ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1455 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 29081 - 29100 จากข้อมูลทั้งหมด 124231 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
29081 | การแต่งตั้งผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา (ปคร.) (จำนวน 16 ราย 1. นายยงยุทธ ภู่ประดับกฤต ฯลฯ) | นร05 | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการแต่งตั้งผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา (ปคร.) ของรองนายกรัฐมนตรี/รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ ปคร. ของส่วนราชการ จำนวน ๑๖ คน ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. นายยงยุทธ ภู่ประดับกฤต ปฏิบัติหน้าที่ผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา ของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) ๒. นายสุวัฒน์ ม่วงศิริ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา ของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางสาวศันสนีย์ นาคพงศ์) ๓. พลเอก นิพัทธ์ ทองเล็ก รองปลัดกระทรวงกลาโหม ปฏิบัติหน้าที่ผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา ของกระทรวงกลาโหม ๔. นายโอฬาร พิทักษ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปฏิบัติหน้าที่ผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ๕. นายพูลศักดิ์ เศรษฐนันท์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน ปฏิบัติหน้าที่ผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา ของกระทรวงแรงงาน ๖. นายสมบูรณ์ เมฆไพบูลย์วัฒนา รองปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ปฏิบัติหน้าที่ผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา ของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ๗. นายสมบัติ สุวรรณพิทักษ์ รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ปฏิบัติหน้าที่ผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา ของกระทรวงศึกษาธิการ ๘. นายโสภณ เมฆธน รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ปฏิบัติหน้าที่ผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา ของกระทรวงสาธารณสุข ๙. นายกัมพุช วุฒิวงศ์ รองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ปฏิบัติหน้าที่ผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา ของสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ๑๐. นายสมศักดิ์ โชติรัตนะศิริ รองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ปฏิบัติหน้าที่ผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา ของสำนักงบประมาณ ๑๑. นายอดิศักดิ์ ตันยากุล รองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ปฏิบัติหน้าที่ผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา ของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ๑๒. นางสุชาดา รังสินันท์ รองเลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน ปฏิบัติหน้าที่ผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา ของสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน ๑๓. นายพงษ์อาจ ตรีกิจวัฒนากุล รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ปฏิบัติหน้าที่ผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ๑๔. ศาสตราจารย์สุทธิพร จิตต์มิตรภาพ เลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ปฏิบัติหน้าที่ผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ๑๕. พันตำรวจเอก โภคพิบูลย์ โปตระนันทน์ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ ปฏิบัติหน้าที่ผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา ของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ ๑๖. นางพรรณิภา เสริมศรี รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ปฏิบัติหน้าที่ผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา ของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร |
|||||||||||||||||||||||||||
29082 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [การกำหนดรายชื่อบริษัทสำนักหักบัญชี (ประเทศไทย) จำกัด ให้เป็นผู้ยืมหรือผู้ให้ยืมหลักทรัพย์] | กค | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมคำนิยาม “ผู้ยืมหรือผู้ให้ยืม” ในมาตรา ๓ แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราและยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ๓๓๑) พ.ศ. ๒๕๔๑ โดยเปลี่ยนผู้ยืมหรือผู้ให้ยืมจาก “ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์” เป็น “สำนักหักบัญชี” เพื่อให้การทำธุรกรรมการยืมหรือให้ยืมหลักทรัพย์กับสำนักหักบัญชีได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคล ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
29083 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการกำหนดกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การกำหนดกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะเพิ่มเติม) | กค | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการกำหนดกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับกิจการเยี่ยงธนาคารพาณิชย์ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามมาตรา ๙๑/๒ (๕) แห่งประมวลรัษฎากร ทั้งนี้ เฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับดอกเบี้ยที่ได้รับในกรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกันให้กู้ยืมเงินกันเอง กรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนำเงินทุน เงินกู้ยืม เงินเพิ่มทุนหรือเงินอื่นที่เหลืออยู่ไปฝากธนาคารหรือซื้อตั๋วเงินของสถาบันการเงินอื่น และกรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลได้มีระเบียบเกี่ยวกับเงินกองทุนสะสมพนักงาน หรือทุนอื่นใดเพื่อพนักงาน และบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นได้นำเงินกองทุนนี้ออกให้พนักงานที่เป็นสมาชิกกู้ยืมเพื่อเป็นสวัสดิการ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
29084 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักรตามความตกลงภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน สำหรับปี 2556 พ.ศ. .... | พณ | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การนำข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์เข้ามาในราชอาณาจักรตามความตกลงภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน สำหรับปี ๒๕๕๖ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยร่างประกาศฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นต้นไป ๑.๒ ให้ข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ตามพิกัดอัตราศุลกากรประเภทย่อย ๑๐๐๕.๙๐.๙๐ ซึ่งมีถิ่นกำเนิดและส่งตรงมาจากประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตามความตกลงภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน เป็นสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองตามที่กำหนดแสดงต่อกรมศุลกากรในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร เพื่อประกอบการใช้สิทธิพิเศษทางด้านภาษีศุลกากร ทั้งนี้ การนำเข้าสินค้าดังกล่าวข้างต้นที่มีมูลค่าตามราคา เอฟ.โอ.บี. ไม่เกินสองร้อยดอลลาร์สหรัฐ ไม่ต้องแสดงหนังสือรับรองต่อกรมศุลกากรในการนำเข้า ๑.๓ องค์การคลังสินค้า (อคส.) เป็นผู้นำเข้า ต้องนำเข้าระหว่างวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ กรณีผู้นำเข้าทั่วไป ต้องนำเข้าระหว่างวันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ ๑.๔ ให้กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมพิเศษสำหรับการนำข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ตามข้อ ๑.๒ เข้ามาในราชอาณาจักร ในอัตราน้ำหนักสุทธิเมตริกตันละศูนย์บาท ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับบทอาศัยอำนาจตามร่างประกาศฯ ควรระบุให้ชัดเจนว่าเป็นการอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๕ วรรคหนึ่ง (๓) (๔) (๕) และ (๖) มาตรา ๖ และมาตรา ๒๕ แห่งพระราชบัญญัติการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ. ๒๕๒๒ เพื่อให้เกิดความชัดเจนเกี่ยวกับฐานอำนาจในการออกประกาศฉบับนี้อันมีผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชน นอกจากนี้ เห็นควรตัดข้อความ “...และต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดมาตรฐานควบคุมการนำเข้าตามพระราชบัญญัติควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ พ.ศ. ๒๕๒๕” ออก เนื่องจากแม้จะไม่มีการกำหนดความดังกล่าวไว้ ผู้นำเข้าย่อมต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ฯ อยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องกำหนดไว้ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงการคลัง โดยกรมศุลกากร รายงานผลการนำเข้าข้าวโพดที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์จากต่างประเทศให้กระทรวงพาณิชย์ทราบเป็นระยะ เพื่อให้สามารถบริหารจัดการปริมาณและราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ไม่ให้มีผลกระทบกับเกษตรกรในประเทศ และให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงการคลังร่วมมือกันในการบังคับใช้กฎหมายที่ด่านศุลกากรและตามแนวชายแดนต่างๆ อย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันมิให้มีการลักลอบการนำเข้าสินค้าจากประเทศเพื่อนบ้าน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
29085 | การลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างกรมทรัพย์สินทางปัญญาไทย และกรมทรัพย์สินทางปัญญาลาว เรื่องความร่วมมือทรัพย์สินทางปัญญา | พณ | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างกรมทรัพย์สินทางปัญญากระทรวงพาณิชย์ แห่งราชอาณาจักรไทย และกรมทรัพย์สินทางปัญญากระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เกี่ยวกับความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญา โดยให้อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ หลังจากได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ ผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ จะต้องได้รับหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดแนวทางการรณรงค์ สร้างความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับการลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ให้กับประชาชนได้รับทราบ โดยใช้สื่อในรูปแบบต่างๆ อันจะส่งผลให้ผู้ที่จะติดต่อทำธุรกิจการค้าระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวสามารถประกอบธุรกิจได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย นอกจากนี้ ควรดำเนินการติดตามและประเมินผลความร่วมมือดังกล่าว เพื่อนำไปสู่การพิจารณาขยายขอบเขตความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญากับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวในมิติอื่นเพิ่มเติม รวมทั้งการขยายขอบเขตความร่วมมือไปยังประเทศเพื่อนบ้านหรือประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นๆ เพื่อเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. สำหรับการดำเนินความร่วมมือภายใต้บันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการอื่น เช่น ศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านและภูมิปัญญาท้องถิ่น ของกระทรวงวัฒนธรรม ให้กระทรวงพาณิชย์ (กรมทรัพย์สินทางปัญญา) เชิญกระทรวงวัฒนธรรมและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
29086 | รายงานการกู้เงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | กค | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบรายงานการกู้เงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ให้แก้ไขรายงานฯ หน้า ๑๒ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาทราบต่อไป โดยสาระสำคัญของรายงานการกู้เงินตามพระราชกำหนดฯ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ วัตถุประสงค์ของการกู้เงิน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ และการเพิ่มการลงทุนของภาครัฐ เพิ่มการจ้างงานผ่านโครงการลงทุนขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ กระจายการลงทุนด้านบริการสาธารณะขั้นพื้นฐานไปยังส่วนภูมิภาคและชนบท และดำเนินโครงการลงทุนที่มีความสำคัญตามนโยบายของรัฐบาลที่มีความจำเป็นเร่งด่วน ๑.๒ รายละเอียดการกู้เงิน ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒-๒๕๕๔ กระทรวงการคลังได้ดำเนินการกู้เงินภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ จำนวน ๓๙๘,๙๔๐.๐๙ ล้านบาท เพื่อนำไปใช้ในการดำเนินมาตรการเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งได้ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้เพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ วงเงิน ๓๔๘,๙๔๐.๐๙ ล้านบาท จากเงินกู้ระยะสั้นในรูปแบบ Term Loan เป็นเงินกู้ระยะยาวในรูปแบบพันธบัตรออมทรัพย์ พันธบัตรรัฐบาล ตั๋วสัญญาใช้เงิน และพันธบัตรชดเชยเงินเฟ้อ ๑.๓ ผลสัมฤทธิ์และประโยชน์ที่ได้รับ จะช่วยพื้นที่รับน้ำจากระบบชลประทานและเพิ่มพื้นที่การเกษตรให้แก่เกษตรกร ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพระบบการขนส่งของประเทศ เพิ่มการจ้างงานและโครงสร้างพื้นฐานทั้งด้านการศึกษาและสาธารณสุข ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาศึกษา วิเคราะห์สาเหตุของความล่าช้าของการเบิกจ่ายเงินในการดำเนินโครงการภายใต้การกู้เงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และเสนอแนะมาตรการติดตามการใช้จ่ายเงินให้มีประสิทธิภาพและบรรลุวัตถุประสงค์ของการกู้เงิน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
29087 | ผลการประชุมเตรียมการของรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนสำหรับการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 21 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | พณ | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมเตรียมการของรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนสำหรับการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๒๑ และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๑๖-๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนเข้าร่วมการประชุม ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดทำความตกลงพันธมิตรทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP) ๑.๑ รัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจอาเซียนเห็นชอบถ้อยคำของร่างปฏิญญาร่วมว่าด้วยการประกาศเริ่มการเจรจาความตกลง RCEP (Joint Declaration on the Launch of Negotiations for the Regional Comprehensive Economic Partnership) และได้เสนอแนะต่อผู้นำเพื่อร่วมแสดงเจตนารมณ์ร่วมกับผู้นำของประเทศ+๖ ที่จะเริ่มต้นกระบวนการเจรจาความตกลง RCEP ตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยคาดหมายให้การเจรจาเสร็จสิ้นภายในสิ้นปี พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อให้เป็นความตกลงที่มีคุณภาพสูงและทันสมัยบนผลประโยชน์ร่วมกันอย่างรอบด้านในการสนับสนุนการขยายการค้าและการลงทุนในภูมิภาค รวมทั้งส่งเสริมการเจริญเติบโตและการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่เท่าเทียมกัน ๑.๒ ที่ประชุมรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจเห็นพ้องที่อาเซียนจะยังคงรักษาความเป็นศูนย์กลาง (ASEAN Centrality) ของอาเซียนในการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคไปพร้อมกับการก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) ในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ๒. การดำเนินการไปสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ๒.๑ ที่ประชุมเน้นย้ำเรื่องการดำเนินการตามข้อเสนอของคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนที่ได้เสนอต่อที่ประชุมผู้นำอาเซียนเพื่อการสร้างประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนให้สำเร็จตามเป้าหมาย โดยเฉพาะการเผยแพร่สาระสำคัญของ AEC ไปสู่ภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างแรงสนับสนุน AEC การจัดทำ AEC Priority Integration Programme ซึ่งกำหนดกิจกรรมหรือโครงการสำคัญที่ต้องดำเนินการโดยเร็วภายในปี ค.ศ. ๒๐๑๕ จัดสร้างกลไกในการจัดการมาตรการที่มิใช่ภาษีและมาตรการกีดกันทางการค้า การสร้างความเสมอภาคของระดับการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกให้เกิดผลเป็นรูปธรรม รวมทั้งจัดทำ Trade Review and Policy Dialogue ซึ่งจะหารือแนวทางการดำเนินการต่อไป ๒.๒ ที่ประชุมหารือการจัดลำดับความสำคัญของมาตรการต่างๆ เพื่อมุ่งสู่การเป็น AEC โดยเบื้องต้นเห็นว่า มาตรการที่ต้องเร่งรัดดำเนินการ เช่น มาตรการที่มิใช่ภาษี การจัดทำคลังข้อมูลอาเซียน การเจรจาเปิดเสรีการค้าบริการ การจัดทำความตกลง RCEP การจัดทำความตกลงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการอำนวยความสะดวกทางการค้าและการขนส่ง ๒.๓ รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนลงนามความตกลงว่าด้วยการเคลื่อนย้ายบุคคลธรรมดาของอาเซียน ซึ่งทำให้การดำเนินงานตาม AEC Blueprint ของอาเซียนในเรื่องการค้าบริการมีความคืบหน้าไปอีกขั้น โดยความตกลงนี้จะช่วยอำนวยความสะดวกการเคลื่อนย้ายบุคลากรชั่วคราวในการดำเนินการด้านการค้าสินค้า การค้าบริการ และการลงทุนระหว่างประเทศ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเข้าเมืองชั่วคราวหรือการพำนักชั่วคราวของบุคคลธรรมดาจากประเทศสมาชิกหนึ่งเข้าไปยังเขตแดนของอีกประเทศสมาชิกหนึ่ง
|
|||||||||||||||||||||||||||
29088 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงคมนาคม) (นายสมเกียรติ ทองโต และนายวิษณุ ตันเรืองศิลป์) | คค | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงคมนาคม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
๑. นายสมเกียรติ ทองโต ให้ดำรงตำแหน่งวิศวกรใหญ่ที่ปรึกษาวิชาชีพเฉพาะด้านวิศวกรรมโยธา (ด้านบำรุงรักษาทางและสะพาน) (วิศวกรโยธาทรงคุณวุฒิ) กรมทางหลวงชนบท ๒. นายวิษณุ ตันเรืองศิลป์ ให้ดำรงตำแหน่งวิศวกรใหญ่ที่ปรึกษาวิชาชีพเฉพาะด้านวิศวกรรมโยธา (ด้านอำนวยความปลอดภัย) (วิศวกรโยธาทรงคุณวุฒิ) กรมทางหลวง
|
|||||||||||||||||||||||||||
29089 | การดำเนินการพิจารณาศึกษาแนวทางการสนับสนุนมาตรการลดค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทาง | คค | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการดำเนินมาตรการลดค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทาง และผลการพิจารณาศึกษาแนวทางการสนับสนุนมาตรการลดค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทาง ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การดำเนินมาตรการลดค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางในปัจจุบัน อาจไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ของมาตรการเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๑ เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ประกอบกับนโยบายรัฐบาลในการปรับค่าแรงขั้นต่ำเป็นวันละ ๓๐๐ บาท หรือปริญญาตรีเดือนละ ๑๕,๐๐๐ บาท ส่งผลให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น ดังนั้น การดำเนินมาตรการลดค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางต่อไปอาจก่อให้เกิดผลกระทบ คือ ๑.๑.๑ ทำให้เกิดภาระงบประมาณกับภาครัฐในการชดเชยการดำเนินมาตรการ เฉลี่ยเดือนละ ๓๐๑.๑๑ ล้านบาท [องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) จำนวน ๒๑๘.๒๓ ล้านบาท และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จำนวน ๘๒.๘๘ ล้านบาท] และตั้งแต่เริ่มดำเนินมาตรการจนถึงปัจจุบันมีค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น ๑๔,๔๕๓.๒๙ ล้านบาท (ขสมก. จำนวน ๑๐,๔๗๕.๑๒ ล้านบาท และ รฟท. จำนวน ๓,๙๗๘.๑๗ ล้านบาท) นอกจากนี้ ทำให้รัฐบาลเสียโอกาสในการนำงบประมาณไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสำคัญอื่นๆ ที่อาจเป็นประโยชน์กับประชาชนโดยรวมมากกว่า ๑.๑.๒ การดำเนินมาตรการในปัจจุบันไม่สามารถสะท้อนให้เห็นถึงการให้ความช่วยเหลือกลุ่มคนที่ควรได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง เนื่องจากเป็นการให้บริการสาธารณะเฉพาะกลุ่มคนที่สามารถเข้าถึงบริการได้เท่านั้น เช่น การดำเนินมาตรการของ ขสมก. อาจแสดงให้เห็นว่ากลุ่มผู้ได้รับประโยชนอยู่ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลเท่านั้น เป็นต้น ๑.๑.๓ ทำให้เกิดการคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับค่าครองชีพของประชาชนที่แท้จริง เนื่องจากประชาชนได้รับประโยชน์จากมาตรการดังกล่าวมาเป็นเวลานาน และยังส่งผลทำให้อาจเกิดการต่อต้านได้ในกรณีที่รัฐบาลต้องการยกเลิกการดำเนินมาตรการดังกล่าว ๑.๒ การดำเนินการศึกษาแนวทางการสนับสนุนมาตรการลดค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางเป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อนซับซ้อน เนื่องจากเป็นนโยบายสำคัญที่รัฐบาลได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องเฉพาะเรื่องการบริหารจัดการด้านการเดินทางเท่านั้น แต่มีผลเชื่อมโยงต่อสภาพเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมของประเทศ คุณภาพชีวิตของประชาชน รวมถึงการกำหนดนโยบายของรัฐบาลต่อไปในอนาคต จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมอบหมายให้หน่วยงานที่มีความเหมาะสมเชี่ยวชาญมาดำเนินการศึกษาในเชิงลึกเกี่ยวกับแนวทางในการดำเนินมาตรการดังกล่าว เพื่อให้สามารถบริหารจัดการมาตรการในอนาคตให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชนและไม่ส่งผลกระทบต่องบประมาณของประเทศ เบื้องต้นเห็นควรให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติมาดำเนินการศึกษาในเชิงลึกให้ได้ข้อสรุปที่ถูกต้องและเกิดประโยชน์อย่างแท้จริง ๒. ให้กระทรวงคมนาคมและกระทรวงการคลังเร่งรัดการศึกษาแนวทางการสนับสนุนมาตรการลดค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางอย่างเป็นระบบตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ [เรื่อง ขอขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทาง (ระยะที่ ๑๑ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖)] ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
29090 | การแต่งตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี รวม 5 คณะ (การปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่คณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี) | นร04 | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๓๓๖/๒๕๕๕ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี รวม ๕ คณะ ลงวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๕ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ คณะที่ ๑ ฝ่ายกระบวนการยุติธรรม กฎหมาย ความมั่นคง การพัฒนาสังคม และแรงงาน มีรองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) เป็นประธานกรรมการ มีอำนาจหน้าที่พิจารณากลั่นกรองเรื่องสำคัญในปัญหาที่เกี่ยวพันหรือมีผลกระทบต่อกระบวนการยุติธรรม กฎหมาย และการพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวกับศาล องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ และองค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญ การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม การป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด การป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน การพัฒนาสังคม การพัฒนาองค์กรชุมชน การพัฒนาคุณภาพชีวิต รวมทั้งด้านความมั่นคง ด้านแรงงาน และด้านการคุ้มครองผู้บริโภค ก่อนที่จะนำเสนอคณะรัฐมนตรี ๑.๒ คณะที่ ๒ ฝ่ายวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มีรองนายกรัฐมนตรี (นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล) เป็นประธานกรรมการ มีอำนาจหน้าที่พิจารณากลั่นกรองเรื่องสำคัญในปัญหาที่เกี่ยวพันหรือมีผลกระทบต่อด้านวิทยาศาสตร์ และด้านเทคโนโลยีและการสื่อสาร ๑.๓ คณะที่ ๓ ฝ่ายเศรษฐกิจ มีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ มีอำนาจหน้าที่พิจารณากลั่นกรองเรื่องสำคัญในปัญหาที่เกี่ยวพัน หรือมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวม รวมทั้งด้านการเงิน การคลัง การภาษีอากร สถาบันการเงิน การลงทุน การผลิต การหารายได้เข้าประเทศ การนำเข้าและส่งออกสินค้า นโยบายรัฐวิสาหกิจ และการพลังงาน รวมถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจในภาพรวมอื่น เช่น กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง โครงการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชน (SML) ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง หรือโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ และเรื่องสำคัญในปัญหาที่เกี่ยวพัน หรือเรื่องที่มีผลกระทบด้านการเกษตร การคมนาคม การอุตสาหกรรม การท่องเที่ยวและกีฬา หรือเรื่องที่มีผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐาน ก่อนที่จะนำเสนอคณะรัฐมนตรี ๑.๔ คณะที่ ๔ ฝ่ายทรัพยากรธรรมชาติและสาธารณสุข มีรองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) เป็นประธานกรรมการ มีอำนาจหน้าที่พิจารณากลั่นกรองเรื่องสำคัญในปัญหาที่เกี่ยวพันหรือมีผลกระทบต่อการสงวน อนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การจัดการและการใช้ประโยชน์ที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ และการสาธารณสุข ก่อนที่จะนำเสนอคณะรัฐมนตรี ๑.๕ คณะที่ ๕ ฝ่ายสังคม โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) เป็นประธานกรรมการ มีอำนาจหน้าที่พิจารณากลั่นกรองเรื่องสำคัญในปัญหาที่เกี่ยวพันหรือมีผลกระทบต่อการต่างประเทศ การทหาร การศึกษา การประชาสัมพันธ์ การบริหารทรัพยากรบุคคลภาครัฐ รวมทั้งด้านวัฒนธรรม และเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสังคมในภาพรวมอื่น ก่อนที่จะนำเสนอคณะรัฐมนตรี ๒. สำหรับเรื่องที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๑๗๑/๒๕๕๔ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี รวม ๕ คณะ ลงวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๔ หากเป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการฯ ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๓๓๖/๒๕๕๕ ให้คณะกรรมการฯ ตามคำสั่งดังกล่าวพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
29091 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจ การพาณิชย์ และอุตสาหกรรม วุฒิสภา เรื่อง "การศึกษาและติดตามโครงการก่อสร้าง นิคมอุตสาหกรรมและท่าเรือน้ำลึกทวาย สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์" | สว | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจ การพาณิชย์ และอุตสาหกรรม วุฒิสภา เรื่อง "การศึกษาและติดตามโครงการก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรมและท่าเรือน้ำลึกทวาย สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์" ในประเด็นเกี่ยวกับการแต่งตั้งคณะทำงานการจัดทำร่างหนังสือ การเตรียมความพร้อมด้านการขนส่ง การผลิตบุคลากร การศึกษาความเหมาะสมของพื้นที่ การจัดประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมข้อเสนอแนะกับผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะตามรายงานดังกล่าวที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป ดังนี้
๑. กระทรวงการคลังได้แต่งตั้งคณะทำงานพิจารณาแนวทางการให้การสนับสนุนทางการเงิน สำหรับโครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรมทวาย และได้มีการประชุมหารือเกี่ยวกับแนวทางการให้ความสนับสนุนด้านการเงินที่เหมาะสม ๒. กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการจัดทำร่างหนังสือแลกเปลี่ยนเพื่อการจัดตั้งกลไกลณะกรรมการร่วมไทย/เมียนมาร์ โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติแล้วเมื่อวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๕ และกำลังอยู่ในระหว่างการประสานกับฝ่ายเมียนมาร์ในการจัดประชุมคณะกรรมการร่วมไทย/เมียนมาร์ ในโอกาสแรก รวมทั้งการมอบหนังสือแลกเปลี่ยนอย่างเป็นทางการ ๓. กระทรวงคมนาคมเตรียมความพร้อมด้านการขนส่ง ได้แก่ ทางราง โดยขอรับการจัดสรรงบประมาณในปี ๒๕๕๗ เพื่อศึกษาความเหมาะสมโครงการก่อสร้างทางสายใหม่ สถานีรถไฟบ้านเก่า-บ้านพุน้ำร้อน ระยะทาง ๓๐ กิโลเมตร และทางถนน โดยกรมทางหลวงดำเนินการโครงการทางหลวงพิเศษ ระหว่างเมือง สายบางใหญ่-นครปฐม-กาญจนบุรี ระยะทาง ๙๘ กิโลเมตร ซึ่งรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ได้ผ่านความเห็นขอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ รวมทั้งได้มีการสำรวจออกแบบรายละเอียดแล้วเมื่อปี ๒๕๕๒ และกำลังเตรียมนำเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ นอกจากนี้ ยังอยู่ในระหว่างดำเนินโครงการศึกษาความเหมาะสมทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายกาญจนบุรี-ชายแดนไทย/เมียนมาร์ (บ้านพุน้ำร้อน) ระยะทาง ๗๐ กิโลเมตร ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี ๒๕๕๖ ๔. กระทรวงศึกษาธิการจะดำเนินการประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาการผลิตบุคลากรที่มีทักษะฝีมือและคุณภาพ รวมทั้งการเตรียมความพร้อมด้านภาษาเมียนมาร์ของประชากรตามแนวชายแดน เพื่อรองรับการก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรมและท่าเรือน้ำลึกทวาย ๕. กระทรวงอุตสาหกรรมโดยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้ดำเนินโครงการศึกษาความเหมาะสมของพื้นที่เพื่อประกอบการกำหนดพื้นที่อุตสาหกรรมในพื้นที่ชายแดนด่านพุน้ำร้อน อำเภอเมือง และพื้นที่อื่น ๆ ที่เหมาะสมในจังหวัดกาญจนบุรี และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนได้จัดกิจกรรมการสัมมนาเผยแพร่และนำคณะนักลงทุนไปศึกษาและสำรวจลู่ทางการลงทุนในพื้นที่ท่าเรือน้ำลึกทวาย พร้อมกับให้บริการข้อมูลและคำปรึกษาด้านกฎหมายสำหรับนักลงทุนไทย และกำลังอยู่ระหว่างดำเนินการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลการลงทุนไทยในต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังมีแผนงานสำหรับการศึกษาลู่ทางการลงทุน การจัดทำคู่มือการลงทุน รวมทั้งการจัดตั้งศูนย์พัฒนาการลงทุนไทยในต่างประเทศ (TOISC) อีกด้วย ๖. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการจัดประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขอรับทราบข้อมูลโครงการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจเชื่อมโยงฝั่งตะวันตกกับเมียนมาร์เพื่อใช้ประกอบการจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาความเชื่อมโยงพื้นที่เศรษฐกิจของไทยกับเมียนมาร์ และดำเนินการจ้างที่ปรึกษาโครงการศึกษาเพื่อกำหนดแนวทางการพัฒนาพื้นที่กาญจนบุรีและบริเวณใกล้เคียงเพื่อเปิดประตูเศรษฐกิจด้านตะวันตก
|
|||||||||||||||||||||||||||
29092 | การยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษตามประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี และทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถี เป็นทางต้อง เสียค่าผ่านทางพิเศษประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2555 | คค | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา-ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี และทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี-สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถี เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยมีสาระสำคัญคือ ยกเว้นให้ผู้ใช้รถบนทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา-ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี และทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี-สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถี ไม่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษตามอัตราที่ประกาศ ตั้งแต่วันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๕ เวลา ๐๐.๐๑ นาฬิกา ถึงวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๕๖ เวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา ซึ่งคณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทยได้มีมติเห็นชอบและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมได้ให้ความเห็นชอบและลงนามในประกาศกระทรวงคมนาคมแล้ว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
29093 | สถานการณ์เศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2555 | นร11 | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสถานการณ์เศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกในช่วง ๑๐ เดือนแรกของปี ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์เศรษฐกิจไทยในช่วง ๑๐ เดือนแรกของปี ๒๕๕๕ ขยายตัวร้อยละ ๓.๐ เทียบกับการขยายตัวร้อยละ ๐.๔ และร้อยละ ๔.๔ ในไตรมาสแรก และไตรมาสสอง ตามลำดับ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของอุปสงค์ในประเทศ โดยเฉพาะการใช้จ่ายของภาคครัวเรือน การใช้จ่ายภาครัฐ และการลงทุน ในด้านการผลิต การขยายตัวมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของการผลิตนอกภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะสาขาเกษตร การก่อสร้าง การค้าส่งค้าปลีก โรงแรมและภัตตาคาร ที่ขยายตัวสูง อย่างไรก็ตาม การส่งออก และการผลิตภาคอุตสาหกรรมหดตัว รวม ๙ เดือนแรกของปี เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ ๒.๖ และเมื่อปรับผลของฤดูกาลแล้ว ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศในไตรมาสสามขยายตัวร้อยละ ๑.๒ จากไตรมาสสอง ๒. สถานการณ์เศรษฐกิจโลกในไตรมาสสาม และต้นไตรมาสสี่ ปี ๒๕๕๕ เศรษฐกิจโลกในไตรมาสสามชะลอตัวลง ซึ่งได้รับผลกระทบจากการหดตัวของเศรษฐกิจยุโรป การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนและญี่ปุ่น ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคเอเชียชะลอตัวตามลงไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่พึ่งพิงการส่งออกสูง ทั้งนี้ เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา จีน และญี่ปุ่น ขยายตัวร้อยละ ๒.๖ ร้อยละ ๗.๔ และร้อยละ ๐.๑ ตามลำดับ เทียบกับการขยายตัวร้อยละ ๒.๒ ร้อยละ ๗.๖ และร้อยละ ๓.๖ ในไตรมาสก่อนหน้า ในขณะที่เศรษฐกิจกลุ่มประเทศยูโรโซนหดตัวร้อยละ ๐.๖ เทียบกับการหดตัวร้อยละ ๐.๔ ในไตรมาสสอง ๓. แนวโน้มเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยในปี ๒๕๕๖ ๓.๑ แนวโน้มเศรษฐกิจโลก ความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจยุโรปและการแก้ไขปัญหา Fiscal Cliff ของสหรัฐอเมริกาที่คาดว่าจะมีความคืบหน้ามากขึ้น เมื่อรวมกับการเริ่มฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศสำคัญ ๆ ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ๒๕๕๕ คาดว่าจะส่งผลให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกมีความชัดเจนมากขึ้นในครึ่งแรกของปี ๒๕๕๖ และจะขยายตัวเร่งขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี ส่งผลให้เศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลกในปี ๒๕๕๖ ขยายตัวร้อยละ ๓.๙ และร้อยละ ๕.๐ ตามลำดับ โดยเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และจีน คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๒.๔ ๑.๐ และร้อยละ ๘.๓ ในขณะที่เศรษฐกิจกลุ่มประเทศยูโรโซนในปี ๒๕๕๖ มีแนวโน้มขยายตัวร้อยละ ๐.๒ ๓.๒ แนวโน้มเศรษฐกิจไทย คาดว่าในปี ๒๕๕๖ เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวร้อยละ ๔.๕-๕.๕ โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าขยายตัวร้อยละ ๑๒.๒ การบริโภคของครัวเรือนและการลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ ๔.๐ และร้อยละ ๘.๑ ตามลำดับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ในช่วงร้อยละ ๒.๕-๓.๕ และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ ๑.๐ ของ GDP โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก การฟื้นตัวของการค้าสินค้าคอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ การเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ และอุปสงค์ในประเทศที่มีแนวโน้มขยายตัวในเกณฑ์ดี ๔. ประเด็นการบริหารนโยบายเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี ๒๕๕๕ และในปี ๒๕๕๖ ๔.๑ เร่งรัดการส่งออก โดยเฉพาะการส่งออกไปยังตลาดที่มูลค่าการส่งออกในปี ๒๕๕๕ ปรับตัวลดลงมาก การแก้ไขปัญหาการใช้มาตรการกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษี (NTB) ในตลาดส่งออกที่มีความสำคัญ ๔.๒ เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณและการดำเนินการตามโครงการลงทุนสำคัญ ๆ ของภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการลงทุนภายใต้แผนบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ แผนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การเร่งรัดแผนการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจใหม่เพื่อเพิ่มศักยภาพการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ๔.๓ ติดตามและเตรียมการเพื่อรองรับแนวโน้มการแข็งค่าของเงินบาท ได้แก่ การเพิ่มผลิตภาพการผลิตให้กับภาคการผลิตและส่งออกโดยเฉพาะในกลุ่ม SMEs การสร้างโอกาสจากการแข็งค่าของเงินบาท และการดำเนินนโยบายการเงินที่สอดคล้องกับเงื่อนไขทางเศรษฐกิจ ๔.๔ ดำเนินการปรับโครงสร้างราคาพลังงานตามแผนที่กำหนดไว้ เพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนที่แท้จริงและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ๔.๕ การปรับกฎระเบียบด้านการค้าและการลงทุน เพื่อให้สามารถได้รับประโยชน์จากการเปิดเสรีทางการค้า การเคลื่อนย้ายเงินทุนและแรงงาน ภายใต้กรอบข้อตกลงการจัดตั้งประชาคมอาเซียนในปี ๒๕๕๘ ได้อย่างเต็มที่
|
|||||||||||||||||||||||||||
29094 | รัฐบาลสาธารณรัฐโปรตุเกสเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย [นายลุยส์ มานูเอล บาเครา เดอ โซซา (Mr. Luis Manuel Barreira de Sousa)] | กต | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายลุยส์ มานูเอล บาเครา เดอ โซซา (Mr. Luis Manuel Barreira de Sousa) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐโปรตุเกส ประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทน นายจอร์เจ รีเดอร์ ตอร์ริช เปเรย์รา (Mr. Jorge Ryder Torrers Pereira) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
29095 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "พระพุทธศาสนากับปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในการพัฒนาประเทศไทย" | สสป | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "พระพุทธศาสนากับปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในการพัฒนาประเทศไทย" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงเทคโนโลยีและการสื่อสาร กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษา ฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐบาลควรนำหลักธรรมของพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะอริยมรรค และน้อมนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำรัส เป็นอุดมการณ์ของชาติ ชี้นำการบริหารและการพัฒนาประเทศ การดำรงชีวิตของคนไทยทุกระดับ เพื่อนำประเทศไทยเข้าสู่ประชาคมอาเซียนและประชาคมโลก ๒. รัฐบาลควรแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงทั้งในระดับชาติและระดับจังหวัด คณะกรรมการระดับชาติควรมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ มีหน่วยราชการ องค์การที่เกี่ยวข้อง ภาคศาสนา และภาคประชาชน ร่วมเป็นกรรมการ มีการดำเนินงานอย่างจริงจัง โดยกำหนดยุทธศาสตร์ แผนงาน โครงการ มีการติดตามประเมินผลและการติดตามผลเป็นประจำ ๓. รัฐบาลควรจัดทำแผนทำนุบำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ถวายเป็นพุทธบูชา ในมหามงคลสมัยเฉลิมฉลองพุทธชยันตี ๒๖๐๐ ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า โดยให้ภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วม รัฐบาลควรประกาศให้ประเทศไทยเป็นเมืองพระพุทธศาสนา เป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาของโลก ๔. รัฐบาลควรส่งเสริมการจัดตั้งและการดำเนินงานของสมัชชาชาวพุทธแห่งชาติ และสมัชชาชาวพุทธประจำจังหวัด เพื่อเป็นกลไกที่สำคัญในการพัฒนาชาวพุทธให้เป็นชาวพุทธผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เพื่อให้พระพุทธศาสนามีความเข้มแข็ง เป็นพลังที่สำคัญในการพัฒนาสังคม ให้เป็นสังคมที่ร่มเย็นเป็นสุข ประเทศชาติมีความมั่นคง ๕. รัฐบาลควรสนับสนุนให้มีการบัญญัติว่า "พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ" ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาในมหามงคลสมัยเฉลิมฉลองพุทธชยันตี ๒๖๐๐ ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ๖. รัฐบาลควรส่งเสริมสถาบันหลักแห่งความมั่นคงของชาติ คือ สถาบันชาติ สถาบันศาสนา โดยเฉพาะพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติ และสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้มีความมั่นคงสถิตสถาพรตลอดไป ความสำคัญของ ๓ สถาบัน ปรากฏอยู่ในธงไตรรงค์ซึ่งเป็นธงชาติไทย ๗. รัฐบาลควรใช้มิติทางศาสนาและปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญในการป้องกันและแก้ไขสังคม โดยเฉพาะปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น ปัญหายาเสพติด ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ๘. ประเทศไทยควรเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ใน พ.ศ. ๒๕๕๘ และการเข้าสู่ประชาคมโลก โดยสร้างสรรค์แผ่นดินไทยให้เป็นแผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง พัฒนาแผ่นดินไทยให้เป็นแผ่นดินแห่งปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นผู้พร้อมด้วยคุณภาพและคุณธรรม พัฒนาสังคมให้มีความสงบเรียบร้อย เป็นสังคมแห่งความสงบสุข อยู่ร่วมกันด้วยความเมตตาเอื้ออาทรต่อกัน เป็นประเทศที่มีความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืน ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองการปกครอง
|
|||||||||||||||||||||||||||
29096 | ยุทธศาสตร์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศด้านการเกษตร ปี พ.ศ. 2556 - 2559 | กษ | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการยุทธศาสตร์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศด้านการเกษตร ปี พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยยุทธศาสตร์ดังกล่าวประกอบด้วย ๓ ยุทธศาสตร์หลัก ได้แก่ ๑.๑ ยุทธศาสตร์การปรับตัวรองรับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ประกอบด้วย กลยุทธ์ที่ ๑ เตรียมความพร้อมและสร้างภูมิคุ้มกัน และกลยุทธ์ที่ ๒ การลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ๑.๒ ยุทธศาสตร์การเก็บกักและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคเกษตร ประกอบด้วย กลยุทธ์ที่ ๑ การพัฒนาระบบข้อมูลและองค์ความรู้ก๊าซเรือนกระจก และกลยุทธ์ที่ ๒ ส่งเสริม สนับสนุนการปรับระบบการผลิตสู่เกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ๑.๓ ยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศด้านการเกษตร ประกอบด้วย กลยุทธ์ที่ ๑ การพัฒนาเสริมสร้างองค์ความรู้ ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กลยุทธ์ที่ ๒ สร้างการรับรู้ ความเข้าใจ และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน กลยุทธ์ที่ ๓ เพิ่มศักยภาพบุคลากร กลยุทธ์ที่ ๔ พัฒนาการดำเนินงานตามกรอบความร่วมมือกับต่างประเทศ ด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ และกลยุทธ์ที่ ๕ สร้างกลไกในการติดตาม ขับเคลื่อนการพัฒนาการเกษตร ภายใต้การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศอย่างเป็นระบบ ๒. ให้คณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) เป็นประธาน เป็นหน่วยงานกลาง (Focal Point) รับไปประสานงานและบูรณาการร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยให้นำความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี) และคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ เกี่ยวกับคำว่า “การท่องเที่ยวเกษตรเชิงอนุรักษ์” ควรใช้คำว่า “การท่องเที่ยวเชิงเกษตร” (Agro Tourism) ซึ่งเป็นความหมายสากลมากกว่า การให้ความสำคัญกับการนำยุทธศาสตร์ฯ สู่กระบวนการจัดทำแผนปฏิบัติการอย่างบูรณาการระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อนำไปสู่การขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมสีเขียวที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน การเพิ่มเติมประเด็นที่เชื่อมโยงกับภาคการผลิตอื่นๆ เช่น อุตสาหกรรมอาหารที่จะแสดงให้เห็นถึงเส้นทางการลดก๊าซเรือนกระจก หรือวัฏจักรชีวิตผลิตภัณฑ์ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และมีกรอบโยบายที่เหมาะสมและกลไกที่ควบคุมได้สำหรับความมั่นคงทางด้านอาหารและพลังงาน เช่น การกำหนดพื้นที่ เขตการผลิตพืช และการปรับปรุงพันธุ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพผลผลิต เป็นต้น รวมทั้งการกำหนดให้มีการดำเนินการติดตามและประเมินผลการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ฯ เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาจัดสรรงบประมาณในแต่ละปีได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผลที่เป็นรูปธรรม เป็นต้น ไปพิจารณาปรับปรุงยุทธศาสตร์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศด้านการเกษตรฯ ให้สมบูรณ์ชัดเจนและครบถ้วน และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นกรอบแนวทางเพื่อจัดทำแผนปฏิบัติการ (Action Plan) และดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้มีการจัดทำยุทธศาสตร์เปลี่ยนแปลงภูมิอากาศในด้านต่างๆ เพิ่มเติม ได้แก่ ยุทธศาสตร์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศด้านสาธารณสุข มอบกระทรวงสาธารณสุขเป็นเจ้าภาพดำเนินการจัดทำ และยุทธศาสตร์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศด้านการเตรียมพร้อมรองรับภัยพิบัติ มอบกระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพดำเนินการจัดทำ แล้วให้นำเสนอคณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
29097 | คำชี้แจงประเด็นข้ออภิปรายของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในการประชุมอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ระหว่างวันที่ 25 - 27 พฤศจิกายน 2555 ณ ตึกรัฐสภา | ทส | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสรุปคำชี้แจงประเด็นข้ออภิปรายของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในการประชุมอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ระหว่างวันที่ ๒๕-๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ณ ตึกรัฐสภา ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
|
|||||||||||||||||||||||||||
29098 | โครงการทุนศึกษาด้านการสอนภาษาต่างประเทศที่สองเพื่อผลิตครูในสาขาวิชาที่ขาดแคลน | ศธ | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการดำเนินโครงการทุนศึกษาด้านการสอนภาษาต่างประเทศที่สอง เพื่อผลิตครูในสาขาวิชาที่ขาดแคลน ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยสาระสำคัญของโครงการฯ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ วัตถุประสงค์ ๑.๑.๑ เพื่อผลิตครูสอนภาษาต่างประเทศที่มีวุฒิวิชาเอกภาษานั้น ๆ ให้แก่โรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) รวม ๖๐๐ คน ในช่วงระยะเวลา ๖ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๑) ประกอบด้วย ภาษาญี่ปุ่น ๒๐๐ คน ภาษาเกาหลี ๑๔๐ คน ภาษาเยอรมัน ๔๐ คน ภาษาฝรั่งเศส ๖๐ คน ภาษาสเปน ๔๐ คน ภาษารัสเซีย ๒๐ คน ภาษาเวียดนาม ๒๕ คน ภาษาพม่า ๒๕ คน ภาษาเขมร ๒๕ คน ภาษาบาฮาซามาเลย์/อินโดนีเซีย ๒๕ คน ๑.๑.๒ เพื่อบรรจุครูสอนภาษาต่างประเทศตรงวุฒิเข้ารับราชการครู โดยจัดสรรอัตราบรรจุ จำนวน ๖๐๐ อัตรา ให้แก่โรงเรียนสังกัด สพฐ. ทั่วประเทศที่เปิดสอนภาษาต่างประเทศที่สอง เริ่มบรรจุตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๑ ๑.๒ ระยะเวลาดำเนินการ ๖ ปี (ระยะเวลาการจัดสรรทุน พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๐ และระยะเวลาในการบรรจุแต่งตั้ง พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๑) ๑.๓ งบประมาณดำเนินโครงการ จำนวน ๗๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณที่เห็นควรพัฒนาครูสอนภาษาต่างประเทศที่มีอยู่ให้มีศักยภาพในการจัดการเรียนการสอนภาษาต่างประเทศที่สองได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสานการดำเนินงานกับสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาในการผลิตและพัฒนากำลังคนด้านภาษาต่างประเทศในสาขาขาดแคลนควบคู่กับการจ้างครูเจ้าของภาษามาสอน รวมทั้งบริหารจัดการอัตราข้าราชการครูภายใต้กรอบอัตรากำลังตามที่คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐได้ดำเนินการจัดสรรอัตราข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาคืนให้กระทรวงศึกษาธิการตามความเหมาะสมและความจำเป็น นอกจากนี้ ควรนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยในการจัดการเรียนการสอนเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาการขาดแคลนครูผู้สอนอีกทางหนึ่ง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ส่วนการขออัตรากำลังข้าราชการครู เพื่อบรรจุผู้รับทุน จำนวน ๖๐๐ อัตรา และงบประมาณที่จะใช้ในการดำเนินโครงการฯ ให้กระทรวงศึกษาธิการส่งข้อมูลความต้องการดังกล่าว ให้สำนักงาน ก.พ. นำเสนอคณะทำงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง แนวทางการจัดอัตรากำลังและการบริหารจัดการในภารกิจบริการด้านสุขภาพ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) เป็นประธาน เพื่อพิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
29099 | ขอปรับเปลี่ยนโครงการคูปองสร้างเสริมอัจฉริยะเป็นโครงการบ้านหนังสืออัจฉริยะ | ศธ | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติปรับเปลี่ยน “โครงการคูปองสร้างเสริมอัจฉริยะ” ตามที่บรรจุไว้ในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็น “โครงการบ้านหนังสืออัจฉริยะ” โดยใช้ระยะเวลาและงบประมาณในการดำเนินการโครงการคงเดิม คือ ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๕๕-กันยายน ๒๕๕๖ งบประมาณดำเนินการ จำนวน ๔๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยสาระสำคัญของโครงการฯ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ วัตถุประสงค์ เพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสที่จะเจริญพระชนมายุครบ ๕ รอบในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อกระตุ้นและเสริมสร้างนิสัยรักการอ่านให้กับประชาชน โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในถิ่นทุรกันดารห่างไกล และเพื่อสร้างโอกาสให้ประชาชนได้เข้าถึงแหล่งเรียนรู้ในรูปแบบบ้านหนังสืออัจฉริยะหรือห้องสมุดประชาชนหมู่บ้าน/ชุมชน ห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” และองค์ความรู้ที่สนใจได้อย่างต่อเนื่อง ๑.๒ เป้าหมาย บ้านหนังสืออัจฉริยะหรือห้องสมุดประชาชนหมู่บ้าน/ชุมชนในพื้นที่ปกติทั่วประเทศ จำนวน ๔๐,๐๐๐ แห่ง บ้านหนังสืออัจฉริยะในพื้นที่ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกอบด้วย จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส สตูล และใน ๔ อำเภอของจังหวัดสงขลา จำนวน ๑,๘๐๐ แห่ง และห้องสมุดประชาชน “เฉลิมราชกุมารี” จำนวน ๘๗ แห่ง ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการสร้างความตระหนักให้ภาคีเครือข่าย ทั้งภาครัฐ เอกชน ประชาสังคม ชุมชน และประชาชน เห็นความสำคัญของการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต และเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาและดูแลรักษาแหล่งเรียนรู้ของหมู่บ้านและชุมชน เพื่อให้เกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของแหล่งเรียนรู้ของหมู่บ้านและชุมชน รวมทั้งควรจัดให้มีกิจกรรมอบรมหรือการสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ผู้ใช้ห้องสมุดเกี่ยวกับระเบียบวินัย ข้อพึงปฏิบัติในการใช้ห้องสมุด และการเคารพสิทธิ์ผู้อื่น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
29100 | การขออนุมัติในการเข้าร่วมการฝึกร่วมในกรอบ ADMM และ ADMM - Plus และการขอรับการสนับสนุนงบประมาณสำหรับการฝึกร่วม | กห | 25/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงกลาโหมจัดกำลังพลและยุทโธปกรณ์เข้าร่วมในการฝึกร่วมในกรอบการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน (ASEAN Defence Ministers’ Meeting : ADMM) และการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา (ASEAN Defence Ministers'' Meeting-Plus : ADMM-Plus) ในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ค่าใช้จ่ายที่เหมาะสม เป็นเงิน ๓๐,๙๙๖,๑๐๐ บาท แต่เนื่องจากมิได้จัดเตรียมงบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับเพื่อการดังกล่าวไว้ จึงเห็นสมควรให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงการคลังให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว จำนวน ๓๐,๙๙๖,๑๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการฝึก ๖ รายการ ได้แก่ การฝึกของกองทัพประเทศสมาชิกอาเซียนด้านการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการบรรเทาภัยพิบัติ ครั้งที่ ๒ [2nd ASEAN Militaries Humanitarian Assistance and Disaster Relief (HADR) Exercise : 2nd AHX] การฝึกในกรอบการประชุมคณะทำงานผู้เชี่ยวชาญด้านมนุษยธรรมและการบรรเทาภัยพิบัติ [Experts’ Working Group (EWG) on HADR] การฝึกในกรอบการประชุมคณะทำงานผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ทางทหาร (EWG on Military Medicine : EWG on MM) การฝึกในกรอบคณะทำงานผู้เชี่ยวชาญด้านการปฏิบัติการเพื่อสันติ [Experts’ Working Group (EWG) on PKO] การฝึกในกรอบคณะทำงานผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อต้านการก่อการร้าย [Experts’ Working Group (EWG) on CT] และการเตรียมหมู่เรือสำหรับการฝึกในกรอบคณะทำงานผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงทางทะเล [Experts’ Working Group (EWG) on MS] โดยให้ขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณโดยตรงต่อไป ๒. หากภารกิจดังกล่าวมีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องในปีต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงกลาโหมขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป |
.....