย์เท่านั้น โดยไม่รวมถึงอุตสาหกรรมแปรสภาพ (การสีข้าว) ของโรง
สี และต้องนำเข้าระหว่างเดือนพฤษภาคม กรกฎาคม  และระหว่างเดือนสิงหาคม ตุลาคม  และต้องนำเข้าทางด้าน
ศุลกากรที่กำหนด

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดสำนักงบประมาณ สำนักนายกรัฐมนตรี
ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน 2 ราย  ทั้งนี้  ตั้งแต่วันที่ 17 กันยายน 2552 ซึ่งเป็นวัน
ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
              1. นายเอื้อมบุญ ไกรฤกษ์               ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ
                                                               (นักวิเคราะห์งบประมาณทรงคุณวุฒิ)
              2. นางธิดา แก้วประสิทธิ์                ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ
                                                               (นักวิเคราะห์งบประมาณทรงคุณวุฒิ)