ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1457 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 29121 - 29140 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
29121 | ขอความเห็นชอบการแต่งตั้งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (นายประภัสร์ จงสงวน) | คค | 12/11/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งนายประภัสร์ จงสงวน ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยให้ได้รับค่าตอบแทนคงที่ในอัตราเดือนละ ๔๐๐,๐๐๐ บาท รวมทั้งสิทธิประโยชน์อื่น ๆ ตามที่กระทรวงการคลังเห็นชอบแล้ว ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29122 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นายไพบูลย์ พิมพ์พิสิฐถาวร และนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด) | อก | 12/11/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งข้าราชการการเมือง ทั้งนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้
๑. นายไพบูลย์ พิมพ์พิสิฐถาวร ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ๒. นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29123 | แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการรถไฟแห่งประเทศไทย (นายบุญสม เลิศหิรัญวงศ์) | คค | 12/11/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติแต่งตั้ง นายบุญสม เลิศหิรัญวงศ์ เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการรถไฟแห่งประเทศไทย ตามนัยมาตรา ๒๔ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ แทนพลตำรวจตรี สันติ วิจักขณา ที่ลาออก ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๕) เป็นต้นไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29124 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงพาณิชย์) (นายวีระชัย นพสุวรรณวงศ์) | พณ | 12/11/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายวีระชัย นพสุวรรณวงศ์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต คณะผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การการค้าโลก ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพาณิชย์ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29125 | แต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นายประสานพงศ์ วงศ์ใหญ่) | กษ | 12/11/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งข้าราชการการเมือง นายประสานพงศ์ วงศ์ใหญ่ ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์) ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๕) เป็นต้นไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29126 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (ศาสตราจารย์พิเศษภาวิช ทองโรจน์) | ศธ | 12/11/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมติเห็นชอบการแต่งตั้งศาสตราจารย์พิเศษภาวิช ทองโรจน์ ให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29127 | การตรวจติดตามสภาพปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหาภัยแล้ง | ทส | 12/11/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการตรวจติดตามสภาพปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหาภัยแล้งของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงฯ โดยได้ดำเนินการตรวจเยี่ยมและให้การช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ขาดแคลนน้ำดื่มสะอาด และพื้นที่ประสบภัยแล้ง โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รับทราบแนวทางแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและมอบหมายให้กรมทรัพยากรน้ำบาดาล กรมทรัพยากรน้ำ บูรณาการร่วมกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย เพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้งต่อไป ดังนี้
๑. จังหวัดยโสธร ตรวจการสูบน้ำบาดาลเพื่อแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ บ้านสะแนน หมู่ ๘ ตำบลขุมเงิน อำเภอเมืองยโสธร และบ้านกระจาย หมู่ ๑๓ ตำบลกระจาย อำเภอป่าติ้ว โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ๒. จังหวัดอำนาจเจริญ ตรวจการสูบน้ำบาดาลเพื่อแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ บ้านโปโล หมู่ ๔ ตำบลไก่คำ อำเภอเมือง โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ๓. จังหวัดมุกดาหาร ตรวจการสูบน้ำบาดาลเพื่อแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ บ้านหนองแวงน้อย หมู่ ๓ ตำบลโชคชัย อำเภอนิคมคำสร้อย โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ๔. จังหวัดนครพนม ตรวจการสูบน้ำบาดาลเพื่อแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ บ้านโพนสาวเอ้ หมู่ ๑๑ ตำบลเรณูนคร อำเภอเรณูนคร และหมู่ ๑ ตำบลท่าเรือ อำเภอนาหว้า โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ๖. จังหวัดเลย ตรวจการแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง แบบบูรณาการโดยการมีส่วนร่วมของประชาชน ซึ่งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบูรณาการร่วมกับกระทรวงมหาดไทย โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาลเจาะบ่อน้ำบาดาลเพื่อการเกษตร กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยนำเครื่องสูบน้ำระยะไกลสูบน้ำเข้าพื้นที่การเกษตร และเกษตรกรนำเครื่องยนต์เอนกประสงค์ที่ใช้กับรถไถนาเดินตามมาสูบน้ำจากบ่อน้ำบาดาลเข้าพื้นที่การเกษตร ณ บ้านเมี่ยง หมู่ ๘ ตำบลหนองผือ อำเภอท่าลี่ จังหวัดเลย ตรวจการสูบน้ำบาดาลเพื่อแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ บ้านศรีสองรัก หมู่ ๑๑ ตำบลศรีสองรัก อำเภอเมือง จังหวัดเลย และตรวจติดตามโครงการพัฒนาแหล่งน้ำบาดาลเพื่อสนับสนุนระบบน้ำดื่มสะอาดให้กับโรงเรียนทั่วประเทศ เป็นเครือข่ายช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรรมชาติ ณ โรงเรียนบ้านหนองใหญ่ หมู่ ๑ ตำบลผาอินแปลง อำเภอเอราวัณ โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ๗. จังหวัดหนองบัวลำภู ตรวจการสูบน้ำบาดาลเพื่อแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง และมอบถุงยังชีพให้ประชาชนผู้ประสบภัย ณ บ้านกุดกระสู้ใต้ หมู่ ๑๓ ตำบลเก่ากลอย อำเภอนากลาง และบ้านทรายงาม หมู่ ๔ ตำบลนามะเฟือง อำเภอเมือง โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29128 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นายเพชรวรรต วัฒนพงศศิริกุล) | พม | 12/11/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งนายเพชรวรรต วัฒนพงศศิริกุล ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๕) เป็นต้นไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29129 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นายสุชน ชาลีเครือ) | ยธ | 12/11/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นายสุชน ชาลีเครือ ให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๕) เป็นต้นไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29130 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (จำนวน 23 ราย 1. นายวีระวัฒน์ ชื่นวาริน ฯลฯ) | มท | 12/11/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงมหาดไทย ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๒๓ ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้
๑. นายวีระวัฒน์ ชื่นวาริน ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดอำนาจเจริญ ๒. นายสุวิทย์ สุบงกฎ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดกาฬสินธุ์ ๓. นายชุมพร แสงมณี ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดน่าน ๔. นายธงชัย ลืออดุลย์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดบึงกาฬ ๕. นายอภินันท์ จันทรังษี ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดบุรีรัมย์ ๖. นายชูชาติ กีฬาแปง ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดพะเยา ๗. นายมณเฑียร ทองนิตย์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดเพชรบุรี ๘. นายอภิชาติ โตดิลกเวชช์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดแพร่ ๙. นายนพวัชร สิงห์ศักดา ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดมหาสารคาม ๑๐. นายสกลสฤษฎ์ บุญประดิษฐ์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดมุกดาหาร ๑๑. ว่าที่ร้อยตรีเชิดศักดิ์ จำปาเทศ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดระนอง ๑๒. นายพินิจ หาญพาณิชย์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดลำพูน ๑๓. นายเหนือชาย จิระอภิรักษ์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดสตูล ๑๔. นายภัครธรณ์ เทียนไชย ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดสระแก้ว ๑๕. นายสุรพล แสวงศักดิ์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดสิงห์บุรี ๑๖. นางสุมิตรา ศรีสมบัติ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดสุโขทัย ๑๗. นายสุภัทร์ ศรีสุนทรพินิต ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดสุพรรณบุรี ๑๘. นายฉัตรป้อง ฉัตรภูติ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดสุราษฎร์ธานี ๑๙. นายเฉลิมชัย เฟื่องคอน ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองสูง) จังหวัดอุตรดิตถ์ ๒๐. นายพงศธร สัจจชลพันธ์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง ๒๑. นายประดิษฐ์ สุคนธสวัสดิ์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง ๒๒. ว่าที่ร้อยตำรวจโทอาทิตย์ บุญญะโสภัต ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง ๒๓. นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29131 | สรุปสถานการณ์รวมของภูมิอากาศและน้ำของประเทศไทยประจำสัปดาห์ (ครั้งที่ 11/2555 ณ วันที่ 11 พฤศจิกายน 2555) | นร04 | 12/11/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.)สรุปสถานการณ์รวมของภูมิอากาศและน้ำของประเทศไทย ครั้งที่ ๑๑/๒๕๕๕ ณ วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ดังนี้
๑. สถานการณ์ภัยแล้งและฝนทิ้งช่วง มีจังหวัดที่ได้รับผลกระทบตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕-ปัจจุบัน จำนวน ๑๒ จังหวัด ๙๔ อำเภอ ๖๗๕ ตำบล ๗,๐๖๙ หมู่บ้าน ได้แก่ จังหวัดกาฬสินธุ์ สกลนคร อุดรธานี บึงกาฬ มุกดาหาร หนองคาย หนองบัวลำภู มหาสารคาม ยโสธร อำนาจเจริญ นครพนม และร้อยเอ็ด จังหวัดที่ประกาศให้พื้นที่บางแห่งเป็นพื้นที่ภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ฝนทิ้งช่วง) ๑๒ จังหวัด ๙๓ อำเภอ ๖๗๔ ตำบล ๗,๐๖๕ หมู่บ้าน ได้แก่ จังหวัดกาฬสินธุ์ สกลนคร อุดรธานี บึงกาฬ หนองคาย หนองบัวลำภู มุกดาหาร ยโสธร มหาสารคาม อำนาจเจริญ นครพนม และร้อยเอ็ด ๒. รายงานสรุปผลการลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ขาดแคลนน้ำในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง ในเขตพื้นที่จังหวัดขอนแก่น มหาสารคาม กาฬสินธุ์ และร้อยเอ็ด ในระหว่างวันที่ ๗-๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ซึ่งประธาน กอบ.ได้ลงตรวจติดตามสถานการณ์ฯ และมีข้อสั่งการ ดังนี้ ๒.๑ ให้จัดเก็บน้ำผิวดินจากลำน้ำโดยทำฝายดินในลักษณะทำนบชั่วคราว (Check dam) หรือขุดคูชักน้ำจากลำน้ำหรืออ่างเก็บน้ำเข้าระบบประปา เช่น ที่หนองใหญ่ เทศบาลตำบลท่าคันโท อำเภอหนองกุงศรี อ่างเก็บน้ำวังลิ้นฟ้า อำเภอห้วยเม็ก จังหวัดกาฬสินธุ์ และห้วยสายบาตร อำเภอเมืองขอนแก่น เป็นต้น ๒.๒ ให้เจาะบ่อน้ำบาดาลในพื้นที่สาธารณะ เช่น โรงเรียน วัด โดยให้จังหวัดและหน่วยบัญชาการทหารพัฒนาและกรมทรัพยากรน้ำบาดาลเป็นผู้ดำเนินการ โดยใช้ข้อมูลของกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ๒.๓ ให้ความสำคัญกับน้ำกินน้ำใช้ จากนั้นจึงให้ใช้เพื่อประคับประคองพืชที่ปลูกแล้วหรือสำหรับการปลูกพืชระยะสั้น ๒.๔ โครงการเร่งด่วนต้องทำทันทีและให้แล้วเสร็จภายใน ๖๐ วัน การใช้งบประมาณควรใช้ก่อนภัยแล้งจะเกิดขึ้นเพื่อเป็นการป้องกันโดยไม่จำเป็นต้องประกาศพื้นที่ภัยแล้ง ๒.๕ ให้จัดตั้งศูนย์เครื่องจักรเครื่องมือเพื่อแก้ปัญหาภัยแล้ง (depot) โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นคนสั่งการในการกระจายและกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นเจ้าภาพรวบรวมเครื่องมือต่าง ๆ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29132 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การคลังสินค้า พ.ศ. .... | พณ | 12/11/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การคลังสินค้า พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ ยกเลิกพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การคลังสินค้า พ.ศ. ๒๔๙๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ๑.๒ กำหนดบทนิยามคำว่า “กรรมการ” และ “ลูกจ้าง” ๑.๓ เปลี่ยนสถานที่ตั้งสำนักงานใหญ่จากจังหวัดพระนคร เป็นจังหวัดนนทบุรี ๑.๔ ปรับปรุงวัตถุประสงค์ให้องค์การคลังสินค้าสามารถดำเนินธุรกิจอื่นที่เป็นประโยชน์แก่กิจการขององค์การคลังสินค้า ๑.๕ เพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ให้สามารถดำเนินธุรกิจเช่าซื้อ จัดตั้งบริษัทจำกัด หรือบริษัทมหาชนจำกัด ถือหุ้นหรือเข้าเป็นหุ้นส่วน ร่วมลงทุนหรือเข้าร่วมกิจการกับนิติบุคคลอื่น ตลอดจนกระทำการอื่นใดที่จำเป็นหรือต่อเนื่อง เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การคลังสินค้า ๑.๖ เพิ่มเติมองค์ประกอบของคณะกรรมการองค์การคลังสินค้า เพื่อแก้ปัญหาองค์ประกอบของคณะกรรมการไม่ครบ เป็นเหตุให้องค์การคลังสินค้าไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ ๑.๗ ให้ผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้ามาจากการจ้าง โดยคณะกรรมการเป็นผู้มีอำนาจจ้างและเลิกจ้าง รวมทั้งกำหนดอัตราเงินเดือนด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี และต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมายว่าด้วยคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ ๑.๘ ปรับปรุงหลักเกณฑ์การรักษาการแทนในกรณีตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้าว่างลง หรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการจัดตั้งบริษัทจำกัด หรือบริษัทมหาชนจำกัด เพื่อประกอบธุรกิจในกิจการที่เกี่ยวกับการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ขององค์การคลังสินค้า ตามมาตรา ๙ (๕) ควรกำหนดสัดส่วนการถือหุ้นของคนต่างด้าวไม่เกินกึ่งหนึ่งของนิติบุคคล เพื่อให้บริษัทที่จะจัดตั้งขึ้นมีสถานะเป็นนิติบุคคลไทย รวมทั้งควรพิจารณาเหตุผลและความเหมาะสมของการกำหนดวงเงินในการถือหุ้น หรือเข้าเป็นหุ้นส่วน ร่วมลงทุนหรือเข้าร่วมกิจการกับนิติบุคคลอื่น ในกิจการที่เกี่ยวกับวัตถุประสงค์ขององค์การคลังสินค้า ตามมาตรา ๓๑ (๕) ที่กำหนดวงเงินเกินกว่าหนึ่งพันล้านบาทจะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อน เป็นต้น และความเห็นของรองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) เกี่ยวกับการดำเนินการขององค์การคลังสินค้าซึ่งต้องไม่ประกอบกิจการที่มีลักษณะเป็นการแข่งขันกับเอกชนตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29133 | การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป. ลาว สำหรับโครงการปรับปรุงและก่อสร้างถนนช่วงบ้านฮวก (จ.พะเยา) - เมืองคอบ - เมืองเชียงฮ่อน และเมืองคอบ - เมืองปากคอบ - บ้านก้อนตื้น สปป. ลาว | กค | 12/11/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดำเนินโครงการปรับปรุงและก่อสร้างถนนช่วงบ้านฮวก (จ.พะเยา)-เมืองคอบ-เมืองเชียงฮ่อน และเมืองคอบ-เมืองปากคอบ-บ้านก้อนตื้น สปป.ลาว ตามประมาณการราคาเบื้องต้น จำนวน ๑,๔๗๓.๘๘ ล้านบาท และสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) จะได้ศึกษา สำรวจออกแบบรายละเอียดการก่อสร้างให้เสร็จเรียบร้อย และจะได้นำผลศึกษาประมาณราคาค่าใช้จ่ายเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติรูปแบบ วิธีการ และเงื่อนไขการให้ความช่วยเหลือทางการเงินที่เหมาะสมแก่โครงการฯ ต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง โดย สพพ. รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรดำเนินการสำรวจและออกแบบรายละเอียดการก่อสร้างพร้อมทั้งประมาณการวงเงินค่าใช้จ่ายและแหล่งเงินของโครงการฯ เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งก่อนดำเนินการ และพิจารณากำหนดลำดับความสำคัญของประเทศเพื่อนบ้านที่จะให้ความช่วยเหลือ รวมถึงสัดส่วนของการให้ความช่วยเหลือของ สพพ. ทั้งทางด้านการเงินและวิชาการ โดยแยกออกเป็นเงินกู้ เงินให้เปล่า และอื่น ๆ เพื่อใช้เป็นกรอบการดำเนินงานด้านการให้ความช่วยเหลือกับประเทศเพื่อนบ้านให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนยิ่งขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29134 | การแก้ไขปัญหาของราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากโครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยปล้อง อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย | นร01 | 12/11/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้จ่ายเงินเยียวยาค่าชดเชยที่ดินและค่าเสียโอกาสในการทำกินเป็นกรณีพิเศษให้แก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากโครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยปล้อง อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย จำนวน ๔๘ ราย รวมเนื้อที่ ๖๘๒-๒-๖๒ ไร่ ในอัตราไร่ละ ๔๐,๐๐๐ บาท เป็นเงินทั้งสิ้น ๒๗,๓๐๖,๒๐๐ บาท โดยให้ใช้จ่ายจากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ๑.๒ ให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบและกำกับดูแลการจ่ายเงินเยียวยาค่าชดเชยที่ดินและค่าเสียโอกาสในการทำกินเป็นกรณีพิเศษให้แก่ราษฎรดังกล่าว ให้เป็นไปอย่างถูกต้อง เรียบร้อย ด้วยวิธีโอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร และระมัดระวังมิให้มีการจ่ายเงินให้แก่ผู้ไม่มีสิทธิ โดยถือความเห็นของคณะกรรมการเป็นหลักฐานประกอบในการอนุมัติจ่ายเงิน รวมทั้งป้องกันมิให้มีบุคคลหรือกลุ่มบุคคลแสวงหาผลประโยชน์จากการจ่ายเงินให้แก่ราษฎร โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานกรรมการ และผู้อำนวยการศูนย์บริการประชาชน สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นกรรมการและเลขานุการ ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายในการเยียวยาชดเชยที่ดินและค่าเสียโอกาสดังกล่าว เนื่องจากไม่ได้ตั้งงบประมาณไว้ จึงเห็นควรให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในวงเงิน ๒๗,๓๐๖,๒๐๐ บาท โดยให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณโดยตรงต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรทำข้อตกลงกับกลุ่มราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากโครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยปล้องดังกล่าวว่าจะไม่เรียกร้องค่าชดเชยใด ๆ จากทางราชการอีก และในการโอนเงินผ่านธนาคาร ให้มีการประสานงานกับธนาคารที่เป็นรัฐวิสาหกิจที่เหมาะสมกับการดำเนินการจ่ายเงิน และพิจารณาถึงค่าธรรมเนียมหรือค่าบริการเพื่อให้สอดคล้องกับเงินงบประมาณรายจ่ายที่จะต้องใช้ด้วย นอกจากนี้ ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการพิจารณาวางหลักเกณฑ์การให้ความช่วยเหลือและกำหนดการชดเชยผู้ที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมอย่างรอบคอบ ตามความเหมาะสมกับสภาพในปัจจุบัน เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้ได้รับผลกระทบจากการดำเนินโครงการจริง ที่มีหลักฐานตรวจสอบได้ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำกับดูแลในการดำเนินการเกี่ยวกับการร้องเรียนของประชาชนในเรื่องทำนองเดียวกันนี้ในแต่ละพื้นที่ให้มีความชัดเจนและมาตรฐานเดียวกัน |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29135 | การให้สัตยาบันสนธิสัญญาว่าด้วยการให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในเรื่องทางอาญาของภูมิภาคอาเซียน | อส | 12/11/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศให้สัตยาบันสนธิสัญญาว่าด้วยการให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในเรื่องทางอาญาของภูมิภาคอาเซียน (Treaty on Mutual Legal Assistance in Criminal Matters) หลังจากนั้นสำนักงานอัยการสูงสุดจะพิจารณาดำเนินการแก้ไขกฎหมายภายในต่อไป ตามที่สำนักงานอัยการสูงสุดเสนอ ทั้งนี้ ประโยชน์ที่ได้รับจากการให้สัตยาบันสนธิสัญญาฯ ๑.๑ ทำให้ประเทศไทยในฐานะเป็นภาคีสนธิสัญญาฯ มีสิทธิที่จะขอและให้ความช่วยเหลือในเรื่องทางอาญากับประเทศอาเซียนอื่นอีก ๙ ประเทศ รวมทั้งกับประเทศในภูมิภาคอื่นที่สนธิสัญญาฯ ข้อ ๓๐ อนุญาตให้เข้าเป็นภาคีได้หากได้รับความยินยอมจากประเทศอาเซียนที่เป็นภาคีสนธิสัญญาฯ ทั้ง ๑๐ ประเทศ ได้อย่างสมบูรณ์ อันจะเป็นประโยชน์ยิ่งแก่การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติที่นับวันจะทวีจำนวนและความรุนแรงมากขึ้น ๑.๒ เป็นการรักษาภาพลักษณ์ของประเทศไทยในฐานะประเทศผู้นำในภูมิภาคอาเซียนที่มีบทบาทในการจัดทำสนธิสัญญาฯ และมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการดำเนินงานด้านความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญามาเป็นระยะเวลานาน อีกทั้งเป็นการแสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์อย่างแท้จริงของรัฐบาลไทยที่จะร่วมมือกับประเทศอาเซียนอื่นในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติที่ส่งผลกระทบต่อความสงบสุขของประเทศอาเซียนในปัจจุบัน อาทิ ปัญหายาเสพติด ปัญหาการค้ามนุษย์ เป็นต้น ๑.๓ ช่วยให้เกิดการพัฒนางานความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญาทั้งด้านการพัฒนาองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญในการสืบสวนสอบสวนคดี และความรู้ด้านเทคนิคต่าง ๆ ในการฝึกอบรมบุคลากรร่วมกันและการแลกเปลี่ยนผู้ปฏิบัติงานและผู้เชี่ยวชาญ รวมทั้งด้านการสนับสนุนงบประมาณ ทรัพยากรและอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ต้องใช้ในการปฏิบัติงาน ๒. สำหรับการปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้สนธิสัญญาว่าด้วยการให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในเรื่องทางอาญาของภูมิภาคอาเซียนนั้น ให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29136 | การบริหารโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) | กค | 12/11/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๑๔/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๕ ดังนี้
๑. รับทราบผลการพิจารณาของสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ สำนักงบประมาณ และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เกี่ยวกับความเหมาะสมและความจำเป็นของโครงการ ของ รฟท. เรียงตามลำดับความสำคัญ ได้แก่ โครงการปรับปรุงทางรถไฟที่ไม่ปลอดภัย ของ รฟท. กระทรวงคมนาคม โครงการติดตั้งเครื่องกั้นเสมอระดับและปรับปรุงเครื่องกั้น จำนวน ๑๐๕ แห่ง และงานติดตั้งรั้วสองข้างทางตามแนวเขตทางรถไฟ จำนวน ๑๗ รายการ โดย ๑.๑ โครงการปรับปรุงทางรถไฟที่ไม่ปลอดภัย เห็นควรสนับสนุนการดำเนินโครงการฯ ที่เหลืออยู่ จำนวน ๑๒ สายทาง เนื่องจากมีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ด้านโลจิสติกส์เพื่อสนับสนุนการขนส่งสินค้าทางรางและการพัฒนาทางคู่ (Double Track) รวมถึงความสอดคล้องกับการปรับปรุงโครงข่ายหลักซึ่งสภาพทางและอายุการใช้งานของสายทางทุกสายทางอยู่ในสภาพที่ไม่ปลอดภัย ๑.๒ โครงการติดตั้งเครื่องกั้นเสมอระดับและปรับปรุงเครื่องกั้น จำนวน ๑๐๕ แห่ง เห็นควรสนับสนุนโครงการฯ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการเดินรถ และลดอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น โดยแผนงานที่ รฟท. เสนอมาอยู่ในเส้นทางสายหลักที่มีปริมาณการจราจรตัดผ่านหนาแน่น ๑.๓ งานติดตั้งรั้วสองข้างทางตามแนวเขตทางรถไฟ จำนวน ๑๗ รายการ เป็นงานที่มีความจำเป็นที่จะต้องเร่งดำเนินการควบคู่ไปกับการพัฒนาและปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของรางรถไฟ เพื่อรองรับการลงทุนในส่วนของระบบราง โดยการติดตั้งรั้วในเขตสายทางรถไฟจะช่วยลดอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากทางลักผ่านและเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการด้านการขนส่งผู้โดยสารและขนส่งสินค้าให้รวดเร็วและตรงเวลามากขึ้น ๒. อนุมัติให้ดำเนินโครงการและอนุมัติการจัดสรรวงเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) ตามข้อเสนอของคณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด ได้แก่ ๒.๑ โครงการปรับปรุงทางรถไฟที่ไม่ปลอดภัย ของ รฟท. กระทรวงคมนาคม จำนวน ๔ สายทาง ระยะทาง ๒๖๕ กิโลเมตร ได้แก่ ระหว่างสถานีคลองรังสิต-ชุมทางบ้านภาชี ระยะทาง ๑๒๐ กิโลเมตร ระหว่างชุมทางบ้านภาชี-มาบกะเบา (เดิม) ระยะทาง ๔๔ กิโลเมตร ระหว่างชุมทางศรีราชา-ชุมทางเขาชีจรรย์-สัตหีบ ระยะทาง ๖๖ กิโลเมตร และระหว่างชุมทางเขาชุมทอง-นครศรีธรรมราช ระยะทาง ๓๕ กิโลเมตร วงเงินรวมทั้งสิ้น ๒,๙๓๙.๒๕๒๓ ล้านบาท ๒.๒ โครงการติดตั้งเครื่องกั้นเสมอระดับและปรับปรุงเครื่องกั้น จำนวน ๑๐๕ แห่ง วงเงิน ๑๙๕.๔๒ ล้านบาท ๒.๓ โครงการ GFMIS-SOE ส่วนขยาย (ระยะที่ ๒) ของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง วงเงิน ๘๗ ล้านบาท ๓. อนุมัติให้ รฟท. ดำเนินโครงการ และอนุมัติให้กระทรวงการคลังกู้เงินในประเทศ และให้ รฟท. กู้เงินต่อจากกระทรวงการคลังเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการปรับปรุงทางรถไฟที่ไม่ปลอดภัยในสายทางที่ยังไม่ได้รับการจัดสรรแหล่งเงินลงทุน จำนวน ๘ สายทาง ระยะทาง ๘๔๙ กิโลเมตร รวมวงเงิน ๘,๘๗๔.๖๒ ล้านบาท และให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเป็นงบชำระหนี้ให้แก่ รฟท. เพื่อใช้ชำระหนี้คืนแก่แหล่งเงินกู้โดยตรงทั้งในส่วนเงินต้น ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้อง ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กระทรวงการคลังจะได้ตกลงกับ รฟท. ต่อไป ส่วนงานติดตั้งรั้วสองข้างทางตามแนวเขตทางรถไฟ จำนวน ๑๗ รายการ วงเงิน ๓,๐๔๖.๑๓ ล้านบาท ให้มีการทบทวนความเหมาะสมของโครงการให้รอบคอบและนำเสนอคณะกรรมการกลั่นกรองฯ คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29137 | การแต่งตั้งผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา (ปคร.) ของกระทรวงพาณิชย์ | พณ | 12/11/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการแต่งตั้งให้ นายนพดล สระวาสี รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาของกระทรวงพาณิชย์ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29138 | ขอความเห็นชอบร่างปฏิญญาร่วมว่าด้วยการประกาศการเริ่มเจรจาความตกลง RCEP (Regional Comprehensive Economic Partnership) | พณ | 12/11/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างปฏิญญาร่วมว่าด้วยการประกาศการเริ่มเจรจาความตกลง (ASEAN Framework for Regional Comprehensive Economic Partnership-RCEP) และเอกสารแนบ ที่จะมีการรับรองในระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๒๑ และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ซึ่งกัมพูชาในฐานะประธานอาเซียนจะเป็นเจ้าภาพจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๘-๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา โดยร่างปฏิญญาฯ มีสาระสำคัญเพื่อแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันของผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียนและประเทศคู่เจรจา ๖ ประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย จีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลี และนิวซีแลนด์ ในการประกาศเริ่มการเจรจาความตกลง RCEP โดยให้เริ่มต้นการเจรจาตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. ๒๕๕๖ (ค.ศ. ๒๐๑๓) และมุ่งหมายให้การเจรจาแล้วเสร็จภายในสิ้นปี พ.ศ. ๒๕๕๘ (ค.ศ. ๒๐๑๕) เพื่อบรรลุผลให้ RCEP เป็นความตกลงที่มีคุณภาพสูงและทันสมัยบนผลประโยชน์ร่วมกันอย่างรอบด้านในการสนับสนุนการขยายการค้าและการลงทุนในภูมิภาค รวมทั้งส่งเสริมการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่เท่าเทียมกัน ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างเอกสารที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทย ให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก ๑.๒ ให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองปฏิญญาร่วมว่าด้วยการประกาศการเริ่มเจรจาความตกลง RCEP และเอกสารแนบท้าย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค ควรคำนึงถึงความสมดุลของภาคการผลิตซึ่งก่อให้เกิดการจ้างงาน การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทรัพยากรภายในประเทศและภูมิภาค และการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม อันจะนำไปสู่การพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน สำหรับขั้นตอนการเจรจา ควรมีการหารือกับภาครัฐและเอกชนในรายละเอียดเพื่อกำหนดท่าทีของประเทศไทย โดยประเด็นที่ควรให้ความสำคัญ ได้แก่ ทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งแต่ละประเทศมีระดับการพัฒนาและการบังคับใช้กฎหมายต่างกัน และประเด็นด้านการเปิดเสรีภาคบริการ ซึ่งจะต้องพิจารณาสาขาและระดับการเปิดเสรีอย่างรอบคอบ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29139 | การจัดตั้งกลไกความร่วมมือด้านตลาดข้าวอาเซียน และการจัดตั้งเขตพิเศษการค้าข้าวอาเซียน (Rice Trade Zone) | พณ | 12/11/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ แนวทางการจัดตั้งกลไกความร่วมมือตลาดข้าวอาเซียน (ในส่วนของประเทศผู้ผลิตและผู้ส่งออกสำคัญ ๕ ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา สปป.ลาว พม่า เวียดนาม และไทย) โดยจะมีการจัดประชุมใน ๓ ระดับ ได้แก่ ๑.๑.๑ การประชุมในระดับรัฐมนตรี (ASEAN Rice Cooperation Ministerial Meeting) เป็นการประชุมเพื่อกำหนดนโยบายด้านความร่วมมือข้าวของอาเซียน รวมทั้งให้ความเห็นชอบและอนุมัติแผนปฏิบัติการและกลยุทธ์การตลาดตามที่คณะกรรมการความร่วมมือข้าวอาเซียนเสนอ ๑.๑.๒ การประชุมคณะกรรมการความร่วมมือด้านข้าวอาเซียน (ASEAN Rice Cooperation Committee-ARCC) เป็นการประชุมเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลสถานการณ์ข้าวของประเทศผู้ส่งออกข้าว ๕ ประเทศในภูมิภาค กำหนดแผนและยุทธศาสตร์ข้าวร่วมกัน พิจารณาและนำเสนอผลการดำเนินการของสมาพันธ์โรงสีและผู้ค้าข้าวอาเซียนต่อที่ประชุมระดับรัฐมนตรีของภูมิภาค ๑.๑.๓ การประชุมของสมาพันธ์โรงสีและผู้ค้าข้าวอาเซียน (ASEAN Rice Miller and Trader Federation to the Ministerial Meeting) เป็นการประชุมเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลสถานการณ์ข้าวเน้นด้านการเพิ่มประสิทธิภาพด้านการผลิตและการค้าข้าว รวมทั้งนำเสนอข้อมูลสรุปการประชุมให้คณะกรรมการความร่วมมือข้าวอาเซียน ๑.๒ ให้กระทรวงพาณิชย์จัดตั้งคณะทำงานศึกษาแนวทางการจัดตั้งเขตพิเศษการค้าข้าวอาเซียน (Rice Trade Zone : RTZ) เพื่อศึกษา วิเคราะห์ จัดทำแนวทาง ข้อเสนอ และมาตรการเพื่อจัดตั้งเขตพิเศษการค้าข้าวอาเซียน โดยในเบื้องต้นการศึกษาแนวทางดังกล่าวจะกำหนดขอบเขตการศึกษาให้ครอบคลุมถึงประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ ตำแหน่งพื้นที่ที่เหมาะสม ระบบกลไกการควบคุม ข้อกฎหมาย กระบวนการจัดตั้ง และบุคลากร เป็นต้น ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับแนวทางการจัดตั้งกลไกความร่วมมือตลาดข้าวอาเซียนในรูปแบบของการประชุมในระดับรัฐมนตรี อาจต้องเปิดโอกาสให้ประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นที่เหลือเข้าร่วมด้วยได้ และตามกฎบัตรอาเซียน การจัดตั้งองค์กรระดับรัฐมนตรีของอาเซียนเฉพาะสาขาจะต้องได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมสุดยอดอาเซียน การให้ความสำคัญกับการศึกษาและวิเคราะห์แนวทางการจัดตั้งกลไกให้ครอบคลุมถึงการบูรณาการห่วงโซ่การพัฒนาตลาดข้าว โดยเฉพาะการให้ความสำคัญประเด็นการรักษาและพัฒนาคุณภาพข้าวไทย การศึกษาแนวทางการจัดตั้งเขตพิเศษการค้าข้าวอาเซียนควรครอบคลุมการศึกษาในเชิงลึกในประเด็นเรื่องผลกระทบทางบวกและทางลบต่อภาคการเกษตร ภาคการค้า และภาคอุตสาหกรรมต่อเนื่องของประเทศจากการจัดตั้งเขตพิเศษการค้าข้าวดังกล่าว และแนวทางในการรองรับผลกระทบในอนาคต นอกจากนี้ การจัดตั้งกลไกการประชุมความร่วมมือตลาดข้าวอาเซียนควรครอบคลุมกลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตและกลุ่มอุตสาหกรรมแปรรูปซึ่งเป็นอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เพื่อให้กลไกการหารือมีความครอบคลุมและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อภาคเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งจัดทำประชาพิจารณ์เพื่อรับฟังความเห็นจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน เนื่องจากสินค้าข้าวเป็นสินค้าเกษตรที่มีความอ่อนไหวและได้รับผลกระทบทั้งด้านบวกและด้านลบจากการกำหนดนโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะมาตรการในการควบคุมให้ประเทศสมาชิกดำเนินการตามข้อตกลงต่าง ๆ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29140 | ความตกลงการค้าเสรีระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐชิลี | พณ | 12/11/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๓ เกี่ยวกับมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๕๒ เรื่อง ยุทธศาสตร์นโยบายแอลกอฮอล์ระดับชาติ ข้อ ๕.๕.๔ มาตรการปกป้องความเข้มแข็งของนโยบายแอลกอฮอล์จากผลกระทบของข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศ ๑.๒ เห็นชอบและอนุมัติการลงนามความตกลงการค้าเสรีระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐชิลี (The Free Trade Agreement between the Government of Kingdom of Thailand and the Government of the Republic of Chile) ก่อนนำเสนอความตกลงฯ เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาตามมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อให้ความเห็นชอบเพื่อผูกพันไทยต่อไป ทั้งนี้ สาระสำคัญของความตกลงฯ เป็นความตกลงที่มีกรอบกว้าง (Comprehensive Agreement) โดยรวมข้อบทต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการค้าและการลงทุนในความตกลงฉบับเดียว ได้แก่ การค้าสินค้า พิธีการศุลกากร กฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า มาตรการปกป้องและเยียวยาทางการค้า มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช มาตรการอุปสรรคทางเทคนิคต่อการค้า การค้าบริการ การระงับข้อพิพาทระหว่างรัฐ ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ และความโปร่งใส ส่วนข้อบทการลงทุนจะมีการเจรจาภายใน ๒ ปี นับจากความตกลงฯ มีผลใช้บังคับ โดยมีสาระสำคัญครอบคลุมในเรื่องการค้าสินค้าและการค้าบริการ ๑.๓ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ได้รับมอบหมายอื่นเป็นผู้ลงนามความตกลงฯ และหากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญในความตกลงฯ และไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้ผู้ลงนามใช้ดุลยพินิจในเรื่องนั้น ๆ ได้ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก ๑.๔ ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หรือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ได้รับมอบหมายอื่น เป็นผู้ลงนาม ๑.๕ เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบความตกลงฯ ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือแจ้งการมีผลใช้บังคับของความตกลงฯ เมื่อประเทศไทยได้ดำเนินการตามกระบวนการภายในเสร็จสิ้นแล้ว ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ไปหารือร่วมกับกระทรวงการคลังและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณากำหนดมาตราการภายในเพื่อลดผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมที่อาจจะเกิดขึ้นจากการขออนุมัติยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๓ เกี่ยวกับมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๕๒ เรื่อง ยุทธศาสตร์แอลกอฮอล์ระดับชาติ มาตราการปกป้องความเข้มแข็งของนโยบายแอลกอฮอล์จากผลกระทบของข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศ โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่มีผลกระทบทางสังคมอันเกิดจากปัญหาการดื่มสุรา ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องมีการเฝ้าระวังทางสังคมของไทย จึงจำเป็นต้องมีมาตรการรองรับ เช่น มาตราการภาษีสรรพสามิต และการเพิ่มอัตราเงินสมทบจากภาษีสรรพสามิตในกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ เป็นต้น กระทรวงพาณิชย์ควรหารือกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบในทุกมิติ ไปประกอบการพิจารณาด้วย |
.....