ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 117 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 2321 - 2340 จากข้อมูลทั้งหมด 123972 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2321 | การจัดประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 4/2567 | นร.04 | 18/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติรับทราบกำหนดการจัดประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่
ครั้งที่ ๔/๒๕๖๗ ณ จังหวัดนครราชสีมา และติดตามการตรวจราชการกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง
๑ (จังหวัดชัยภูมิ นครราชสีมา บุรีรัมย์ และสุรินทร์) ระหว่างวันที่ ๑ - ๒ กรกฎาคม
๒๕๖๗ และดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2322 | ขอยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการโอนงบประมาณรายจ่ายบูรณาการ และงบประมาณรายจ่ายบุคลากรระหว่างหน่วยรับงบประมาณ พ.ศ. 2562 | นร.07 | 18/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้สำนักงบประมาณถอนเรื่อง
ขอยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการโอนงบประมาณรายจ่ายบูรณาการ และงบประมาณรายจ่ายบุคลากรระหว่างหน่วยรับงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๒ คืนไปได้ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2323 | นายกรัฐมนตรีลาป่วยในวันที่ 17-18 มิถุนายน 2567 | นร. | 18/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติมติรับทราบตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรี
แจ้งว่านายกรัฐมนตรีลาป่วย ระหว่างวันที่ ๑๗ - ๑๘ มิถุนายน ๒๕๖๗ ซึ่งสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้จัดทำหนังสือเวียนแจ้งให้รัฐมนตรีทุกท่านทราบแล้ว
ทั้งนี้ ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการลาของข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๕๕ ข้อ ๔๑
กำหนดให้การลาทุกประเภทของนายกรัฐมนตรี ให้อยู่ในดุลพินิจของนายกรัฐมนตรี
และแจ้งให้คณะรัฐมนตรีทราบ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2324 | ขอความเห็นชอบการเสียภาษีสลากบำรุงสภากาชาดไทย | กช. | 18/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้สภากาชาดไทย หรือเหล่ากาชาดจังหวัด หรือกิ่งกาชาดอำเภอ
ซึ่งเป็นตัวแทนของสภากาชาดไทย ผู้รับใบอนุญาตจัดให้มีการเล่นการพนันสลากกินแบ่งหรือสลากบำรุงสภากาชาดไทย
ประจำปี ๒๕๖๗ และสลากบำรุงสภากาชาดไทยในงานออกร้านคณะภริยาทูต ประจำปี ๒๕๖๗
ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อหารายได้มอบให้สภากาชาดไทย เสียภาษีในอัตราร้อยละ ๐.๕
แห่งยอดราคาสลาก ซึ่งมีผู้รับซื้อก่อนหักรายจ่ายตามข้อ ๑๒ (๔) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่
๑๗ (พ.ศ. ๒๕๐๓) ออกตามความในพระราชบัญญัติการพนัน พุทธศักราช ๒๔๗๘
และที่แก้ไขเพิ่มเติมได้ ตามที่สภากาชาดไทยเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2325 | ถ้อยแถลงร่วมเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวประกันในกาซา (Joint Statement Calling for the Release of the Hostages Held in Gaza) | กต. | 18/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบถ้อยแถลงร่วมเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวประกันในกาซา
(Joint Statement Calling for
the Release of the Hostages Held in Gaza) ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศได้เผยแพร่ถ้อยแถลงร่วมฯ
พร้อมกับประเทศอื่น ๆ เมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๖๗ และได้มีการปรับเปลี่ยนถ้อยแถลงร่วมฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบไว้
ดังนี้ ๑) การปรับถ้อยคำในส่วนชื่อของถ้อยแถลงร่วมฯ เพื่อความชัดเจนว่าเป็นถ้อยแถลงในระดับผู้นำ
๒) การเพิ่มชื่อประเทศที่ร่วมสนับสนุนถ้อยแถลงร่วมฯ จาก ๑๕ ประเทศ เป็น ๑๘ ประเทศ
โดยประเทศที่เพิ่มเข้ามาได้แก่ บราชิล โคลอมเบีย และโปรตุเกส และ ๓)
การปรับเพิ่มถ้อยคำในเนื้อหาของถ้อยแถลงร่วมฯ เพื่อให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่ว่าได้มีการจับตัวประกันในกาซาเป็นเวลายาวนานกว่า
๒๐๐ วัน และให้ครอบคลุมถึงความห่วงกังวลของประชาคมระหว่างประเทศเกี่ยวกับความปลอดภัยของพลเรือนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2326 | ขอความเห็นชอบร่างความยินยอมร่วมกันเพื่อต่ออายุแถลงการณ์ร่วมแสดงเจตจำนงว่าด้วยการพัฒนาความร่วมมือด้านรถไฟ ระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงดิจิทัลและคมนาคมแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี | คค. | 18/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างความยินยอมร่วมกันเพื่อต่ออายุแถลงการณ์ร่วมแสดงเจตจำนงว่าด้วยการพัฒนาความร่วมมือด้านรถไฟ
ระหว่างกระทรวงคมนาคมแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงดิจิทัลและคมนาคมแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยสำหรับการลงนามดังกล่าว
โดยร่างความยินยอมร่วมกันฯ มีสาระสำคัญเป็นการแสดงความเห็นชอบร่วมกันที่จะต่ออายุแถลงการณ์ร่วมแสดงเจตจำนงฯ
ต่อเนื่องไปโดยอัตโนมัติเป็นระยะเวลาครั้งละ ๒ ปี นับตั้งแต่วันที่ ๒๓ พฤศจิกายน
๒๕๖๖ อันเป็นการดำเนินการตามข้อ ๕ (๒) ของแถลงการณ์ร่วมแสดงเจตจำนงฯ
โดยสาระสำคัญของความร่วมมือยังคงเป็นเช่นเดิมตามที่กำหนดไว้ในแถลงการณ์ร่วมแสดงเจตจำนงฯ
ซึ่งเป็นเอกสารที่ไม่มีเจตนาให้เกิดผลผูกพันทางกฎหมายใด ๆ ตามที่กำหนดไว้ในข้อ ๔
ของแถลงการณ์ร่วมดังกล่าว ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความยินยอมร่วมกันฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2327 | การจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเตว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราประเภทท่องเที่ยวสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดา | กต. | 18/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต
ว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราประเภทท่องเที่ยวสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดา และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมอบหมายเป็นผู้ลงนามความตกลงฯ
ทั้งนี้ ในกรณีมอบหมายผู้แทน
เห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนามที่ได้รับมอบหมาย
รวมทั้งให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการมีผลใช้บังคับของความตกลงฯ
โดยร่างความตกลงฯ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาของไทยและผู้ถือหนังสือเดินทางของสาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต
ในการเดินทางเข้า-ออก ดินแดนของภาคีผู้ทำสัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง
สำหรับการพำนักแต่ละครั้งเป็นระยะเวลาไม่เกิน ๓๐ วัน สำหรับกรณีท่องเที่ยวเท่านั้น
โดยมีการกำหนดสิทธิและหน้าที่ระหว่างกันตามกฎหมายระหว่างประเทศ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
ยังคงจำเป็นต้องเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์การเข้า-ออกของผู้คนที่จะเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทย
เนื่องจากอาจมีความเสี่ยงจากกลุ่มผู้แสวงประโยชน์ในทางมิชอบ อาทิ
การพำนักเกินกำหนดระยะเวลา (Overstay) หรือการกรอกข้อมูลอันเป็นเท็จของบุคคลก่อนเข้าเมือง
ซึ่งอาจส่งผลต่อความมั่นคง
และการบริหารจัดการบุคคลที่ประสงค์เดินทางเข้ามาในประเทศไทยได้ รวมทั้งควรให้ความสำคัญกับการปรับปรุงมาตรฐานด้านการท่องเที่ยว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวและบริการสาธารณะที่สะดวกต่อการเข้าถึงและมีความเพียงพอรองรับต่อการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยว
เพื่อให้นักท่องเที่ยวเกิดความมั่นใจและมีประสบการณ์ที่ดีในการเดินทางมายังประเทศไทย
ในขณะเดียวกันควรมุ่งเน้นการประชาสัมพันธ์ด้านการท่องเที่ยวที่มีศักยภาพของประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวในวงกว้าง
เพื่อสร้างแรงจูงใจให้กลุ่มนักท่องเที่ยวตัดสินใจเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากยิ่งขึ้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2328 | ขอความเห็นชอบให้ข้าราชการทุกประเภท พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้าง หน่วยงานของรัฐ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ ลาเข้าร่วมโครงการบรรพชาอุปสมบทและบวชชีพรหมโพธิ เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 โดยไม่ถือเป็นวันลา | วธ. | 18/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบให้ข้าราชการทุกประเภท
พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ
และพนักงานรัฐวิสาหกิจ ลาเข้าร่วมโครงการบรรพชาอุปสมบท
เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา
๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗ ระหว่างวันที่ ๑๘ - ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๗ เป็นเวลา ๑๓ วัน
โดยไม่ถือเป็นวันลา เสมือนเป็นการปฏิบัติราชการหรือปฏิบัติงาน
และได้รับเงินเดือนตามปกติ และให้ข้าราชการทุกประเภท พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ
ลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และพนักงานรัฐวิสาหกิจที่เป็นสตรี
ที่เข้าร่วมบวชชีพรหมโพธิ ถวายเป็นพระราชกุศลในครั้งนี้ สามารถลาปฏิบัติธรรมเป็นเวลา
๑๓ วัน โดยไม่ถือเป็นวันลา เสมือนเป็นการปฏิบัติราชการหรือปฏิบัติงาน และได้รับเงินเดือนตามปกติ
ทั้งนี้ ต้องได้รับอนุญาตจากผู้บังคับบัญชาก่อน
และขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๕๐ (เรื่อง
การให้ข้าราชการ เจ้าหน้าที่
และลูกจ้างของหน่วยงานภาครัฐที่เป็นสตรีไปถือศีลและปฏิบัติธรรม)
ในส่วนของการลาปฏิบัติธรรม ครั้งหนึ่งตลอดอายุราชการเป็นระยะเวลาไม่ต่ำกว่า ๑
เดือน แต่ไม่เกิน ๓ เดือน และยกเว้นการปฏิบัติธรรมในสถานที่ปฏิบัติธรรม
ตามประกาศสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เรื่อง
แนวทางและขั้นตอนการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีในการให้ข้าราชการ เจ้าหน้าที่
และลูกจ้างของหน่วยงานภาครัฐที่เป็นสตรีไปถือศีลและปฏิบัติธรรมในสำนักปฏิบัติธรรมที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติรับรอง
ลงวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ทั้งนี้
ในส่วนของการขอยกเว้นการดำเนินการตามประกาศสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เรื่อง
แนวทางและขั้นตอนการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีในการให้ข้าราชการ เจ้าหน้าที่
และลูกจ้างของหน่วยงานภาครัฐที่เป็นสตรีไปถือศีลและปฏิบัติธรรมในสำนักปฏิบัติธรรมที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติรับรอง
ลงวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ นั้น ให้กระทรวงวัฒนธรรมประสานสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเพื่อดำเนินการให้ถูกต้องตามหน้าที่และอำนาจต่อไป ๒.
ให้กระทรวงวัฒนธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
ที่เห็นว่าค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการบรรพชาอุปสมบท ๗๓ รูป
และบวชชีพรหมโพธิ ๗๓ คน เห็นสมควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับจัดสรร
หรือพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ หรือโอนเงินจัดสรร
หรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร แล้วแต่กรณีตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๒ ตามความจำเป็นและเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2329 | การประชุมระดับรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือเอเชีย ครั้งที่ 19 ที่กรุงเตหะราน | กต. | 18/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบการรับรอง
(๑) ร่างปฏิญญาเตหะราน (Tehran Declaration) (๒)
ร่างเอกสารแนวทางหลักในการดำเนินงานของสำนักเลขาธิการ ACD (Guiding
Principles on the Functioning of the ACD Secretariat) และ (๓)
ร่างกฎระเบียบสำหรับกลไกการดำเนินงานภายใต้ ACD (Rules of Procedure of the
ACD) ซึ่งเป็นเอกสารผลลัพธ์การประชุมระดับรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือเอเชีย
(Asia Cooperation Dialogue : ACD) ครั้งที่ ๑๙
มีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๖๗ ที่กรุงเตหะราน สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมาย ให้การรับรองร่างเอกสารทั้ง ๓ ฉบับ โดยร่างเอกสารทั้ง
๓ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกระชับความสัมพันธ์ของไทยกับประเทศในภูมิภาคเอเชีย
และสานต่อข้อริเริ่มของไทยในการสร้างเวทีความร่วมมือระดับทวีป
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารทั้ง
๓ ฉบับ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ๒.
ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
หากมีค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น เห็นควรพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
หรือโอนเงินจัดสรร หรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรรแล้วแต่กรณี ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งควรสื่อสารผลลัพธ์ให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับรู้ถึงประโยชน์ที่ไทยพึงจะได้รับ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2330 | โครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำตะคอง เขื่อนลำปาว เขื่อนห้วยแม่ท้อ และเขื่อนกระเสียว | พน. | 18/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำตะคอง
เขื่อนลำปาว เขื่อนห้วยแม่ท้อ และเขื่อนกระเสียว กำลังผลิตติดตั้งรวม ๖.๗๕
เมกะวัตต์ โดยมีวงเงินขออนุมัติ ๙๕๙.๗๖ ล้านบาท แบ่งเป็น เงินตราต่างประเทศ ๒๔๓.๘๓
ล้านบาท และเงินบาท ๗๑๕.๙๓ ล้านบาท
โดยให้สามารถเกลี่ยงบประมาณระหว่างโครงการได้ และหากคณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้ถือว่าการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยได้รับอนุมัติงบประมาณเพื่อการลงทุนตามแผนการประมาณการเบิกจ่ายประจำปี ๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
และให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเร่งดำเนินการขออนุญาตเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำตะคอง
เขื่อนลำปาว เขื่อนห้วยแม่ท้อ และเขื่อนกระเสียว ให้แล้วเสร็จก่อนการลงนามผูกพันสัญญาตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงพลังงาน
(การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นว่าการใช้ประโยชน์ในเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติต้องขออนุญาตทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๐๗
และต้องดำเนินการตามระเบียบคณะกรรมการพิจารณาการใช้ประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ
ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการใช้พื้นที่เป็นสถานที่ปฏิบัติงานหรือเพื่อประโยชน์อย่างอื่นของส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๖๕ และการดำเนินการใด ๆ ในพื้นที่ป่า ขอให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงสำหรับการบริหารจัดการน้ำ
โดยต้องครอบคลุมถึงผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) และภูมิรัฐศาสตร์ต่อปริมาณน้ำที่ใช้ผลิตไฟฟ้า
รวมทั้งกำหนดให้มีกลไกในการติดตามประเมินผลโครงการฯ ร่วมกับกรมชลประทาน เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ
เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ และเห็นควรให้กระทรวงพลังงานเร่งพิจารณาทบทวนแผนเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนทุกชนิดในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยฉบับใหม่
โดยให้ความสำคัญกับการเร่งพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน
ควบคู่กับการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการภาครัฐให้มีประสิทธิภาพและมีความยืดหยุ่นสอดรับกับแนวโน้มการพัฒนาตลาดพลังงานในอนาคต
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2331 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ ครั้งที่ 26 (The 26th GMS Ministerial Conference) | นร.11 สศช | 18/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรีแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง
๖ ประเทศ [Greater Mekong Subregion (GMS)] ครั้งที่
๒๖ และเห็นชอบการมอบหมายภารกิจหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมฯ โดยมีรองเลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(นายวันฉัตร สุวรรณกิตติ) ในฐานะผู้แทนรัฐมนตรีประจำแผนงาน GMS [รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์)]
เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมฯ ในวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๖ ณ กรุงเนปยีดอ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา และได้รับรองเอกสารจำนวน
๒ ฉบับ (โดยไม่มีการลงนาม) ได้แก่ ๑)
ร่างแถลงการณ์ร่วมระดับรัฐมนตรีแผนงาน GMS ครั้งที่ ๒๖ และ ๒) ร่างข้อเสนอแนวคิดสำหรับการยกร่างยุทธศาสตร์นวัตกรรมเพื่อการพัฒนาของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง
พ.ศ. ๒๕๗๓ ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ที่เห็นควรให้ดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับที่มีอยู่ในปัจจุบันและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด
ไปดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2332 | รายงานความเสี่ยงทางการคลังประจำปีงบประมาณ 2566 | กค. | 18/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความเสี่ยงทางการคลังประจำปีงบประมาณ
๒๕๖๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑. ความเสี่ยงด้านรายได้ในปีงบประมาณ
๒๕๖๖ อยู่ในระดับต่ำต่อเนื่องจากปีก่อน ซึ่งผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในปีงบประมาณ
๒๕๖๖ อยู่ที่ ๒,๖๖๖,๘๐๘ ล้านบาท (ขยายตัวร้อยละ ๕.๓๔ จากปีก่อน)
และมีสัดส่วนรายได้รัฐบาลสุทธิต่อ GDP อยู่ที่ร้อยละ ๑๔.๘๘ ๒. ความเสี่ยงด้านรายจ่ายปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีงบประมาณ
๒๕๖๕ โดยวงเงินงบประมาณ รายจ่ายปี ๒๕๖๖ กลับมาขยายตัวอยู่ที่ ๓,๑๘๕,๐๐๐
ล้านบาท (เพิ่มขึ้นร้อยละ ๒.๗๔ จากปีก่อน) โดยเป็นผลมาจากรายได้ของประชาชน
ผลประกอบการของภาคเอกชน รวมถึงการบริโภคของภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้น ๓. ความเสี่ยงด้านหนี้ในปีงบประมาณ
๒๕๖๖ ปรับตัวสูงขึ้นจากปีก่อน แต่ยังอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้
โดยจำเป็นต้องวิเคราะห์และติดตามอย่างใกล้ชิด โดยระดับหนี้สาธารณะ ณ สิ้นปีงบประมาณ
๒๕๖๖ มีจำนวน ๑๑,๑๓๑,๖๓๔.๒๐
ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๖๒.๔๔ ต่อ GDP (ยังอยู่ภายใต้กรอบที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐกำหนด) ๔.
ความเสี่ยงด้านสภาพคล่องการเบิกจ่ายยังอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ โดยระดับเงินคงคลัง
ณ สิ้นปีงบประมาณ ๒๕๖๖ อยู่ที่ ๕๓๙,๐๕๖ ล้านบาท (ลดลงจากปีก่อน จำนวน ๘๔,๙๖๓ ล้านบาท) เนื่องจากการเบิกใช้เงินคงคลังสำหรับรายจ่ายที่งบประมาณตั้งไว้ไม่เพียงพอประกอบกับในปี
๒๕๖๖ ได้มีการชะลอการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลออกไปในปีถัดไป ๕. รัฐบาลจึงควรพิจารณาดำเนินการเพื่อลดความเสี่ยงต่าง ๆ ในอนาคต
เช่น (๑) ปรับลดรายจ่ายต่าง ๆ
ที่ไม่จำเป็นลงและดำเนินโครงการตามมาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ เท่าที่จำเป็น และ (๒)
ผลักดันแผนการปฏิรูปโครงสร้างภาษีและรายได้รัฐบาลอื่น ๆ
และทบทวนมาตรการยกเว้น/ลดหย่อนต่าง ๆ ให้มีเท่าที่จำเป็น ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง
คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทยและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงมหาดไทย
เห็นควรให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2333 | มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ | นร. | 18/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี
(นายภูมิธรรม เวชยชัย) รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีเสนอว่า
ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (๙ เมษายน ๒๕๖๗) เรื่อง
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์
โดยมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปศึกษามาตรการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง นั้น
เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับมหภาค
ตลอดจนดึงดูดนักลงทุนขนาดใหญ่ให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยมีปัจจัยต่าง ๆ
ที่จะส่งเสริมการเข้ามาทำงานของชาวต่างชาติที่มีศักยภาพ
จึงขอให้กระทรวงมหาดไทยศึกษาความเป็นไปได้ ดังต่อไปนี้ ๑. การพิจารณาทบทวนการกำหนดระยะเวลาของทรัพย์อิงสิทธิตามพระราชบัญญัติทรัพย์อิงสิทธิ
พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยกำหนดให้ทรัพย์อิงสิทธิมีกำหนดเวลาได้ไม่เกิน ๙๙ ปี ๒. การพิจารณาทบทวนหลักเกณฑ์และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการให้สิทธิคนต่างด้าวสามารถถือกรรมสิทธิ์ในห้องชุด
จากเดิมไม่เกินร้อยละ ๔๙ เป็นไม่เกินร้อยละ ๗๕
โดยอาจกำหนดเงื่อนไขอื่นที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการของนิติบุคคลอาคารชุด เช่น
การจำกัดสิทธิการออกเสียงของคนต่างด้าวและนิติบุคคลต่างด้าวที่ได้เข้ามาถือกรรมสิทธิ์ในภายหลังจากที่เกินอัตราส่วนร้อยละ
๔๙ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องตราหรือแก้ไขปรับปรุงกฎหมายประการใดเพื่อรองรับการดำเนินการในเรื่องนี้ให้กระทรวงมหาดไทยเร่งดำเนินการตามขั้นตอนให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
โดยให้ปฏิบัติตามบทบัญญัติของกฎหมาย ระเบียบ
และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย และเสนอคณะรัฐมนตรีโดยเร็วต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2334 | ข้อเสนอแผนงาน/โครงการของจังหวัดสืบเนื่องจากการตรวจราชการของนายกรัฐมนตรี (จังหวัดนครพนม จังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดนครศรีธรรมราช) | นร.04 | 18/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการโครงการของจังหวัด
จำนวน ๙ โครงการ ภายในกรอบวงเงิน ๒๗๒,๗๑๘,๒๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการของจังหวัดนครพนม
จำนวน ๓ โครงการ ภายในวงเงิน ๑๐๘,๑๙๓,๒๐๐
บาท จังหวัดนครราชสีมา จำนวน ๕ โครงการ ภายในวงเงิน ๑๓๔,๕๒๕,๐๐๐ บาท และจังหวัดนครศรีธรรมราช จำนวน ๑ โครงการ ภายในวงเงิน ๓๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ทั้งนี้
ให้จังหวัดจัดทำโครงการและรายละเอียดต่าง ๆ เพื่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง
รายการ เงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้จังหวัดนครพนม จังหวัดนครราชสีมา
จังหวัดนครศรีธรรมราช และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงการคลัง เห็นควรคำนึงถึงประเด็นความคุ้มค่า ต้นทุน
และผลประโยชน์ เสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม
ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของรัฐ เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของบทบัญญัติมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
รวมทั้งควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2335 | (ร่าง) บันทึกความร่วมมือว่าด้วยกลไกเครดิตร่วมระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่น | ทส. | 18/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบ
(ร่าง) บันทึกความร่วมมือว่าด้วยกลไกเครดิตร่วมระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่น
พร้อมเอกสารแนบ ข้อ Attachment 1-3
และมอบหมายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือผู้แทน เป็นผู้แทนฝ่ายไทยลงนามในบันทึกความร่วมมือว่าด้วยกลไกเครดิตร่วมระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่น
โดย (ร่าง) บันทึกความร่วมมือฯ เป็นการปรับปรุงความร่วมมือทวิภาคี Joint
Crediting Mechanism (JCM) กับประเทศญี่ปุ่นที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่
๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๘ โดยยังคงมีสาระสำคัญเช่นเดิม คือ เป็นการจัดตั้งกลไก JCM เพื่อส่งเสริมให้ประเทศญี่ปุ่นสนับสนุนเงินลงทุนและเทคโนโลยีเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้กับโครงการต่าง
ๆ ที่ดำเนินการโดยภาครัฐหรือเอกชนของไทย เพื่อแลกกับการถ่ายโอนคาร์บอนเครดิตที่ลดลงจากการดำเนินโครงการให้กับประเทศญี่ปุ่น
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม
กระทรวงพลังงาน
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
เช่น กระทรวงพลังงาน
เห็นว่าการกำหนดสัดส่วนการแบ่งปันคาร์บอนเครดิตตามสัดส่วนเงินสนับสนุนจากฝ่ายญี่ปุ่นต่อเงินลงทุนในโครงการแต่ละโครงการต้องมีการพิจารณาผลการลดก๊าซเรือนกระจกที่สามารถพิสูจน์ได้อย่างชัดเจน สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรให้ความสำคัญกับการถ่ายทอดเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำที่ทันสมัยให้กับผู้ประกอบการที่เป็นวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
(SMEs) ที่มีศักยภาพและความพร้อมเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยน (ร่าง)
บันทึกความร่วมมือฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2336 | ร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การยกเว้นอากรและลดอัตราอากรศุลกากรสำหรับเขตการค้าเสรีอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี (ฉบับที่ ..) (สินค้าน้ำมะพร้าวและน้ำมะพร้าวเข้มข้น) | กค. | 18/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงการคลัง
เรื่อง
การยกเว้นอากรและลดอัตราอากรศุลกากรสำหรับเขตการค้าเสรีอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี
(ฉบับที่ ..) มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมบัญชีอัตราอากร ๑
ท้ายประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การยกเว้นอากรและลดอัตราอากรศุลกากรสำหรับเขตการค้าเสรีอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี
ลงวันที่ ๒๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๔ โดยยกเว้นอากรสำหรับของตามพิกัดประเภทย่อย
๒๐.๙.๘๙.๒. (น้ำมะพร้าว) และประเภทย่อย ๒๐๐๙.๘๙.๓๐ (น้ำมะพร้าวเข้มข้น)
ที่นำเข้าจากสาธารณรัฐเกาหลี เพื่อให้สิทธิประโยชน์ตามหลักการต่างตอบแทนแก่สาธารณรัฐเกาหลีภายใต้ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี
(ASEAN - Korea Free Trade Agreement :
AKFTA) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาในกรณีการกำหนดยกเว้นอากรหรือลดอัตราอากรและการปรับพิกัดศุลกากรระบบฮาร์โมไนซ์ของสินค้าเกษตรใด
ๆ ต้องระมัดระวังผลกระทบต่อเกษตรกรและสินค้าเกษตรภายในประเทศด้วย รวมทั้งให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรเร่งประสานงานกับกระทรวงเศรษฐกิจและการคลังแห่งสาธารณรัฐเกาหลีอย่างใกล้ชิด
เพื่อให้ทั้งสองประเทศสามารถบังคับใช้กฎหมายได้ภายในห้วงเวลาเดียวกันและไม่เกิดช่องว่างของการบังคับใช้กฎหมายในทางปฏิบัติ
และให้ความสำคัญกับการประชาสัมพันธ์และอำนวยความสะดวกให้เกษตรกรและผู้ประกอบการได้รับทราบและเตรียมความพร้อมในการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้กรอบความร่วมมือดังกล่าวให้มากขึ้น
พร้อมทั้งสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพมาตรฐานและประสิทธิภาพการผลิตตลอดห่วงโซ่อุปทาน
ควบคู่กับการรักษาเอกลักษณ์ความหอมและรสชาติของน้ำมะพร้าวไทย
เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้เหนือกว่าประเทศคู่แข่งได้ในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2337 | รายละเอียดงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 | นร.07 | 18/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบตามที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเสนอเพิ่มเติมว่า ในส่วนที่สำนักงบประมาณเสนอให้มีการพิจารณาผู้มีสิทธิเข้าร่วมโครงการเติมเงิน
๑๐,๐๐๐ บาท ผ่าน Digital Wallet
(โครงการ Digital Wallet) ที่เป็นประชาชนกลุ่มเปราะบาง
นั้น
เนื่องจากตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องจะต้องมีการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ ให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ ซึ่งสิ้นสุดภายในวันที่ ๓๐
กันยายน ๒๕๖๗ ดังนั้น
จึงอาจพิจารณาให้มีการใช้จ่ายงบประมาณกับประชาชนกลุ่มเปราะบางก่อนเพื่อให้สามารถใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ ได้ตามวัตถุประสงค์และสอดคล้องกับสถานการณ์ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗
และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์) ชี้แจงว่า
กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะรับข้อเสนอของสำนักงบประมาณข้างต้นไปพิจารณาประกอบการดำเนินโครงการ
Digital Wallet ต่อไป โดยจะดำเนินการให้เหมาะสม ถูกต้อง
เป็นไปตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑
ตลอดจนกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๒. เห็นชอบรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ และให้สำนักงบประมาณนำรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ตามข้อ ๑)
ไปรับฟังความคิดเห็นตามมาตรา ๗๗ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
โดยยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ (เรื่อง
การดำเนินการเพื่อรองรับและขับเคลื่อนการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย
พ.ศ. ๒๕๖๒
และสำนักงบประมาณจะจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นการจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ เป็นระยะเวลา ๗ วัน ระหว่างวันที่ ๑๙ - ๒๕ มิถุนายน ๒๕๖๗ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2338 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นางนันท์ฐิตา ศิริคุปต์) | กค. | 18/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางนันท์ฐิตา ศิริคุปต์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ
ตำแหน่งรองอธิบดีกรมศุลกากร ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางศุลกากร
(นักวิชาการศุลกากรทรงคุณวุฒิ) กรมศุลกากร กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๕ มีนาคม
๒๕๖๗ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2339 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นางสาวสุภาภรณ์ โรจนรุ่งทวี) | กค. | 18/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสาวสุภาภรณ์ โรจนรุ่งทวี
ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งผู้อำนวยการกอง [ผู้อำนวยการเฉพาะด้าน (วิชาการคลัง)
สูง] กองกฎหมาย กรมบัญชีกลาง ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านกฎหมายและระเบียบการคลัง
(นิติกรทรงคุณวุฒิ) กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๑๑ มกราคม ๒๕๖๗
ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2340 | การสิ้นสุดหน้าที่ของกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐออสเตรียประจำจังหวัดภูเก็ต และการแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐออสเตรีย ณ จังหวัดภูเก็ต (นายมนต์ทวี หงษ์หยก) | กต. | 18/06/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ดังนี้ ๑. รับทราบการสิ้นสุดหน้าที่ของ นางวนิดา หงษ์หยก
กงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐออสเตรียประจำจังหวัดภูเก็ต เนื่องจากมีกำหนดเกษียณอายุในวันที่
๑๕ กรกฎาคม ๒๕๖๗ ๒. ให้ความเห็นชอบการเปลี่ยนชื่อเรียกสถานกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐออสเตรียประจำจังหวัดภูเก็ต
เป็นสถานกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐออสเตรีย ณ จังหวัดภูเก็ต
และให้กงสุลกิตติมศักดิ์คนใหม่ดำรงตำแหน่งกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐออสเตรีย ณ
จังหวัดภูเก็ต เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการเรียกชื่อสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ของต่างประเทศในประเทศไทย ๓. ให้ความเห็นชอบการแต่งตั้ง นายมนต์ทวี หงษ์หยก
ให้ดำรงตำแหน่งกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐออสเตรีย ณ จังหวัดภูเก็ต คนใหม่
โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมจังหวัดกระบี่ ตรัง นครศรีธรรมราช นราธิวาส ปัตตานี พังงา
พัทลุง ภูเก็ต ยะลา สงขลา สตูล และสุราษฎร์ธานี ยกเว้นอำเภอเกาะสมุย และอำเภอเกาะพงัน
|