ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 162 จากทั้งหมด 6213 หน้า แสดงรายการที่ 3221 - 3240 จากข้อมูลทั้งหมด 124248 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
3221 | ร่างกฎ ก.พ. ว่าด้วยหลักเกณฑ์การจัดประเภทตำแหน่งและระดับตำแหน่ง พ.ศ. .... และร่างกฎ ก.พ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินประจำตำแหน่ง พ.ศ. .... | นร.10 | 13/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติร่างกฎ ก.พ. ว่าด้วยหลักเกณฑ์การจัดประเภทตำแหน่งและระดับตำแหน่ง
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎ ก.พ.
ว่าด้วยหลักเกณฑ์การจัดประเภทตำแหน่งและระดับตำแหน่ง พ.ศ. ๒๕๕๑
และที่แก้ไขเพิ่มเติม
โดยปรับปรุงชื่อตำแหน่งให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง
และปรับรูปแบบการเขียนชื่อตำแหน่งของประเภทบริหารและประเภทอำนวยการ
จากเดิมที่ระบุชื่อตำแหน่งเป็นการเฉพาะเจาะจง เป็นการกำหนดคำนิยามของตำแหน่งแทน
และร่างกฎ ก.พ.ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินประจำตำแหน่ง มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎ
ก.พ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินประจำตำแหน่ง พ.ศ. ๒๕๕๑
และที่แก้ไขเพิ่มเติม
โดยปรับปรุงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการรับเงินประจำตำแหน่งของระดับชำนาญการ
(ประเภทวิชาชีพเฉพาะ เช่น สายงานแพทย์ สายงานวิชาการคอมพิวเตอร์
โดยได้รับเงินประจำตำแหน่งในอัตรา ๓,๕๐๐ บาท) และขั้นตอนการกำหนดประเภทตำแหน่ง สายงาน ระดับ
และจำนวนตำแหน่งที่ได้รับเงินประจำตำแหน่งเพิ่มขึ้นของส่วนราชการ รวม ๒
ฉบับดังกล่าว ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้สำนักงาน ก.พ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง
ที่เห็นควรคำนึงถึงประเด็นความคุ้มค่า ต้นทุน และผลประโยชน์
เสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของรัฐ ทั้งนี้
เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของบทบัญญัติมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ แต่หากจำเป็นต้องมีการดำเนินการที่ก่อให้เกิดภาระต่องบประมาณหรือภาระทางการคลังในอนาคตก็ให้ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกำหนดด้วยไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3222 | รายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามมาตรา 165 แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2565 ในช่วงระหว่างเดือนกรกฎาคม-กันยายน 2566 | นร.12 | 13/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามมาตรา ๑๖๕ แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๖๕ ในช่วงระหว่างเดือนกรกฎาคม-กันยายน ๒๕๖๖ สรุปได้ ดังนี้ (๑) มาตรา ๑๖๕
แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๕ บัญญัติให้ประธาน ก.พ.ร. เชิญผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติและหัวหน้าหน่วยงานที่รับผิดชอบปฏิบัติการตามกฎหมายเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมาร่วมกันพิจารณาเพื่อดำเนินการให้หน่วยงานดังกล่าวรับผิดชอบในการป้องกันและปราบปราม
การสืบสวน และการสอบสวนการกระทำความผิดเกี่ยวกับกฎหมายนั้น โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพและการบูรณาการในการปฏิบัติหน้าที่ และการแบ่งเบาภารกิจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
และให้สำนักงาน ก.พ.ร. รายงานความคืบหน้าต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบทุกสามเดือน (๒)
ที่ผ่านมาสำนักงาน ก.พ.ร. ได้เสนอรายงานความคืบหน้ามาแล้ว ๒ ครั้ง โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติรับทราบด้วยแล้วตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ พฤษภาคม ๒๕๖๖ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๖๖ โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้ประชุมหารือร่วมกันและมีข้อยุติว่า
ให้ตัดโอนภารกิจด้านการป้องกัน การปราบปราม การสืบสวน (ก่อนการจับกุม)
และการจับกุมภายใต้กรอบกฎหมาย ๘ ฉบับ จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ส่วนภารกิจด้านการสอบสวนตำรวจยังคงรับผิดชอบเช่นเดิม (๓)
ในช่วงระหว่างเดือนกรกฎาคม-กันยายน ๒๕๖๖ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้จัดทำคู่มือการปฏิบัติงานของพนักงานเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงานด้านการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
รองรับภารกิจการดำเนินการตาม มาตรา ๑๖๕ แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๕
ภายใต้กรอบกฎหมาย ๘ ฉบับ เรียบร้อยแล้ว ส่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติอยู่ระหว่างดำเนินการวางกรอบอำนาจหน้าที่และปรับโครงสร้างอัตรากำลังของกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
(บก.ปทส.) ให้สอดคล้องกับภารกิจที่ลดลง และ (๔) การดำเนินการในระยะต่อไป ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งรัดดำเนินการปรับโครงสร้างและอัตรากำลังของ
บก.ปทส. รวมทั้งยกร่างพระราชกฤษฎีกาเพื่อยุบหรือเปลี่ยนแปลง บก.ปทส.
ให้แล้วเสร็จภายในเดือนมกราคม ๒๕๖๗ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการตามคู่มือปฏิบัติงานฯ
และให้สำนักงาน ก.พ.ร. ติดตามประเมินผลการดำเนินงานเพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป
ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3223 | รายงานการประเมินผลโครงการหรือแผนงานภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 รอบ 6 เดือน ครั้งที่ 2 | กค. | 13/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการประเมินผลโครงการหรือแผนงานภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม
จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ รอบ ๖
เดือน ครั้งที่ ๒ ตามข้อ ๕ (๓) แห่งระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการประเมินผลการใช้จ่ายเงินกู้เพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม
ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๔ (ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการประเมินผลการใช้จ่ายเงินกู้ฯ
โควิด-๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๔) สรุปได้ ดังนี้ (๑) การติดตามประเมินผลโครงการ/แผนงานภายใต้พระราชกำหนดฯ
กู้เงินโควิด-๑๙ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔
ใช้วิธีการประเมินผลจากการสุ่มตัวอย่างโครงการ/แผนงาน จำนวน ๒๕๐ โครงการ จากโครงการทั้งสิ้น
๒,๓๗๐
โครงการ โดยคัดเลือกโครงการที่มีขนาดใหญ่ มีวงเงินกู้สูง หรือมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมอย่างมีนัยสำคัญที่ดำเนินการแล้วเสร็จ
มีกรอบวงเงินตามที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ ๔๙๕,๖๙๐.๗๖ ล้านบาท
มีผลการเบิกจ่าย ๔๗๐,๑๕๑.๒๗ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๙๔.๘๕
ของกรอบวงเงิน (๒) คณะกรรมการประเมินผลการใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้ความเห็นชอบรายงานการประเมินผลฯ
เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๖๖ โดยมีผลการประเมินระดับแผนงาน ดังนี้ ๑) แผนงานที่ ๑ แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคโควิด-๑๙
มีผลการประเมินอยู่ในระดับดีมาก ๒) แผนงานที่ ๒ แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือ
เยียวยา และชดเชยให้แก่ประชาชนทุกสาขาอาชีพ
ซึ่งได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-๑๙ มีผลการประเมินระดับดีมาก และ ๓)
แผนงานที่ ๓
แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-๑๙
มีผลการประเมินระดับดี ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3224 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การปรับปรุงโครงสร้างกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อจัดตั้งสำนักบริหารการมัธยมศึกษา (สบม.) ของคณะกรรมาธิการการศึกษา วุฒิสภา | สว. | 13/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง
การปรับปรุงโครงสร้างกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อจัดตั้งสำนักบริหารการมัธยมศึกษา (สบม.)
ของคณะกรรมาธิการการศึกษา วุฒิสภา ซึ่งได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษาเกี่ยวกับการปรับปรุงโครงสร้างกระทรวงศึกษาธิการในประเด็นการจัดตั้งสำนักบริหารการมัธยมศึกษา
โดยปรับปรุงสำนักบริหารงานการมัธยมศึกษาตอนปลายซึ่งเป็นหน่วยงานภายในให้จัดตั้งเป็นหน่วยงานตามโครงสร้าง
เพื่อเป็นหน่วยงานกลางรับผิดชอบการจัดการมัธยมศึกษาโดยตรง
ซึ่งที่ประชุมมีมติไม่ขัดข้องในการจัดตั้งหน่วยงานดังกล่าวและให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานดำเนินการตามแนวทางการแบ่งส่วนราชการภายในกรมต่อไป
และเห็นชอบข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการศึกษาฯ ในประเด็น (๑)
ข้อเสนอเชิงนโยบายเกี่ยวกับการปรับปรุงโครงสร้างกระทรวงศึกษาธิการ ในการจัดตั้ง “สำนักบริหารการมัธยมศึกษา”
เพื่อแก้ไขปัญหาคุณภาพการศึกษา ลดความเหลื่อมล้ำ
ซึ่งจะส่งผลให้การบริหารจัดการมีประสิทธิภาพและคุณภาพมากขึ้น และ (๒)
ขอบเขตอำนาจหน้าที่ของสำนักบริหารการมัธยมศึกษาตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการศึกษาดังกล่าว
ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3225 | รายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การส่งเสริมการมีงานทำของคนพิการในหน่วยงานของรัฐ ของคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคม และกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา | สว. | 13/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง
การส่งสริมการมีงานทำของคนพิการในหน่วยงานของรัฐของคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคม
และกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเสนอ ๒.
มอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นหน่วยงานหลักรับรายงานและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง
กระทรวงแรงงาน สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร.
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าว
และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม
แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3226 | ข้อเสนอแนะในการแก้ไขนิยาม "ป่า" และการปฏิรูปกฎหมายป่าไม้ของไทยเพื่อป้องกันการถูกกีดกันทางการค้าของสหภาพยุโรป | สม. | 13/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบข้อเสนอแนะในการแก้ไขนิยาม “ป่า”
และการปฏิรูปกฎหมายป่าไม้ของไทยเพื่อป้องกันการถูกกีดทางการค้าของสหภาพยุโรป เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณามอบหมายให้กระทรวงยุติธรรม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดำเนินการ ดังนี้
(๑)
แต่งตั้งแต่งตั้งคณะทำงานร่วมกันเพื่อศึกษาผลกระทบจากกฎหมายว่าด้วยสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่าของสหภาพยุโรป (๒) แก้ไขนิยาม “ป่า” ให้สอดคล้องกับนิยามสากล และ (๓) ปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับป่าไม้ให้มีความสมบูรณ์ชัดเจนอยู่ในฉบับเดียว
ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3227 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์สำหรับการแปลงสภาพกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไปเป็นกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอาคารชุดสำหรับการแปลงสภาพกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไปเป็นกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | มท. | 13/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์สำหรับการแปลงสภาพกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไปเป็นกองทรัสต์เพื่อการลงทุน ในอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์
ประเภทมีทุนทรัพย์อันเนื่องมาจากการแปลงสภาพกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เป็นกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน
ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน
พ.ศ. ๒๔๙๗ และมาตรา ๑๐๓ วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดิน
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๑ และร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอาคารชุดสำหรับการแปลงสภาพกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไปเป็นกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอาคารชุด
ประเภทมีทุนทรัพย์ อันเนื่องมาจากการแปลงสภาพกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เป็นกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยทสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน
ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ วรรคหนึ่ง และมาตรา ๖๑
แห่งพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. ๒๕๒๒ รวม ๒ ฉบับ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3228 | ผลการประชุมคณะรัฐมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ครั้งที่ 30 และการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงกับหุ้นส่วนการพัฒนา ครั้งที่ 28 | นร.14 | 13/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะรัฐมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง
ครั้งที่ ๓๐ และการประชุมคณะมนตรี คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงกับหุ้นส่วนการพัฒนา
ครั้งที่ ๒๘ เมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๖
ณ ราชอาณาจักรกัมพูชา โดยมีเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (นายสุรสีห์
กิตติมณฑล) ทำหน้าที่หัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุม สรุปได้ ดังนี้ (๑) อนุมัติร่างขอบเขตการดำเนินงาน
(TOR) ของหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหาร
(CEO) ของสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงที่เสนอโดยไทย
เนื่องจากผู้ที่ดำรงตำแหน่งในปัจจุบันจะหมดวาระในวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๖๘ และผู้ที่ดำรงตำแหน่งคนต่อไปจะมาจากไทย
(๒) รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานในด้านต่าง ๆ ของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง เช่น
๑) ความร่วมมือกับพันธมิตรและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ๒)
การดำเนินการตามระเบียบปฏิบัติของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง และ ๓)
การดำเนินการตามแผนระดับภูมิภาคเชิงรุก เป็นต้น และ (๒)
ประเทศสมาชิกคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงและหุ้นส่วนการพัฒนาร่วมกล่าวถ้อยแถลงในการประชุม เช่น
ไทยกล่าวชื่นชมการดำเนินงานที่ผ่านมาของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงที่ดำเนินการพัฒนาลุ่มน้ำตามความตกลงว่าด้วยความร่วมมือเพื่อการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขงอย่างยั่งยืน
พ.ศ. ๒๕๓๘ ท่ามกลางสถานการณ์ที่ท้าทายในปัจจุบัน
กัมพูชากล่าวขอบคุณหุ้นส่วนการพัฒนาที่ให้การสนับสนุนทางด้านวิชาการและเงินทุน
และขอบคุณประเทศคู่เจรจาที่ทำงานร่วมกันกับประเทศสมาชิก และหุ้นส่วนการพัฒนากล่าวยินดีกับผลสำเร็จของกิจกรรมที่สร้างความมีส่วนร่วมของประเทศในลุ่มน้ำโขง
รวมถึงการมีส่วนร่วมของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงในงานกิจกรรมสำคัญระดับโลก เป็นต้น
ตามที่คณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทยเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3229 | รายงานกรณีที่หน่วยงานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตามหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 (เรื่อง โครงการเพิ่มทักษะด้านอาชีพแก่นักเรียนที่ไม่ได้เรียนต่อหลังจบการศึกษาภาคบังคับ) | มท. | 13/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานกรณีที่หน่วยงานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตามหมวด
๕ หน้าที่ของรัฐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ (เรื่อง โครงการเพิ่มทักษะด้านอาชีพแก่นักเรียนที่ไม่ได้เรียนต่อหลังจบการศึกษาภาคบังคับ)
ซึ่งมีผลการดำเนินการในภาพรวม ดังนี้ (๑) การดำเนินการตามข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
เช่น กระทรวงมหาดไทย เน้นย้ำผู้ว่าราชการจังหวัดให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนโครงการฯ
ตามแนวทาง ขั้นตอน และปฏิทินการดำเนินโครงการฯ กระทรวงศึกษาธิการ
เน้นย้ำหน่วยงานในระดับจังหวัดให้ความสำคัญกับการบูรณาการและขับเคลื่อนโครงการฯ
ร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ ในพื้นที่ สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการฯ
ให้กับกรมพัฒนาฝีมือแรงงานและกรมการจัดหางานอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี และ (๒) การดำเนินการตามข้อเสนอแนะเชิงบริหารจัดการโครงการฯ
เช่น สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน และกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน
แจ้งปฏิทิน/คู่มือ/แนวทางการดำเนินโครงการฯ สำหรับคณะกรรมการขับเคลื่อนโครงการฯ
ระดับจังหวัดและหน่วยงานในระดับพื้นที่ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา
พัฒนากลไกความร่วมมือในระดับประเทศและระดับจังหวัดร่วมกันระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ
ทั้งภาครัฐ ภาคประชาสังคม ภาคเอกชนและภาควิชาการ เช่น
ค้นหาและพัฒนาเด็กและเยาวชนที่ไม่มีข้อมูลในระบบการศึกษา
นักเรียนที่ไม่ได้เรียนต่อหลังจบการศึกษาภาคบังคับในพื้นที่จังหวัดนำร่อง ๑๒
จังหวัด ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และแจ้งให้ผู้ตรวจการแผ่นดินทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3230 | ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ที่มิใช่สารสกัดจากทุกส่วนของพืชกัญชาหรือกัญชง พ.ศ. .... | สธ. | 13/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตผลิต
นำเข้า ส่งออก จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท ๕
ที่มิใช่สารสกัดจากทุกส่วนของพืชกัญชาหรือกัญชง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขการขออนุญาตและการอนุญาตผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย
หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท ๕
ที่มิใช่สารสกัดจากทุกส่วนของพืชกัญชาหรือกัญชง กำหนดคุณสมบัติของผู้ขออนุญาต
การออกใบอนุญาต การออกใบแทนใบอนุญาต การต่ออายุใบอนุญาต การแก้ไขรายการในใบอนุญาต การดำเนินการของผู้รับอนุญาตเพื่อประโยชน์ในการควบคุมกำกับดูแล
การจัดให้มีเภสัชกรอยู่ประจำควบคุมกิจการตลอดเวลาทำการ
และการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมใบอนุญาต และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานอัยการสูงสุด ที่เห็นว่าควรเพิ่มกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์จากสิบห้าวันเป็นสามสิบวันนับตั้งแต่วันที่ผู้ขออนุญาตได้รับหรือถือว่าได้รับหนังสือแจ้งมติไม่ให้ความเห็นชอบหรือคำสั่งไม่อนุญาต
ซึ่งจะก่อให้เกิดความเป็นธรรมมากกว่า ไปประกอบการตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3231 | รายงานผลการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ไปพลางก่อน และมาตรการเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ไปพลางก่อน | นร.07 | 13/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖ ไปพลางก่อน และมาตรการเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๖ ไปพลางก่อน ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.
สำนักงบประมาณดำเนินการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖ ไปพลางก่อน
ตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖
ไปพลางก่อน ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๖-๒๙ ธันวาคม ๒๕๖๖ (ไตรมาสที่ ๑)
โดยงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ ไปพลางก่อน มีวงเงินงบฯ จัดสรร จำนวน
๑,๘๐๖,๙๑๓.๔๔ ล้านบาท โดยมีแผนการใช้จ่ายฯ ไตรมาสที่ ๑ จำนวน ๘๘๔,๒๓๐.๙๘ ล้านบาท
คิดเป็นร้อยละ ๔๘.๙๔ จากวงเงินทั้งหมด
และจากการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบฯ พบว่า มีผลการใช้จ่าย
(ก่อหนี้) จำนวน ๙๔๖,๐๗๖.๙๕ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๕๒.๓๖ จากวงเงินทั้งหมด
ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายตามแผนการใช้จ่ายงบฯ ไตรมาสที่ ๑ ร้อยละ ๓.๔๒ ๒.
สำนักงบประมาณได้กำหนดมาตรการเร่งรัดการใช้จ่ายงบฯ ปี ๒๕๖๖ ไปพลางก่อน
เพื่อให้หน่วยรับงบประมาณใช้เป็นแนวทางในการเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินกันตามระเบียบเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินจากคลังไว้เบิกเหลื่อมปี
เงินงบฯ ปี ๒๕๖๖ ไปพลางก่อน และเงินลงทุนของรัฐวิสาหกิจ โดยมาตรการดังกล่าวมีสาระสำคัญ
เช่น (๑) ให้เร่งรัดการเบิกจ่ายเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีของปีงบฯ ๒๕๖๖
ให้สามารถเบิกจ่ายเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีของปีงบฯ ๒๕๖๖ ให้สามารถเบิกจ่ายอย่างมีนัยสำคัญได้ภายในไตรมาสที่
๒ (มกราคม-มีนาคม ๒๕๖๗) โดยเฉพาะในส่วนของรายจ่ายที่ก่อหนี้ผูกพันแล้ว
สำหรับเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีที่อยู่ระหว่างดำเนินกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างแล้วให้เร่งรัดการก่อหนี้และเบิกจ่ายโดยเร็ว
(๒) กำหนดเป้าหมายการใช้จ่ายงบฯ เพื่อให้หน่วยรับงบฯ
ดำเนินการให้สอดคล้องกับเป้าหมายภาพรวมของประเทศ
และใช้เป็นแนวทางในการใช้จ่ายเมื่อพระราชบัญญัติงบฯ ปี ๒๕๖๗ ประกาศใช้บังคับ และ
(๓) ให้หน่วยรับงบประมาณเร่งรัดการจัดฝึกอบรม ประชุม สัมมนา ประจำปีงบฯ ๒๕๖๖
ไปพลางก่อน โดยเร่งรัดหรือปรับแผนการดำเนินงานและใช้จ่ายภายในไตรมาสที่ ๒
เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3232 | เอกสารผลลัพธ์การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค ครั้งที่ 30 | กค. | 13/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบเอกสารผลลัพธ์การประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค
(APEC Finance Ministers’ Meeting : APEC FVM) ครั้งที่ ๓๐ ณ
นครซานฟรานซิสโก เมื่อวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ ได้รับรองเอกสารผลลัพธ์ ๒ ฉบับ ภายหลังการประชุม
ได้แก่ (๑) แถลงการณ์ร่วมฯ ในการส่งเสริมความร่วมมือด้านการเงินการคลังระหว่างกัน
เพื่อขับเคลื่อนการขยายตัวของเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเปคอย่างครอบคลุมและยั่งยืนในประเด็นต่าง
ๆ เช่น การเสริมสร้างความแข็งแกร่งของการเติบโตของเศรษฐกิจโลก
เศรษฐศาสตร์อุปทานสมัยใหม่ การเงินเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
และการพัฒนานวัตกรรมและสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีความรับผิดชอบ เป็นต้น และ (๒)
แถลงการณ์ประธานฯ เป็นข้อสรุปเกี่ยวกับประเด็นความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปคไม่สามารถเห็นชอบร่วมกันได้ในประเด็นเกี่ยวกับความขัดแย้งเกี่ยวกับสงครามยูเครนและความขัดแย้งเกี่ยวกับฉนวนกาซา
ทั้งนี้ แถลงการณ์ร่วมฯ ได้มีการปรับปรุงถ้อยคำตามฉันทามติของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค
โดยมีการเพิ่มเป้าหมายกรุงเทพมหานครว่าด้วยเศรษฐกิจ BCG เพื่อสะท้อนการสานต่อผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมของการเป็นเจ้าภาพเอเปคของไทยในปี
๒๕๖๕ และลดข้อผูกมัดเกี่ยวกับมาตรฐานการกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งสอดคล้องกับข้อเสนอแนะของกระทรวงการต่างประเทศและธนาคารแห่งประเทศไทย
และไม่กระทบต่อสาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้เคยให้ความเห็นชอบไว้เมื่อวันที่
๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3233 | รายงานเปรียบเทียบประโยชน์ที่ได้รับกับการสูญเสียรายได้ที่เกิดขึ้นจริงกับประมาณการที่ได้จัดทำตามมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 | พน. | 13/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานเปรียบเทียบประโยชน์ที่ได้รับกับการสูญเสียรายได้ที่เกิดขึ้นจริงกับประมาณการที่ได้จัดทำตามมาตรา
๒๗ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
โครงการยกระดับความช่วยเหลือส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้มแก่ผู้มีรายได้น้อย
ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ทั้งนี้
ให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของกระทรวงการคลัง โดยกำหนดให้หน่วยงานของรัฐต้องจัดทำรายงานเปรียบเทียบประโยชน์ที่ได้รับกับการสูญเสียรายได้ที่เกิดขึ้นจริงกับประมาณการเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบเป็นประจำทุกสิ้นปีงบประมาณ
จนกว่าการดำเนินการดังกล่าวจะแล้วเสร็จในกรณีที่การดำเนินโครงการก่อให้เกิดการสูญเสียรายได้ของรัฐหรือหน่วยงานของรัฐเท่านั้น
ไปพิจารณาดำเนินการให้ถูกต้องตรงตามบทบัญญัติของมาตรา ๒๗ วรรคสาม
แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3234 | ร่างแผนงานความร่วมมือระหว่างกระทรวงพลังงานแห่งราชอาณาจักรไทยกับทบวงการพลังงานระหว่างประเทศ ประจำปี ค.ศ. 2024-2025 (Joint Work Programme between the Ministry of Energy of the Kingdom of Thailand and the International Energy Agency 2024-2025) | พน. | 13/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างแผนความร่วมมือระหว่างกระทรวงพลังงานแห่งราชอาณาจักรไทยกับทบวงการพลังงานระหว่างประเทศ
ประจำปี ค.ศ. ๒๐๒๔ - ๒๐๒๕ (Joint Work Programme between the Ministry of
Energy of the Kingdom of Thailand and the International Energy Agency
2024 - 2025) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
หรือผู้ทีได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างแผนงานฯ โดยร่างแผนงานฯ
มีสาระสำคัญมุ่งเน้นการผลักดันให้เกิดกิจกรรมความร่วมมือด้านพลังงานระหว่างกระทรวงพลังงานและ
IEA เพื่อให้เกิดการพัฒนาภาคพลังงานของไทยอย่างเป็นรูปธรรม
โดยเฉพาะการพัฒนานวัตกรรม/เทคโนโลยีพลังงานสะอาด การอนุรักษ์พลังงาน
การลดการปล่อยคาร์บอนในภาคพลังงาน
และการพัฒนามาตรการรองรับสภาวะฉุกเฉินด้านพลังงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญและเครือข่ายนักวิชาการในระดับนานาชาติ
ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางนโยบายด้านพลังงานของไทยในการส่งเสริมความมั่นคงทางพลังงาน
และการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแผนงานฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพลังงานดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๒. ให้กระทรวงพลังงาน
(สำนักงานปลัดกระทรวงพลังงาน) รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทยและสำนักงบประมาณที่ขอให้ดำเนินการให้ถูกต้องตามระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นเห็นควรใช้จ่ายตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖ ไปพลางก่อน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3235 | ผลการดำเนินโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Programme: UNDP) ในการดำเนินงานศูนย์นวัตกรรมระดับภูมิภาค กรุงเทพมหานคร-UNDP (Bangkok-UNDP Regional Innovation Center: RIC) หรือห้องปฏิบัติการนโยบายประเทศไทย (Thailand Policy Lab: TPLab) ประจำปี 2565 ความก้าวหน้าของกิจกรรมประจำปี 2566 และการขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการฯ | นร.11 สศช | 13/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ
(UNDP)ในการดำเนินงานศูนย์นวัตกรรมระดับภูมิภาคกรุงเทพมหานคร-UNDP
(RIC) หรือห้องปฏิบัติการนโยบายประเทศไทย (TPLab) ประจำปี ๒๕๖๕ และความก้าวหน้าของกิจกรรมประจำปี ๒๕๖๖ เห็นชอบร่างเอกสารแก้ไขความตกลงว่าด้วยโครงการฯ
และอนุมัติขยายระยะเวลาดำเนินโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ
(UNDP) ในการดำเนินงานศูนย์นวัตกรรมระดับภูมิภาค
กรุงเทพมหานคร-UNDP (RIC) หรือห้องปฏิบัติการนโยบายประเทศไทย
(TPLab) อีก ๗ เดือน นับแต่วันสิ้นสุดความตกลงว่าด้วยโครงการฯ
เป็นวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๗ ภายใต้กรอบวงเงินโครงการฯ ที่ได้รับอนุมัติไว้เดิม และให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในหนังสือความตกลงว่าด้วยโครงการฯ ของฝ่ายไทย
พร้อมทั้งมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full
Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม โดยร่างเอกสารแก้ไขความตกลงว่าด้วยโครงการฯ
มีสาระสำคัญเป็นการขยายระยะเวลาการมีผลบังคับใช้ความตกลงว่าด้วยโครงการความร่วมมือศูนย์
RIC ออกไปจนถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๗ และจะมีผลใช้บังคับในวันที่ลงนาม
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารแก้ไขความตกลงว่าด้วยโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ
(United Nations Development Programme : UNDP) ในการดำเนินงานศูนย์นวัตกรรมระดับภูมิภาค กรุงเทพมหานคร-UNDP
(Bangkok-UNDP Regional Innovation Center : RIC) ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รับความเห็นของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
และข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เช่น ควรส่งเสริมให้
TPLab มีสถานะที่มั่นคงเป็นสถาบันมากยิ่งขึ้น (Institutionalization)
เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนงานในระยะยาว เนื่องจากกิจกรรมต่าง ๆ ทั้ง
๓ เสาหลักของ TPLab มีประโยชน์ต่อการจัดทำและขับเคลื่อนนโยบายของไทย
และควรพิจารณาการถ่ายทอดนวัตกรรมนโยบายและเครื่องมือทางนโยบาย เช่น
การออกแบบนโยบายเชิงระบบ และการวิเคราะห์ส่วนประกอบ (System and portfolio
approach) หรือกระบวนการนโยบายสาธารณะ ๘ ขั้นตอน (Public
Policy Process Reimagined 8 Elements in Action) ซึ่งเป็นผลลัพธ์ของโครงการ TPLab ไปสู่หน่วยงานราชการอื่น
ๆ เพื่อขยายผลต่อไป เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3236 | การลดภาระค่าไฟฟ้าสำหรับเกษตรกรผู้ปลูกข้าว | นร. | 13/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สืบเนื่องจากการลงพื้นที่เพื่อตรวจติดตามการบริหารจัดการน้ำเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวนาปรังของกรมชลประทาน
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ณ สถานีสูบน้ำคลองเพรียว จังหวัดสระบุรี เมื่อวันที่ ๙
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ ได้รับข้อร้องเรียนของเกษตรกรในพื้นที่ว่ามีค่าใช้จ่ายเป็นค่าไฟฟ้าสำหรับการสูบน้ำเข้านาสูงมาก
เฉลี่ยไร่ละประมาณ ๕๐๐ บาท ในหลักการเห็นควรส่งเสริมและสนับสนุนการนำพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้กับระบบสูบน้ำเพื่อช่วยลดภาระค่าไฟฟ้าของเกษตรกรโดยเร็ว
ดังนั้น จึงขอมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน)
ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย (การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) กระทรวงพลังงาน
(สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินโครงการสูบน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ให้เกิดผลสัมฤทธิ์โดยเร็ว
ทั้งนี้ ในระยะเร่งด่วน ขอให้กระทรวงพลังงานเร่งหารือร่วมกับคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน
การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาลดอัตราค่าไฟฟ้าสำหรับการสูบน้ำ เพื่อเกษตรกรรมเป็นกรณีพิเศษอย่างเร่งด่วนเพื่อช่วยลดภาระของเกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่มีความจำเป็นต้องใช้น้ำในปริมาณมากต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3237 | ร่างพระราชบัญญัติที่คณะรัฐมนตรีขอรับมาพิจารณาก่อนรับหลักการ (ร่างพระราชบัญญัติสภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย พ.ศ. ....) | นร.09 | 13/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบข้อสังเกตและผลการพิจารณาเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติที่คณะรัฐมนตรีขอรับมาพิจารณาก่อนรับหลักการ
(ร่างพระราชบัญญัติสภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... ซึ่งนายศักดิ์ดา
แสนมี่ กับประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง จำนวน ๑๒,๘๘๘ คน เป็นผู้เสนอ) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3238 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (วันจันทร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2567) | นร. | 13/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร
วันจันทร์ที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ ซึ่งพิจารณาระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร
ชุดที่ ๒๖ ปีที่ ๑ ครั้งที่ ๑๗ (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) เป็นพิเศษ วันพุธที่
๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ และพิจารณาระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๖ ปีที่
๑ ครั้งที่ ๒๘ (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) วันพฤหัสบดีที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗
และพิจารณาระเบียบวาระการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ ๑
(สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ ๒) วันศุกร์ที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ ตามที่ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร
สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3239 | การแต่งกายเพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 | สลน. | 13/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ
(๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗)
ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐกำกับดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อย
การตกแต่งสถานที่ การประดับไฟและธง
รวมทั้งการใช้ตราสัญลักษณ์งานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗ เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ให้เหมาะสม ถูกต้อง และสมพระเกียรติ นั้น
ขอความร่วมมือให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐดำเนินการเพิ่มเติม ดังนี้ ๑. ขอความร่วมมือให้บุคลากรของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐทุกแห่ง
แต่งกายด้วยเสื้อสีเหลืองที่มีตราสัญลักษณ์งานเฉลิมพระเกียรติฯ
แทนการแต่งกายปกติในทุกวันจันทร์ที่เป็นวันทำการ รวมทั้งในวันหรือในโอกาสอื่นที่เหมาะสม
โดยให้เริ่มตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเป็นต้นไป ทั้งนี้ ให้รัฐมนตรีทุกท่านกำกับดูแลหน่วยงานในสังกัดให้ดำเนินการให้เป็นไปตามแนวทางดังกล่าวอย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3240 | การกำหนดวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษ ประจำปี 2567 (เพิ่มเติม) | นร. | 13/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบการกำหนดให้วันศุกร์ที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๖๗
เป็นวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษ อีก ๑ วัน ในปี ๒๕๖๗ ๒.
ในกรณีที่หน่วยงานใดมีภารกิจในการให้บริการประชาชน หรือมีความจำเป็น หรือราชการสำคัญในวันหยุดดังกล่าวที่ได้กำหนดหรือนัดหมายไว้ก่อนแล้ว
ซึ่งหากยกเลิกหรือเลื่อนไปจะเกิดความเสียหายหรือกระทบต่อการให้บริการประชาชน
ให้หัวหน้าหน่วยงานนั้นพิจารณาดำเนินการตามที่เห็นสมควร โดยมิให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการและกระทบต่อการให้บริการประชาชน ๓. ในส่วนของรัฐวิสาหกิจ สถาบันการเงิน และภาคเอกชน
ให้รัฐวิสาหกิจแต่ละแห่ง ธนาคารแห่งประเทศไทย และกระทรวงแรงงานพิจารณาความจำเป็นเหมาะสมของการกำหนดให้วันดังกล่าวข้างต้น
เป็นวันหยุดให้สอดคล้องกับกฎหมายที่เกี่ยวข้อง แล้วแต่กรณีต่อไป
|