ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1454 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 29061 - 29080 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
29061 | รายงานผลการดำเนินงานการเข้าร่วมทุนกับบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นของสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) ประจำปี พ.ศ. 2555 | ทก | 20/11/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรายงานผลการดำเนินงานการเข้าร่วมทุนกับบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นของสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยสำนักงานฯ ได้ดำเนินการร่วมทุนกับบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นวงเงินไม่เกินร้อยละ ๒๕ ของมูลค่าโครงการ และไม่เกิน ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ และปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๔ โครงการ งบประมาณจำนวน ๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท ดังนี้
๑. พัฒนาระบบบริหารทรัพยากรบุคคลและเงินเดือน โดยบริษัทฮิวแมนิก้า จำกัด ระยะเวลาการดำเนินงานโครงการตั้งแต่วันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๓-วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ งบประมาณที่ใช้ลงทุนโครงการ ๑๔,๒๐๐,๐๐๐ บาท งบประมาณที่ได้รับการอนุมัติร่วมทุนจากสำนักงานฯ ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท (ไม่เกินร้อยละ ๒๕) ๒. โครงการภาพยนตร์แอนิเมชั่น เรื่อง Gabriel and the Christmas โดยบริษัท ดิ จิ ดรีม จำกัด ระยะเวลาการดำเนินโครงการตั้งแต่วันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๕๓-วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ งบประมาณที่ใช้ลงทุนโครงการ ๔๗,๐๐๐,๐๐๐ บาท งบประมาณที่ได้รับการอนุมัติร่วมทุนจากสำนักงานฯ ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท (ไม่เกินร้อยละ ๒๕) ๓. โครงการภาพยนตร์แอนิเมชั่น เรื่อง ปังปอนด์ จอมป่วน โดยบริษัทวิธิตาแอนิเมชั่น จำกัด ระยะเวลาการดำเนินโครงการตั้งแต่วันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๓-วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ งบประมาณที่ใช้ลงทุนโครงการ ๑๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท งบประมาณที่ได้รับการอนุมัติร่วมทุนจากสำนักงานฯ ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท (ไม่เกินร้อยละ ๒๕) ๔. โครงการพัฒนาซอฟต์แวร์ระบบ Internet Billing System โดยบริษัท เทอร์ราไบท์ เน็ท โซลูชั่น จำกัด ระยะเวลาการดำเนินโครงการตั้งแต่วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๕๔-วันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๗ งบประมาณที่ใช้ลงทุนโครงการ ๑๓,๕๓๖,๙๔๕ บาท งบประมาณที่ได้รับการอนุมัติร่วมทุนจากสำนักงานฯ ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท (ไม่เกินร้อยละ ๒๕)
|
||||||||||||||||||||||||
29062 | รายงานความคืบหน้าการจัดงาน ITU TELECOM WORLD 2013 | ทก | 20/11/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรายงานความคืบหน้าการจัดงาน ITU TELECOM WORLD 2013 ว่า กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้มีหนังสือถึงสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (International Telecommunication Union : ITU) เมื่อวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๕๕ เสนอขอรับเป็นเจ้าภาพจัดงาน ITU TELECOM WORLD 2013 ต่อมา ITU ได้มีหนังสือลงวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๕ แจ้งว่าประเทศไทยได้รับคัดเลือกเป็นเจ้าภาพจัดงาน ITU TELECOM WORLD 2013 ซึ่งมีกำหนดจะจัดขึ้นที่กรุงเทพมหานคร ภายในเดือนตุลาคม ๒๕๕๖ และจะได้เร่งดำเนินการประสานงานเรื่องบันทึกข้อตกลงร่วมกันในการเป็นเจ้าภาพจัดงาน ITU TELECOM WORLD 2013 (Host Country Agreement)
|
||||||||||||||||||||||||
29063 | การกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ปี 2556 | รง | 20/11/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง เรื่อง อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ (ฉบับที่ ๗) ลงวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๕ ปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำใน ๗๐ จังหวัดที่เหลือ เป็นวันละ ๓๐๐ บาท ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ เพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ๒. เห็นชอบให้กระทรวงแรงงานและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมาตรการการบรรเทาผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ได้แก่ มาตรการลดภาระต้นทุนจากค่าจ้างที่เพิ่มขึ้น มาตรการยกระดับผลิตภาพแรงงาน (Productivity of Labour) มาตรการทางการเงินเพื่อเสริมสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการ มาตรการทางภาษีเพื่อส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของ SMEs มาตรการเพิ่มรายได้ให้ผู้ประกอบการผ่านการใช้จ่ายภาครัฐ และมาตรการช่วยค่าครองชีพให้ลูกจ้างและประชาชนทั่วไป รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่เกี่ยวข้อง เฉพาะมาตรการเดิมที่มีระยะเวลาสิ้นสุดในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ให้ขยายระยะเวลาการดำเนินการออกไปอีก ๑ ปี ในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ และให้แต่งตั้งคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นรองประธานกรรมการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ผู้แทนคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (กกร.) และภาคเอกชนอื่นที่เกี่ยวข้อง เป็นกรรมการ ปลัดกระทรวงแรงงานเป็นกรรมการและเลขานุการ และเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นกรรมและผู้ช่วยเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่ศึกษาและพิจารณาความเหมาะสมของมาตรการการบรรเทาผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ และเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) ที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงแรงงานและภาคเอกชนเสนอ ๓. ให้กระทรวงแรงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้มีหน่วยงานกลางทำหน้าที่รับผิดชอบในการรวบรวมข้อมูล เผยแพร่ และประชาสัมพันธ์รายละเอียดของมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเพื่อให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน และเร่งกำหนดและผลักดันมาตรการในการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประกอบการโดยเฉพาะอุตสาหกรรมหรือธุรกิจในระดับ SMEs เพื่อลดอุปสรรคจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ รวมทั้งการสนับสนุนการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การปรับปรุงกระบวนการทำงาน และการพัฒนาทักษะในการทำงานของแรงงานให้สอดคล้องกับโครงสร้างทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป ตลอดจนให้ความสำคัญกับการส่งเสริมและพัฒนาความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคการผลิตรายสาขาและสถานประกอบการในการจัดทำ Career Path และโครงสร้างเงินเดือนให้เอื้อต่อการยกระดับสมรรถนะของแรงงาน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์กำกับดูแลราคาสินค้าเพื่อมิให้มีการขึ้นราคาสินค้าและบริการอย่างไม่เป็นธรรมจากการดำเนินนโยบายการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของรัฐบาล |
||||||||||||||||||||||||
29064 | รายงานผลการเดินทางไปราชการ ณ เขตบริหารปกครองพิเศษมาเก๊า เขตปกครองพิเศษฮ่องกง และสาธารณรัฐประชาชนจีนของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา | กก | 20/11/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางไปราชการ ณ เขตบริหารปกครองพิเศษมาเก๊า เขตปกครองพิเศษฮ่องกง และสาธารณรัฐประชาชนจีน ของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (นายชุมพล ศิลปอาชา) ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การพบปะและเจรจาข้อราชการกับ Mr. Chui Sai On Chief Executive of Special Administrative Region ผู้บริหารระดับสูงของเขตปกครองพิเศษมาเก๊า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอว่าภูเก็ตมีสถาปัตยกรรมที่คล้ายคลึงกับมาเก๊ามาก โดยเฉพาะ Chino Protuguese อาคารบ้านเรือนแบบโปรตุเกสสมัยโบราณ และได้เสนอว่ามาเก๊าและจังหวัดภูเก็ตน่าจะจัดให้มีการประชุมร่วมกันหรือลงนามเป็นเมืองพี่เมืองน้องด้วยกัน คนมาเก๊านิยมเดินทางไปท่องเที่ยวภูเก็ตแต่ในขณะนี้ยังไม่มีสายการบินตรง หากได้รับการสนับสนุนจากท่าน Chief Executive SAR ก็จะทำให้มีสายการบินต้นทุนต่ำบินจากมาเก๊าไปภูเก็ตได้ต่อไปในอนาคต ซึ่งในประเด็นนี้ Chief Executive SAR รับยินดีให้การสนับสนุนให้มีสายการบินตรงระหว่างมาเก๊ากับภูเก็ต โดยขอให้สถานกงสุลใหญ่ไทย ณ เมืองมาเก๊าเป็นผู้ประสานงานต่อไป ๒. การพบปะหารือแลกเปลี่ยนข้อราชการกับนายหลี่ เค่อเฉียง รองนายกรัฐมนตรีคนที่ ๑ ของจีน โดยมีประเด็นหารือเกี่ยวกับการที่รัฐบาลญี่ปุ่นได้ประกาศซื้อเกาะเตียวหยู ทำให้ประชาชนชาวจีนไม่พอใจเป็นอย่างมาก การกระทำของญี่ปุ่นในครั้งนี้เป็นการปฏิเสธความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างจีนกับญี่ปุ่น ปฏิเสธระเบียบต่าง ๆ ที่ได้วางรากฐานกันมาหลังจากสงครามโลก ครั้งที่ ๒ ประเทศจีนมีความตั้งใจในการรักษาอธิปไตยและบูรณภาพดินแดนของจีนไว้ ซึ่งเรื่องนี้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬายินดีสนับสนุนจีนช่วยแก้ปัญหาในเรื่องนี้ แต่ไม่สนับสนุนการใช้กำลังและอาวุธ และแจ้งว่ายินดีสนับสนุนจีนในการแก้ปัญหาเรื่องหมู่เกาะเตียวหยูและให้กำลังใจแก่จีน และหลังจากที่ได้มีการหารือกับนายหลี่ เค่อเฉียง รองนายกรัฐมนตรีคนที่ ๑ ของจีนแล้ว รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้เข้าร่วมพิธีเปิดงาน 2012 China (Ningxia) International Investment and Trade Fair & The third China-Arab States Economic และ Trade Forum โดยมีผู้นำระดับสูงจากประเทศอาหรับและแอฟริกาใต้ จำนวน ๖ ประเทศ เข้าร่วมประชุม การประชุมดังกล่าวเป็นการประชุมด้านการค้า การลงทุน และส่งเสริมอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล ซึ่งประเทศจีนต้องการทำความร่วมมือกับประเทศในการสร้างต้นแบบการส่งเสริมอาหารฮาลาล และมีการแสดงศิลปวัฒนธรรมไทยในงานด้วย นอกจากนี้ ยังเป็นการเชิญชวนนักลงทุนจากต่างประเทศให้เดินทางไปลงทุนที่ Ningxia ๓. การพบหารือและแลกเปลี่ยนข้อราชการกับ Mr. Wang Zheng Wei ผู้ว่าการเขตปกครองพิเศษ Ningxia โดยผู้ว่าการเขตปกครองพิเศษ Ningxia กล่าวว่าจากการที่ได้เคยเดินทางไปประเทศไทยทราบว่า ประเทศไทยมีประชากรมุสลิม จำนวน ๙ ล้านคน มีการเกษตรที่ดี มีทรัพยากรอย่างดี นักท่องเที่ยวไปเที่ยวก็มีความประทับใจ และเนื่องจากขณะนี้เมือง Ningxia กำลังพัฒนาเรื่องอาหารฮาลาล เคยมีกลุ่มคณะดูงานจากประเทศไทยมาหารือร่วมประชุมที่ Ningxia เรื่องการส่งเสริมอาหารฮาลาลร่วมกัน การที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้มาร่วมงาน 2012 China (Ningxia) International Investment and Trade Fair & China Arab States Economic and Trade Forum ครั้งที่ ๓ ในครั้งนี้จะทำให้มีความร่วมมือกันมากขึ้น และในปัจจุบันนี้ Ningxia และประเทศอาหรับอีก ๖ ประเทศได้ร่วมมือกันส่งเสริมอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล หากมีโอกาสร่วมมือกัน Ningxia ต้องการร่วมมือกับไทยในการรับรองอาหารฮาลาลแบบอย่างของไทย นอกจากนี้ ประเทศไทยมีสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ มากมาย หากได้มีความร่วมมือกันนอกจากจะมีนักท่องเที่ยวแล้วจะมีการลงทุนระหว่างไทยกับ Ningxia เพิ่มมากขึ้นต่อไปในอนาคต ๔. การพบหารือกับ Mr. Cai Wu รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมของจีน ทั้งสองฝ่ายได้หารือในเรื่องการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างไทยและจีนอย่างกว้างขวาง โดยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬากล่าวว่าความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทยและจีนมีมาช้านานและเป็นไปอย่างแน่นแฟ้น การเสด็จเยือนประเทศจีนของราชวงศ์ก็สนับสนุนให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศดีเพิ่มขึ้น คนไทยทั้งหมดมีความรู้สึกที่ดีต่อประเทศจีน พร้อมทั้งได้กล่าวขอบคุณรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมของจีนที่ได้ให้การสนับสนุนจัดการแสดงจากประเทศจีนไปแสดงในงานเทศกาลตรุษจีนที่ประเทศไทยทุกปี ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศแน่นแฟ้นเพิ่มมากขึ้น
|
||||||||||||||||||||||||
29065 | ขออนุมัติเปิดตลาดนำเข้านมผงขาดมันเนยปี 2555 เพิ่มเติม | กษ | 20/11/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบเปิดตลาดนำเข้านมผงขาดมันเนย ปี ๒๕๕๕ เพิ่มเติม ในอัตราภาษีร้อยละ ๕ เท่ากับอัตราภาษีในโควตาที่เก็บจริงในปัจจุบัน จำนวน ๖,๘๔๐.๓๖ ตัน สำหรับผู้ประกอบการกลุ่มนิติบุคคลที่ ๒ ที่ได้รับโควตาไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้ประกอบการที่ได้รับความเดือดร้อนจากการขาดแคลนวัตถุดิบเพื่อใช้ในการผลิต โดยจัดให้แก่ผู้ประกอบการที่มีการขอหนังสือรับรองการนำเข้านมผงขาดมันเนยตามโควตาเดิมจากกรมการค้าต่างประเทศแล้วไม่น้อยกว่าร้อยละ ๘๐ ขึ้นไป โดยผู้ประกอบการนำเข้าให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ และจะต้องไม่กระทบต่อมาตรการและปริมาณการรับซื้อน้ำนมโคจากเกษตรกรตามนโยบายของรัฐบาลด้วย ตามมติคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์ ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับดูแลการนำเข้านมผงขาดมันเนย ปี ๒๕๕๕ เพิ่มเติม มิให้กระทบต่อมาตรการและปริมาณการรับซื้อน้ำนมโคจากเกษตรกรตามนโยบายของรัฐบาล ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรคำนึงว่าการเปิดตลาดนำเข้านมผงขาดมันเนย ปี ๒๕๕๕ เพิ่มเติม ดังกล่าว จะไม่ขัดต่อพันธกรณีภายใต้กรอบความตกลงขององค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) และตามความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย (Thailand-Australia Free Trade Agreement : TAFTA) รวมทั้งพิจารณาทบทวนการจัดสรรโควตาการนำเข้านมผงขาดมันเนยให้มีสัดส่วนที่เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ความต้องการใช้ของภาคอุตสาหกรรมในปัจจุบัน สำหรับในระยะยาว ควรเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพิ่มคุณภาพและมูลค่าของผลิตภัณฑ์นม ตลอดจนส่งเสริมและสนับสนุนให้ภาคเอกชนลงทุนในการผลิตอุตสาหกรรมแปรรูปน้ำนมดิบที่มีอยู่ในประเทศให้มากขึ้น รวมทั้งเร่งประชาสัมพันธ์การดื่มนมแท้ให้กับผู้บริโภค และขยายการส่งออกตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
||||||||||||||||||||||||
29066 | การเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปคปี 2565 (ค.ศ. 2022) | กต | 20/11/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปคในปี ๒๕๖๕ (ค.ศ. ๒๐๒๒) และให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการ/คณะทำงานต่าง ๆ ในช่วงระยะเวลาที่เหมาะสม เพื่อเตรียมการสำหรับเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมดังกล่าว ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
29067 | ขออนุมัติเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืนในอนุภูมิภาคแม่น้ำล้านช้าง - แม่น้ำโขง | กต | 20/11/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ประเทศไทย โดยกระทรวงการต่างประเทศ เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืนในอนุภูมิภาคแม่น้ำล้านช้าง-แม่น้ำโขง (International Conference on Sustainable Development in the Lancang-Mekong Sub-Region) โดยมีกำหนดจัดการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส ระหว่างวันที่ ๑๖-๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๕ ณ กรุงเทพฯ และการประชุมระดับรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ ๑๓-๑๔ มกราคม ๒๕๕๖ ณ จังหวัดเชียงราย โดยใช้งบประมาณที่กระทรวงการต่างประเทศตั้งไว้สำหรับการจัดการประชุมดังกล่าว จำนวน ๑๘,๒๒๔,๗๒๐ บาท ในงบรายจ่ายอื่น แผนงานรักษา พัฒนาและคุ้มครองสิทธิคนไทยและผลประโยชน์ของประเทศ ผลผลิตที่ ๒ ความร่วมมือระหว่างประเทศในกรอบพหุภาคี กิจกรรมที่ ๑ เสริมสร้างความร่วมมือกับประชาคมระหว่างประเทศในมิติต่าง ๆ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
29068 | การเช่ารถยนต์ประจำตำแหน่งมาใช้ในราชการ | สผ | 20/11/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการเช่ารถยนต์ประจำตำแหน่งเพื่อใช้ในราชการ จำนวน ๑ คัน ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๙ รวมระยะเวลา ๔ ปี ในวงเงินรวมทั้งสิ้น ๒,๘๕๘,๔๔๐ บาท ซึ่งเป็นการขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง ขอปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเรื่อง การเช่ารถยนต์มาใช้ในราชการ) เพื่อประโยชน์ต่อทางราชการ โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบดำเนินงาน จำนวน ๖๒๑,๔๐๐ บาท สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๕๗-๒๕๕๙ ให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณรายจ่ายส่วนที่เหลือ จำนวน ๒,๒๓๗,๐๔๐ บาท จนครบสัญญาต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||
29069 | การขออนุมัติจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหาย จากอุทกภัยอย่างบูรณาการ | นร07 | 20/11/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมิมติรับทราบผลการพิจารณาอนุมัติจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ โดยสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้พิจารณาอนุมัติให้กรมชลประทานเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่ได้รับการอนุมัติกันเงินไว้เบิกจ่ายเหลื่อมปีจากกระทรวงการคลังแล้ว จำนวนเงิน ๒๑๕,๓๓๑,๔๘๖ บาท เพื่อสมทบกับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ จำนวนเงิน
๘๙,๙๓๐,๐๐๐ บาท ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติไว้แล้ว เพื่อเป็นค่าก่อสร้างโครงการอาคารประกอบประตูระบายน้ำคลองบางกรวย อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี จำนวนเงินทั้งสิ้น ๓๐๕,๒๖๑,๔๘๖ บาท จำแนกเป็นงานจ้างเหมา วงเงินค่าก่อสร้าง ๒๙๙,๒๗๔,๒๘๖ บาท ตามที่ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างได้ และงานดำเนินการเอง ค่าควบคุมงานก่อสร้าง ๕,๙๘๗,๒๐๐ บาท ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
29070 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน 120,000 ล้านบาท) | นร07 | 20/11/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
๑. รับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท) สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การจัดสรร/การเบิกจ่าย/ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเอง สำนักงบประมาณจัดสรรสุทธิ เป็นเงิน ๑๑๙,๑๘๒.๐๑๐๐ ล้านบาท ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเองแล้ว เป็นเงิน ๑๑๓,๖๓๔.๙๐๙๓ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๖๘.๑๐๔๕ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๐.๐๖ และผลการเบิกจ่ายจากระบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) ณ วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๑๐๓,๐๘๕.๑๐๕๗ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๘๖.๔๙ จากยอดจัดสรรสุทธิ ๑.๒ ผลการดำเนินงาน มิติส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๑๐ กระทรวง ต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๘ กระทรวง และมิติจังหวัดที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๕๐ จังหวัด ต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๒๓ จังหวัด ๑.๓ การส่งคืนเงินงบประมาณและการใช้จ่ายจากเงินที่แจ้งส่งคืน ส่วนราชการฯ ส่งคืนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลางฯ ในระบบ GFMIS เป็นเงิน ๖,๐๑๐.๔๕๐๓ ล้านบาท และวงเงินคงเหลือจากการพิจารณาจัดสรรอีกจำนวน ๒๕๙.๙๔๐๐ ล้านบาท รวมเป็นเงินที่จะนำไปใช้จ่ายได้ทั้งสิ้น จำนวน ๖,๒๗๐.๓๙๐๓ ล้านบาท คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติโครงการโดยให้ใช้จ่ายจากเงินส่งคืนทั้งสิ้น ๖,๒๗๐.๒๓๖๖ ล้านบาท คงเหลือวงเงินที่คณะรัฐมนตรีจะอนุมัติเพิ่มเติมได้อีก ๐.๑๕๓๗ ล้านบาท ๑.๔ โครงการ/รายการ ที่ยังมิได้ดำเนินการขอรับการจัดสรรงบประมาณตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ สำนักงบประมาณได้ตรวจสอบสถานะข้อมูลการขอรับการจัดสรรงบประมาณตามนัยมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว ณ วันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ พบว่า ยังมีโครงการ/รายการ ส่วนราชการฯ ยังไม่ขอรับการจัดสรรงบประมาณเหลืออยู่อีก จำนวน ๔ โครงการ/รายการ วงเงิน ๒๖๔.๐๔๔๓ ล้านบาท ซึ่งจะขอรับการจัดสรรมายังสำนักงบประมาณไม่ทันภายในวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ๒. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐที่ไม่สามารถดำเนินการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลางฯ ได้ทันภายในวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ และหากยังมีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการต่อ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาขยายระยะเวลาการขอรับการจัดสรรงบประมาณโครงการ/รายการที่เกี่ยวข้องเป็นรายกรณีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
29071 | รายงานผลการดำเนินงานโครงการแก้ไขปัญหาสับปะรดปี 2555 | กษ | 20/11/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินงานโครงการแก้ไขปัญหาสับปะรดปี ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการนโยบายและพัฒนาสับปะรดแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ คณะอนุกรรมการโครงการแก้ไขปัญหาสับปะรด ในการประชุมครั้งที่ ๑ เมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ได้มีมติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) เป็นผู้รับซื้อสับปะรดสดจากเกษตรกร จัดจ้างโรงงานแปรรูปเพื่อผลิตเป็นสับปะรดกระป๋อง และประสานธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ในเรื่องการใช้เงิน รวมทั้งได้จัดทำหลักเกณฑ์ วิธีการ และแนวทางปฏิบัติ และให้มีการจัดประชุมชี้แจงแก่ผู้เกี่ยวข้องเพื่อให้สามารถเร่งรัดดำเนินการรับซื้อโดยเร็วที่สุด ๑.๒ อ.ต.ก. ได้ประสานกับจังหวัดในการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ประจำจุดรับซื้อและดำเนินการจัดหาโรงงานแปรรูปสับปะรดกระป๋องตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่คณะอนุกรรมการฯ กำหนด ๑.๓ สำนักงบประมาณได้อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน ๑๗๕,๖๘๘,๔๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการแปรรูปสับปะรดกระป๋อง การประชาสัมพันธ์ และการบริหารจัดการโครงการแก้ไขปัญหาสับปะรด ปี ๒๕๕๕ ๑.๔ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้สำรวจความต้องการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกสับปะรดในจังหวัดต่าง ๆ โดยเร่งด่วน เพื่อพิจารณาจัดสรรปริมาณการรับซื้อสับปะรดให้เหมาะสมกับสถานการณ์ผลผลิต และราคาในแต่ละพื้นที่ หากพบว่าไม่มีความต้องการให้พิจารณาทบทวนเพื่อยุติการดำเนินโครงการฯ ๑.๕ คณะอนุกรรมการฯ ในการประชุมครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๕๕ ได้มีมติเห็นสมควรสนับสนุนค่าขนส่งให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกสับปะรดในจังหวัดที่ไม่มีโรงงานแปรรูปเข้าร่วมโครงการฯ เพื่อขนส่งสับปะรดไปยังจุดรับซื้อหน้าโรงงานแปรรูป และขยายระยะเวลาการรับซื้อสับปะรด จากสิ้นสุด ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๕ เป็นสิ้นสุด ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๕ โดยให้นำเสนอคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาสับปะรดแห่งชาติพิจารณาก่อนเสนอคณะรัฐมนตรี ๑.๖ อ.ต.ก. ได้รับแจ้งจากผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ว่าขณะนี้สถานการณ์ราคาสับปะรดผลสดหน้าโรงงาน ณ วันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๕ ส่วนใหญ่รับซื้อกิโลกรัมละ ๔.๐๐-๔.๒๐ บาท ซึ่งสูงกว่าราคารับซื้อตามโครงการฯ ๑.๗ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๕๕ เห็นชอบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ครั้งที่ ๔ ซึ่งรวมถึงเงินกู้เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนเพื่อดำเนินโครงการแก้ไขปัญหาสับปะรด ปี ๒๕๕๕ จำนวนเงิน ๕๐๐ ล้านบาท และสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะได้ประสานกับ อ.ต.ก. ว่าสามารถดำเนินการกู้เงินจาก ธ.ก.ส. ตามวงเงินที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี ๑.๘ เนื่องจากคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะฯ ดังกล่าว เมื่อวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ซึ่งสิ้นสุดระยะเวลาการรับซื้อตามโครงการฯ แล้ว ประกอบกับสถานการณ์ราคาสับปะรดอยู่ในเกณฑ์ดี อ.ต.ก. จึงไม่ได้มีการลงนามในสัญญากู้เงินกับ ธ.ก.ส. เพื่อดำเนินการรับซื้อสับปะรดจากเกษตรกร โดยเห็นว่า หากดำเนินโครงการฯ ต่อไป จะไม่เกิดประโยชน์กับเกษตรกร และทำให้การใช้งบประมาณภาครัฐไม่คุ้มค่า ๑.๙ การใช้จ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลางฯ วงเงิน ๑๗๕,๖๘๘,๔๐๐ บาท อ.ต.ก. ได้รับอนุมัติค่าใช้จ่ายในการแปรรูปสับปะรดสด จำนวน ๔๐,๐๐๐ ตัน เป็นสับปะรดกระป๋อง วงเงิน ๑๗๒,๖๕๖,๕๐๐ บาท อ.ต.ก. ดำเนินการเบิกจ่ายไปแล้ว จำนวน ๕๙,๗๐๘ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ จำนวนเงินคงเหลือ ๑๗๒,๕๙๖,๗๙๒ บาท และสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) ได้รับอนุมัติค่าใช้จ่ายในส่วนของการประชาสัมพันธ์ของกรมประชาสัมพันธ์ และการบริหารจัดการโครงการ วงเงิน ๓,๐๓๑,๙๐๐ บาท โดยไม่มีการเบิกจ่าย ทั้งนี้ อ.ต.ก. และ สศก. ได้คืนเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่กรมบัญชีกลางเรียบร้อยแล้ว ๒. ให้คณะกรรมการนโยบายและพัฒนาสับปะรดแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมกรณีที่โรงงานแปรรูปยังคงมีสับปะรดกระป๋องเหลืออยู่ปริมาณมากในสินค้าคงคลัง จากผลกระทบทางเศรษฐกิจของตลาดส่งออกหลัก ซึ่งยังไม่ทราบว่าจะปรับตัวดีขึ้นเมื่อใด จึงมีผลต่อการสั่งซื้อ แนวทางแก้ปัญหาที่เหมาะสม จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอาศัยความร่วมมือจากผู้ที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นเกษตรกร หรือโรงงานแปรรูป เพื่อให้มีข้อมูลประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบายบนพื้นฐานข้อเท็จจริง เช่น ปริมาณผลผลิต กำลังการผลิต สินค้าแปรรูปคงคลัง เป็นต้น อันจะนำมาซึ่งกระบวนการในการแก้ไขปัญหาได้อย่างเป็นระบบ ไปพิจารณาด้วย ๓. ให้ทุกหน่วยงานถือเป็นหลักปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อสังเกตของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นว่า หากหน่วยงานไม่สามารถใช้จ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นได้ตามเป้าหมายและมีเงินเหลือ ให้หน่วยงานส่งคืนเงินดังกล่าวให้สำนักงบประมาณเพื่อจะได้นำไปจัดสรรให้กับโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วนต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
29072 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) (จำนวน 3 ราย 1. นายยุทธนา แสงสุดา ฯลฯ) | สธ | 20/11/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๓ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. นายสมศักดิ์ ลีเชวงวงศ์ ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาออร์โธปิดิกส์) กลุ่มศูนย์การแพทย์เฉพาะทางด้านออร์โธปิดิกส์ กลุ่มภารกิจวิชาการ โรงพยาบาลเลิดสิน กรมการแพทย์ ตั้งแต่วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ๒. นายวีระ บูรณะกิจเจริญ ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขากุมารศัลยกรรม) กลุ่มงานศัลยศาสตร์ กลุ่มภารกิจวิชาการ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กรมการแพทย์ ตั้งแต่วันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ๓. นายยุทธนา แสงสุดา ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขารังสีวิทยา) กลุ่มงานรังสีวิทยา กลุ่มภารกิจวิชาการ โรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ ตั้งแต่วันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๕
|
||||||||||||||||||||||||
29073 | รายงานการสอบบัญชีและงบการเงินของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการและบริษัทย่อย ปี 2554 และข้อเสนอแนะจากการประชุมใหญ่ผู้แทนสมาชิก ปี 2555 | กค | 20/11/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการสอบบัญชีและงบการเงินของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการและบริษัทย่อย ปี ๒๕๕๔ และข้อเสนอแนะจากการประชุมใหญ่ผู้แทนสมาชิก ปี ๒๕๕๕ เพื่อให้เป็นไปตามมาตรา ๘๒ แห่งพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๓๙ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบงบการเงินของ กบข. ซึ่งประกอบด้วย งบดุล ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ งบรายได้ ค่าใช้จ่าย งบแสดงการเปลี่ยนแปลงสินทรัพย์สุทธิและงบกระแสเงินสด สำหรับปีสิ้นสุดวันเดียวกันของปี ๒๕๕๔ โดยมีความเห็นว่า งบการเงินดังกล่าวแสดงฐานะการเงิน ผลการดำเนินงาน การเปลี่ยนแปลงสินทรัพย์สุทธิ และกระแสเงินสดของ กบข. โดยถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป ทั้งนี้ กบข. มีฐานะการเงินสรุปได้ว่า มีสินทรัพย์รวม ๕๒๖,๕๑๕,๔๙๙,๓๔๙ บาท หนี้สินรวม ๓,๔๖๐,๑๒๐,๘๙๕ บาท และสินทรัพย์สุทธิ ๕๒๓,๐๕๕,๓๗๘,๔๕๔ บาท ๒. เมื่อวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ กบข. ได้จัดให้มีการประชุมใหญ่ผู้แทนสมาชิกประจำปี ๒๕๕๕ ซึ่งที่ประชุมใหญ่ผู้แทนสมาชิกฯ ได้พิจารณารายงานผลการดำเนินงานฐานะการเงิน และการรับจ่ายเงินของกองทุนและได้แสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่ สอบถามเกี่ยวกับการนำเงินไปลงทุนและรายการรายจ่ายเกี่ยวกับการบริหารงาน ซึ่งคณะกรรมการและผู้บริหารได้ตอบคำถามให้สมาชิกทราบ และจะได้นำคำถามและคำตอบเผยแพร่ให้สมาชิกได้ทราบผ่านช่องทางสื่อสารต่าง ๆ ของ กบข. ต่อไป และติดตามความคืบหน้าในการแก้ไขสูตรการคำนวณบำนาญสำหรับสมาชิก กบข. อยากให้ดำเนินการให้เร็วและให้ กบข. ช่วยผลักดัน รวมทั้งเสนอแนะเรื่องการจัดการประชุมใหญ่ผู้แทนสมาชิก โดยขอให้ทบทวนระยะเวลาในการประชุม การกำหนดคุณสมบัติและบทบาทของผู้แทนสมาชิก และเสนอให้มีการประชาสัมพันธ์ให้มากขึ้น
|
||||||||||||||||||||||||
29074 | การกู้เงินประจำปีงบประมาณ 2556 ของการเคหะแห่งชาติ | พม | 20/11/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบให้การเคหะแห่งชาติ (กคช.) กู้เงินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๑๗,๔๐๐ ล้านบาท โดยมีกระทรวงการคลังค้ำประกัน ทั้งนี้ การกู้เงินจำนวนดังกล่าว ประกอบด้วย เงินกู้เพื่อการลงทุน จำนวน ๑,๗๐๐ ล้านบาท และเงินกู้เพื่อชำระหนี้เดิม (Roll Over) จำนวน ๑๕,๗๐๐ ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับข้อสังเกตของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับรายรับของ กคช. เห็นควรเร่งดำเนินการพัฒนาโครงการใหม่ที่มีศักยภาพ และเร่งทำการตลาดเพื่อขายหน่วยบ้านเอื้ออาทรในส่วนที่เหลือเพื่อเพิ่มรายได้จากการดำเนินธุรกิจหลักของ กคช. และลดภาระต้นเงินและดอกเบี้ยจ่ายได้ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
29075 | การสนับสนุนมาตรการผลักดันการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกให้คนพิการและทุกคนในสังคมเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ | พม | 20/11/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการสนับสนุนมาตรการผลักดันการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกให้คนพิการและทุกคนในสังคมเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ ตามมติคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ โดย ๑.๑ ให้สำนักงบประมาณสนับสนุนงบประมาณสำหรับการก่อสร้างอาคารใหม่ของหน่วยงานหรืออาคารเก่าต้องปรับปรุง หรือจัดทำสิ่งอำนวยความสะดวกให้คนพิการและทุกคนในสังคมเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ของหน่วยงานราชการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง ขอมติคณะรัฐมนตรีให้หน่วยงานราชการสำรวจและจัดทำสิ่งอำนวยความสะดวกให้คนพิการเข้าถึงได้) โดยจัดสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานสำหรับคนพิการ ไม่น้อยกว่า ๕ ประเภท ได้แก่ ทางลาด ห้องน้ำ ที่จอดรถ ป้ายและสัญลักษณ์และบริการข้อมูลข่าวสาร ตามที่หน่วยงานขอรับการสนับสนุน ทั้งนี้ การประมาณการงบประมาณสำหรับการจัดทำสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานสำหรับคนพิการ ครบทั้ง ๕ ประเภท แห่งละ ๓๐๐,๐๐๐ บาท ๑.๒ ให้ทุกหน่วยงานกำหนดเป้าหมายการจัดทำสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการจนถึงปี พ.ศ. ๒๕๕๘ และดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน (ASEAN Community) ๑.๓ ให้ทุกหน่วยงานรายงานผลการดำเนินงานทุกรอบ ๖ เดือน พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลความจำเป็นกรณีไม่สามารถดำเนินการให้เป็นไปตามเป้าหมายที่หน่วยงานกำหนดไว้ได้ โดยให้สำนักงานส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นผู้รวบรวมรายงานผลการดำเนินงานเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงานตำรวจแห่งชาติกำหนดเป้าหมาย แผนการดำเนินงาน และแผนการใช้จ่ายเงินในการจัดทำสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการเพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน (ASEAN Community) และเสนอแผนดังกล่าวในที่ประชุมเชิงปฏิบัติการการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ปี พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อเป็นกรอบการจัดสรรงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และหน่วยงานดังกล่าวรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรขยายนิยามของ “หน่วยงานราชการ” ให้หมายรวมถึงหน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ ด้วย เช่น กระทรวง ทบวง กรม หรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นซึ่งมีฐานะเทียบเท่ากรม เป็นต้น เพื่อประโชนต่อคนพิการ และสนับสนุนงบประมาณสำหรับการจัดการสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานสำหรับคนพิการ ครบ ๕ ประเภท ให้ครอบคลุมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกประเภท รวมทั้งกำหนดเป้าหมายและรายงานผลการดำเนินงานทุกรอบ ๖ เดือน โดยดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน (ASEAN Community) เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
29076 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ศธ | 20/11/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาและสีประจำสาขาวิชาของสาขาวิชาการแพทย์แผนไทย สาชาวิชาเทคโนโลยี สาขาวิชานิเทศศาสตร์ และสาขาวิชาวิศวกรรมศาสตร์เพิ่มขึ้น ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
29077 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการอนุญาตประกอบกิจการน้ำบาดาล และกำหนดประเภทการใช้น้ำบาดาล พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติน้ำบาดาล พ.ศ. 2520 จำนวน 2 ฉบับ | ทส | 20/11/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการอนุญาตประกอบกิจการน้ำบาดาลและกำหนดประเภทการใช้น้ำบาดาล พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการขออนุญาต การอนุญาต การขอใบอนุญาต การออกใบอนุญาตประกอบกิจการน้ำบาดาล และการต่ออายุใบอนุญาตประกอบกิจการน้ำบาดาล รวมทั้งกำหนดประเภทการใช้น้ำบาดาลในการออกใบอนุญาต ๒. ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติน้ำบาดาล พ.ศ. ๒๕๒๐ มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงอัตราค่าธรรมเนียมใบอนุญาตเจาะน้ำบาดาล และใบอนุญาตใช้น้ำบาดาล
|
||||||||||||||||||||||||
29078 | การลงนามบันทึกความตกลงด้านการศึกษาไทย - จีน | ศธ | 20/11/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นผู้ลงนามในบันทึกความตกลงด้านการศึกษาไทย-จีน (Agreement on Educational Cooperation between the Ministry of Education of the People’s Republic of China and the Ministry of Education of the Kingdom of Thailand) ในช่วงการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน (นายเวิน เจียเปา) ระหว่างวันที่ ๒๐-๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ และให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนามในบันทึกความตกลงฯ สำหรับสาระสำคัญของบันทึกความตกลงฯ เป็นข้อตกลงระหว่างกระทรวงศึกษาธิการแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงศึกษาธิการแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนที่จะร่วมมือกันในการส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือทางด้านการศึกษาและวิชาการ เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนและการเรียนรู้ของนักเรียน นักศึกษา ครู อาจารย์ และนักวิชาการ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศทุกด้านบนพื้นฐานของความเท่าเทียม และต่างตอบแทน โดยเนื้อหาของบันทึกความตกลงฯ ระบุกรอบความร่วมมือทางการศึกษาและการฝึกอบรมอย่างกว้าง ๆ ครอบคลุมความร่วมมือทุกระดับ และการดำเนินงานจะเป็นไปภายใต้กฎหมายและระเบียบของแต่ละประเทศ ซึ่งจะมีคณะทำงานร่วม (Joint Working Group) เป็นกลไกสำคัญในการกำกับดูแลและการดำเนินงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
29079 | ขออนุมัติการจัดทำบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยการกระชับความร่วมมือ | กต | 20/11/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดทำร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงการต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยการกระชับความร่วมมือ (Memorandum of Understanding between the Ministry of Foreign Affairs of the Kingdom of Thailand and the Ministry of Foreign Affairs of the People’s Republic of China on Intensifying Cooperation) มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างกระทรวงการต่างประเทศของสองฝ่าย และส่งเสริมการประสานงาน การหารือ และความร่วมมือระหว่างกัน อาทิ การจัดตั้งสายด่วนระหว่างผู้บริหารระดับสูงของทั้งสองฝ่าย การแลกเปลี่ยนการเยือน ความร่วมมือด้านการฝึกอบรมและด้านการศึกษาวิจัย รวมทั้งการสื่อสารในระดับสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลของคู่ภาคี เป็นต้น ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ๓. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำของบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ เพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง |
||||||||||||||||||||||||
29080 | โครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังปี 2555/56 | พณ | 20/11/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๑๖/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติเป้าหมายการรับจำนำมันสำปะหลัง ในจำนวน ๑๐ ล้านตัน เช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา และให้ปรับลดวงเงินค่าใช้จ่ายลงตามสัดส่วนของปริมาณเป้าหมายที่ลดลง โดยให้ใช้งบประมาณจากกรอบวงเงินเดิม ๔๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๕ (เรื่อง โครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕) ซึ่งหากมีความจำเป็นสามารถขอขยายเพิ่มเติมในภายหลัง เพื่อไม่ให้กรอบวงเงินค่าใช้จ่ายสูงเกินไปและส่งผลต่อกรอบวงเงินของสินค้าเกษตรชนิดอื่น ประกอบกับราคามันสำปะหลังในปัจจุบันอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับราคารับจำนำ ทั้งนี้ ควรดำเนินการรับจำนำเมื่อราคามันสำปะหลังลดต่ำกว่าเกณฑ์ราคาที่กำหนด ตามความเห็นของคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร ๑.๒ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการ ๑.๒.๑ ปรับลดวงเงินจ่ายขาด จำนวน ๕,๒๒๓.๐๕๖ ล้านบาท ให้สอดคล้องกับปริมาณเป้าหมาย รวมทั้งปรับลดค่าแปรสภาพให้สอดคล้องกับการนำผลผลิตหัวมันสำปะหลังสดไปผลิตเป็นเอทานอลโดยตรง โดยอัตราค่าใช้จ่ายจ่ายขาดของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ที่ตั้งงบประมาณรองรับการดำเนินโครงการรับจำนำผลผลิตทางการเกษตร ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ ไว้แล้ว โดยให้มีค่าใช้จ่ายต่อหน่วย (Unit Cost) ในอัตราเดียวกับการดำเนินโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ปี ๒๕๕๔/๕๕ ต้นทุนเงิน ในอัตรา FDR+1 และค่าบริหารโครงการ ในอัตราร้อยละ ๒.๒๕ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์ปรับระยะเวลาดำเนินโครงการให้สอดคล้องกับระยะเวลาดำเนินการจริง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๑.๒.๒ นำส่งเงินจากการจำหน่ายสินค้าตามโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังเพื่อชำระหนี้ให้แก่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ในทันทีและ/หรือภายใน ๓ วันทำการ โดยยึดแนวทางการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง การจัดหาเงินทุนเพื่อดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) ๑.๒.๓ จัดทำข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับปริมาณสต็อกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และแผนการระบายมันสำปะหลัง รวมทั้งร่วมกับกระทรวงพลังงานในการจัดทำแผนการใช้มันสำปะหลังในการผลิตเอทานอล ๑.๓ ให้กระทรวงพลังงานจัดประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง ผู้ประกอบการด้านการพลังงาน เพื่อหารือแนวทางการพัฒนาศักยภาพการแข่งขันและการส่งออกเอทานอลของประเทศ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการลดภาระการรับจำนำมันสำปะหลังของประเทศ ๒. ให้เริ่มดำเนินโครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลัง ตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๕-๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖ สำหรับราคารับจำนำให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่คณะกรรมการนโยบายมันสำปะหลังได้กำหนดไว้ (ราคารับจำนำหัวมันสดที่มีเชื้อแป้งร้อยละ ๒๕ ในเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ กำหนดไว้กิโลกรัมละ ๒.๖๐ บาท) ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์ปรับลดวงเงินค่าใช้จ่ายลงตามสัดส่วนของปริมาณเป้าหมายการรับจำนำที่ลดลง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้ใช้เงินในกรอบวงเงิน จำนวน ๔๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ที่ได้รับอนุมัติไว้แล้วตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๕ (เรื่อง โครงการแทรกแซงตลาดมันสำปะหลังปี ๒๕๕๔/๕๕) และให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณจัดทำแผนการบริหารเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินโครงการและแผนการบริหารจัดการสต็อก (stock) มันสำปะหลังอย่างเป็นระบบ รวมทั้งตรวจสอบปริมาณมันสำปะหลังที่รับจำนำไว้เดิมและที่ระบายไปแล้ว และต้องรายงานผลความคืบหน้าในการดำเนินการระบายมันสำปะหลัง ปริมาณ และมูลค่าสินค้าคงเหลือให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นรายไตรมาสในแนวทางเดียวกับการดำเนินการเรื่อง ข้าว ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง รายงานผลการดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๔/๕๕ และพิจารณาปริมาณและวงเงินโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖) ด้วย |
.....