คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
               1. อนุมัติแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ จำนวน 11 คน เนื่องจากกรรมการเดิมได้
ดำรงตำแหน่งครบกำหนดสองปีตามวาระ เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2552  ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ง
แวดล้อมเสนอ
               2. ให้แก้ไขชื่อสกุลของบุคคลที่เสนอแต่งตั้งเป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ ในลำดับที่
9  และลำดับที่  10  ให้ถูกต้อง (ตามหนังสือกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ด่วนที่สุด ที่ ทส 0910.802/
10586 ลงวันที่ 14 มิถุนายน 2553) ด้วย

               คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการปรับแก้ไขและชี้แจงข้อเท็จจริงโดยไม่ต้องปรับแก้ไขแผนรักษาความ
มั่นคงภายในราชอาณาจักร ประจำปี 2553-2554  ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง  กระทรวงมหาดไทย  สำนัก
งบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตามที่กองอำนวยการรักษาความมั่น
คงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เสนอ ได้แก่ ข้อสังเกตจากสำนักงบประมาณ และกระทรวงมหาดไทย ที่ กอ.รมน.
ต้องนำปรับแก้ไข เนื่องจากเป็นอำนาจหน้าที่ตามระเบียบของหน่วยและเพื่อให้ข้อมูลถูกต้อง ณ ปัจจุบัน และข้อสังเกต
ของกระทรวงการคลัง  กระทรวงมหาดไทย  รวมทั้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่
กอ.รมน. ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงโดยไม่ต้องแก้ไข ซึ่งส่วนราชการดังกล่าวรับทราบแล้ว

               คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ฉบับลงวันที่  1  มิถุนายน  2553  เรื่อง เปลี่ยน
แปลงการมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่และมอบอำนาจการบังคับบัญชาของกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายก
รัฐมนตรี (นายเอกศักดิ์ แดงเดช) ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ

              คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
              1. เห็นชอบร่างสรุปบันทึกการประชุมทวิภาคีระดับรัฐมนตรี เรื่อง ความร่วมมือด้านการจัดการทรัพยากร
น้ำและสิ่งแวดล้อม  ครั้งที่ 1  (Summary  Record  of  the  First  Ministerial  Meeting  on  Cooperation  in  Water
Resources  and  Environment  Management)  โดยร่างสรุปบันทึกการประชุมฉบับนี้เป็นการแสดงเจตนารมณ์ทาง
การเมืองระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เพื่อนำไปสู่ความร่วมมือด้านการจัด
การทรัพยากรน้ำและสิ่งแวดล้อมระหว่างสองประเทศ โดยมีขอบเขตความร่วมมือ ดังนี้
                 1.1 การจัดการทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการ
                 1.2 การศึกษาร่วมด้านการจัดการทรัพยากรน้ำและสิ่งแวดล้อม
                 1.3 การเสริมสร้างศักยภาพคณะกรรมการ/องค์กรลุ่มน้ำ
                 1.4 การจัดการทรัพยากรประมง
                 1.5 การไหลของน้ำและนิเวศวิทยาของแม่น้ำ
                 1.6 ความหลากหลายทางชีวภาพ
                 1.7 ปัญหาหมอกควันข้ามพรมแดน
              2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมลงนามในสรุปบันทึกการประชุมฯ
ในนามรัฐบาลไทย

             คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
             1. รับทราบและอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้
                 1.1 รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีด้านพลังงานภายใต้กรอบความร่วมมือ BIMSTEC ครั้งที่ 2 (The 2nd
BIMSTEC Ministers on Energy''s Meeting) ที่ไทยเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 4-5 มีนาคม 2553  สรุปผล
การประชุมได้ดังนี้ ที่ประชุมมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานระหว่างประเทศในสาขาพลังงานต่าง ๆ
6 ด้าน และเห็นชอบแผนปฏิบัติการความร่วมมือด้านพลังงานที่จะมีต่อไป (Next Plan of Action  for  Energy  Coopera
tion in BIMSTEC) ทั้งนี้  ประเทศไทยได้เสนอเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคด้านเชื้อเพลิงชีวภาพ  (Biofuels Hub)  ทั้งทาง
ด้านการค้าและให้ความช่วยเหลือทางเทคนิค รวมทั้งจะเป็นเจ้าภาพจัดการฝึกอบรมการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพในชุมชนและ
จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการการผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพ นอกจากนี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบแถลงการณ์ร่วมของรัฐมนตรีด้าน
พลังงาน BIMSTEC ครั้งที่ 2 (Joint Ministerial Statement of the  2nd  BIMSTEC  Ministers  on  Energy''s  Meeting)
โดยแถลงการณ์ดังกล่าวมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการติดตามความก้าวหน้าการจัดทำแผนงานการเชื่อมโยงสายส่งไฟฟ้าที่
สนับสนุนการพัฒนาความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนในภูมิภาค   การนำเทคโนโลยีสะอาดมาใช้สำหรับการ
พัฒนาด้านพลังงาน  การเร่งพัฒนาในโครงการพลังงานน้ำโครงการใหม่ ๆ  และการแลกเปลี่ยนความรู้และข้อมูลเกี่ยว
กับโครงการการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพที่จะเป็นผลดีต่อสิ่งแวดล้อม  เป็นต้น   และเห็นชอบการจัดการประชุม
รัฐมนตรีด้านพลังงานภายใต้กรอบความร่วมมือ BIMSTEC ครั้งที่ 3 ในปี พ.ศ. 2555  ซึ่งสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิป
ไตยเนปาลรับเป็นเจ้าภาพ
                 1.2 อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานมอบหมายเป็นผู้
ลงนามในบันทึกข้อตกลงเพื่อการจัดตั้งศูนย์พลังงาน BIMSTEC ในโอกาสแรกที่เป็นไปได้  โดยให้ประสานกับกระทรวง
การต่างประเทศต่อไป
                 1.3 อนุมัติให้กระทรวงพลังงานร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศสามารถพิจารณาปรับปรุงถ้อยคำที่ไม่ใช่
สาระสำคัญของร่างบันทึกข้อตกลงฯ ได้ตามความเหมาะสม โดยให้สอดคล้องกับร่างบันทึกข้อตกลงฯ ที่เคยได้รับความ
เห็นชอบในหลักการจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่  11  สิงหาคม  2552  และจากรัฐสภาเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2552
ไว้ด้วย ก่อนที่จะมีการลงนามโดยผู้แทนของประเทศสมาชิกทั้ง 7 ประเทศของ BIMSTEC
             2. ให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ให้
กระทรวงพลังงานเร่งรัดการดำเนินการให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคด้านเชื้อเพลิงชีวภาพ (Biofuels Hub)
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย

               คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการดำเนินงานและงบการเงินประจำปี
2551 ของบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย สรุปได้ดังนี้
               1. บสท. บริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพจนได้ข้อยุติทั้งสิ้น  15,215  ราย  มีมูลค่าทางบัญชีรวม
775,216 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 100 ของมูลค่าทางบัญชีของสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่ บสท. รับโอนทั้งหมด
               2. ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2551  บสท. ได้รับโอนทรัพย์สินรอการขายจากการตีโอนทรัพย์หลักประกัน
ด้วยมูลค่าต้นทุนที่ตีโอน 122,632 ล้านบาท  แบ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ 100,822 ล้านบาท  และสังหาริมทรัพย์
21,809 ล้านบาท หรือร้อยละ 82.22 และ 17.78 ของมูลค่าต้นทุนทรัพย์สินที่ตีโอนทั้งหมด ตามลำดับ
               3. งบดุล ณ สิ้นปี 2551 บสท. มีสินทรัพย์รวม 255,721 ล้านบาท ลดลงจากปี 2550 จำนวน 1,792
ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 0.70 และสินทรัพย์รับโอนลดลง  2,020  ล้านบาท  หรือลดลงร้อยละ  0.81  จากปี
ก่อน ในส่วนของหนี้สิน บสท. มีหนี้สินรวม 113,760 ล้านบาท  ลดลงจากปี 2550  จำนวน  26,974  ล้านบาท
หรือลดลงร้อยละ 19.17
               4. งบรายรับและรายจ่ายจากทุนประเดิม ณ สิ้นปี 2551 บสท. มีรายรับรวม 39.24 ล้านบาท  ลดลง
จากปี 2550  จำนวน 12.46  ล้านบาท  หรือลดลงร้อยละ 24.10  และเนื่องจาก บสท. ไม่มียอดรายจ่ายทำให้มี
รายรับสุทธิจากทุนประเดิม 39.24 ล้านบาท ลดลงจำนวน  12.46  ล้านบาท  หรือลดลงร้อยละ  24.10  จากปี
ก่อน
               5. บสท. มีรายรับสุทธิรอปันส่วนไปยังสินทรัพย์รับโอนรวม  25,143  ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2550
จำนวน  5,582  ล้านบาท  หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 28.54  ส่วนรายจ่ายในการบริหารสินทรัพย์รับโอนลดลงจำนวน
1,298 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 36.85 จากปีก่อน

             คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการรายงานผลการติดตามการดำเนินการตามมติคณะ
รัฐมนตรี (เรื่อง โครงการศูนย์การเรียนสำหรับเด็กเจ็บป่วยเรื้อรังในโรงพยาบาล) ครั้งที่ 4 ข้อมูล ณ วันที่ 27 เมษา
ยน 2553 ว่า ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2553  ได้มอบให้ศูนย์การศึกษาพิเศษร่วมมือกับโรงพยาบาล/สถาบันทางการ
แพทย์จัดศูนย์การเรียนสำหรับเด็กเจ็บป่วยเรื้งรังในโรงพยาบาล จำนวน 29 ศูนย์การเรียน  สามารถให้บริการทาง
การศึกษาแก่เด็กเจ็บป่วยเรื้งรังในโรงพยาบาล ระหว่างเดือนตุลาคม 2552-มีนาคม 2553  เฉลี่ยเดือนละประมาณ
2,100  คน  โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง  2555  (แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะ
ที่ 2 : 2553)  แผนงานยกระดับคุณภาพการศึกษาและการเรียนรู้ทั้งระบบให้ทันสมัย  โครงการพัฒนาครูทั้งระบบ
เฉพาะค่าตอบแทนผู้ปฏิบัติงานให้ราชการ จำนวน 7,903,476 บาท  เท่านั้น  ส่วนงบประมาณค่าวัสดุจัดการเรียน
การสอน ค่าใช้จ่ายในการอบรมสัมมนาบุคลากรและนิเทศ กำกับ  ติดตาม  ประเมินผล  วงเงิน  3,226,460  บาท
ไม่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณ

               คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
               1. เห็นชอบร่างแผนปฏิบัติการร่วมระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐฝรั่งเศส  ฉบับ
ที่ 2  (ปี 2553-2557)  เป็นแผนความร่วมมือในกรอบกว้างระหว่างรัฐบาลของทั้งสองประเทศ  และร่างข้อตกลง
การหารือของเจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านเศรษฐกิจระหว่างไทยกับฝรั่งเศส (ปี 2553-2557)  เป็นกรอบความร่วมมือ
เพื่อส่งเสริมผลประโยชน์ด้านการค้าและการลงทุนระหว่างสองประเทศ ทั้งในกรอบทวิภาคี  ภูมิภาค  และพหุภาคี
โดยให้กระทรวงการต่างประเทศ  และกระทรวงพาณิชย์  สามารถเปลี่ยนแปลงถ้อยคำในส่วนที่ไม่กระทบต่อสาระ
สำคัญของร่างแผนปฏิบัติการร่วมฯ  และร่างข้อตกลงการหารือของเจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านเศรษฐกิจฯ  โดยไม่ต้อง
เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก
               2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ลงนามแผนปฏิบัติการร่วมฯ
               3. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ลงนามร่างข้อตกลงการหารือของเจ้าหน้าที่ระดับสูง
ด้านเศรษฐกิจฯ

            คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเป็นหลักการในการมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนัก
นายกรัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ  ในกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่ง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติ
ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ตามลำดับ ดังนี้
            1. นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี               รองนายกรัฐมนตรี
            2. นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย           รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
            3. นายองอาจ คล้ามไพบูลย์             รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพ
มหานคร เขตเลือกตั้งที่ 6 แทนตำแหน่งที่ว่าง  พ.ศ. ....  มีสาระสำคัญคือ  กำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน
ราษฎรกรุงเทพมหานคร  เขตเลือกตั้งที่ 6  แทนตำแหน่งที่ว่าง  ในวันที่ 25 กรกฎาคม 2553  ตามที่สำนักงานคณะ
กรรมการการเลือกตั้งเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการ
ต่อไปได้

              คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี  (พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์)  ประธานกรรมการ
ทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอว่า  ตามที่ได้แจ้งมติคณะรัฐมนตรี เรื่องโครงการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบบูรณา
การ เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2553 ให้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติพิจารณาทบทวนเรื่องดังกล่าวแล้วเสนอ
คณะรัฐมนตรีภายใน 1 เดือน นั้น  เนื่องจากโครงการดังกล่าวมีรายละเอียดเป็นจำนวนมาก  ผู้เกี่ยวข้องไม่สามารถ
ดำเนินการให้แล้วเสร็จได้ทันภายในระยะเวลาที่กำหนด  คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติจึงขอขยายระยะเวลา
ออกไป และจะเร่งรัดให้ผู้เกี่ยวข้องพิจารณาให้แล้วเสร็จโดยเร็ว

              คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน 2 ราย ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทค
โนโลยีเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (15 มิถุนายน 2553) เป็นต้นไป ดังนี้
              1. นายก้องศักดิ์ ยอดมณี       แต่งตั้งเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
              2. นายอนุชา จันทร์สุริยา      แต่งตั้งเป็นเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

              คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม
เสนอ ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (15 มิถุนายน 2553) เป็นต้นไป ดังนี้
              1. นายสมพร หนูนุ่ม          เป็นเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม
              2. นายวิทูร กรุณา             เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม

              คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานความคืบหน้าโครงการไทยเข้มแข็ง (รายโครง
การ) ประจำสัปดาห์ ข้อมูล ณ วันที่ 11 มิถุนายน 2553 สรุปได้ดังนี้
              1. อนุมัติแล้ว จำนวน 41,600 โครงการ วงเงิน 349,960.44 ล้านบาท
              2. การจัดสรร
                  2.1 รอจัดสรร จำนวน 4,382 โครงการ วงเงิน 44,042.57 ล้านบาท
                  2.2 จัดสรรแล้ว จำนวน 37,218 โครงการ วงเงิน 299,712.49 ล้านบาท
              3. การจัดซื้อจัดจ้าง
                  3.1 ยอดจัดสรรที่อยู่ระหว่างการดำเนินการจัดซื้อ
                        3.1.1 ทั้งหมด จำนวน 11,761 โครงการ วงเงิน 36,090.94 ล้านบาท
                        3.1.2 ยังไม่เกิน 15 วันทำการ จำนวน 1,003 โครงการ วงเงิน 11,453.02 ล้านบาท
                        3.1.3 เกิน 15 วันทำการ จำนวน 10,758 โครงการ วงเงิน 24,637.92 ล้านบาท
              4. ยอดจัดสรรที่จัดซื้อแล้ว จำนวน 25,457 โครงการ วงเงิน 263,621.55 ล้านบาท
              5. มูลค่าจัดซื้อตามสัญญา จำนวน 25,457 โครงการ วงเงิน 239,722.43 ล้านบาท 
              6. การดำเนินการ 
                  6.1 ยังไม่เริ่มเบิกจ่าย จำนวน 3,045 โครงการ วงเงิน 75,742.70 ล้านบาท
                  6.2 เบิกจ่ายแล้วบางส่วน (ยังไม่เสร็จ) จำนวน 21,088 โครงการ วงเงิน 137,218.91 ล้านบาท
                  6.3 เสร็จสมบูรณ์แล้ว จำนวน 1,324 โครงการ วงเงิน 26,760.82 ล้านบาท
                  6.4 เบิกจ่ายทั้งหมด จำนวน 22,412 โครงการ วงเงิน 163,979.73 ล้านบาท

              คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
              1. เห็นชอบต่อร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมคณะกรรมการร่วมสำหรับความตกลงว่าด้วยการขนส่ง
ข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง  ครั้งที่ 3  (GMS Cross-Border  Transport  Agreement : CBTA)  โดยร่าง
แถลงการณ์ฯ  มีสาระสำคัญประกอบด้วยผลสำเร็จของการดำเนินการตามความตกลง  CBTA  นับตั้งแต่การประชุม
คณะกรรมการร่วมฯ ครั้งที่ 2 เมื่อปี 2550 การกำหนดแผนปฏิบัติการเพื่อเร่งดำเนินการตามความตกลง CBTA ใน
ด้านกฎระเบียบ ขั้นตอน และระบบโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวก ได้แก่ การอำนวยความสะดวกด้าน
ระบบศุลกากรผ่านแดนและการอนุญาตนำเข้าชั่วคราว  การส่งเสริมการดำเนินการตามความตกลง CBTA ระหว่าง
ไทย-ลาว-จีน เพื่อเพิ่มความเชื่อมโยงระหว่างกันให้มากขึ้น  และการปรับปรุงความสามารถในการแข่งขันและสร้าง
ความเป็นประชาคมเดียวกันของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขเอกสารดังกล่าว
ที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย  ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้ โดยประสานงานกับกรม
สนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ
               2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายให้เข้าร่วมการประชุมร่วมรับรอง
ร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ดังกล่าว

             คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
             1. เห็นชอบต่อร่างความตกลงว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราซึ่งกันและกันสำหรับการพำนักระยะสั้นแก่
ผู้ถือหนังสือเดินทางทูต (Agreemetn between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government
of the French Republic on  Mutual  Exemption  of  Short-Stay  Visas  for  Holders  of  Diplomatic  Passports)
ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐฝรั่งเศส  โดยร่างความตกลงดังกล่าวมีสาระและเงื่อนไขที่จะเอื้อ
ประโยชน์ต่อการส่งเสริมความสัมพันธ์ฉันมิตร  ตลอดจนอำนวยความสะดวกในการเดินทางระหว่างประชาชนของทั้ง
สองประเทศ โดยให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถเปลี่ยนแปลงถ้อยคำในส่วนที่ไม่กระทบต่อสาระสำคัญของร่าง
ความตกลง ฯ โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก
             2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้ลงนามความตกลงฯ 
             3. อนุมัติในหลักการให้กระทรวงการต่างประเทศมีหนังสือแจ้งแก่ฝ่ายฝรั่งเศส เพื่อให้ความตกลงฯ  มีผลใช้
บังคับต่อไปตามข้อ 7 ของร่างความตกลงฯ

               คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานผลการเดินทางไปตรวจการตรวจ
เยี่ยมการบริหารจัดการน้ำและสถานการณ์น้ำ รวมทั้งการปฏิบัติการฝนหลวง ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร
และสหกรณ์ รองเลขาธิการพระราชวัง (นายดิสธร วัชโรทัย) พร้อมคณะ เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2553 ในเขตพื้นที่
จังหวัดตาก  อุตรดิตถ์  และแพร่  เพื่อติดตามและตรวจเยี่ยมกำลังพลของคณะปฏิบัติการฝนหลวงที่สนามบินจังหวัด
ตากและจังหวัดแพร่ รวมทั้งไปสังเกตการณ์ระดับเก็บกักน้ำ ณ ที่ทำการเขื่อนภูมิพล และเขื่อนสิริกิติ์ สรุปได้ดังนี้
               1. ผลการปฏิบัติการฝนหลวง ของศูนย์ปฏิบัติการฝนหลวงภาคเหนือ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม  ถึงวันที่
12 มิถุายน 2553  รวมการปฏิบัติการทั้งสิ้น 69 วัน ประสบผลสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ มีฝนตกตามที่ได้ตั้งเป้าหมาย
ไว้ 68 วัน หรือคิดเป็นร้อยละ 98.5 มีพื้นที่ฝนตกตามที่เป้าหมายกำหนดคือ 55.9 ล้านไร่
               2. ผลการตรวจติดตามปริมาณน้ำในเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์  พบว่ามีปริมาณน้ำใช้การ 3377 ล้าน
ลบ.ม. และ 498 ล้าน ลบ.ม.  รวมกันเพียง 875 ล้าน ลบ.ม.  ซึ่งถือว่ายังอยู่ในขั้นวิกฤติ ปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนใน
ช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เฉลี่ยวันละ 0.43 ล้าน ลบ.ม. สำหรับเขื่อนภูมิพล และ 5.05 ล้าน ลบ.ม. สำหรับเขื่อน
สิริกิติ์ หากต้องระบายน้ำวันละ  20  ล้าน ลบ.ม. เพื่อรักษาระบบนิเวศวิทยา และการอุปโภคบริโภค ตามที่กรมชล
ประทานร้องขอ โดยระบายน้ำจากเขื่อนภูมิพลวันละ  8  ล้าน ลบ.ม.  และเขื่อนสิริกิติ์วันละ  12  ล้าน ลบ.ม.  หาก
ไม่มีปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนตลอดช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม 2553  จะทำให้เขื่อนภูมิพลมีปริมาณน้ำที่ใช้การ
ได้เพียง 45 วัน ส่วนเขื่อนสิริกิติ์จะมีปริมาณน้ำใช้การได้อีกไม่เกิน 60 วัน

              คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอแผนเตรียมรับสถานการณ์ภัยพิบัติ
ด้านการเกษตร ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 (ฉบับปรับปรุง) (ช่วงเดือนเมษายน-กันยายน 2553) ดังนี้
              1. ก่อนเกิดภัย ด้านการป้องกันและลดผลกระทบจากปัญหาอุทกภัย  ประกอบด้วย  การก่อสร้างปรับ
ปรุงแหล่งน้ำเพื่อป้องกันและบรรเทาอุทกภัย  ได้แก่  โครงการป้องกันและบรรเทาภัยจากน้ำ  โครงการเขื่อนแคว
น้อยอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดพิษณุโลก  การขุดลอกคูคลองแหล่งน้ำสาธารณะ  การใช้ระบบโทรมาตร
เพื่อการพยากรณ์น้ำและแจ้งเตือนภัย การบริหารน้ำในอ่างเก็บน้ำโดยใช้ ROS การจัดทำแผนที่เสี่ยงภัย  (แผนที่
พื้นที่มีโอกาสเกิดอุทกภัยและแผนที่เสี่ยงต่อการเกิดดินถล่ม) และการเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ ของหน่วย
งานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่
                  1.1 วางแผนการจัดสรรน้ำ  จำนวน 25,000 ล้าน ลบ.ม.  โดยมีพื้นที่เป้าหมายการเพาะปลูกพืชฤดู
ฝนในเขตชลประทานทั้งประเทศประมาณ 19.80 ล้านไร่
                  1.2 วางแผนบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำต่าง ๆ
                  1.3 สำรองเสบียงอาหารและปัจจัยการผลิต แยกเป็นเสบียงอาหารสัตว์ 4,861.505 ตัน เมล็ดพันธุ์
ข้าว 3,044.02 ตัน เมล็ดพันธุ์พืช/ผัก 3,314 กก. และเตรียมพันธุ์สัตว์น้ำไว้ที่ศูนย์และสถานีประมงทุกแห่ง
                  1.4 เตรียมแผนการอพยพสัตว์
                  1.5 เตรียมความพร้อมยานพาหนะ เครื่องสูบน้ำ เครื่องมือและอุปกรณ์ต่าง ๆ
              2. ขณะเกิดภัย ประกอบด้วยกิจกรรมหลัก ได้แก่
                  2.1 การแจ้งเตือนภัยและประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่าง ๆ ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค
                  2.2 การประเมินความเสียหายและการให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้นตามภารกิจของหน่วยงาน เช่น
การปรับแผนการระบายน้ำจากอ่าง การส่งน้ำเข้าระบบชลประทานในพื้นที่เกษตร การเสริมประสิทธิภาพอาคาร
ชลประทาน  งานเสริมคันกั้นน้ำ/คันคลองส่งน้ำ/คลองระบายน้ำ  การสนับสนุนเครื่องสูบน้ำ   เครื่องผลักดันน้ำ
เครื่องจักรกลเพื่อช่วยเหลือพื้นที่ประสบภัย การสำรวจพื้นที่เสียหายและให้คำแนะนำแก่เกษตรกรในพื้นที่ รวมทั้ง
การอพยพสัตว์ ดูแลสุขภาพสัตว์ และการขนย้ายหรือจับสัตว์น้ำออกจากแหล่งเพาะเลี้ยง เป็นต้น
              3. หลังเกิดภัย  โดยให้ความช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่เกษตรกรโดยใช้เงินทดรองราช
การหรือเงินงบกลาง  รวมทั้งการฟื้นฟูพื้นที่การเกษตร  การฟื้นฟูอาชีพเกษตรกรรม  การให้ความช่วยเหลือด้าน
หนี้สิน และการซ่อมแซมระบบชลประทาน  นอกจากนี้  ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามและเฝ้าระวังสถานการณ์
ปัญหาโรค แมลง ศัตรูพืชซึ่งยังคงมีการระบาดต่อเนื่อง รวมถึงเฝ้าระวังโรคระบาดสัตว์ที่อาจเกิดตามมา

                คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี
ที่ 145/2553 ลงวันที่ 15 มิถุนายน 2553 เรื่อง ปรับปรุงคำสั่งมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี
ประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค