ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1451 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 29001 - 29020 จากข้อมูลทั้งหมด 124231 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
29001 | ผลการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 21 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง | นร04 | 15/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๒๑ และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ ๑๘-๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา ของกระทรวงการต่างประเทศ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามผลการประชุมที่กระทรวงการต่างประเทศจัดทำต่อไป ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ โดยในส่วนของผลการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๒๑ สรุปได้ ดังนี้
๑. การลงนาม/รับรองเอกสารผลลัพธ์ โดยผู้นำอาเซียนลงนาม/รับรองเอกสารผลลัพธ์ จำนวน ๓ ฉบับ ได้แก่ รับรอง SAEAN Human Rights Declaration และลงนาม ASEAN Leaders’ Statement on the Adoption of the ASEAN Human Rights รับรอง ASEAN Leaders’ Joint Statement on the Establishment of an ASEAN Regional Mine Action Center และรับรอง Bali Declaration on ASEAN Community in a Global Community of Nations (Bali Concord III) Plan of Action (2013-2017) ๒. การสร้างประชาคมอาเซียน โดยที่ประชุมเห็นควรเร่งรัดการดำเนินงานตามแผนงานสำหรับการจัดตั้งประชาคมอาเซียนทั้ง ๓ เสาหลัก (เศรษฐกิจ การเมืองและความมั่นคง สังคมและวัฒนธรรม) โดยให้กำหนดประเด็นที่มีความสำคัญลำดับต้นในทั้ง ๓ เสา เช่น การรักษาสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค การปรับกฎระเบียบให้สอดคล้องกัน และอนุวัติความตกลงทางเศรษฐกิจสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) การกำจัดอุปสรรคทางการค้าที่มิใช่ภาษี การบริหารจัดการภัยพิบัติ ๓. การเสริมสร้างความเชื่อมโยง โดยที่ประชุมเห็นพ้องที่จะเร่งรัดการดำเนินการตามแผนแม่บทว่าด้วยความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน (Master Plan on ASEAN Connectivity) ทั้งด้านกายภาพ กฎระเบียบ และระหว่างประชาชน รวมทั้งสร้างความเชื่อมโยงกับประเทศนอกอาเซียน และเห็นพ้องว่าควรระดมทุนสนับสนุนกองทุนโครงสร้างพื้นฐานอาเซียน (ASEAN Infrastructure Fund-AIF) เพื่อใช้ดำเนินการตามแผนบทฯ โดยจำเป็นต้องหาแนวทางระดมทุนต่างๆ จากประเทศนอกภูมิภาคและภาคเอกชน ๔. ความตกลงพันธมิตรทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP) โดยที่ประชุมยินดีกับการประกาศเริ่มเจรจา RCEP ซึ่งไทยสนับสนุนให้มีการเจรจารอบแรกในช่วงต้นปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ๕. ยาเสพติด โดยที่ประชุมได้เน้นย้ำเป้าหมายอาเซียนปลอดยาเสพติดปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ซึ่งไทยได้เสนอให้มีความร่วมมือข้ามพรมแดนระหว่างหน่วยงานด้านยาเสพติดเพื่อส่งเสริมการสร้างอาเซียนปลอดยาเสพติด ๖. การค้ามนุษย์ โดยไทยได้ผลักดันการเร่งรัดการพิจารณาอนุสัญญาเรื่องการต่อต้านการค้ามนุษย์ในอาเซียน รวมทั้งผลักดันการจัดทำแผนปฏิบัติการในเรื่องนี้เพื่อปูทางไปสู่การจัดทำอนุสัญญาที่มีผลผูกพันทางกฎหมาย ๗. การบริหารจัดการภัยพิบัติ โดยที่ประชุมได้ให้ความสำคัญต่อประเด็นการบริหารจัดการภัยพิบัติ โดยเฉพาะการสร้างศักยภาพแก่ศูนย์ประสานงานอาเซียนด้านการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการจัดการภัยพิบัติ (ASEAN Humanitarian Assistance and Coordination Centre : AHA Centre) ให้ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ โดยไทยได้แสดงความพร้อมในการเป็นสถานที่เก็บสำรองข้าวในการบรรเทาภัยพิบัติ และแจ้งที่ประชุมเกี่ยวกับการเป็นเจ้าภาพจัดการซ้อมแผนรับมือภัยพิบัติภายใต้กรอบ ASEAN Regional Forum : ARF หรือ ARF DiREx ร่วมกับเกาหลีใต้ในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ ๘. การลดช่องว่างด้านการพัฒนา โดยที่ประชุมเห็นพ้องที่จะเร่งรัดการดำเนินการด้านการลดช่องว่างด้านการพัฒนาระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน โดยเฉพาะการระดมทุนจากประเทศนอกภูมิภาคและภาคเอกชน ตลอดจนองค์การระหว่างประเทศเพื่อส่งเสริมการพัฒนาภายในภูมิภาค
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29002 | การผ่อนผันแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองเป็นกรณีพิเศษเพื่อดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย | รง | 15/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการบริหารแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๕ เกี่ยวกับการผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองสัญชาติพม่า ลาว และกัมพูชา อยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ เพื่อดำเนินการให้ได้รับหนังสือเดินทางชั่วคราว (Temporary Passport) หรือเอกสารรับรองบุคคล (Certificate of Identity) จากประเทศต้นทาง และได้รับอนุญาตให้เป็นผู้เดินทางเข้าประเทศอย่างถูกต้องตามกฎหมาย พร้อมกับได้รับอนุญาตทำงานเฉพาะกับนายจ้างเดิมต่อไป ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ยกเว้นในส่วนการขยายระยะเวลาการผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองสัญชาติพม่า ลาว และกัมพูชา ที่ลักลอบทำงานอยู่กับนายจ้างในประเทศไทยอยู่แล้ว รวมทั้งบุตรของแรงงานต่างด้าวดังกล่าวที่อายุไม่เกิน ๑๕ ปี อยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษเป็นเวลา ๓ เดือน นั้น ให้ขยายเป็น ๑๒๐ วัน นับตั้งแต่วันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินการเกี่ยวกับบุตรของแรงงานต่างด้าวควรพิจารณาอย่างรอบคอบและครบวงจรโดยเฉพาะในเมื่อเด็กเหล่านี้จะหมดสภาพการเป็นผู้ติดตามเมื่ออายุเกิน ๑๕ ปี และจะต้องเดินทางกลับประเทศต้นทาง ในขณะที่ตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก บุคคลที่อายุต่ำกว่า ๑๘ ปียังถือเป็นเด็ก ควรมีมาตรการเตรียมพร้อมและกำหนดแนวทางการดำเนินการที่ชัดเจนสำหรับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยคำนึงถึงผลกระทบที่อาจตามมา และมิติด้านมนุษยธรรมและพันธกรณีภายใต้ตราสารระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนที่ไทยเป็นภาคี เพื่อป้องกันการถูกร้องเรียนและปัญหาในการบริหารจัดการในอนาคต รวมทั้งควรศึกษาแนวทางการกำหนดสัดส่วนความต้องการแรงงานต่างด้าวทั้งแรงงานมีฝีมือและแรงงานไร้ฝีมือในประเทศไทยต่อจำนวนแรงงานไทย (เป็นรายปี) เพื่อเป็นแนวทางในการกำหนดโควตาการนำเข้าแรงงานต่างด้าวและการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินตามมติคณะกรรมการบริหารแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง ครั้งที่ ๓/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๕ และเร่งรัดการพิสูจน์สัญชาติให้แก่แรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองสัญชาติพม่า ลาว และกัมพูชา ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๔. ให้กระทรวงแรงงานและกระทรวงอุตสาหกรรมประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ รวมทั้งอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการโรงงานต่างๆ ในการพิสูจน์สัญชาติแรงงานต่างด้าว เพื่อให้การดำเนินการแล้วเสร็จโดยเร็ว |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29003 | ขออนุมัติงบกลางเพื่อเป็นค่าธรรมเนียมศาลในชั้นอุทธรณ์ คดีปกครอง คดีหมายเลขดำที่ 791/2554, 809/2554 คดีหมายเลขแดงที่ 18/2555, 2090/2555 | ทส | 15/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมควบคุมมลพิษ) เบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อนำไปชำระเป็นค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ ในคดีปกครอง คดีหมายเลขดำที่ ๗๙๑/๒๕๕๔, ๘๐๙/๒๕๕๔ คดีหมายเลขแดงที่ ๑๘/๒๕๕๕, ๒๐๙๐/๒๕๕๕ จำนวน ๑๐,๘๑๖,๔๓๐ บาท ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29004 | สรุปผลการดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2556 | มท | 15/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๖ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ประธานกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาพรวมสถิติอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๖ เกิดอุบัติเหตุทางถนน ๓,๑๗๖ ครั้ง เปรียบเทียบกับช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๕ เกิดอุบัติเหตุทางถนน ๓,๐๙๓ ครั้ง เพิ่มขึ้น ๘๓ ครั้ง คิดเป็นร้อยละ ๒.๖๘ มีผู้เสียชีวิต ๓๖๕ ราย เปรียบเทียบกับช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๕ มีผู้เสียชีวิต ๓๓๖ ราย เพิ่มขึ้น ๒๙ ราย คิดเป็นร้อยละ ๘.๖๓ และผู้ได้รับบาดเจ็บ ๓,๓๒๙ คน เปรียบเทียบกับช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๕ มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ๓,๓๗๕ คน ลดลง ๔๖ คน คิดเป็นร้อยละ ๑.๓๖ ๒. การวิเคราะห์ข้อมูลสถิติอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๖ พบว่า การเมาสุราเป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุสูงสุด รองลงมาคือ ขับรถเร็วเกินกำหนด รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด การไม่สวมหมวกนิรภัยเป็นพฤติกรรมเสี่ยงสูงสุด ถนนนอกเขตทางหลวงแผ่นดิน ได้แก่ ถนนชุมชน/หมู่บ้าน และเทศบาล เป็นถนนที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ช่วงเวลา ๑๖.๐๑-๒๐.๐๐ น. เป็นช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด กลุ่มวัยแรงงานเป็นกลุ่มที่บาดเจ็บและเสียชีวิตมากที่สุด และผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บส่วนใหญ่เป็นคนในพื้นที่ ๓. การเตรียมความพร้อมในการดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุช่วงเทศกาลสงกรานต์ ๒๕๕๖ ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจะเร่งดำเนินการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการมาตรการพิเศษที่สำคัญ ได้แก่ ๓.๑ ผลักดันให้มีการขยายผลการดำเนินโครงการ “หนึ่งตำบลหนึ่งทีมกู้ชีพกู้ภัย” ของกระทรวงมหาดไทยให้ครอบคลุมทั่วประเทศ รวมทั้งสนับสนุนให้มีความพร้อมด้านบุคลากร และเครื่องมืออุปกรณ์ด้านการกู้ชีพกู้ภัยในการปฏิบัติงาน ๓.๒ ประสานกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งขับเคลื่อนให้มีการจัดทำหลักสูตรเกี่ยวกับความปลอดภัยทางถนนและความปลอดภัยจากสาธารณภัยประเภทต่าง ๆ เพื่อให้ความรู้แก่นักเรียน นักศึกษา ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อเป็นการสร้าง “วัฒนธรรมความปลอดภัยและความเอื้ออาทร” ๓.๓ ประสานสำนักงานตำรวจแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการรณรงค์การบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง เพื่อเป็นการป้องปรามการกระทำความผิดกฎหมายจราจร และการขับขี่ยานพาหนะที่เสี่ยงอันตรายบนท้องถนน ๓.๔ ส่งเสริมขวัญกำลังใจให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกระดับ รวมทั้งสนับสนุนให้จังหวัด และอำเภอ กำหนดเป้าหมายการลดอุบัติเหตุในพื้นที่ ตลอดจนให้รางวัลชมเชยแก่พื้นที่และเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานดีเด่น เข้มแข็ง จนสามารถลดอุบัติเหตุลงได้ ๓.๕ เร่งรณรงค์ประชาสัมพันธ์ตลอดทั้งปีอย่างเข้มข้น เพื่อให้เกิดวัฒนธรรมความปลอดภัยบนท้องถนน ทั้งในช่วงเวลาปกติและเทศกาลสำคัญต่าง ๆ เพื่อให้เกิด “วัฒนธรรมความปลอดภัยและความเอื้ออาทร” กับสังคมไทย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29005 | ขออนุมัติขยายกรอบระยะเวลาดำเนินมาตรการอำนวยความสะดวกให้แก่บุคคลต่างชาติที่เดินทางเข้ามาช่วยเหลือฟื้นฟูโรงงานและสถานประกอบการที่ประสบอุทกภัย | กต | 15/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
๑. อนุมัติการขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การยกเว้นค่าธรรมเนียมการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราว (Non-Immigrant) และค่าธรรมเนียมคำขออนุญาตเพื่ออยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวต่อไปให้แก่คนต่างด้าวที่เดินทางเข้ามาช่วยเหลือฟื้นฟูโรงงานและสถานประกอบการที่ประสบอุทกภัย โดยมีผลบังคับใช้นับตั้งแต่วันันถัดจากวันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไปจนถึงวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๕ ต่อไปจนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ ๒. อนุมัติการขยายระยะเวลายกเว้นใบอนุญาตทำงานของกระทรวงแรงงานสำหรับคนต่างด้าวที่เดินทางมาช่วยเหลือฟื้นฟูโรงงานและสถานประกอบการที่ประสบอุทกภัยต่อไปจนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29006 | การแต่งตั้งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (ปสส.) | นร04 | 15/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๒๐/๒๕๕๖ ลงวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๖ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29007 | การปรับปรุงและแต่งตั้งกรรมการในองค์ประกอบคณะกรรมการแห่งชาติเพื่อการวิจัยและพัฒนาระบบพฤติกรรมไทย (คพท.) (จำนวน 7 ตำแหน่ง) | วช | 15/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงและแต่งตั้งกรรมการในองค์ประกอบคณะกรรมการแห่งชาติเพื่อการวิจัยและพัฒนาระบบพฤติกรรมไทย (คพท.) จำนวน ๗ ตำแหน่ง ของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) โดยเปลี่ยนแปลงกรรมการลำดับที่ ๑๒-๑๔ และ ๑๙-๒๒ ปรับเปลี่ยนชื่อตำแหน่งลำดับที่ ๒๓-๒๔ และคงอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการฯ ตามเดิม ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางสาวศันสนีย์ นาคพงศ์) เสนอ สำหรับองค์ประกอบของคณะกรรมการฯ ชุดใหม่ มีดังนี้
๑. ประธานกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติ กรรมการที่ปรึกษา สาขาปรัชญา ๒. ประธานกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติ กรรมการที่ปรึกษา สาขาสังคมวิทยา ๓. ประธานกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติ กรรมการที่ปรึกษา สาขาการศึกษา ๔. เลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ กรรมการที่ปรึกษา ๕. ผู้แทนเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการ กรรมการ เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๖. ผู้แทนผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ กรรมการ ๗. ผู้แทนเลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน กรรมการ ๘. รองเลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ กรรมการ ๙. ที่ปรึกษาด้านการวิจัยทางสังคมศาสตร์ กรรมการ ๑๐. ผู้แทนสภาองค์การพัฒนาเด็กและเยาวชน กรรมการ ๑๑. ผู้แทนกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กรรมการ ๑๒. ผู้แทนเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการ กรรมการ การศึกษาขั้นพื้นฐาน ๑๓. ผู้แทนเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กรรมการ ๑๔. ผู้แทนสำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กรรมการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ๑๕. นางจรรจา สุวรรณทัต กรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิ ๑๖. นางดวงเดือน พันธุมนาวิน กรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิ ๑๗. นางเย็นใจ เลาหวณิช กรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิ ๑๘. นางสาวนงลักษณ์ วิรัชชัย กรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิ ๑๙. นางพรรณทิพย์ ศิริวรรณบุศย์ กรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิ ๒๐. นางโสภา (ชูพิกุลชัย) ชปีลมันน์ กรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิ ๒๑. นายธีระพร อุวรรณโณ กรรมการ ผู้ทรงคุณวุฒิ ๒๒. เจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ เลขานุการ ๒๓. เจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ผู้ช่วยเลขานุการ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29008 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (จำนวน 3 ตำแหน่ง 1. นายชูศักดิ์ เกวี ฯลฯ) | คค | 15/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงคมนาคม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๓ ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
๑. นายชูศักดิ์ เกวี ให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นายพงษ์วรรณ จารุเดชา ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. นายชาญชัย สุวิสุทธะกุล ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29009 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานผู้แทนราษฎร | นร04 | 15/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) เสนอว่า คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (ปสส.) ได้มีมติเห็นชอบตามคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ปรับปรุงการได้รับเงินเดือนของข้าราชการทหาร) ซึ่งได้มีการแก้ไขวันใช้บังคับในร่างมาตรา ๒ จาก “ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป” เป็น “ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ เป็นต้นไป” ๒. รับทราบสรุปผลการประชุม ปสส. วันจันทร์ที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๕๖ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติราชบัณฑิตยสถาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติเปลี่ยนชื่อมหาวิทยาลัยกรุงเทพมหานคร เป็นมหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช พ.ศ. .... เพื่อให้สอดคล้องกับชื่อที่ได้รับพระราชทานชื่อจากพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชว่า “มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช” รวม ๒ ฉบับ ต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน โดยก่อนเสนอร่างพระราชบัญญัติราชบัณฑิตยสถาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ไปยังสภาผู้แทนราษฎร ให้แก้ไขถ้อยคำในร่างมาตรา ๓ จาก “เกี่ยวกับภาษาไทยและสรรพวิชา” เป็น “เกี่ยวกับภาษาไทยและหลักเกณฑ์ทางภาษา” ตามข้อสังเกตของ ปสส. และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางสาวศันสนีย์ นาคพงศ์) พิจารณาเห็นชอบแล้ว ตามที่สำนักงานเลขานุการ ปสส. เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29010 | ร่างพระราชบัญญัติเปลี่ยนชื่อมหาวิทยาลัยกรุงเทพมหานคร เป็นมหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช พ.ศ. .... | นร04 | 15/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (ปสส.) วันจันทร์ที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๕๖ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติเปลี่ยนชื่อมหาวิทยาลัยกรุงเทพมหานคร เป็นมหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช พ.ศ. .... ต่อสภาผู้แทนราษฎร เพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ตามที่สำนักงานเลขานุการ ปสส. เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29011 | ร่างพระราชบัญญัติราชบัณฑิตยสถาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร04 | 15/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (ปสส.) วันจันทร์ที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๕๖ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติราชบัณฑิตยสถาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อสภาผู้แทนราษฎร เพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน โดยก่อนส่งสภาผู้แทนราษฎรให้แก้ไขถ้อยคำในร่างมาตรา ๓ เป็น “เกี่ยวกับภาษาไทยและหลักเกณฑ์ทางภาษา” ตามข้อสังเกตของ ปสส. ตามที่สำนักงานเลขานุการ ปสส. เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29012 | การแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีเพิ่มเติม | นร04 | 15/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอการแต่งตั้งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เป็นกรรมการในคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) และคณะที่ ๕ (ฝ่ายสังคม) เพิ่มเติม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29013 | โครงการปรับปรุงและขยายระบบส่งไฟฟ้าที่เสื่อมสภาพตามอายุการใช้งานระยะที่ 2 | พน | 15/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๑๔/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๕ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดำเนินโครงการปรับปรุงและขยายระบบส่งไฟฟ้าที่เสื่อมสภาพตามอายุการใช้งานระยะที่ ๒ ในวงเงินลงทุน จำนวน ๒๑,๙๐๐ ล้านบาท โดยปรับปรุงในส่วนของสถานีไฟฟ้าแรงสูง (สฟ.) และระบบส่งไฟฟ้าร่วมกัน รวมทั้งสิ้น ๓๑ โครงการย่อย ประกอบด้วย งานปรับปรุงและขยาย สฟ. จำนวน ๑๙ สฟ. รวม ๑๙ โครงการย่อย งานปรับปรุงและขยายสายส่ง ๑๑ แนวสาย รวม ๑๑ โครงการย่อย และงานปรับปรุงและขยายระบบส่งไฟฟ้าเบ็ดเตล็ด จำนวน ๑ โครงการ ระยะเวลาดำเนินการประมาณ ๖ ปี ๔ เดือน นับตั้งแต่เริ่มศึกษาเตรียมงานจนก่อสร้างแล้วเสร็จ (มิถุนายน ๒๕๕๔-กันยายน ๒๕๖๐) ๑.๒ เห็นชอบให้อนุมัติการเบิกจ่ายเงินงบประมาณลงทุนประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ สำหรับโครงการฯ จำนวน ๑๑.๒ ล้านบาท ๒. ให้ กฟผ. รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการบริหารจัดการการจัดซื้อที่ดินให้รอบคอบเพื่อลดการลงทุนที่ซ้ำซ้อนและผลกระทบที่อาจมีต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อมโดยรวม การบริหารจัดการเรื่องการเงินและการลงทุนให้เหมาะสม รอบคอบและมีประสิทธิภาพ การให้ความสำคัญกับการวางแผนทางการเงินขององค์กรในระยะยาว เพื่อตอบสนองการลงทุนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต การกำหนดเป้าหมายของดัชนีชี้วัดที่สะท้อนถึงความเชื่อถือได้และความมั่นคงของระบบไฟฟ้าเพื่อใช้เป็น Benchmark เปรียบเทียบโครงการในแต่ละระยะ การประสานงานกับผู้เกี่ยวข้องเกี่ยวกับแผนการดับไฟฟ้า (Planned Outage) ในพื้นที่เพื่อซ่อมบำรุงและกำหนดมาตรการรองรับกรณีฉุกเฉิน การพิจารณาศึกษาข้อดีและข้อจำกัดของรูปแบบเทคโนโลยีด้านสถานีไฟฟ้าแรงสูง รวมถึงสถานีไฟฟ้าแบบใช้ฉนวนอากาศและแบบใช้ฉนวนก๊าซเพื่อใช้เป็นแนวทางของโครงการในระยะต่อไป และเตรียมการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment : EIA) สำหรับแนวสายส่งในระยะต่อไปที่ต้องผ่านพื้นที่ลุ่มน้ำ 1A และ 1B รวมทั้งศึกษาทางเลือกแนวสายส่งอื่นเพื่อหลีกเลี่ยงพื้นที่ลุ่มน้ำดังกล่าว เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย โดยการไฟฟ้านครหลวง รับไปหารือร่วมกับกระทรวงพลังงาน โดย กฟผ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อบูรณาการการแก้ไขปัญหาไฟฟ้าดับและการสูญเสียพลังงานไฟฟ้าในระบบสายส่ง เพื่อให้การแก้ไขปัญหาดังกล่าว รวมทั้งการให้บริการไฟฟ้าแก่ประชาชนมีประสิทธิภาพและรวดเร็วยิ่งขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29014 | แนวทางการเตรียมการเพื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งของประเทศ พ.ศ. .... | นร04 | 15/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เสนอเกี่ยวกับแนวทางการเตรียมการเพื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งของประเทศ พ.ศ. .... ซึ่งตามร่างพระราชบัญญัติฯ กำหนดให้กระทรวงการคลังโดยอนุมัติคณะรัฐมนตรีสามารถกู้เงินบาทหรือเงินตราต่างประเทศเพื่อนำมาลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งและการเชื่อมโยงด้านศุลกากร วงเงินไม่เกิน ๒ ล้านล้านบาท โดยกำหนดขั้นตอนการดำเนินการไว้ ดังนี้ ๑.๑ ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่จังหวัดอุตรดิตถ์ วันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๕๖ จะเสนอยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาวต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ ๑.๒ ในการประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๖ จะเสนอร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งของประเทศ พ.ศ. .... พร้อมทั้งบัญชีรายชื่อโครงการที่อยู่ในกรอบหลักการของร่างกฎหมายดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ ๑.๓ ในระหว่างวันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๕๖-๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ กระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคมจะร่วมกันจัดการประชุมชี้แจงและสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกรอบหลักเกณฑ์การดำเนินงาน และผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการดำเนินการตามร่างพระราชบัญญัติ โดยจัดการประชุมเพื่อชี้แจงและทำความเข้าใจหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในวันที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๕๖ โดยเชิญรัฐมนตรีทุกท่าน ปลัดกระทรวง หัวหน้าส่วนราชการต่าง ๆ และผู้ว่าราชการจังหวัดเข้าร่วมการประชุม รวมทั้งจัดนิทรรศการและการรับฟังความคิดเห็นจากผู้ประกอบการภาคเอกชน ประชาชน สื่อมวลชน และผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) จะเป็นผู้ชี้แจงภาพรวมของเศรษฐกิจและทิศทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้ขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ๑.๔ วันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ จะเสนอร่างพระราชบัญญัติฯ ที่ได้มีการปรับปรุงแก้ไขตามผลการรับฟังความคิดเห็นจากภาคส่วนต่าง ๆ ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติหลักการ และส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาก่อนนำเสนอสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๒. รับทราบและเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) เสนอเพิ่มเติมว่า การดำเนินการในเรื่องนี้ควรมีการจัดทำเอกสารข้อมูลสรุปย่อกรอบหลักการของร่างพระราชบัญญัติฯ เช่น เหตุผลและความจำเป็น วัตถุประสงค์ ที่มาของแหล่งเงินทุน การจัดหาเงินกู้และการชำระหนี้ ความคุ้มค่าของการลงทุน ผลประโยชน์ที่จะได้รับ เป็นต้น เพื่อให้รัฐมนตรีทุกท่านสามารถชี้แจงต่อประชาชนและหน่วยงานต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจนและเป็นไปในแนวทางเดียวกัน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29015 | สรุปผลการประชุมคณะทำงานส่งเสริมการสร้างฐานการผลิตในประเทศเพื่อนบ้านและการค้าชายแดน | พณ | 08/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะทำงานส่งเสริมการสร้างฐานการผลิตในประเทศเพื่อนบ้านและการค้าชายแดน และการประชุมคณะทำงานย่อยแต่ละยุทธศาสตร์ ระหว่างวันที่ ๑๗ กันยายน-๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามสรุปผลการประชุมดังกล่าวต่อไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การวางกรอบยุทธศาสตร์การส่งเสริมการค้าและการลงทุนไปตลาดประเทศเพื่อนบ้านและการค้าชายแดน ๕ ยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย ๑.๑.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ระหว่างประเทศและนิคมอุตสาหกรรมในประเทศเพื่อนบ้าน แผนปฏิบัติการนำร่อง โครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจชายแดนร่วมแม่สอด-เมียวดี ๑.๑.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การส่งเสริมการค้าการลงทุนกับประเทศเพื่อนบ้านในอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น แผนปฏิบัติการนำร่อง โครงการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยย้ายหรือขยายการลงทุนอุตสาหกรรมสิ่งทอและเสื้อผ้าไปขยายการลงทุนในราชอาณาจักรกัมพูชา ๑.๑.๓ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ ความมั่นคงทางอาหารที่ผลิตในประเทศหนึ่งและนำไปแปรรูปจำหน่ายอีกประเทศหนึ่ง (ข้าว มันสำปะหลัง ข้าวโพด อ้อย ปศุสัตว์ ไก่ หมู) แผนปฏิบัติการนำร่อง โครงการความร่วมมือสร้างความมั่นคงและความปลอดภัยด้านอาหารร่วมกัน เพื่อให้กลุ่มประเทศประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนเป็นผู้ผลิตอาหารหลักเลี้ยงทวีปเอเชีย ๑.๑.๔ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ ด้านการท่องเที่ยว การบริการในประเทศเพื่อนบ้าน โดยส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยไปลงทุนด้านโรงแรม โรงพยาบาล แผนปฏิบัติการนำร่อง โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวในภูมิภาค ๓ เส้นทาง ประกอบด้วย เส้นทางเชื่อมมรดกโลก : โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวในภูมิภาค เส้นทางเชื่อมมรดกโลก-สุโขทัย-หลวงพระบาง-พุกาม-เสียมราฐ เส้นทางสามเหลี่ยมมรกต : โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวในภูมิภาค เส้นทางสามเหลี่ยมมรกต ไทย-ลาว-กัมพูชา และเส้นทาง ๕ เชียง : โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวในภูมิภาค เส้นทาง ๕ เชียง (เชียงตุง เชียงรุ้ง เชียงใหม่ เชียงราย เชียงของ) ๑.๑.๕ ยุทธศาสตร์ที่ ๕ TETRO (JETRO OF THAILAND) เพื่อเป็นพี่เลี้ยงให้กับนักลงทุนไทยไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน แผนปฏิบัติการนำร่อง ศึกษาโครงสร้างและการบริหารงานของ JETRO เพื่อจัดตั้ง TETRO ๑.๒ ประเด็นพิจารณาที่สำคัญ ๑.๒.๑ การอำนวยการความสะดวกทางการค้าไทย-เมียนมาร์ ๑.๒.๑.๑ ให้กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม เร่งดำเนินการซ่อมสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมาร์ (แม่สอด-เมียวดี) แห่งที่ ๑ ให้แล้วเสร็จตามกำหนดสัญญาในเดือนเมษายน ๒๕๕๗ และให้เทศบาลนครแม่สอดพิจารณาลงทุนจัดสร้างสถานที่ขนถ่ายสินค้าบริเวณถนนที่จะเข้าสู่สะพานฯ แห่งที่ ๑ ๑.๒.๑.๒ ให้กระทรวงคมนาคม และกระทรวงการต่างประเทศ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องในการเร่งก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมาร์ แห่งที่ ๒ โดยเฉพาะการเชื่อมโยงการขนส่งทางถนนต่อไปถึงเมืองกอกะเร็กของเมียนมาร์อย่างเป็นระบบและครบวงจร ๑.๒.๑.๓ ให้กรมการบินพลเรือน กระทรวงคมนาคม เร่งพิจารณาดำเนินการขยายสนามบินแม่สอดให้แล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อรองรับการเติบโตด้านการขนส่งและการท่องเที่ยว ๑.๒.๒ การพัฒนาเขตเศรษฐกิจชายแดนแม่สอด-เมียวดี ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งการพิจารณาร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ พ.ศ. .... เพื่อนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีต่อไป โดยสาระสำคัญของร่างระเบียบฯ คือ กำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษ มีหน้าที่ในการจัดทำแผนแม่บทและการกำหนดพื้นที่ที่เหมาะสมจะเป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษทั้งส่วนกลางและภูมิภาค รวมทั้งพัฒนาระบบการให้บริการแบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จที่สอดคล้องกับระบบ ASEAN Single Window ๑.๒.๓ การส่งเสริมสนับสนุนให้นักลงทุนไทยในอุตสาหกรรม สิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม รองเท้า ฯลฯ ย้ายฐานการผลิตไปราชอาณาจักรกัมพูชา ภาครัฐจะจัดคณะนำนักลงทุนไทยไปสำรวจพื้นที่และเจรจาขอการสนับสนุนจากราชอาณาจักรกัมพูชา ในนิคมอุตสาหกรรมโอเนียงและนิคมอุตสาหกรรมศรีโสภณ ระหว่างวันที่ ๒๑-๒๓ มกราคม ๒๕๕๖ ๑.๒.๔ การสนับสนุนการลงทุนด้านแหล่งกระจายสินค้าระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน กระทรวงการคลัง เร่งรัดโครงการนำร่องในการจัดตั้ง Container Yard ณ ท่านาแล้ง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในโครงการก่อสร้างทางรถไฟท่านาแล้ง-เวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ให้แล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๒.๕ การดำเนินงานตามความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง Cross Border Transport Agreement (GMS/CBTA) เพื่อส่งเสริมและอำนวยความสะดวกการขนส่งผู้โดยสารและสินค้าทั้งข้ามแดนและผ่านแดน เร่งรัดกระทรวงคมนาคม และกรมศุลกากร กระทรวงการคลัง ผลักดันการออกกฎหมายที่ค้างอยู่ ๕ ฉบับ ได้แก่ ร่างพระราชบัญญัติอำนวยความสะดวกในการขนส่งข้ามพรมแดน พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติการรับขนของทางถนนระหว่างประเทศ พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติการรับขนคนโดยสารและสัมภาระทางถนนระหว่างประเทศ พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ในเรื่องเกี่ยวกับข้อบทว่าด้วยการผ่านแดน) และร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ว่าด้วยการอนุตามความตกลง (CBTA) ซึ่งขณะนี้ทุกประเทศได้ให้สัตยาบันต่อภาคผนวกและพิธีสารครบทั้ง ๒๐ ฉบับ คงเหลือไทยและสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ที่ลงนามยังไม่สมบูรณ์ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวในภูมิภาค จำนวน ๓ เส้นทาง จะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อแหล่งท่องเที่ยว แหล่งโบราณสถานต่าง ๆ หรือกระทบต่อวิถีการดำเนินชีวิตของชุมชน และให้หน่วยงานภาครัฐ เอกชน หรือคนในท้องถิ่นมีส่วนร่วมในกระบวนการดำเนินการโครงการต่าง ๆ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29016 | ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการในกระทรวงศึกษาธิการ รวม 3 ฉบับ | ศธ | 08/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการในกระทรวงศึกษาธิการ รวม ๓ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงศึกษาธิการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้มีกลุ่มตรวจสอบภายในและกลุ่มพัฒนาระบบบริหารขึ้นในสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงศึกษาธิการ เพื่อทำหน้าที่ในการตรวจสอบการดำเนินงาน สนับสนุนการปฏิบัติงาน และพัฒนาการบริหารของสำนักงานปลัดกระทรวง และกระทรวง ๒. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้มีกลุ่มตรวจสอบภายในและกลุ่มพัฒนาระบบบริหารขึ้นในสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ เพื่อทำหน้าที่ในการตรวจสอบการดำเนินงาน สนับสนุนการปฏิบัติงาน และพัฒนาการบริหารของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ๓. ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้สิน และเงินงบประมาณของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับสำนักทดสอบกลางไปเป็นของสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ที่จัดตั้งขึ้นใหม่ และกำหนดให้มีกลุ่มตรวจสอบภายในและกลุ่มพัฒนาระบบบริหารขึ้นในสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ เพื่อทำหน้าที่ในการตรวจสอบการดำเนินงาน สนับสนุนการปฏิบัติงาน และพัฒนาการบริหารของสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29017 | ร่างกฎกระทรวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ออกตามความในพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พุทธศักราช 2479 | ยธ | 08/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ออกตามความในพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พุทธศักราช ๒๔๗๙ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงออกตามความในมาตรา ๕๘ แห่งพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พุทธศักราช ๒๔๗๙ ดังนี้
๑. กำหนดให้ “กุญแจมือและกุญแจเท้า” เป็นเครื่องพันธนาการเพิ่มเติมอีกหนึ่งประเภทที่จะนำไปใช้แก่ผู้ต้องขัง ๒. กำหนดให้กรมราชทัณฑ์สามารถกำหนดรูปแบบหรือลักษณะของเครื่องพันธนาการประเภท “กุญแจมือและกุญแจเท้า” ที่จะนำไปใช้แก่ผู้ต้องขัง ๓. แก้ไขเพิ่มเติมการใช้เครื่องพันธนาการประเภท "กุญแจมือและกุญแจเท้า" สำหรับพันธนาการผู้ต้องขังและในกรณีที่ต้องนำตัวคนต้องขังหรือคนฝากออกไปนอกเรือนจำ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29018 | รายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2554 | พม | 08/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. ๒๕๕๔ ของคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. จำนวนประชากรผู้สูงวัย (อายุตั้งแต่ ๖๐ ปี ขึ้นไป) เพิ่มขึ้นจาก ๑.๒ ล้านคน ในปี พ.ศ. ๒๕๐๓ เป็น ๘.๕ ล้านคน ในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ประชากรผู้สูงอายุในวัยปลายที่มีอายุตั้งแต่ ๘๐ ปีขึ้นไป เพิ่มขึ้นกว่า ๖ เท่าตัว เป็นหญิงมากกว่าชายกว่าร้อยละ ๖๐ อายุคาดเฉลี่ยผู้หญิงอายุประมาณ ๗๘ ปี ผู้ชายอายุประมาณ ๗๑ ปี ผู้สูงอายุมีแนวโน้มที่จะอยู่ลำพังหรืออยู่กับคู่สมรสเพิ่มมากขึ้น ผู้สูงอายุชายมีอัตราการทำงานมากกว่าผู้สูงอายุหญิง ผู้สูงอายุมีแนวโน้มอยู่ในภาวะยากจนสูงกว่ากลุ่มอื่น ผู้สูงอายุในภาวะทุพพลภาพหรือไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันพื้นฐานด้วยตนเองได้เพิ่มขึ้น ร้อยละ ๑๕ ของผู้สูงอายุตั้งแต่ ๘๐ ปีขึ้นไป และเพิ่มขึ้นกว่า ร้อยละ ๓๐ ของผู้สูงอายุที่มีอายุ ๙๐ ปีขึ้นไป ผู้สูงอายุทั้งชายและหญิงเป็นโรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง อัมพฤกษ์/อัมพาต ไตวายเรื้อรัง เพิ่มขึ้น ทัศนคติของประชากรหนุ่มสาวและวัยแรงงานที่มีต่อผู้สูงอายุ มีทัศนคติเชิงบวกต่อผู้สูงอายุ ร้อยละ ๕๗ ๒. นโยบายของรัฐระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๒๕-๒๕๕๔ ให้ความสำคัญกับสุขภาพของผู้สูงอายุเป็นลำดับต้น การรักษาแบบให้เปล่า เน้นการพัฒนาผู้สูงอายุในทุกมิติ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีบทบาทในการดูแล ส่งเสริมคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ เน้นการออม และการสร้างหลักประกันรายได้ อาทิ เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ การส่งเสริมการทำงานให้เหมาะสมกับวัย แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๐ (พ.ศ. ๒๕๕๐-๒๕๕๔) เน้นการเตรียมความพร้อมของคนและระบบตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง แผนผู้สูงอายุแห่งชาติ ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๔๕-๒๕๖๔) ฉบับปรับปรุง ครั้งที่ ๑ ปี พ.ศ. ๒๕๕๒ เป็นแผนยุทธศาสตร์ โดยมุ่งเน้นให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นแผนยุทธศาสตร์และแปลงแผนไปสู่การปฏิบัติในหน่วยงาน มีการกำหนดสิทธิสวัสดิการและการช่วยเหลือผู้สูงอายุในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปี พ.ศ. ๒๕๔๐ และฉบับปี พ.ศ. ๒๕๕๐ และพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. ๒๕๔๖ และฉบับที่ ๒ แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๕๓ ๓. ระบบการดูแลสุขภาพและการสาธารณสุข แผนพัฒนาการสาธารณสุข ฉบับที่ ๑-๔ (พ.ศ. ๒๕๐๔-๒๕๒๔) เน้นการขยายสถานบริการสาธารณสุขขั้นพื้นฐาน การผลิตบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ให้บริการสู่ชนบท ในปี พ.ศ. ๒๕๒๕ แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาสุขภาพผู้สูงอายุ (ปี พ.ศ. ๒๕๒๕-๒๕๔๕) มียุทธศาสตร์ที่สำคัญในการพัฒนาระบบให้บริการสุขภาพของสถานบริการทุกระดับ การพัฒนาศักยภาพกำลังคนด้านการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ พยาบาลด้านผู้สูงอายุ และอาสาสมัครผู้ดูแลผู้สูงอายุในชุมชน ยังคงมีความขาดแคลนบุคลากรรองรับการดูแลผู้สูงอายุ มีการสร้างหลักประกันทางเศรษฐกิจยามชราภาพ โดยระบบบำนาญภาครัฐ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนประกันสังคม เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ มาตรการทางภาษีอากรให้แก่ผู้สูงอายุ มีการสร้างแรงจูงใจวัยทำงานเพื่อสร้างหลักประกันทางเศรษฐกิจยามชราภาพ ส่งเสริมการสร้างหลักประกันให้กับบุพการี ระบบบริการทางสังคมและสวัสดิการทางสังคม และในปี พ.ศ. ๒๕๔๖ พระราชบัญญัติผู้สูงอายุมีผลบังคับใช้ พบว่าหน่วยงานภาครัฐและเอกชนให้บริการด้านสังคมและสวัสดิการแก่ผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น ระบบการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคมของผู้สูงอายุและชุมชน มีศูนย์อเนกประสงค์สำหรับผู้สูงอายุในชุมชน อาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุที่บ้าน การอำนวยความสะดวกในอาคาร สถานที่ และการจัดสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรสำหรับผู้สูงอายุ มีระบบบริการด้านที่อยู่อาศัย ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมสำหรับผู้สูงอายุ และการซ่อมแซมบ้านของผู้สูงอายุ มีที่พักอาศัยรูปแบบคอนโดมิเนียม มีระบบการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของผู้สูงอายุ ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้สูงอายุทางคดี คุ้มครองเป็นพยานในคดีอาญา ส่งเสริมคุณภาพชีวิตผู้ต้องขังสูงอายุ มีบริการสาธารณะ ยกเว้นอัตราค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์ อุทยานแห่งชาติ หรือลดหย่อนอัตราค่าบริการการขนส่งสาธารณะให้กับผู้สูงอายุ ๔. ภาคเอกชนมีบทบาทกับงานด้านผู้สูงอายุมากขึ้น การดำเนินงานด้านผู้สูงอายุในภาคเอกชน มีการจัดบริการทั้งที่ไม่แสวงหาผลกำไรและแสวงหากำไร และให้ความสนใจผู้สูงอายุในฐานะลูกค้ามากขึ้นในด้านการให้บริการต่างๆ เช่น โรงพยาบาล สถานบริการกายภาพบำบัด การออกผลิตภัณฑ์เพื่อการออมเงินระยะยาวรูปแบบใหม่ ประกันชีวิตแบบบำนาญหรือแผนการออมทรัพย์สำหรับผู้สูงอายุ ซึ่งสามารถนำมายกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29019 | การแต่งตั้งข้าราชการ และขอพระราชทานโปรดเกล้า ฯ ให้ข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงมหาดไทยผู้ครบเกษียณอายุพ้นจากราชการ (เพิ่มเติม) (กระทรวงมหาดไทย) (นายสมหวัง ดำรงพงศาวัฒน์) | มท | 08/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายสมหวัง ดำรงพงศาวัฒน์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งวิศวกรใหญ่ (วิศวกรโยธาทรงคุณวุฒิ) กรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่วันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ทั้งนี้ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้ขอให้สำนักราชเลขาธิการนำความกราบบังคมทูลพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ตั้งแต่วันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๕ และให้พ้นจากตำแหน่งตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ เนื่องจากครบเกษียณอายุราชการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29020 | รายงานการดำเนินการจัดทำโครงการความร่วมมือในการป้องกันและควบคุมโรคมาลาเรียระหว่างชายแดนไทย - เมียนมาร์ ภายใต้โครงการท่าเรือน้ำลึกทวาย | สธ | 08/01/2556 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการดำเนินการจัดทำโครงการความร่วมมือในการป้องกันและควบคุมโรคมาลาเรียระหว่างชายแดนไทย-เมียนมาร์ ภายใต้โครงการท่าเรือน้ำลึกทวาย ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. วัตถุประสงค์ เพื่อสร้างความร่วมมือในการดำเนินงานป้องกันควบคุมโรคมาลาเรียชายแดนไทย-เมียนมาร์ ภายใต้โครงการท่าเรือน้ำลึกทวาย ๒. วิธีดำเนินงาน ได้แก่ การอบรมวิธีการดำเนินงานป้องกันควบคุมโรคมาลาเรียให้แก่มาลาเรียคลินิกชุมชนชายแดน และบุคลากรเมียนมาร์ การสนับสนุนวัสดุอุปกรณ์ เช่น RDT, ACT, มุ้ง สารเคมี มุ้งชุบสารเคมี ยาทากันยุง กล้องจุลทรรศน์ ฯลฯ การรักษาและส่งต่อผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงมารักษาที่โรงพยาบาล รวมทั้งการนิเทศ ติดตามประเมินผล และสรุปบทเรียน ๓. งบประมาณ จำนวน ๙,๒๕๐,๐๐๐ บาท ของกรมควบคุมโรค ๔. สถานที่ดำเนินโครงการ/ระยะเวลา พื้นที่จัดอบรมในประเทศไทยและสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ระหว่างเดือนพฤศจิกายน ถึงเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ ๕. กลุ่มเป้าหมาย ๕.๑ ผู้ร่วมดำเนินการ ได้แก่ คณะทำงานจากสำนักโรคติดต่อนำโดยแมลง และกรมควบคุมโรค และสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ ๔ ราชบุรี ๕.๒ ผู้ใช้ประโยชน์ ได้แก่ ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข และกรมควบคุมโรค นักวิชาการสาธารณสุขจากสำนักโรคติดต่อนำโดยแมลง และกรมควบคุมโรคและสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด รวมทั้งนักวิชาการจากโครงการควบคุมโรคประเทศเพื่อนบ้าน ๖. บุคลากรที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญด้านมาลาเรียนานาชาติ ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข และกรมควบคุมโรค นักวิชาการจากโครงการควบคุมโรคประเทศไทยและสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์
|