ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1453 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 29041 - 29060 จากข้อมูลทั้งหมด 124231 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
29041 | การขอโอนสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ 1/2547/67 แปลงสำรวจบนบก หมายเลข L10/43 และ L11/43 | พน | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอให้บริษัท GS Caltex Corporation โอนสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ ๑/๒๕๔๗/๖๗ แปลงสำรวจบนบกหมายเลข L10/43 และ L11/43 ให้แก่ บริษัท GS Energy Corporation ในอัตราร้อยละ ๓๐ โดยอาศัยตามมาตรา ๕๐ แห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๑๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๕๐ และตามมาตรา ๒๒ (๗) แห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๑๔ แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา ๖ แห่งพระราชบัญญัติปิโตรเลียม (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๕๐ ซึ่งกำหนดให้เป็นอำนาจของรัฐมนตรีโดยคำแนะนำของคณะกรรมการปิโตรเลียม และต้องได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี โดยให้ออกเป็นสัมปทานปิโตรเลียมเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๓) ของสัมปทานปิโตรเลียมเลขที่ ๑/๒๕๔๗/๖๗ ตามแบบ ชธ/ป๓/๑ ที่กำหนดให้กฎกระทรวงกำหนดแบบสัมปทานปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๕๕
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29042 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงพลังงานแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงปิโตรเลียมและทรัพยากรแร่ธาตุ สาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต ว่าด้วยการพัฒนาด้านพลังงาน | พน | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงพลังงานแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงปิโตรเลียมและทรัพยากรแร่ธาตุ สาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต ว่าด้วยการพัฒนาด้านพลังงาน (Memorandum of Understanding between the Ministry of Energy of the Kingdom of Thailand and the Ministry of Petroleum and Mineral Resources of Democratic Republic of Timor-Leste on Joint Cooperation in Energy Development) ซึ่งมีสาระสำคัญโดยสรุป คือ ๑.๑ ขอบเขตของความร่วมมือด้านพลังงานลักษณะกว้าง ๆ ได้แก่ ๑.๑.๑ การแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายปิโตรเลียม อุตสาหกรรมปิโตรเลียม และการดำเนินการของสถาบันที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมปิโตรเลียม กฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง ๑.๑.๒ การร่วมกันจัดเตรียมการศึกษาร่วมและโครงการความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย ๑.๑.๓ การฝึกอบรมหลักสูตรเฉพาะสำหรับผู้เชี่ยวชาญ และการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนการเยือนของผู้เชี่ยวชาญ ผู้บริหารในด้านปิโตรเลียมและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ๑.๑.๔ การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างบริษัทน้ำมันแห่งชาติของคู่ภาคี ๑.๑.๕ การเข้าร่วมสัมมนา จัดการประชุมและการจัดนิทรรศการร่วมกัน ๑.๑.๖ การให้ความช่วยเหลือในการกำหนดและนำนโยบาย การประชุม และการจัดนิทรรศการร่วมกัน รวมถึงการให้ความช่วยเหลือในการกำหนดและประยุกต์นำนโยบาย กฎหมายและกฎระเบียบไปใช้ในกิจกรรมอุตสาหกรรมปิโตรเลียมของแต่ละฝ่าย ๑.๒ การกำหนดให้มีการจัดตั้งคณะทำงาน เพื่อทำหน้าที่ประสานงาน และดำเนินการตามกิจกรรม แผนงาน และโครงการความร่วมมือต่าง ๆ โดยค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมนั้นแต่ละฝ่ายจะเป็นผู้รับผิดชอบ ๑.๓ บันทึกความเข้าใจฯ จะมีผลบังคับใช้เป็นระยะเวลา ๓ ปี นับตั้งแต่วันที่มีการลงนาม และจะขยายเวลาออกไปโดยอัตโนมัติในแต่ละครั้งอีก ๓ ปี หากไม่มีการบอกเลิกบันทึกความเข้าใจฯ ดังกล่าวเป็นลายลักษณ์อักษรให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบ ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29043 | ขออนุมัติเช่ารถยนต์ประจำตำแหน่งและก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ และขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับสิทธิในการเลือกรับรถประจำตำแหน่งหรือรับเงินค่าตอบแทนเหมาจ่ายแทนการจัดหารถประจำตำแหน่ง | กต | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติเช่ารถยนต์สำหรับข้าราชการผู้มีสิทธิได้รถประจำตำแหน่งซึ่งอยู่ในหลักเกณฑ์เลื่อนระดับสูงขึ้นหรือโยกย้ายไปดำรงตำแหน่งใหม่ และเช่าทดแทนรถคันเก่าที่ได้มาด้วยวิธีซื้อซึ่งมีอายุการใช้งานเกินกว่า ๖ ปี ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถพิจารณาจัดหารถยนต์คันใหม่ได้ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยรถราชการ พ.ศ. ๒๕๒๓ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ ๑๑ วรรคท้าย รวมทั้งสิ้นจำนวน ๑๐ คัน ได้แก่ รถประจำตำแหน่งอธิบดีหรือเทียบเท่า ในวงเงินไม่เกินคันละ ๓๕,๒๘๐ บาทต่อเดือน จำนวน ๔ คัน และรถประจำตำแหน่งรองอธิบดีหรือเทียบเท่า ในวงเงินไม่เกินคันละ ๒๖,๑๐๐ บาทต่อเดือน จำนวน ๖ คัน ๑.๒ อนุมัติยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๑ (เรื่อง การปรับเพิ่มค่าตอบแทนเหมาจ่ายแทนการจัดหารถยนต์ประจำตำแหน่งและการพิจารณาทบทวนหลักเกณฑ์การเช่า/ซื้อรถยนต์) ที่กำหนดให้ผู้มีสิทธิได้รับรถประจำตำแหน่งจะเปลี่ยนการใช้สิทธิได้เฉพาะกรณีที่บุคคลดังกล่าวได้รับการเลื่อนระดับหรือโยกย้ายไปดำรงตำแหน่งใหม่ ทั้งนี้ เพื่อให้ข้าราชการผู้มีสิทธิ จำนวน ๔ คน ที่ปัจจุบันอยู่ในตำแหน่งเดิมและใช้สิทธิเลือกรับค่าตอบแทนเหมาจ่ายแทนการจัดหารถประจำตำแหน่งไปแล้ว สามารถเปลี่ยนแปลงการใช้สิทธิเป็นการเลือกรับรถประจำตำแหน่ง และขออนุมัติทำสัญญาเช่ารถประจำตำแหน่ง รวมทั้งสิ้นจำนวน ๔ คัน ได้แก่ รถประจำตำแหน่งอธิบดีหรือเทียบเท่า ในวงเงินไม่เกินคันละ ๓๕,๒๘๐ บาทต่อเดือน จำนวน ๒ คัน และรถประจำตำแหน่งรองอธิบดีหรือเทียบเท่า ในวงเงินไม่เกินคันละ ๒๖,๑๐๐ บาทต่อเดือน จำนวน ๒ คัน ๒. ในส่วนของงบประมาณค่าใช้จ่ายให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้กระทรวงการต่างประเทศก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการค่าเช่ารถยนต์ จำนวน ๑๔ คัน ระยะเวลา ๕ ปี เริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖-พ.ศ. ๒๕๖๐ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการเช่ารถยนต์ดังกล่าว ตั้งแต่เดือนมกราคม ๒๕๕๖ เป็นต้นไป โดยมีวงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาสัญญาเช่าทั้งสิ้น ๒๓,๙๖๗,๔๐๐ บาท สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๓,๗๘๔,๔๐๐ บาท ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ที่ได้รับจัดสรรในงบดำเนินงาน สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-พ.ศ.๒๕๖๐ ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29044 | รายงานความเห็นเกี่ยวกับรายงานฉบับสมบูรณ์ของ คอป. | นร01 | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความเห็นเกี่ยวกับรายงานฉบับสมบูรณ์ เดือนกรกฎาคม ๒๕๕๓-กรกฎาคม ๒๕๕๕ ของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการประสานและติดตามผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (ปคอป.) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ส่วนที่ ๑ บทนำ ข้อมูลเบื้องต้นของ คอป. งบประมาณ บุคลากร ความร่วมมือกับหน่วยงานในประเทศและต่างประเทศ และกิจกรรมต่างๆ ในภาพรวม ปคอป. มีข้อเสนอว่าเห็นควรรับทราบ ๒. ส่วนที่ ๒ สรุปเหตุการณ์ความรุนแรงและการละเมิดสิทธิ ในภาพรวม ปคอป. เห็นว่า ประเด็นที่ระบุเป็นการตรวจสอบค้นหาความจริงโดย คอป. ซึ่งมีความเห็นที่หลากหลายไม่มีข้อยุติ ประกอบกับยังมีอีกหลายหน่วยงานและองค์กรที่ทำหน้าที่ค้นหาความจริงตามกฎหมาย เช่น คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมสอบสวนคดีพิเศษ และสำนักงานอัยการสูงสุด จึงเสนอว่าเห็นควรให้ประเด็นการตรวจสอบและค้นหาความจริงของเหตุการณ์เดือนเมษายน-พฤษภาคม ๒๕๕๓ เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม พร้อมทั้งมีความเห็นและข้อเสนอเพิ่มเติมว่า ควรเรียกร้องให้ทุกฝ่ายพิจารณาข้อมูลที่นำเสนอ ด้วยความมีเหตุมีผล มีสติ มีขันติร่วมกันสร้างบรรยากาศการรับฟังหรือโต้แย้งในขอบเขต โดยนำพยานหลักฐานมาชี้แจงให้ปรากฏเป็นที่ประจักษ์ เพื่อนำไปสู่ความเข้าใจ การยอมรับ ให้อภัย ใช้เป็นบทเรียนและก้าวผ่านความขัดแย้งไปสู่ความสามัคคีปรองดองอย่างยั่งยืนต่อไป ๓. ส่วนที่ ๓ สาเหตุและรากเหง้าของปัญหา ในภาพรวม ปคอป. เห็นควรพิจารณาส่วนที่ ๓ ร่วมกับส่วนที่ ๕ ซึ่งเป็นข้อเสนอแนะ ๔. ส่วนที่ ๔ เหยื่อ และการเยียวยาและฟื้นฟูเหยื่อ ในภาพรวม ปคอป. เห็นว่า ประเด็นที่ระบุ ปคอป. เสนอให้มีการพิจารณาดำเนินการให้เกิดผลในทางปฏิบัติโดยเร็ว เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องที่ได้รับผลกระทบและความเสียหายอันเกิดจากความขัดแย้งทางการเมืองได้รับการช่วยเหลือเยียวยาอย่างเหมาะสมเป็นธรรม เป็นไปตามหลักนิติธรรมและความเสมอภาค เพื่อนำไปสู่ความปรองดองและความสมานฉันท์ของคนในชาติมาอย่างต่อเนื่องส่วนหนึ่งแล้ว โดยให้คณะอนุกรรมการฯ คณะต่างๆ ทำหน้าที่ตามภารกิจ และมีการดำเนินการที่สำคัญ ได้แก่ การดำเนินการเยียวยาทางอาญาในคดีที่มีลักษณะเกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางการเมือง การเยียวยาและฟื้นฟูเหยื่อและผู้เสียหาย ตลอดจนผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงหรือความขัดแย้งทางการเมือง โดยลำดับแรกให้ความช่วยเหลือเยียวยาด้านการเงินตามหลักมนุษยธรรมสำหรับผู้เสียหายด้านชีวิตและร่างกายแล้ว รวมทั้งการดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ โดยการจัดเวทีประชาเสวนาหาทางออกประเทศไทย ๕. ส่วนที่ ๕ ข้อเสนอแนะ ในภาพรวม ปคอป. เห็นว่า ประเด็นที่ระบุในส่วนที่ ๓ และ ๕ สอดคล้องกับรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ สภาผู้แทนราษฎร และรายงานของสถาบันพระปกเกล้า ควรนำประเด็นข้อเสนอแนะดังกล่าวไปสู่การสานเสวนาในรูป “ประชาเสวนา” ตามที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบในหลักการให้ไปดำเนินการแล้ว เพื่อให้ประชาชนได้เรียนรู้รากเหง้าของปัญหาความขัดแย้ง การยุติความขัดแย้ง และการสร้างความปรองดองที่ยั่งยืนต่อไป รวมทั้งได้มีความเห็นและข้อเสนอเพิ่มเติมว่า แนวทางการปฏิบัติตามข้อเสนอแนะของ คอป. ในส่วนที่ ๕ ข้อ ๕.๑๔ เป็นประเด็นสำคัญที่ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องควรได้มีการศึกษาทำความเข้าใจ และนำไปใช้ประโยชน์ในการปฏิบัติให้เป็นรูปธรรม โดยคำนึงถึงบทบาท อำนาจหน้าที่ ด้วยความเหมาะสมต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29045 | ร่างกฎ ก.พ. ว่าด้วยการสั่งให้ข้าราชการพลเรือนสามัญออกจากราชการกรณีเจ็บป่วยไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ราชการของตนได้โดยสม่ำเสมอ พ.ศ. .... | นร10 | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติร่างกฎ ก.พ. ว่าด้วยการสั่งให้ข้าราชการพลเรือนสามัญออกจากราชการกรณีเจ็บป่วยไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ราชการของตนได้โดยสม่ำเสมอ พ.ศ. .... ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎ ก.พ.ฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุมีอำนาจพิจารณาดำเนินการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญออกจากราชการเพื่อรับบำเหน็จบำนาญเหตุทดแทนกรณีเจ็บป่วยไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ราชการของตนได้โดยสม่ำเสมอ กรณีปรากฏว่ามีวันลาป่วยรวมกัน ๑ ปีงบประมาณ เกิน ๑๒๐ วันทำการ หรือมีวันลาป่วยรวมกันเกิน ๖๐ วันทำการในแต่ละปีงบประมาณติดต่อกัน ๒ ปีงบประมาณ ทั้งนี้ ไม่รวมกรณีเจ็บป่วยเพราะเหตุปฏิบัติราชการในหน้าที่ และกรณีต้องเข้าบำบัดรักษาทางสุขภาพจิตตามกฎหมายว่าด้วยสุขภาพจิต โดยมีเวลารวมกันเกิน ๑๒๐ วัน ๑.๒ กำหนดให้ผู้บังคับบัญชาส่งตัวผู้นั้นไปรับการตรวจจากสถานพยาบาลของรัฐ เพื่อนำผลการตรวจและความเห็นของแพทย์มาประกอบการพิจารณา กรณีเห็นว่าผู้นั้นต้องลาป่วยต่อไปอีกจนไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้ผู้นั้นออกจากราชการเพื่อรับบำเหน็จบำนาญเหตุทดแทน หรือเห็นควรให้พักรักษาตัวต่อไปอีก แต่ต้องไม่เกิน ๖๐ วันทำการ และเมื่อครบกำหนดให้ผู้นั้นไปรับการตรวจจากสถานพยาบาลของรัฐอีกครั้งหนึ่ง ถ้าผู้นั้นยังต้องรักษาตัวต่อไปอีกให้สั่งให้ผู้นั้นออกจากราชการเพื่อรับบำเหน็จบำนาญเหตุทดแทน ๑.๓ กำหนดให้ผู้บังคับบัญชามีอำนาจสั่งให้ส่งตัวผู้ที่มีความผิดปกติทางจิตที่น่าจะก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่นเข้ารับการตรวจวินิจฉัยและประเมินอาการ กรณีที่สถานพยาบาลของรัฐเห็นว่าผู้นั้นต้องเข้ารับการบำบัดรักษาเป็นเวลาเกิน ๑๒๐ วัน ให้สั่งให้ผู้นั้นออกจากราชการเพื่อรับบำเหน็จบำนาญเหตุทดแทน ๒. ให้สำนักงาน ก.พ. รับความเห็นของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการกำหนดระยะเวลารวมกันเกิน ๑๒๐ วัน ตามร่างข้อ ๓ (๒) มิได้มีการกำหนดระยะเวลาเข้ารับการบำบัดรักษาใน ๑ ปีงบประมาณ หรือในแต่ละปีงบประมาณติดต่อกันเกิน ๒ ปี เช่นอย่างที่กำหนดไว้ในร่างข้อ ๓ (๑) จึงอาจจะเป็นปัญหาในการตีความภายหลังได้ และร่างข้อ ๔ ที่กำหนดให้ผู้บังคับบัญชาส่งข้าราชการพลเรือนผู้ลาป่วยไปรับการตรวจจากสถานพยาบาลของรัฐ อาจเป็นการกระทำอันกระทบสิทธิและเสรีภาพที่ขัดต่อบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๙ และมาตรา ๓๒ เนื่องจากพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ มิได้มีบทบัญญัติใดให้อำนาจผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๕๗ ส่งตัวผู้นั้นไปรับการตรวจจากสถานพยาบาลของรัฐได้ ไปพิจารณาดำเนินการ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29046 | แผนเตรียมรับสถานการณ์ภัยพิบัติด้านการเกษตร ประจำปีงบประมาณ 2556 | กษ | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแผนเตรียมรับสถานการณ์ภัยพิบัติด้านการเกษตร ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้ประโยชน์และเป็นกรอบแนวทางการดำเนินงานในการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติด้านการเกษตร ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้
๑. มาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ๑.๑ ด้านการป้องกัน (Prevention) ประกอบด้วย การพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อป้องกันและบรรเทาปัญหาภัยแล้ง เช่น การพัฒนาโครงการแก้มลิง การก่อสร้างแหล่งน้ำและระบบส่งน้ำ การก่อสร้างชลประทานขนาดกลาง และการพัฒนาแหล่งน้ำนอกเขตชลประทาน เป็นต้น ๑.๒ ด้านการเตรียมความพร้อม (Preparation) ประกอบด้วย การจัดทำแผนการปฏิบัติการฝนหลวงและจัดตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวง การวางแผนจัดสรรน้ำและการปลูกพืชฤดูแล้ง การส่งเสริมอาชีพให้เกษตรกรเพื่อสร้างรายได้ในช่วงฤดูแล้ง การเฝ้าระวังและแจ้งเตือนภัย การจัดทำข้อมูลพื้นที่เสี่ยงภัยแล้ง/ฝนทิ้งช่วง การสำรองเมล็ดพันธุ์พืช เสบียงอาหารสัตว์และเวชภัณฑ์ยา รวมทั้งเตรียมความพร้อมเครื่องสูบน้ำและรถบรรทุกน้ำ เพื่อช่วยเหลือพื้นที่ประสบภัย ๑.๓ ด้านการเผชิญเหตุ (Response) ประกอบด้วย การแจ้งเตือนภัยและประชาสัมพันธ์ การปฏิบัติการฝนหลวง การปรับแผนการระบายน้ำและปรับรอบเวรการใช้น้ำ การจัดชุดเฉพาะกิจลงพื้นที่ประสบภัย การสนับสนุนเสบียงอาหารสัตว์ เครื่องสูบน้ำ และรถบรรทุกน้ำ เพื่อช่วยเหลือพื้นที่ประสบภัย ๑.๔ ด้านการฟื้นฟู (Recovery) ดำเนินการสำรวจและประเมินความเสียหายเพื่อให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัย โดยใช้เงินงบกลาง หรือเงินทดรองราชการ ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๖ รวมทั้งให้การฟื้นฟูอาชีพเกษตรกร ๒. มาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัย ๒.๑ ด้านการป้องกัน (Prevention) โครงการที่สำคัญ ได้แก่ โครงการตามแผนปฏิบัติการบรรเทาอุทกภัยระยะเร่งด่วนและระยะยั่งยืนของรัฐบาล การพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อป้องกันและบรรเทาปัญหาอุทกภัยที่ใช้งบปกติของหน่วยงาน การขุดลอกกำจัดวัชพืชในคลองและแหล่งน้ำต่างๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายน้ำ การพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศเพื่อการพยากรณ์และแจ้งเตือนภัย และวางระบบโทรมาตรเพื่อการพยากรณ์น้ำและเตือนภัยลุ่มน้ำต่างๆ ๒.๒ ด้านการเตรียมความพร้อม (Preparation) ประกอบด้วย การเฝ้าระวังและแจ้งเตือนภัย การจัดทำข้อมูลพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยและดินถล่ม จัดทำข้อมูลทะเบียนเกษตรกร และการเตรียมความพร้อมของหน่วยงานในด้านต่างๆ เช่น แผนการบริหารจัดการน้ำหลาก แผนการจัดสรรน้ำและการปลูกพืชฤดูฝน แผนเตรียมความพร้อมด้านอาหารในสถานการณ์ฉุกเฉิน (Food Emergency) เป็นต้น ๒.๓ ด้านการเผชิญเหตุ (Response) ประกอบด้วย การแจ้งเตือนภัยและประชาสัมพันธ์ การบริหารจัดการน้ำเพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัย เช่น การปรับแผนการระบายน้ำจากอ่างเก็บน้ำ การส่งน้ำเข้าระบบชลประทานในพื้นที่การเกษตร การเสริมคันกั้นน้ำในจุดต่างๆ เป็นต้น รวมทั้งจัดชุดเฉพาะกิจลงพื้นที่ประสบภัย ให้การสนับสนุนยานพาหนะ เครื่องสูบน้ำ เครื่องผลักดันน้ำ เพื่อช่วยเหลือพื้นที่ประสบภัย ๒.๔ ด้านการฟื้นฟู (Recovery) ดำเนินการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยโดยใช้เงินงบกลาง หรือเงินทดรองราชการตามระเบียบกระทรวงการคลังฯ การจัดเตรียมโครงการฟื้นฟูอาชีพเกษตรกร เช่น การช่วยเหลือเมล็ดพันธุ์ข้าวแก่เกษตรกรที่ประสบอุทกภัย การให้ความช่วยเหลือด้านหนี้สินแก่สมาชิกสถาบันเกษตรกร รวมถึงการซ่อมแซมฟื้นฟูแหล่งน้ำและระบบชลประทาน ๓. มาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาศัตรูพืชระบาด ๓.๑ ด้านการป้องกัน (Prevention) ประกอบด้วย การเฝ้าระวังและเตือนภัยการระบาดของศัตรูพืช การสร้างความเข้มแข็งของเกษตรกรและชุมชนในการจัดการศัตรูพืช และการศึกษาวิจัยด้านการป้องกันกำจัดศัตรูพืช ๓.๒ ด้านการเตรียมความพร้อม (Preparation) ดำเนินงานศูนย์ประสานงานป้องกันและแก้ไขปัญหาการระบาดศัตรูพืชในทุกระดับ เตรียมความพร้อมด้านปัจจัยในการป้องกันกำจัดศัตรูพืช และให้คำแนะนำทางวิชาการแก่เกษตรกร ๓.๓ ด้านการเผชิญเหตุ (Response) ประกอบด้วย การแจ้งเตือนภัยและประชาสัมพันธ์ การตัดวงจรแพร่ระบาดของศัตรูพืช และการจำกัดพื้นที่ระบาดของศัตรูพืช ๓.๔ ด้านการฟื้นฟู (Recovery) ดำเนินการสำรวจและประเมินความเสียหาย เพื่อให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29047 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ความคืบหน้าโครงการจัดระบบการปลูกข้าว ปี 2555 | กษ | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ความคืบหน้าโครงการจัดระบบการปลูกข้าว ปี ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินงานโครงการจัดระบบการปลูกข้าว ๑.๑ การสนับสนุนเมล็ดพันธุ์พืชหลังนา รวม ๓,๑๗๘.๖๗๔ ตัน ประกอบด้วย ถั่วเขียว ผลิตได้ ๒,๘๗๔.๑๓๗ ตัน จัดส่งแล้ว ๒,๗๑๙.๑๓๖ ตัน พืชไร่หลังนาชนิดอื่นๆ ๓ ชนิด รวม ๓๐.๙๘๕ ตัน พืชปุ๋ยสด จำนวน ๒๗๓.๕๕๒ ตัน ๑.๒ ผลการปลูกพืชหลังนา ดำเนินการปลูกถั่วเขียวหลังนา ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ ถึงเดือนเมษายน ๒๕๕๕ ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และกำแพงเพชร ๑๘๔,๓๙๖ ไร่ และปลูกในช่วงเดือนกันยายน ถึงเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ พื้นที่ ๑๔๘,๖๔๗ ไร่ รวมจำนวน ๓๓๓,๐๔๓ ไร่ ตามเป้าหมาย สำหรับพืชไร่หลังนาชนิดอื่นๆ และพืชปุ๋ยสดอยู่ระหว่างดำเนินการส่งมอบเมล็ดพันธุ์ให้กับเกษตรกร คาดว่าจะเริ่มปลูกตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ ถึงเดือนมกราคม ๒๕๕๖ ๑.๓ การติดตามประเมินผลโครงการจัดระบบการปลูกข้าว ปีเพาะปลูก ๒๕๕๔/๕๕ ๑.๓.๑ เกษตรกรที่ร้อยละ ๙๕ เลือกปลูกถั่วเขียวเป็นพืชหลังนา ๑.๓.๒ เกษตรกรที่ได้รับเมล็ดพันธุ์ถั่วเขียวไปปลูกระบุว่าเพียงพอ และเมล็ดพันธุ์มีความงอกดี ๑.๓.๓ จากดำเนินงานโครงการฯ มีการใช้น้ำชลประทานลดลง ๙๗๙ ล้านลูกบาศก์เมตร จากเป้าหมาย ๑,๒๐๐-๒,๐๐๐ ล้านลูกบาศก์เมตร ๑.๓.๔ ผลผลิตข้าวนาปรังเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก ๗๑๑ กิโลกรัมต่อไร่ เป็น ๗๕๖ กิโลกรัมต่อไร่ เพิ่มขึ้น ๔๕ กิโลกรัมต่อไร คิดเป็นร้อยละ ๖.๓๒ จากเป้าหมายทั้งโครงการฯ ๓ ปี (ปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗) คือ ร้อยละ ๒๐ ๑.๓.๕ พื้นที่ปลูกข้าวนาปรังในช่วงเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๔ ถึงเดือนเมษายน ๒๕๕๕ มีพื้นที่ระบาดเป็นบางจุดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลลดลงเหลือร้อยละ ๒๘ จากร้อยละ ๕๔ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๓/๕๔ ๑.๓.๖ เกษตรกรมีต้นทุนการผลิตข้าวนาปรังเฉลี่ยลดลงจาก ๗,๓๐๙ บาทต่อตัน เหลือ ๖,๙๐๒ บาทต่อตัน ลดลง ๔๐๗ บาทต่อตัน คิดเป็นร้อยละ ๕.๕๗ เนื่องจากปริมาณการใช้ปุ๋ยเคมีเฉลี่ยของเกษตรกรลดลง มูลค่าการใช้สารเคมีเฉลี่ยของเกษตรกรลดลง รวมทั้งปริมาณการใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวเฉลี่ยของเกษตรกรลดลง ๑.๓.๗ เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการฯ ร้อยละ ๙๖ มีความประสงค์จะเข้าร่วมโครงการจัดระบบการปลูกข้าวในปีต่อไป เนื่องจากเกษตรกรเห็นว่าการจัดระบบปลูกข้าวสามารถแก้ไขปัญหาดินเสื่อมโทรม ลดการระบาดของเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ผลผลิตข้าวเพิ่มขึ้น และแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำ ๒. ปัญหาอุปสรรค เนื่องจากเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ในช่วงปลายปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ทำให้ข้าวนาปีของเกษตรกรเสียหายมีผลประทบต่อการจัดระบบการปลูกข้าว ปี ๒๕๕๕ ประกอบกับเกษตรกรมีการเปลี่ยนแผนการปลูกพืชหลังนา (ถั่วเขียว) รวมทั้งถั่วเขียวที่ปลูกช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน ๒๕๕๕ ได้รับผลกระทบจากภาวะภัยแล้ง ฝนตกน้ำท่วม จึงต้องไถกลบ เป็นต้น สำหรับแนวทางแก้ไข ได้มีการกำหนดช่วงเวลาการปลูกข้าวใหม่เพื่อให้เก็บเกี่ยวข้าวก่อนน้ำท่วม มีการเลือกชนิดพันธุ์พืชที่เหมาะสมกับสภาพและศักยภาพของพื้นที่ ตลอดจนทบทวนช่วงเวลาปลูกพืชหลังนา/พืชปุ๋ยสด หรือเว้นปลูก และการบริหารจัดการน้ำใหม่ เพื่อให้มีความสอดคล้องกับการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมของรัฐบาล และลดความเสี่ยงจากน้ำท่วมที่ส่งผลทำให้ผลผลิตข้าวเสียหายเนื่องจากไม่สามารถเก็บเกี่ยวหนีน้ำได้ รวมทั้งคณะกรรมการบริหารและกำกับดูแลโครงการจัดระบบการปลูกข้าวระดับจังหวัดควรมีการจัดประชุมเพื่อทราบความก้าวหน้าโครงการและการเตรียมการในเรื่องของการสนับสนุนเมล็ดพันธุ์ให้เกษตรกร
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29048 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ยุทธศาสตร์การแข่งขันกล้วยไม้ไทยในตลาดโลก พ.ศ. 2554 - 2559 ปีงบประมาณ 2555 | กษ | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๓ (เรื่อง ยุทธศาสตร์การแข่งขันกล้วยไม้ไทยในตลาดโลก พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๕๙) ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การดำเนินงานในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ กรมส่งเสริมการเกษตรและหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี ประกอบด้วย แผนงานเพิ่มศักยภาพการแข่งขันด้านการตลาดส่งออก แผนงานส่งเสริมการผลิตกล้วยไม้คุณภาพ แผนงานพัฒนาและสร้างสรรค์นวัตกรรม แผนงานพัฒนาองค์กร และแผนงานส่งเสริมการใช้และสนับสนุนการส่งออก ๑.๒ ผลกระทบจากการดำเนินการ ๑.๒.๑ ปริมาณการส่งออกกล้วยไม้ตัดดอกของไทยในช่วงเดือนมกราคม-สิงหาคม ๒๕๕๕ ลดลงร้อยละ ๑๙.๓ (ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ และปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ปริมาณการส่งออก ๑๕,๓๕๐.๓๓ ตัน และ ๑๒,๓๘๑ ตัน ตามลำดับ) คิดเป็นมูลค่าลดลง ร้อยละ ๘.๓ (ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ และปี พ.ศ. ๒๕๕๕ มูลค่าการส่งออก ๑,๔๕๑.๖ ล้านบาท และ ๑,๓๓๑.๐ ล้านบาท ตามลำดับ) ปริมาณการส่งออกกล้วยไม้ต้นของไทยลดลง ร้อยละ ๙.๑ (ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ และปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ปริมาณการส่งออก ๒๑.๙ ล้านต้น และ ๑๙.๙ ล้านต้น ตามลำดับ) แต่เมื่อคิดเป็นมูลค่าแล้วส่งออกเพิ่มขึ้น ร้อยละ ๓.๔ (ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ และปี พ.ศ. ๒๕๕๕ มูลค่าการส่งออก ๓๗๑.๒ ล้านบาท และ ๓๘๓.๗ ล้านบาท ตามลำดับ) ๑.๒.๒ เกิดการดำเนินการแบบบูรณาการของหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอื่นที่เกี่ยวข้อง ภาคเอกชน สมาคมต่าง ๆ และสหกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับกล้วยไม้ เพื่อร่วมกันพัฒนาและแก้ไขปัญหาทำให้การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ๑.๒.๓ เกษตรกรมีการรวมกลุ่มกันเป็นสมาคม สหกรณ์ และคลัสเตอร์กล้วยไม้ ทำให้เกิดความเข้มแข็งในองค์กรเกษตรกร ๑.๒.๔ มีแผนยุทธศาสตร์ด้านการวิจัยกล้วยไม้ ๑.๒.๕ มีระบบเครือข่ายข้อมูลกล้วยไม้ (เว็บไซต์ Orchid Net) ๑ ระบบ ซึ่งจะพัฒนาไปสู่เว็บไซต์ระดับโลก (World Orchid Net) ในอนาคต ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควรรายงานให้ทราบถึงสาเหตุของปัญหาที่พบและผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นด้วย เช่น ควรระบุปัญหาอุปสรรคกรณีที่หน่วยงานไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณตามกรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ การส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์และแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศกับต่างประเทศที่เป็นตลาดหลักทั้งในด้านการผลิต การบริหารจัดการ และการตลาด การส่งเสริมให้มีการจับคู่ทางธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการไทยกับภาคเอกชนท้องถิ่นในตลาดใหม่ที่นิยมกล้วยไม้ไทย และเพิ่มการประชาสัมพันธ์จุดเด่นของกล้วยไม้ไทย การส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์การเรียนรู้และการประกวดกล้วยไม้นานาชาติ การเร่งสร้างความตระหนักรู้แก่เกษตรกรเรื่องการประกอบการตามมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี และการทำเกษตรอย่างยั่งยืน การรณรงค์ส่งเสริมให้เกษตรกรเห็นความสำคัญและสนใจในมาตรการควบคุมคุณภาพปัจจัยการผลิต และนำมาตรฐานสินค้าเกษตรมาใช้อย่างจริงจัง เพื่อจูงใจให้เข้าสู่ระบบการจัดการคุณภาพการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับพืช (Good Agricultural Practice ; GAP) การจัดทำโรดแมป (roadmap) และเป้าหมายรายทางของผลลัพธ์ที่จะเกิดในแต่ละช่วงเวลา การศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อมูลสินค้ากล้วยไม้เชิงเปรียบเทียบกับประเทศคู่แข่งและคู่ค้าเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน การขยายตลาดใหม่ ๆ ให้มากขึ้นเพื่อทดแทนตลาดส่งออกเดิมที่ประสบปัญหาเศรษฐกิจ การส่งเสริมให้มีตลาดกลางในการประมูลกล้วยไม้เพื่อพัฒนากลไกตลาดให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งการส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนใช้ดอกกล้วยไม้ของไทยอย่างแพร่หลายในการจัดงานและพิธีการต่าง ๆ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29049 | ผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ ครั้งที่ 12 | ทก | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ ครั้งที่ ๑๒ (The 12th ASEAN Telecommunications and IT Ministers Meeting : The 12th TELMIN) ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ ๑๕-๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ณ เมืองเซบู สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุม ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าของกิจกรรม/โครงการภายใต้การดำเนินงานของเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ (TELSOM) ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๕๕ รวมทั้งข้อเสนอของ TELSOM ที่จะมีการทบทวนแผนแม่บทไอซีทีอาเซียนเพื่อประเมินผลสำเร็จและการดำเนินการตามแผนแม่บทฯ โดยจะเป็นการทบทวนข้อริเริ่มแผนงานที่บรรจุภายใต้แผนแม่บทฯ รวบรวมสถานะ การดำเนินโครงการ และผลการศึกษา รวมถึงจัดทำตัวชี้วัดการดำเนินการตามแผนแม่บทฯ โดยจะเริ่มดำเนินการและจัดทำให้แล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ๒. ที่ประชุมได้รับรองผลการประชุมสภาหน่วยงานกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมแห่งอาเซียน (ATRC) ครั้งที่ ๑๘ ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ ๔-๕ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ณ เมืองสีหนุวิลล์ ราชอาณาจักรกัมพูชา โดยมีประเด็นสำคัญ ได้แก่ คณะทำงานเฉพาะกิจด้านโครงสร้างพื้นฐานทางสารสนเทศอาเซียน การจัดให้มีเวทีการส่งเสริมการใช้สื่อสังคมออนไลน์อย่างมีประสิทธิภาพและมั่นคงปลอดภัย กฎระเบียบด้านความมั่นคงปลอดภัยบนโครงข่าย การรณรงค์เพื่อส่งเสริมความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ และการบริหารจัดการคลื่นความถี่ ๓. ที่ประชุมรับทราบสถานะของเงินกองทุนไอซีทีอาเซียน (ASEAN ICT Fund) ซึ่งเป็นเงินสมทบจากประเทศสมาชิกอาเซียน ๑๐ ประเทศ ที่ใช้ในการสนับสนุนโครงการ/กิจกรรม ความร่วมมือด้านไอซีที โดย ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ กองทุนฯ มีเงินคงเหลือ จำนวน ๓,๗๑๙,๒๔๖.๗๒ ดอลลาร์สหรัฐ ในการนี้ ได้เห็นชอบและอนุมัติงบประมาณ จำนวน ๔๖๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ จากกองทุนฯ เพื่อใช้ในการดำเนินโครงการด้านไอซีที ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ๔. ที่ประชุมได้รับรองปฏิญญาเซบู ว่าด้วยการมุ่งไปสู่เป้าหมายการเชื่อมโยงในอาเซียน (Mactan Cebu Declaration : Connected ASEAN : Enabling Aspirations) ซึ่งเป็นเอกสารแสดงเจตนารมณ์และความมุ่งมั่นในการดำเนินความร่วมมือและการพัฒนาไอซีทีในภูมิภาคอาเซียนให้มีความแข็งแกร่ง โดยให้ความสำคัญกับการนำไอซีทีมาขับเคลื่อนให้เกิดการปฏิรูปทางเศรษฐกิจ การมีส่วนร่วมของประชาชน การเสริมสร้างศักยภาพให้กับประชาชน การสร้างนวัตกรรม การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และลดช่องว่างทางดิจิทัล รวมถึงกำหนดแผนงานที่มีความสำคัญต่อการดำเนินการตามแผนแม่บทไอซีทีอาเซียน ๕. ที่ประชุมยินดีต่อการลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างอาเซียนและสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศว่าด้วยความร่วมมือด้านการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือในสาขาไอซีทีและสนับสนุนอาเซียนในการดำเนินการตามมาตรการต่าง ๆ ภายใต้แผนแม่บทไอซีทีอาเซียน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29050 | ผลการสำรวจภาวะการครองชีพของข้าราชการพลเรือนสามัญ พ.ศ. 2555 | ทก | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการสำรวจภาวะการครองชีพของข้าราชการพลเรือนสามัญ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รายได้ของครอบครัวข้าราชการทุกประเภทและระดับตำแหน่งทั่วประเทศ มีรายได้เฉลี่ยเดือนละ ๔๙,๙๑๕ บาท ส่วนใหญ่เป็นค่าตอบแทนที่ได้รับเป็นประจำจากการทำงาน เช่น เงินเดือน/เงินประจำตำแหน่ง และเงินเพิ่มพิเศษ ร้อยละ ๘๓.๐ รองลงมาคือ รายได้จากการประกอบธุรกิจส่วนตัว ร้อยละ ๙.๔ รายได้ที่ได้รับเป็นครั้งคราว เช่น ค่าเบี้ยประชุม/ค่าล่วงเวลา/โบนัส ร้อยละ ๒.๓ รายได้จากการให้เช่าทรัพย์สิน ร้อยละ ๑.๕ และรายได้อื่นๆ เช่น ดอกเบี้ยเงินปันผล และเงินช่วยเหลือจากบุคคลอื่น/รัฐ ร้อยละ ๓.๘ ๒. ค่าใช้จ่ายของครอบครัวข้าราชการทุกประเภทและระดับตำแหน่งทั่วประเทศ มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยเดือนละ ๔๑,๐๘๑ บาท ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่เป็นค่าอาหารและเครื่องดื่ม ร้อยละ ๒๐.๖ รองลงมาคือ ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเดินทาง/การสื่อสาร ร้อยละ ๑๕.๑ ค่ายานพาหนะ/อุปกรณ์ ร้อยละ ๑๓.๕ ค่าเครื่องแต่งบ้าน/เครื่องใช้เบ็ดเตล็ดฯ ร้อยละ ๙.๒ ค่าใช้จ่ายส่วนบุคคล/เครื่องนุ่งห่มและรองเท้า ร้อยละ ๘.๔ การศึกษา ร้อยละ ๗.๐ การบันเทิง/การอ่าน ร้อยละ ๕.๔ ยา เวชภัณฑ์และค่ารักษาพยาบาล ร้อยละ ๓.๕ ค่าที่อยู่อาศัย ร้อยละ ๒.๖ ค่าจ้างส่วนบุคคลและค่าใช้จ่ายสมทบ ร้อยละ ๑.๓ สำหรับค่าใช้จ่ายที่ไม่เกี่ยวกับการอุปโภคบริโภค เช่น ค่าภาษี ค่าเบี้ยประกันภัย ค่าซื้อสลากกินแบ่ง ฯลฯ ร้อยละ ๑๓.๔ ๓. หนี้สินของครอบครัวข้าราชการทุกประเภทและระดับตำแหน่ง มีหนี้สินร้อยละ ๘๓.๒ มีจำนวนหนี้สินเฉลี่ย ๑,๑๑๑,๔๒๕ บาทต่อครอบครัวที่มีหนี้ และข้าราชการประเภททั่วไปมีสัดส่วนของครอบครัวที่เป็นหนี้สูงสุด ร้อยละ ๘๖.๓ รองลงมาคือ ข้าราชการประเภทวิชาการและอำนวยการ ร้อยละ ๘๓.๔ และ ๖๕.๕ ส่วนข้าราชการประเภทบริหารมีสัดส่วนที่เป็นหนี้ต่ำสุด ร้อยละ ๓๑.๙ ๔. วัตถุประสงค์ของการเป็นหนี้ของครอบครัวข้าราชการ เป็นหนี้สินเพื่อที่อยู่อาศัยสูงที่สุดคือ ร้อยละ ๕๔.๗ รองลงมาเป็นหนี้เพื่อซื้อหรือซ่อมแซมยานพาหนะ ร้อยละ ๑๖.๕ เพื่อใช้จ่ายในการอุปโภคบริโภค ร้อยละ ๑๕.๔ เพื่อการลงทุนในธุรกิจของครอบครัว ร้อยละ ๕.๙ และหนี้เพื่อการศึกษา ร้อยละ ๓.๖ ๕. การเปรียบเทียบรายได้ ค่าใช้จ่าย หนี้สิน และหนี้สินต่อรายได้ของครอบครัวข้าราชการ ปี พ.ศ. ๒๕๕๑-๒๕๕๕ ครอบครัวข้าราชการมีรายได้สูงกว่าค่าใช้จ่าย โดยรายได้และค่าใช้จ่ายมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจาก ๔๑,๑๓๙ บาท ในปี พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็น ๔๓,๖๕๐ บาท และ ๔๙,๙๑๕ บาท ในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ และ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามลำดับ ส่วนค่าใช้จ่ายในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ลดลงจากปี พ.ศ. ๒๕๕๑ เล็กน้อย จากนั้นเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ คือจาก ๓๒,๔๑๑ บาท ในปี พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็น ๔๑,๐๘๑ บาท ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ สำหรับครอบครัวข้าราชการที่มีหนี้มีสัดส่วนลดลงจากร้อยละ ๘๔.๐ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็น ๘๓.๒ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เมื่อพิจารณาจำนวนหนี้สินพบว่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจาก ๗๔๙,๗๗๑ บาท ในปี พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็น ๑,๑๑๑,๔๒๕ บาท ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ และพบว่าหนี้สินต่อรายได้ของครอบครัวข้าราชการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก ๑๘.๒ เท่า ในปี พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็น ๒๐.๐ เท่า ในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ และ ๒๒.๓ เท่า ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29051 | ขออนุมัติใช้วิธีอนุญาโตตุลาการในการระงับข้อพิพาทในข้อตกลงจ้างที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง และสัญญาจ้างก่อสร้างโครงการป้องกันอุทกภัย ในฝั่งตะวันออกของแม่น้ำป่าสัก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ภายใต้ความช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากรัฐบาลญี่ปุ่น (Japanese Grant Aid) | กษ | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติใช้วิธีอนุญาโตตุลาการในการระงับข้อพิพาทในข้อตกลงจ้างที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง และสัญญาจ้างก่อสร้างโครงการป้องกันอุทกภัยในฝั่งตะวันออกของแม่น้ำป่าสัก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (Flood Prevention Project of East Side of the Pasak River in Ayutthaya) ก่อนการลงนาม ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดให้ใช้วิธีอนุญาโตตุลาการในการระงับข้อพิพาทในข้อ ๑๒ ของร่างข้อตกลงจ้างที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง และข้อ ๑๘ ของร่างสัญญาจ้าง เป็นข้อกำหนดขององค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (Japan International Cooperation Agency : JICA) ในการขอรับเงินช่วยเหลือแบบให้เปล่าจากรัฐบาลญี่ปุ่น ซึ่ง JICA มีอำนาจที่จะกระทำได้ตามข้อ ๕ ของความตกลงให้เงินช่วยเหลือแบบให้เปล่าสำหรับโครงการฯ กรณีนี้จึงถือเป็นการปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของคู่สัญญาอีกฝ่ายที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง การทำสัญญาระหว่างหน่วยงานของรัฐกับเอกชน) ที่คณะรัฐมนตรีอาจพิจารณาอนุมัติให้ใช้ข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการดังกล่าวได้ และข้อสังเกตของกระทรวงยุติธรรมเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นหลังจากได้มีการทำสัญญาแล้ว คือ เรื่องของการบริหารสัญญาและการแต่งตั้งอนุญาโตตุลาการ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควรจัดให้มีหน่วยงานหรือระบบการตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อสัญญาเพื่อให้การปฏิบัติตามข้อสัญญามีความต่อเนื่องและถูกต้องตามสัญญา และเมื่อพบว่าไม่ปฏิบัติตามสัญญาหรือมีความล่าช้าในการดำเนินงานให้รีบแจ้งคู่สัญญาทราบ เพื่อเป็นการดำเนินการแก้ไขปัญหาและระงับข้อพิพาทที่อาจเกิดขึ้น และในส่วนของการพิจารณาคัดเลือกบุคคลเพื่อทำหน้าที่อนุญาโตตุลาการต้องคัดเลือกอนุญาโตตุลาการที่มีความเป็นกลางและเป็นอิสระมีความรอบรู้และเชี่ยวชาญในสัญญาภาครัฐ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29052 | รายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ 4 ปีงบประมาณ 2555 | กค | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมติรับทราบรายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ ๔ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ (กรกฎาคม-กันยายน ๒๕๕๕) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง ๑๗ กลุ่มสินค้า มีมูลค่านำเข้าร่วม ๗๕๕.๐๒ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ (กรกฎาคม-กันยายน ๒๕๕๔) จำนวน ๖๘.๒๗ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๙.๙๔ ๒. มูลค่าการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง ๑๗ กลุ่มสินค้า เปรียบเทียบกับมูลค่านำเข้ารวมของสินค้าทุกชนิดในไตรมาสที่ ๔ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ (๖๑,๖๙๗.๓๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ) มูลค่านำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง ๑๗ กลุ่มสินค้า มีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ ๑.๒๒ ของมูลค่านำเข้ารวม ๓. มูลค่านำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยในช่วงไตรมาสที่ ๔ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ มีมูลค่านำเข้าเพิ่มขึ้น ๑๓ กลุ่มสินค้า ตั้งแต่ร้อยละ ๒.๘๓ ถึง ๙๑.๔๑ ๔. สินค้าฟุ่มเฟือยที่มีมูลค่านำเข้าสูงสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ น้ำหอมและเครื่องสำอาง มูลค่านำเข้า ๑๒๖.๙๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น ๒๒.๖๙ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๒๑.๗๖ ผลไม้ มูลค่านำเข้า ๑๐๑.๕๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น ๑๓.๕๗ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๑๕.๔๓ นาฬิกาและอุปกรณ์ มูลค่านำเข้า ๙๕.๙๗ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง ๒.๐๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๒.๑๐ ๕. สินค้าฟุ่มเฟือยในไตรมาสที่ ๔ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ มีอัตราการนำเข้าเพิ่มขึ้น ๑๓ กลุ่มสินค้า เมื่อเปรียบเทียบ (ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ) กับช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ และ ๕ อันดับแรก ที่มีอัตราการนำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ กล้องถ่ายรูปและอุปกรณ์ ผ้าทอทำด้วยขนสัตว์ แว่นตา ไวน์ ไฟแช็คและอุปกรณ์ มีอัตราการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ ๙๑.๔๑, ๖๔.๔๗, ๖๑.๕๔, ๓๑.๗๙ และ ๒๖.๖๒ ตามลำดับ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29053 | รายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรออมทรัพย์ และตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (R-bill) ที่ครบกำหนดในเดือนตุลาคม 2555 | กค | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรออมทรัพย์ และตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (R-bill) ที่ครบกำหนดในเดือนตุลาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การชำระคืนต้นเงินพันธบัตรออมทรัพย์ และตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (R-bill) ที่ครบกำหนดในเดือนตุลาคม ๒๕๕๕ จำนวน ๓ รุ่น วงเงินรวม ๒๕,๒๔๕.๐๐ ล้านบาท ประกอบด้วย ๑.๑ พันธบัตรออมทรัพย์ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๙ ครั้งที่ ๑ ที่ครบกำหนดในวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๕ จำนวน ๒,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ชำระจากเงินทดรองจ่ายจากบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลัง ทั้งจำนวน ๑.๒ ตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (R-bill) งวดที่ F7/90/55 ที่ครบกำหนดในวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๕ จำนวน ๑๑,๖๐๐.๐๐ ล้านบาท ชำระจากเงินทดรองจ่ายจากบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลัง จำนวน ๘,๒๔๕.๐๐ ล้านบาท และกู้เงินระยะสั้น จำนวน ๓,๓๕๕.๐๐ ล้านบาท ๑.๓ ตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (R-bill) งวดที่ F8/91/55 ที่ครบกำหนดในวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๕ จำนวน ๑๑,๖๔๕.๐๐ ล้านบาท ชำระจากการกู้เงินระยะสั้นทั้งจำนวน ๒. การชำระคืนเงินกู้ระยะสั้นตามข้อ ๑.๒ และ ๑.๓ รวมจำนวน ๑๕,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท (๓,๓๕๕.๐๐+๑๑,๖๔๕.๐๐) และการชำระคืนเงินทดรองจ่ายจากบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลังตามข้อ ๑.๑ และ ๑.๒ รวมจำนวน ๑๐,๒๔๕.๐๐ ล้านบาท (๒,๐๐๐.๐๐+๘,๒๔๕.๐๐) ชำระโดยรายรับจากการออกพันธบัตรรัฐบาล จำนวน ๒ รุ่น วงเงินรวม ๒๕,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ได้แก่ พันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ (พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่สอง พ.ศ. ๒๕๔๕) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๑ (LB176A) อายุคงเหลือ ๔.๖๔ ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๓.๒๕ ต่อปี จำนวน ๑๑,๕๐๐.๐๐ ล้านบาท ประมูลเมื่อวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๕ และครั้งที่ ๒ (LB236A) อายุคงเหลือ ๑๐.๕๙ ปี อัตราดอกเบี้ย ๓.๖๒๕ ต่อปี จำนวน ๑๓,๕๐๐.๐๐ ล้านบาท ประมูลเมื่อวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ทั้งนี้ ยังคงค้างการชำระคืนเงินทดรองจ่ายจากบัญชีเงินฝากกระทรวงการคลัง (บัญชี Premium FIDF 1&3) จำนวน ๒๔๕.๐๐ ล้านบาท (๒๕,๒๔๕.๐๐-๒๕,๐๐๐.๐๐) โดยมีแผนการชำระคืนในการปรับโครงสร้างหนี้ในเดือนธันวาคม ๒๕๕๕
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29054 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | นร01 | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชนในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และให้ส่วนราชการให้ความสำคัญกับการเร่งรัดดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ให้มีผลเป็นที่ยุติด้วยความเป็นธรรมภายในระยะเวลาที่เหมาะสม โดยผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชนฯ ๑.๑ สถิติการแจ้งเรื่องร้องทุกข์ของประชาชน ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ประชาชนแจ้งเรื่องร้องทุกข์ผ่านช่องทางต่างๆ รวมทั้งสิ้น ๑๑๗,๑๖๒ ครั้ง โดยผ่านช่องทางสายด่วนของรัฐบาล ๑๑๑๑ มากที่สุด รองลงมาคือ ช่องทางตู้ ปณ. ๑๑๑๑/ไปรษณีย์/โทรสาร ช่องทางเว็บไซต์ (www.1111.go.th) และช่องทางจุดบริการประชาชน ๑๑๑๑ ตามลำดับ ส่วนจำนวนเรื่องร้องทุกข์จำแนกตามประเภท ประชาชนร้องทุกข์ในประเภทเรื่องต่างๆ รวมทั้งสิ้น ๗๙,๗๒๒ เรื่อง โดยประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์มากที่สุด ได้แก่ เรื่องขอให้ซ่อมแซมไฟฟ้ากับขยายและติดตั้งปรับปรุงระบบการจ่ายกระแสไฟฟ้า รองลงมาคือ การปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่และการอำนวยความสะดวกในการให้บริการของเจ้าหน้าที่ของรัฐ และการแก้ไขปัญหาเหตุเดือดร้อนรำคาญจากเสียง/กลิ่นเหม็น ตามลำดับ ๑.๒ จำนวนเรื่องร้องทุกข์และผลการดำเนินการจำแนกตามหน่วยงาน ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ มีเรื่องร้องทุกข์ที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานต่างๆ รวมทั้งสิ้น ๓๓,๓๓๔ เรื่อง โดยหน่วยงานที่ได้รับการประสานงานเรื่องร้องทุกข์มากที่สุด ๓ ลำดับแรก ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รองลงมาคือ กระทรวงยุติธรรม และสำนักนายกรัฐมนตรี ตามลำดับ รัฐวิสาหกิจ ได้แก่ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค รองลงมาคือ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ตามลำดับ ๑.๓ จำนวนเรื่องร้องทุกข์และผลการดำเนินการจำแนกตามองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และจังหวัด ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ มีเรื่องร้องทุกข์ที่เกี่ยวข้องกับ อปท. และจังหวัดต่างๆ รวมทั้งสิ้น ๑๙,๘๔๔ เรื่อง โดยเรียงลำดับจาก อปท. และจังหวัดที่ได้รับการประสานเรื่องร้องทุกข์มากที่สุด ๓ ลำดับแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร รองลงมาคือ จังหวัดปทุมธานี และนนทบุรี ตามลำดับ ๒. รับทราบข้อมูลการร้องทุกข์และเสนอข้อคิดเห็นจากประชาชนในประเด็นที่เกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าว โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ พบว่า ประชาชนร้องทุกข์และเสนอข้อคิดเห็นเกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าวในจังหวัดที่มีพื้นที่ปลูกข้าวมาก ได้แก่ จังหวัดนครสวรรค์ สุโขทัย และพิษณุโลก ตามลำดับ โดยประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์และเสนอข้อคิดเห็นมากที่สุด ได้แก่ ขอให้เร่งจ่ายเงินรับจำนำข้าว รองลงมาคือ ขอให้ตรวจสอบโรงสีที่เข้าร่วมโครงการ กับขอให้เร่งออกใบประทวนให้กับเกษตรกร ตามลำดับ และให้กระทรวงพาณิชย์ซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักนำข้อมูลไปดำเนินการกำหนดนโยบาย แผนงาน และบูรณาการการทำงานระหว่างส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาการดำเนินงานของโครงการรับจำนำข้าวต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29055 | การขออนุมัติผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 ของโครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันทีของจังหวัด สุราษฎร์ธานี ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี วันที่ 21 - 22 ตุลาคม 2555 | นร11 | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบโครงการก่อสร้างโรงพยาบาลเกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี กรอบวงเงินงบประมาณ จำนวน ๔๙.๒๐ ล้านบาท โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เป็นเงิน ๑๓.๒๐ ล้านบาท (ประกอบด้วย งานก่อสร้างอาคารพยาบาล ๗.๐๐ ล้านบาท อาคารพักพยาบาล ๒.๐๐ ล้านบาท โรงไฟฟ้า ๐.๙๐ ล้านบาท อาคารนึ่งกลาง-ซักฟอก ๓.๐๐ ล้านบาท และงานรื้อถอนบางส่วนของสถานีอนามัย ๐.๓๐ ล้านบาท) และส่วนที่เหลือเป็นเงิน ๓๖.๐๐ ล้านบาท ให้ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ต่อไป ๒. อนุมัติให้ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จำนวน ๓๖.๐๐ ล้านบาท ประกอบด้วย ๒.๑ อาคารพยาบาล วงเงินทั้งสิ้น ๓๕.๐๐ ล้านบาท ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เป็นเงิน ๗.๐๐ ล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นเงิน ๒๘.๐๐ ล้านบาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ๒.๒ อาคารพักพยาบาล วงเงินทั้งสิ้น ๑๐.๐๐ ล้านบาท ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เป็นเงิน ๒.๐๐ ล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นเงิน ๘.๐๐ ล้านบาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29056 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชลบุรี เขตเลือกตั้งที่ 2 แทนตำแหน่งที่ว่าง | ลต | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการสนับสนุนงบประมาณเพื่อให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดชลบุรี เขตเลือกตั้งที่ ๒ แทนตำแหน่งที่ว่าง เป็นเงินทั้งสิ้น ๘,๔๓๐,๙๐๐ บาท โดยให้ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณาใช้จ่ายเงินรายได้ โดยการปรับแผนการใช้จ่ายเงินอุดหนุนที่ได้รับการจัดสรรจากรัฐ และหากพิจารณาตรวจสอบแล้วมีไม่เพียงพอ ก็ให้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณอีกครั้ง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29057 | โครงการหมู่บ้านสหกรณ์อำเภอสันกำแพง ตามพระราชดำริ จังหวัดเชียงใหม่ | รล | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบการแต่งตั้งคณะกรรมการโครงการหมู่บ้านสหกรณ์อำเภอสันกำแพง ตามพระราชดำริ จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการในประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการโครงการหมู่บ้านสหกรณ์อำเภอสันกำแพง ตามพระราชดำริ จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๕๖ โดยมีพลอากาศเอก กำธน สินธวานนท์ องคมนตรี เป็นประธานกรรมการ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ) ร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพิกถอนสภาพที่ดินสาธารณประโยชน์ เนื้อที่ประมาณ ๗๕ ไร่ ซึ่งถูกพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวอย่างสมบูรณ์แล้ว เพื่อให้เป็นตามสภาพการใช้ประโยชน์จริง และเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่โครงการหมู่บ้านสหกรณ์อำเภอสันกำแพง ตามพระราชดำริ เพื่อใช้ประโยชน์ในโครงการหมู่บ้านสหกรณ์อำเภอสันกำแพง ตามพระราชดำริ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29058 | ขอความเห็นชอบในการลงนามร่าง Memorandum of Association เพื่อจัดตั้งสำนักเลขาธิการถาวร BIMSTEC | กต | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบต่อร่าง Memorandum of Association เพื่อจัดตั้งสำนักเลขาธิการถาวร BIMSTEC (Bay of Bengal Initiative for Multi-Sectoral Technical and Economic Cooperation) ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดตั้งสำนักเลขาธิการ BIMSTEC ขึ้นที่กรุงธากา สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ โดย ๑.๑.๑ สำนักเลขาธิการมีบทบาทในการประสานงานและอำนวยความสะดวกในการดำเนินกิจกรรมและโครงการต่างๆ และอำนวยการการประชุมต่างๆ ของ BIMSTEC ทั้งนี้ โดยใช้ภาษาอังกฤษในการทำงาน และติดต่อประสานงาน ๑.๑.๒ สำนักเลขาธิการ ประกอบด้วย เลขาธิการ ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าของสำนักเลขาธิการ ผู้อำนวยการและเจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป ประเทศสมาชิกจะเสนอชื่อผู้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการและผู้อำนวยการ โดยยึดหลักการหมุนเวียนตามลำดับตัวอักษร และมีวาระการดำรงตำแหน่งสามปี ๑.๑.๓ เลขาธิการมีบทบาทและอำนาจหน้าที่ในการติดต่อประสานงานโดยตรงกับประเทศสมาชิก จัดการประชุม BIMSTEC จัดทำงบประมาณประจำปี อำนวยความสะดวก และติดตามความคืบหน้าการดำเนินกิจกรรมและโครงการของ BIMSTEC ๑.๑.๔ สำนักเลขาธิการ เลขาธิการ ผู้อำนวยการ ได้รับเอกสิทธิ์และความคุ้มกันในบังกลาเทศ ตามที่คณะทูตและผู้แทนทางการทูตได้รับ และตามที่ระบุในความตกลงของประเทศเจ้าภาพที่บังกลาเทศและสำนักเลขาธิการได้ข้อสรุปร่วมกัน ๑.๑.๕ งบประมาณประจำปีของสำนักเลขาธิการ ประเทศเจ้าภาพ (บังกลาเทศ) จะจัดหาที่ดิน รวมทั้งสิ่งปลูกสร้างที่เหมาะสมสำหรับใช้เป็นสำนักงาน รับผิดชอบการบำรุงรักษา การปรับปรุงที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง การตกแต่ง ติดตั้ง และจัดหาสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่จำเป็นในช่วงห้าปีแรก สำหรับประเทศสมาชิกจะสนับสนุนงบประมาณของสำนักเลขาธิการตามสัดส่วนการให้เงินสมทบที่ตกลงกันเป็นครั้งคราวของภาคี โดยเลขาธิการจะเสนองบประมาณประจำปีให้ที่ประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโส และที่ประชุมรัฐมนตรี BIMSTEC พิจารณา ๑.๑.๖ สำนักเลขาธิการจะเริ่มปฏิบัติหน้าที่นับตั้งแต่วันที่ที่ประชุมรัฐมนตรี BIMSTEC กำหนด ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนร่วมลงนามในร่างเอกสารฯ ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขเอกสารฯ ที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ รายการเงินอุดหนุนองค์การระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเข้าร่วมเป็นสมาชิก สำหรับค่าใช้จ่ายในปีต่อๆ ไป ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29059 | ผลการคัดเลือกเอกชนลงทุนงานระบบรถไฟฟ้าและรับจ้างดำเนินกิจการโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงบางใหญ่ - บางซื่อ (สถานีคลองบางไผ่ - สถานีเตาปูน) งานสัญญาที่ 4 | คค | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ และให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จโดยเร็วต่อไป ดังนี้
๑. ให้คณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกเอกชนร่วมงานหรือดำเนินการตามมาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ รับความเห็นและข้อสังเกตของคณะกรรมการกลั่นกรองฯ และกระทรวงคมนาคมในประเด็นต่างๆ ไปประกอบการเจรจาต่อรองกับบริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BMCL) ซึ่งเป็นผู้เสนอราคาต่ำที่สุด เพื่อให้ได้ข้อเสนอที่มีภาระค่าใช้จ่ายทั้งในส่วนของเงินลงทุนเบื้องต้น (ค่างานระยะที่ ๑) รวมกับภาระค่าเดินรถ (ค่างานระยะที่ ๒) ในราคาที่ต่ำลง ซึ่งจะช่วยลดภาระทางการเงินของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ในประเด็นสำคัญ ได้แก่ ๑.๑ เจรจาต่อรองค่างานระบบขบวนรถไฟฟ้าให้ต่ำลง ๑.๒ เจรจาต่อรองค่าใช้จ่ายในการเดินรถและบำรุงรักษาให้อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับต้นทุนการเดินรถและบำรุงรักษาของผู้ให้บริการเดินรถในปัจจุบัน ๑.๓ เจรจากำหนดอัตราผลกำไรที่เหมาะสม เนื่องจากสัมปทานรูปแบบ PPP Gross Cost มีความแตกต่างจาก PPP Net Cost ที่ผู้รับสัมปทานต้องรับความเสี่ยงทางด้านปริมาณผู้โดยสารและรายได้ค่าโดยสารของโครงการทั้งหมด ๑.๔ เจรจาพิจารณาปรับลดรายการค่าใช้จ่ายที่เป็นความรับผิดชอบของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยโดยตรงออกไป ๑.๕ เจรจาต่อรองอัตราดอกเบี้ยและพิจารณาเปรียบเทียบความเสี่ยงของอัตราดอกเบี้ยระหว่างอัตราดอกเบี้ยคงที่และอัตราดอกเบี้ยลอยตัว รวมทั้งผลกระทบต่อภาระทางการเงินของภาครัฐ ๑.๖ พิจารณาความเหมาะสมของแนวทางการจ่ายคืนค่าลงทุนระบบไฟฟ้าและรถไฟฟ้าให้กับเอกชนผู้รับสัมปทาน โดยให้เปรียบเทียบภาระทางการเงินระหว่างกรณีที่กำหนดระยะเวลาจ่ายคืนค่าลงทุนระบบไฟฟ้าและรถไฟฟ้าเวลา ๑๐ ปีตามที่เสนอกับกรณีที่รัฐจัดหาแหล่งเงินที่มีต้นทุนทางการเงินต่ำกว่า ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการฯ ตามมาตรา ๑๓ เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา ๓๐ วันนับจากคณะรัฐมนตรีมีมติมอบหมาย รวมทั้งให้การ รฟม. และกระทรวงคมนาคมเร่งหารือในประเด็นที่เกี่ยวกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อประกอบการเจรจาต่อรองกับเอกชนผู้เสนอราคาต่ำสุด ได้แก่ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ๒. ให้กระทรวงคมนาคม และ รฟม. เร่งพิจารณาเสนอรูปแบบการให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนสำหรับการเดินรถ ช่วงบางซื่อ-เตาปูน ที่เหมาะสม ระหว่าง PPP Gross Cost และ PPP Net Cost เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29060 | พิจารณาอนุมัติกรอบวงเงินลงทุนและจัดหาแหล่งเงินเพิ่มเติม สำหรับโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต | คค | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๕ [เรื่อง ขออนุมัติกรอบวงเงินลงทุนและจัดหาแหล่งเงินเพิ่มเติม สำหรับโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต] เฉพาะในส่วนที่กำหนดว่า ภายหลังจากได้ผลการประกวดราคาในสัญญา ที่ ๒ และ ๓ แล้ว ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งเพื่อพิจารณาวงเงินลงทุนรวมทั้ง ๓ สัญญา ในคราวเดียวกัน ๒. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เสนอ ดังนี้ ๒.๑ รับทราบสถานะการดำเนินการประกวดราคาโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต ในสัญญาที่ ๑ (งานก่อสร้างงานโยธาสถานีกลางบางซื่อและศูนย์ซ่อมบำรุง) สัญญาที่ ๒ (งานก่อสร้างงานโยธา ทางยกระดับและสถานีช่วงบางซื่อ-รังสิต) และสัญญาที่ ๓ (งานออกแบบจัดหาและติดตั้งระบบ E&M ช่วงบางซื่อ-รังสิต) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒.๒ เห็นชอบให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ปรับกรอบวงเงินลงทุนด้านงานโยธาของโครงการฯ ของสัญญาที่ ๒ เพิ่มเติมจากจำนวน ๑๙,๓๑๔ ล้านบาท เป็น ๒๑,๒๓๕.๔๔ ล้านบาท และให้ รฟท. ดำเนินการโครงการฯ เพื่อนำไปสู่การก่อสร้างงานโยธาในสัญญาที่ ๑ และ ๒ ตามลำดับขั้นตอนการดำเนินโครงการต่อไป พร้อมทั้งเห็นชอบให้ รฟท. ดำเนินการกู้เงินภายในประเทศเพื่อใช้ในการดำเนินโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ-รังสิต ในส่วนของงานสัญญาที่ ๑ จำนวน ๒,๘๕๔.๔๘ ล้านบาท และสัญญาที่ ๒ จำนวน ๒,๐๓๒.๑๗ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้ รฟท. และกระทรวงคมนาคมเร่งจัดทำข้อมูลประกอบการพิจารณาเรื่องดังกล่าวของคณะรัฐมนตรี ได้แก่ ๒.๒.๑ แผนการดำเนินงานของโครงการฯ ทั้งในด้านการก่อสร้างงานโยธา (สัญญาที่ ๑ และ ๒) และการจัดหาระบบไฟฟ้าและรถไฟฟ้า (สัญญาที่ ๓) รวมทั้งแนวทางการแก้ไขปัญหาการประกวดราคาของสัญญาที่ ๓ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนของการดำเนินการก่อสร้างงานโยธา (งานสัญญาที่ ๑ และ ๒) และสร้างความเชื่อมั่นว่า รฟท. จะสามารถจัดหารถไฟฟ้ามาให้บริการประชาชนได้ทันทีที่การก่อสร้างงานโยธาแล้วเสร็จ ๒.๒.๒ เร่งจัดทำรายงานการประมาณการวงเงินเบิกจ่ายของโครงการฯ เสนอสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะพิจารณาตามขั้นตอน เนื่องจากปัจจุบันคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะได้มีมติเห็นชอบแผนก่อหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ แล้ว ๓. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. รับข้อสังเกตของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการแก้ปัญหางานรื้อย้ายสาธารณูปโภคก่อนส่งมอบพื้นที่ให้แก่ผู้รับเหมาก่อสร้าง และความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการจัดทำแผนการใช้จ่ายเงินกู้ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับแผนการปฏิบัติงานและวงเงินก่อสร้างตามสัญญา เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและมิให้เกิดภาระงบประมาณรายจ่ายที่รัฐบาลจะต้องรับภาระการชำระหนี้เงินกู้เพิ่มขึ้นในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
.....