ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1454 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 29061 - 29080 จากข้อมูลทั้งหมด 124231 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
29061 | ขอรับการจัดสรรเงินโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) สำหรับโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 | สธ | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติการจัดสรรเงินโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) สำหรับโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข จำนวน ๔ โครงการ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓,๒๗๓,๗๒๒,๒๒๕ บาท จำนวน ๓,๓๙๐ รายการ ได้แก่ ๑.๑ โครงการพัฒนาระบบบริการระดับทุติยภูมิ วงเงิน ๗๔๗,๒๓๔,๔๓๔ บาท จำนวน ๘๙๔ รายการ ๑.๒ โครงการพัฒนาระบบบริการระดับตติยภูมิ วงเงิน ๓๙๙,๗๕๑,๑๗๘ บาท จำนวน ๒๙๙ รายการ ๑.๓ โครงการพัฒนาระบบบริการระดับตติยภูมิ ศูนย์โรคหัวใจ ศูนย์โรคมะเร็ง และเครือข่ายการบาดเจ็บแห่งชาติ วงเงิน ๑,๑๑๑,๗๒๓,๗๘๙ บาท จำนวน ๔๗๑ รายการ ๑.๔ โครงการพัฒนาโรงพยาบาลชุมชน วงเงิน ๑,๐๑๕,๐๑๒,๘๒๔ บาท จำนวน ๑,๗๒๖ รายการ ๒. สำหรับการขออนุมัติจัดสรรวงเงินเหลือจ่าย วงเงิน ๑๕๒,๖๒๖,๘๗๖ บาท จำนวน ๘๗ รายการ ให้กระทรวงสาธารณสุขนำเสนอคณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ พิจารณาก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29062 | (ร่าง) มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากหมอกควันภาคเหนือ 9 จังหวัด ปี 2556 | ทส | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบ (ร่าง) มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากหมอกควันภาคเหนือตอนบน ปี ๒๕๕๖ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำ (ร่าง) มาตรการฯ ดังกล่าวไปปฏิบัติโดยใช้งบประมาณปกติของหน่วยงานต่อไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ทั้งนี้ ให้ปรับข้อความในมาตรการฯ ให้มีขอบเขตกว้างขวางครอบคลุมยิ่งขึ้น จากเดิม “ส่งเสริมภาคเอกชนและภาคีเครือข่ายเข้าร่วมในการป้องกันและแก้ไขปัญหา ...” เป็น “ส่งเสริมให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน และภาคีเครือข่ายเข้าร่วมในการป้องกันและแก้ไขปัญหา ...” สำหรับสาระสำคัญของ (ร่าง) มาตรการฯ มีดังนี้ ๑.๑ วัตถุประสงค์ เพื่อควบคุม ป้องกัน และแก้ไขปัญหามลพิษจากหมอกควัน โดยเน้นการดำเนินมาตรการควบคุมการเผาในพื้นที่ชุมชน พื้นที่เกษตร และพื้นที่ป่า เสริมสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการเตรียมพร้อมรับสถานการณ์หมอกควันที่จะเกิดขึ้นในช่วงต้นปี ๒๕๕๖ ผลักดันความร่วมมือในการจัดการปัญหามลพิษหมอกควันข้ามแดนในภูมิภาคอาเซียน รวมทั้งลดและควบคุมสถานการณ์หมอกควัน และป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน ๑.๒ เป้าหมาย คุณภาพอากาศในบรรยากาศ (ฝุ่นละอองขนาดเล็ก : PM10) อยู่ในเกณฑ์ที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพอนามัยไม่น้อยกว่าร้อยละ ๙๐ ในช่วง ๘๐ วันอันตราย (๒๑ มกราคม ๒๕๕๖ ถึง ๑๐ เมษายน ๒๕๕๖) ในพื้นที่เป้าหมาย ๙ จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน พะเยา แม่ฮ่องสอน และตาก ๑.๓ มาตรการหลักในการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากหมอกควันภาคเหนือ ๙ จังหวัด ตามหลักการ 2P2R [การป้องกัน (Prevention) การเตรียมพร้อม (Preparation) การรับมือ (Response) และการฟื้นฟู (Recovery)] ประกอบด้วย ๘ มาตรการ ได้แก่ มาตรการที่ ๑ ควบคุมการเผาช่วง “๘๐ วันอันตราย” มาตรการที่ ๒ ป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าอย่างเข้มข้น มาตรการที่ ๓ สนับสนุน “ชุมชนมาตรฐาน หมู่บ้านปลอดการเผา” มาตรการที่ ๔ ส่งเสริมภาคเอกชนและภาคีเครือข่ายเข้าร่วมในการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากหมอกควัน มาตรการที่ ๕ สื่อสารประชาสัมพันธ์เชิงรุกสู่กลุ่มเป้าหมาย มาตรการที่ ๖ แจ้งเตือนสถานการณ์หมอกควัน มาตรการที่ ๗ ขยายความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อลดปัญหาหมอกควันข้ามแดน และมาตรการที่ ๘ จัดตั้งศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากหมอกควันภาคเหนือ ๙ จังหวัด (ศปม.) ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) รับไปจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ (workshop) ร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อบูรณาการการดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากหมอกควันภาคเหนือตอนบน ปี ๒๕๕๖ ให้เป็นเอกภาพ โดยให้ภาคเอกชนและภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการด้วย และให้มีกลไกการกำกับติดตามการดำเนินงานในลักษณะ single command รวมทั้งให้ใช้การบริหารจัดการเชิงพื้นที่ (area-approach) เป็นหลักในการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว ๓. ให้รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) รับไปกำกับติดตามให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดกับผู้กระทำผิดเกี่ยวกับการบุกรุกและเผาป่า โดยให้ตำรวจท้องที่ประสานงานกับหน่วยงานของกระทรวงมหาดไทยและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในแต่ละพื้นที่อย่างใกล้ชิด ๔. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับไปประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้านและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขอความร่วมมือในการป้องกันแก้ไขปัญหามลพิษจากหมอกควันข้ามแดน ๕. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปพิจารณาแนวทางการส่งเสริมการปลูกพืชเศรษฐกิจ (พืชล้มลุก) และการกำหนดพื้นที่เพาะปลูก (Zoning) พืชเศรษฐกิจให้เหมาะสม เพื่อป้องกันปัญหาการบุกรุก แผ้วถางและเผาป่าเพื่อเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น รวมทั้งขอความร่วมมือภาคเอกชนและผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินมาตรการงดรับซื้อผลิตผลทางการเกษตรที่เพาะปลูกในพื้นที่บุกรุกป่าด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29063 | มาตรการการบรรเทาผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำและเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) | รง | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการมาตรการบรรเทาผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำและเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประกอบการ SMEs จากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำวันละ ๓๐๐ บาท และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการเพื่อให้มีผลในทางปฏิบัติโดยเร็วต่อไป ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ มาตรการเพื่อเสริมสภาพคล่อง เพิ่มวงเงิน ลดต้นทุนทางการเงิน โดยผ่านกระบวนการให้สินเชื่อ ได้แก่ มาตรการสินเชื่อเพื่อส่งเสริมการจ้างงาน เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนในกิจการเสริมสร้างสภาพคล่องสถานประกอบการ และเพิ่มผลผลิตแรงงาน มาตรการสินเชื่อเพื่อพัฒนาผลิตภาพการผลิต (Productivity Improvement Loan) มาตรการการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ ๕ และมาตรการการค้ำประกันสินเชื่อในลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme สำหรับผู้ประกอบการใหม่ (PGS New/Start-up) ๑.๒ มาตรการลดต้นทุนผู้ประกอบการ โดยผ่านกระบวนการทางภาษีและเงินสมทบ ได้แก่ มาตรการการลดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม มาตรการการลดภาษีเงินได้นิติบุคคล มาตรการการนำส่วนต่างของค่าจ้างที่จ่ายเพิ่มขึ้นจากอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำวันละ ๓๐๐ บาท มาหักเป็นค่าใช้จ่ายก่อนชำระภาษี มาตรการการนำค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมพัฒนาฝีมือแรงงานตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๕ มาหักลดหย่อนภาษี มาตรการการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลกรณีการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต มาตรการการหักค่าเสื่อมราคาเครื่องจักร มาตรการการลดอัตราภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย และมาตรการการลดค่าธรรมเนียมห้องพักที่เรียกเก็บสำหรับโรงแรม/ที่พักแรม ๑.๓ มาตรการเพิ่มผลิตภาพแรงงานให้ผู้ประกอบการ ได้แก่ มาตรการการให้กู้ยืมเงินกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงานในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๐.๑ เพื่อใช้ในการฝึกอบรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และ มาตรการการจัดคลินิกพัฒนาฝีมือแรงงานเคลื่อนที่ไปยังสถานประกอบการต่างๆ ๑.๔ มาตรการเพิ่มรายได้ให้ผู้ประกอบการโดยการทบทวนค่าใช้จ่ายของภาครัฐ ได้แก่ มาตรการการปรับเพิ่มอัตราค่าใช้จ่ายในการจัดประชุมสัมมนาของส่วนราชการ ๑.๕ มาตรการกระตุ้นและส่งเสริมการขายโดยผ่านการบริโภค ได้แก่ มาตรการการจัดคาราวานสินค้าราคาถูกไปจำหน่ายให้ลูกจ้างในสถานประกอบการ ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินตามมาตรการบรรเทาผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำและเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ควรคำนึงถึงความเสมอภาคและการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างทั่วถึง รวมทั้งพิจารณาการให้ความช่วยเหลือให้ครอบคลุม SMEs ที่ไม่ได้จดทะเบียนพาณิชย์ และ SMEs ที่มีปัญหาความน่าเชื่อถือทางการเงินและไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่รัฐบาลจัดหาให้ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงแรงงานร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องประสานสถานประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก เพื่อดูแลและพิจารณาแก้ไขปัญหาอย่างใกล้ชิด |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29064 | มอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการในคณะกรรมการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีและมอบอำนาจตามกฎหมาย เพิ่มเติม [คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี (คำสั่ง นร ที่ 7/2556)] | นร04 | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่นายกรัฐมนตรีมีคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการในคณะกรรมการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี และมอบอำนาจตามกฎหมายเพิ่มเติม ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๗/๒๕๕๖ ลงวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๕๖ เรื่อง มอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการในคณะกรรมการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีและมอบอำนาจตามกฎหมาย เพิ่มเติม ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. การมอบหมายและมอบอำนาจให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ดังนี้ - คณะกรรมการบริหารพนักงานราชการ ๒. การสั่งการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือน และการดำเนินคดีปกครอง รวมทั้งลงนามมอบอำนาจให้พนักงานอัยการดำเนินคดีปกครองกรณีมีการฟ้องนายกรัฐมนตรีในการสั่งการตามกฎหมายดังกล่าว ๓. การสั่งการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัยและการสั่งการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการครู ซึ่งเรื่องอยู่ระหว่างการดำเนินการตามกฎหมายและการดำเนินคดีปกครอง รวมทั้งลงนามมอบอำนาจให้พนักงานอัยการดำเนินคดีปกครองกรณีที่มีการฟ้องนายกรัฐมนตรีในการสั่งการตามกฎหมายดังกล่าว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29065 | การแต่งตั้งข้าราชการดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (นักบริหารระดับสูง) (สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ) (นางสุวรรณา พาศิริ) | กร | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสุวรรณา พาศิริ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่ง รองเลขาธิการคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29066 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (จำนวน 4 ราย 1. นายธวัชชัย สำโรงวัฒนา ฯลฯ) | กษ | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย จำนวน ๔ คน ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๘ มกราคม ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้
๑. นายธวัชชัย สำโรงวัฒนา ๒. พันเอก นาฬิกอติภัค แสงสนิท ๓. นายสุรินทร์ ประสิทธิ์หิรัญ ๔. นายสมศักย์ ภูรีศรีศักดิ์
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29067 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์) | กค | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งนายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ด้านการเงินการคลัง) ในคณะกรรมการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๘ มกราคม ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29068 | ขอขยายระยะเวลาดำเนินการโครงการโชห่วยช่วยชาติ "ร้านถูกใจ" ครั้งที่ 2 | พณ | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ การขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการโชห่วยช่วยชาติ “ร้านถูกใจ” จากกรอบระยะเวลาเดิมซึ่งจะสิ้นสุดในเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ ออกไปอีก ๓ เดือน ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม-๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖ โดยใช้เงินงบประมาณคงเหลือจากวงเงินงบประมาณที่ได้รับอนุมัติไว้เดิมตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๕ เรื่อง ขออนุมัติงบกลางเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการลดค่าครองชีพไทยช่วยไทย ๑.๒ แนวทางการดำเนินโครงการโชห่วยช่วยชาติ “ร้านถูกใจ” ในระยะต่อไป โดยการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ร้านถูกใจสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างยั่งยืน การใช้งบประมาณอย่างประหยัดเท่าที่จำเป็น และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินโครงการฯ ได้แก่ ๑.๒.๑ จัดหาสินค้าที่จำเป็นต่อการครองชีพตรงกับความต้องการของประชาชนเพิ่มมากขึ้น โดยราคาจำหน่ายต่ำกว่าราคาตลาดไม่น้อยกว่าร้อยละ ๒๐ ๑.๒.๒ ขอรับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ จากผู้ผลิต/ผู้จำหน่ายสินค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้า ๑.๒.๓ ปรับปรุงและพัฒนาระบบการบริหารจัดการโครงการฯ ในการจัดเตรียมสินค้าของผู้ผลิต/ผู้จำหน่ายสินค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ และการกระจายสินค้าให้ร้านถูกใจได้ตามระยะเวลาที่กำหนด และปริมาณสินค้าตามความต้องการเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ๑.๒.๔ ปรับลดหรือยกเลิกเงินอุดหนุนให้แก่ร้านถูกใจ โดยเพิ่มส่วนเหลื่อมการตลาดให้แก่ร้านถูกใจ เพื่อให้มีความเข้มแข็งและยั่งยืน ๑.๒.๕ ประเมินผลร้านถูกใจและปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับแนวทางการดำเนินโครงการฯ กรณีขอรับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ จากผู้ผลิต/ผู้จำหน่ายสินค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้า หากผู้ผลิต/ผู้จำหน่ายสินค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ ไม่สนับสนุนค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้าแล้ว ควรปรับวิธีการจัดเตรียมสินค้าที่มีแหล่งผลิตในภูมิภาคแทนการจัดเตรียมจากส่วนกลาง โดยเฉพาะข้าวสาร ข้าวเหนียว เพื่อลดปัญหาค่าใช้จ่ายสูงในการขนส่งและความล่าช้าในการจัดส่งสินค้าให้กับร้านค้าถูกใจในแต่ละพื้นที่ ส่วนปัญหาระบบการสั่งซื้อและการจัดส่งสินค้าล่าช้า รวมถึงผู้ผลิต/ผู้จำหน่ายสินค้ายังไม่สามารถผลิตและจัดส่งสินค้าได้ตรงตามความต้องการและระยะเวลาที่กำหนด ควรเร่งพัฒนาระบบการสั่งซื้อให้รวดเร็ว โดยอาจเพิ่มระยะเวลาหรือจำนวนรอบการสั่งซื้อเพิ่มขึ้นในแต่ละสัปดาห์ และจัดระบบการกระจายสินค้าในภูมิภาค และสำรวจความต้องการสินค้าของประชาชนในแต่ละพื้นที่ นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการติดตามประเมินผลโครงการฯ เพื่อเป็นข้อมูลในการพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานของร้านถูกใจ รวมถึงการกำหนดแนวทางการช่วยเหลือในการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนที่มีประสิทธิผลในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับไปพิจารณาจัดทำแผนบริหารจัดการ “ร้านถูกใจ” ในระยะยาวภายหลังสิ้นสุดโครงการฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวกับการจัดการเครือข่ายขนส่งและการกระจายสินค้า เพื่อให้ “ร้านถูกใจ” ดำเนินการต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน โดยไม่เป็นภาระงบประมาณ และสามารถจัดจำหน่ายสินค้าชนิดต่างๆ ให้แก่ประชาชนผู้บริโภคได้ในราคาที่เหมาะสมเป็นธรรมต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29069 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร | นร05 | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (ปสส.) วันจันทร์ที่ ๗ มกราคม ๒๕๕๖ ซึ่งพิจารณาระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๔ ปีที่ ๒ ครั้งที่ ๓ (สมัยสามัญนิติบัญญัติ) วันพุธที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๖ และครั้งที่ ๔ (สมัยสามัญนิติบัญญัติ) วันพฤหัสบดีที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานเลขานุการ ปสส. เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29070 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเรื่อง การบริหารจัดการระบบสัญญาณเตือนภัยจากภัยพิบัติสินามิ | สสป | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเรื่อง การบริหารจัดการระบบสัญญาณเตือนภัยจากภัยพิบัติสึนามิ และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กรมประชาสัมพันธ์ สำนักงบประมาณ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมสรรพากร กรมโยธาธิการและผังเมือง สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ เห็นว่ารัฐบาลควรดำเนินการ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ มาตรการด้านเทคโนโลยีระบบสัญญาณเตือนภัยสึนามิ เช่น ส่งเสริมสนับสนุนงานศึกษาวิจัยแบบจำลองสามมิติ เพื่อการเตือนภัยสึนามิ ให้ความสำคัญกับระบบการสื่อสารและเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องภัยพิบัติทางธรรมชาติทั้งในประเทศและต่างประเทศ และจัดให้มีระบบสัญญาณเตือนภัยระดับชุมชมให้ครอบคลุมทุกพื้นที่เสี่ยงภัย เป็นต้น ๑.๒ มาตรการด้านโครงสร้างพื้นฐานระบบสัญญาณเตือนภัยสึนามิ เช่น จัดให้มีหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับภัยพิบัติ ปรับปรุงโครงสร้างการบริหารงาน ปรับปรุงโครงสร้างหน่วยงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และจัดตั้งคณะกรรมการสหวิทยาการภัยพิบัติแห่งชาติ เพื่อทำหน้าที่วางแผนการบริหารจัดการเกี่ยวกับการเกิดภัยพิบัติของประเทศ เป็นต้น ๑.๓ มาตรการด้านการศึกษาและสนับสนุน เช่น ส่งเสริมสนับสนุนองค์กรเครือข่ายภาคประชาชน ตัวแทนภาคประชาชนในชุมชนให้มีส่วนร่วมในการวางแผน การเตือนภัยการป้องกันภัย การบรรเทาสาธารณภัย การจัดการแผนการอพยพในชุมชนยามเกิดภัยพิบัติ บรรจุหลักสูตรการเรียนรู้เรื่องภัยพิบัติทางธรรมชาติ การปฏิบัติตนหรือการอพยพเคลื่อนย้ายขณะเกิดภัย การช่วยเหลือตนเองเบื้องต้น ตลอดจนองค์ความรู้อื่น ๆ ไว้ในหลักสูตรการศึกษาภาคบังคับในทุกโรงเรียน ทุกชั้นเรียน และลงทุนสร้างระบบสัญญาณเตือนภัยสึนามิชั้นสูง เช่นเดียวกับประเทศที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว เช่น ในประเทศญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกาที่มีการใช้เครื่องมือที่เป็นระบบการแจ้งเตือนภัยป้องกันแผ่นดินไหวและสึนามิ ที่สามารถแจ้งเตือนเหตุล่วงหน้าได้ถึง ๒-๓ สัปดาห์ นำมาปรับใช้กับประเทศไทย เป็นต้น ๒. ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเรื่อง การเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเกิดภัยพิบัติแผ่นดินไหว และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ร่วมกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กรมประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. กรุงเทพมหานคร และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ เห็นว่ารัฐบาลควรดำเนินการ สรุปได้ ดังนี้ ๒.๑ มาตรการด้านการประชาสัมพันธ์และกำหนดพื้นที่เสี่ยงภัยแผ่นดินไหว เช่น ประชาสัมพันธ์และให้ข้อมูลที่แท้จริงกับประชาชนในทุกพื้นที่เสี่ยงภัยแผ่นดินไหว จัดทำคู่มือประชาชนเกี่ยวกับข้อควรปฏิบัติระหว่างเกิดและหลังเกิดแผ่นดินไหวแจกจ่ายแก่ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย เร่งรัดจัดทำแผนที่เสี่ยงภัยการเกิดแผ่นดินไหวในประเทศไทยให้ครบถ้วนทุกพื้นที่และมีการปรับปรุงให้มีความทันสมัย พร้อมทั้งแจกจ่ายแก่ประชาชนในพื้นที่อย่างทั่วถึง จัดทำป้ายแจ้งให้นักท่องเที่ยวหรือผู้ที่เดินทางเข้าเขตจังหวัดหรือบริเวณที่ใกล้รอยเลื่อน ได้รับทราบว่ากำลังอยู่ในบริเวณพื้นที่เสี่ยง และบรรจุหลักสูตรการเรียนรู้เกี่ยวกับภัยพิบัติแผ่นดินไหว ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ตลอดจนการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือในทุกชั้นเรียน เป็นต้น ๒.๒ มาตรการด้านเทคโนโลยีระบบสัญญาณเตือนภัยและอุปกรณ์ช่วยเหลือ เช่น จัดหาและพัฒนาเครื่องมือ อุปกรณ์ตรวจวัดแผ่นดินไหวและระบบสัญญาณเตือนภัยที่ใช้ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยให้มีความทันสมัย ปรับปรุงและพัฒนาระบบการเชื่อมโยงข้อมูลการเกิดแผ่นดินไหวให้มีความถูกต้อง แม่นยำ รวดเร็ว และครอบคลุมทั่วถึงทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดหาเครื่องมือตรวจวัดแผ่นดินไหวที่ทันสมัย ความเร็วสูงและมีความแม่นยำให้กับกรมอุตุนิยมวิทยา เป็นต้น ๒.๓ มาตรการด้านการบริหารจัดการ เช่น ปรับปรุงโครงสร้างขององค์กร หน่วยงานภาครัฐที่มีภารกิจเกี่ยวเนื่องกับการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย วางแผนการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเกิดภัยพิบัติแผ่นดินไหวแห่งชาติเป็นการเฉพาะ ทั้งระยะสั้น ระยะยาว รวมถึงแผนย่อยระดับจังหวัดและท้องถิ่น มอบหมายหน่วยงานหลักเพียงหน่วยงานเดียวในการประชาสัมพันธ์หรือให้ข้อมูลที่แท้จริงกับประชาชนในขณะเกิดเหตุภัยพิบัติ และจัดตั้งวิทยาลัยป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นการเฉพาะ เพื่อผลิตบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยให้กับหน่วยงานต่าง ๆ ให้เสมือนวิทยาลัยการอาชีพต่าง ๆ เป็นต้น ๒.๔ มาตรการด้านกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับ โดยมีมาตรการบังคับให้ผู้ประกอบการหรือเจ้าของสิ่งปลูกสร้างในเขตพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดภัยพิบัติแผ่นดินไหว ที่ปลูกสร้างก่อนพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๕๐ มีผลบังคับใช้ควรปรับปรุงสิ่งปลูกสร้างให้สามารถรองรับต่อการเกิดแผ่นดินไหวได้ ตามข้อกำหนดในพระราชบัญญัติฯ และมีมาตรการเพิ่มโทษเกี่ยวกับผู้ที่ให้ข่าวลือ การพูดในลักษณะที่ทำนายหรือคาดเดาเกี่ยวกับเรื่องภัยพิบัติแผ่นดินไหว โดยไม่มีหลักฐานทางวิชาการมาประกอบหรือสนับสนุนในเรื่องนั้น ๆ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29071 | (ร่าง) กรอบคุณวุฒิแห่งชาติ | ศธ | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบในหลักการ (ร่าง) กรอบคุณวุฒิแห่งชาติ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กรอบคุณวุฒิแห่งชาติจะเป็นกลไกและเครื่องมือในการพัฒนากำลังแรงงานให้มีความรู้ความสามารถตรงตามความต้องการของตลาดแรงงาน รวมทั้งพัฒนาระบบการประเมินผลที่เน้นสมรรถนะ เพื่อประกันคุณภาพว่าผู้สำเร็จการศึกษาจะมีความรู้และสมรรถนะที่เพียงพอต่อการปฏิบัติงาน เป็นกลไกส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยตนเอง และสร้างเสริมประสบการณ์การทำงาน ไม่มุ่งเน้นแต่การเรียนเพื่อให้ได้ปริญญาหรือประกาศนียบัตรอย่างเดียว ๑.๒ โครงสร้างของกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ ประกอบด้วย ๓ ส่วน คือ ระดับและองค์ประกอบของระดับคุณวุฒิ กลไกการเชื่อมโยงเติมเต็ม/เทียบเคียง และผลลัพธ์การเรียนรู้ตามระดับคุณวุฒิการศึกษา ๑.๓ ยุทธศาสตร์/มาตรการการขับเคลื่อนกรอบคุณวุฒิแห่งชาติสู่การปฏิบัติ ประกอบด้วย ๑.๓.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ การพัฒนาความร่วมมือระหว่างสถานประกอบการ สมาคม/องค์กรวิชาชีพ กลุ่มวิชาชีพและ/หรือกลุ่มอาชีพ กับสถาบันการศึกษาอย่างเป็นระบบ เพื่อนำกรอบคุณวุฒิแห่งชาติเป็นกรอบแนวทางในการผลิตและพัฒนากำลังคนให้มีทักษะ ความรู้ ความสามารถ คุณลักษณะที่พึงประสงค์ และสมรรถนะในการปฏิบัติงานตามระดับคุณวุฒิ ๑.๓.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การพัฒนาหลักสูตรให้สอดคล้องกับขอบเขตความรู้ ทักษะ คุณลักษณะที่พึงประสงค์ การประยุกต์ใช้ความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะที่พึงประสงค์ตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ ๑.๓.๓ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ การพัฒนาระบบการทดสอบ วัดและประเมินผล การเทียบโอนผลการเรียน เทียบโอนประสบการณ์จากการทำงาน การสะสมหน่วยการเรียน และการให้การรับรองผลลัพธ์การเรียนรู้ตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ จำแนกตามระดับคุณวุฒิ ๑.๓.๔ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ การเสริมสร้างศักยภาพและขีดความสามารถให้แก่สถาบันการศึกษา เพื่อผลิตและพัฒนากำลังคนให้สนองตอบความต้องการของตลาดแรงงานตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงแรงงาน สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการกำหนดความรู้และทักษะอันเป็นรายละเอียดองค์ประกอบระดับคุณวุฒิแต่ละระดับซึ่งนำไปสู่ผลลัพธ์การเรียนรู้ (ม.ต้น ม.ปลาย ปวช. ปวส. ปริญญาตรี ประกาศนียบัตรบัณฑิต ปริญญาโท ประกาศนียบัตรบัณฑิตชั้นสูง และปริญญาเอก) ควรนำเนื้อหาสาระจากมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติที่คณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงานได้จัดทำขึ้นตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๕ ซึ่งมีข้อกำหนดทางวิชาการที่ใช้เป็นเกณฑ์วัดระดับฝีมือ ความรู้ความสามารถ และทัศนคติในการทำงานของผู้ประกอบอาชีพในสาขาต่างๆ ไปใช้ประกอบในการกำหนดความรู้และทักษะอันเป็นรายละเอียด องค์ประกอบระดับคุณวุฒิแต่ละระดับ และในการปรับระบบการจัดสรรเงินอุดหนุนผ่านตัวผู้เรียนหรือด้านอุปสงค์ เห็นควรทบทวนระบบดังกล่าวให้เกิดความชัดเจนทั้งรูปแบบและการบริหารจัดการ ตลอดจนพิจารณาผลกระทบเชิงบวกและเชิงลบร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อน ส่วนเงื่อนไขความสำเร็จเกี่ยวกับการดำเนินงานตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องขยายหรือพัฒนางานเดิมเพื่อทำหน้าที่บริหารและจัดการให้เกิดระบบคุณวุฒิแห่งชาติดังกล่าว โดยต้องไม่มีการจัดตั้งหน่วยงานใหม่ นอกจากนี้ ควรสร้างความรู้ความเข้าใจแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สร้างค่านิยมแก่ผู้เรียน ผู้ปกครองและสังคมให้ตระหนักถึงคุณค่าของสมรรถนะในการปฏิบัติงานตามระดับคุณวุฒิ การใช้มาตรการการเงินการคลังเพื่อการศึกษามาพิจารณาประกอบการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ให้บังเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งสนับสนุน ส่งเสริมสถานประกอบการ สมาคม/องค์กรวิชาชีพ กลุ่มวิชาชีพ/กลุ่มอาชีพ นำกรอบคุณวุฒิแห่งชาติไปพัฒนามาตรฐานอาชีพในภาคการผลิตและบริการที่ประเทศไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันสูง เพื่อยกระดับคุณภาพการผลิตและพัฒนากำลังคนให้มีสมรรถนะสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) นำกรอบคุณวุฒิแห่งชาติไปดำเนินการประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการร่วมกับหน่วยงานภายในกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม รวมทั้งภาคเอกชน โดยบูรณาการความเชื่อมโยงของระดับวุฒิการศึกษาทั้ง ๙ ระดับ (ม.ต้น ม.ปลาย ปวช. ปวส. ปริญญาตรี ประกาศนียบัตรบัณฑิต ปริญญาโท ประกาศนียบัตรบัณฑิตชั้นสูง และปริญญาเอก) ให้สอดคล้องกับการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของประเทศและยุทธศาสตร์ของจังหวัดไปพร้อมกันด้วย ๔. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประเมินความต้องการอัตรากำลังคนด้านวิชาชีพต่างๆ เช่น แพทย์ พยาบาล ครู วิศวกร ช่างสิบหมู่ เป็นต้น แล้วแจ้งให้กระทรวงศึกษาธิการทราบ เพื่อนำไปวางแผนการผลิตกำลังคนให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานในอนาคต
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29072 | การลากิจของนายกรัฐมนตรี | นร04 | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอว่า ในช่วงวันที่ ๒๗-๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ นายกรัฐมนตรีขอลากิจส่วนตัว และเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้แจ้งให้รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) ซึ่งเป็นผู้รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีในช่วงเวลาดังกล่าวทราบแล้ว ทั้งนี้ การลาดังกล่าวเป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการลาของข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๕๕ ข้อ ๔๑ ที่กำหนดให้การลาทุกประเภทและการไปต่างประเทศของนายกรัฐมนตรีให้อยู่ในดุลพินิจของนายกรัฐมนตรี และแจ้งให้คณะรัฐมนตรีทราบ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29073 | การเร่งรัดติดตามการดำเนินการเกี่ยวกับการปลูกป่าและฟื้นฟูต้นน้ำ | นร05 | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เร่งรัดและติดตามการดำเนินงานตาม “โครงการประชาอาสาปลูกป่า ๘๐๐ ล้านกล้า ๘๐ พรรษามหาราชินี” อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งรายงานความก้าวหน้าต่อคณะรัฐมนตรีด้วย ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีใช้ข้อมูลจากดาวเทียมในการสำรวจพื้นที่การปลูกป่าเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องและชัดเจน ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณากำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาราษฎรบุกรุกที่ดินในเขตพื้นที่ป่าหรือเขตอนุรักษ์อย่างเป็นระบบทั้งในระดับนโยบายและระดับปฏิบัติเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29074 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ (จำนวน 4 ราย 1. รองศาสตราจารย์ เอกรินทร์ อนุกูลยุทธธน ฯลฯ) | มท | 25/12/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ จำนวน ๔ คน เนื่องจากกรรมการชุดเดิมได้ดำรงตำแหน่งมาครบกำหนดสองปีตามวาระแล้วเมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. รองศาสตราจารย์เอกรินทร์ อนุกูลยุทธธน ๒. นางสาว ณ ฤดี เคียงศิริ ๓. นายปกิต พัฒนกุล ๔. นายปรีชา รณรงค์
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29075 | การประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งแรกในปี 2556 (วันอังคารที่ 8 มกราคม 2556) | นร | 25/12/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอว่า เนื่องจากการประชุมคณะรัฐมนตรีในสัปดาห์ต่อไปตรงกับวันอังคารที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ ซึ่งเป็นวันหยุดราชการในช่วงเทศกาลปีใหม่ จึงเห็นสมควรให้เลื่อนการจัดการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ไปเป็นวันอังคารที่ ๘ มกราคม ๒๕๕๖
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29076 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร | นร05 | 25/12/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (ปสส.) วันจันทร์ที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๕ ซึ่งพิจารณาระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๔ ปีที่ ๒ ครั้งที่ ๑ (สมัยสามัญนิติบัญญัติ) วันพุธที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๕ และครั้งที่ ๒ (สมัยสามัญนิติบัญญัติ) วันพฤหัสบดีที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงานเลขานุการ ปสส. เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29077 | การแก้ไขปัญหาและติดตามการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ | นร05 | 25/12/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ส่งผลกระทบให้เกิดความแปรปรวนของฤดูกาล ภัยแล้ง น้ำท่วม ที่อาจจะเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ซึ่งในขณะนี้ได้เกิดปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้หลายจังหวัด ขณะที่ภาคเหนือมีน้ำน้อยลง ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือประสบกับภาวะภัยแล้ง สำหรับกรุงเทพมหานครในปีนี้แม้น้ำจะไม่ท่วม แต่ก็มีปริมาณน้ำฝนสูงสุดในรอบ ๓๐ ปี จากสภาพการณ์เปลี่ยนแปลงดังกล่าว จำเป็นที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องปรับเปลี่ยนวิธีการปฏิบัติงานเพื่อให้สามารถป้องกันและแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสมสอดคล้องกับข้อเท็จจริง จึงขอให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตรวจสอบและติดตามสถานการณ์และปริมาณน้ำทั้งในพื้นที่ต่างๆ ทั่วทุกภาค และเตรียมการกำหนดแนวทางการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สามารถรองรับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปดังกล่าวได้อย่างเป็นระบบและทันต่อสถานการณ์ และให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เร่งดำเนินการให้ความช่วยเหลือและดูแลผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ รวมทั้งผู้ประสบภัยหนาวในพื้นที่ภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือให้รวดเร็วและทั่วถึงด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29078 | มาตรการรักษาความปลอดภัยให้กับประชาชนทั่วประเทศในช่วงเทศกาลปีใหม่ี 2556 | นร05 | 25/12/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง มาตรการอำนวยความสะดวกในการเดินทางและการรักษาความปลอดภัยในช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๖) มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) ในฐานะกำกับการบริหารราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติรับไปกำกับดูแลการดำเนินมาตรการต่างๆ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพประสิทธิผล และให้กระทรวงคมนาคมและกระทรวงมหาดไทยดำเนินการอำนวยความสะดวกในการเดินทางและรักษาความปลอดภัยในการเดินทางให้กับประชาชนในส่วนที่เกี่ยวข้อง นั้น เพื่อให้การดำเนินมาตรการดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและทั่วถึงทุกจังหวัดมากยิ่งขึ้น จึงมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) บูรณาการการดำเนินงานร่วมกับกระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดูแลการรักษาความปลอดภัยให้กับประชาชนอย่างเข้มงวด และติดตามทิศทางของสถานการณ์ปัญหาการก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งปัญหาการลักลอบขนยาเสพติดจากชายแดนภาคเหนือสู่พื้นที่ภาคต่างๆ ในประเทศ ในระหว่างที่ประชาชนเดินทางตามเส้นทางต่างๆ จำนวนมาก โดยให้เสริมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารเพิ่มเติมให้เพียงพอ เพื่อให้สามารถควบคุม ดูแล และป้องกันปัญหาต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นได้อย่างทั่วถึงด้วย ๒. รับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) รายงานว่า ฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินการปราบปรามแหล่งผลิตยาเสพติดและการลักลอบขนยาเสพติดร่วมกับฝ่ายเจ้าหน้าที่ทหารอย่างจริงจัง ทำให้ปัญหาได้คลี่คลายลงในระดับหนึ่ง ส่วนการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้นัดประชุมร่วมกับกระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๕ เพื่อมอบหมายความรับผิดชอบในการดูแลพื้นที่ร่วมกับกำนันและผู้ใหญ่บ้าน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29079 | การเสนอร่างกฎหมายในสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติ | นร04 | 25/12/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการกำหนดแนวทางการเสนอร่างกฎหมายในสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติ ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) เสนอ และให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติต่อไป ดังนี้
๑. ร่างกฎหมายที่คณะรัฐมนตรีได้ร้องขอให้รัฐสภาดำเนินการต่อไปตามมาตรา ๑๕๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งรัฐสภาได้ให้ความเห็นชอบแล้ว และยังอยู่ระหว่างชั้นการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภา ให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องติดตามการพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าว และให้กรรมาธิการซึ่งเป็นผู้แทนคณะรัฐมนตรีและคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง การเสนอร่างกฎหมายและการตอบกระทู้ถามในสมัยสามัญนิติบัญญัติ) และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. กรณีร่างกฎหมายตามแผนการตรากฎหมายฯ ให้ส่วนราชการที่รับผิดชอบเร่งรัดดำเนินการให้เป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ในแผนการตรากฎหมายฯ และให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรให้ความสำคัญกับร่างกฎหมายดังกล่าวเป็นพิเศษ รวมทั้งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๔ ในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. กรณีร่างกฎหมายที่ไม่ใช่ร่างกฎหมายตามแผนการตรากฎหมายฯ และอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร ให้คณะกรรมการดังกล่าวพิจารณาความเหมาะสม อย่างไรก็ดี กรณีที่รัฐมนตรีซึ่งเกี่ยวข้องเห็นว่ามีความจำเป็นเร่งด่วนต้องเสนอร่างกฎหมายนั้น ให้แจ้งต่อรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) เพื่อประสานกับคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของการเสนอและการพิจารณาให้สภาผู้แทนราษฎรต่อไป ๔. สำหรับร่างกฎหมายที่อยู่ในชั้นการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา หรือกรรมาธิการร่วมกันของทั้งสองสภา โดยร่างกฎหมายที่อยู่ระหว่างการพิจารณาวาระที่ ๑ ของสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภา ให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเตรียมรายชื่อกรรมาธิการเพื่อเสนอสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภา และติดตามการพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าว ส่วนร่างกฎหมายที่อยู่ระหว่างการพิจารณาในวาระที่ ๒ ของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา หรือกรรมาธิการร่วมกันของทั้งสองสภา หากรัฐมนตรีไม่ได้ร่วมเป็นกรรมาธิการด้วย ให้กรรมาธิการซึ่งเป็นผู้แทนคณะรัฐมนตรีหรือเจ้าหน้าที่ผู้ชี้แจงดำเนินการให้เป็นไปตามหลักการและนโยบายของคณะรัฐมนตรี ไม่ควรขอแก้ไขหรือชี้แจงให้ผิดไปจากหลักการเดิมหรือยอมตามข้อเสนอของหน่วยงานอื่นโดยพลการ และรายงานผลการพิจารณาให้รัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวให้ดำเนินการตามแนวทางปฏิบัติในการเสนอร่างกฎหมายตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๔๙ (เรื่อง การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติในการเสนอร่างกฎหมาย) และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29080 | การขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลในระยะต่อไป | นร04 | 25/12/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอเกี่ยวกับการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลในระยะต่อไป ซึ่งจะเป็นการดำเนินนโยบายต่อเนื่องจากเรื่องเร่งด่วนในปีแรก โดยขอให้รัฐมนตรีทุกท่านนำเอานโยบายของรัฐบาลที่ได้แถลงต่อรัฐสภามาพิจารณาว่ามีเรื่องใดบ้างที่อยู่ในความรับผิดชอบที่จะต้องเร่งดำเนินการในปี พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๘ ต่อไป โดยให้ความสำคัญกับนโยบายที่เป็นการพัฒนาและสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศให้เพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งการสร้างรายได้ให้กับประชาชนและชุมชน การรักษาสิ่งแวดล้อม และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยรวม
|