ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1084 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 21661 - 21680 จากข้อมูลทั้งหมด 123972 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
21661 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดจำนวน เขตอำนาจ และวันเปิดทำการของศาลแขวง ในจังหวัดมหาสารคาม พ.ศ. .... | ศย | 29/12/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดจำนวน เขตอำนาจ และวันเปิดทำการของศาลแขวง ในจังหวัดมหาสารคาม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตอำนาจและวันเปิดทำการศาลแขวงพยัคฆภูมิพิสัย จังหวัดมหาสารคาม ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
21662 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมพัดลมไฟฟ้ากระแสสลับ - คุณลักษณะที่ต้องการด้านความปลอดภัยต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... | อก | 29/12/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมพัดลมไฟฟ้ากระแสสลับ-คุณลักษณะที่ต้องการด้านความปลอดภัยต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมพัดลมไฟฟ้ากระแสสลับ-คุณลักษณะที่ต้องการด้านความปลอดภัยต้องเป็นไปตามมาตรฐาน ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเผยแพร่ข้อมูลและสร้างความเข้าใจให้กับผู้ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนผู้มีส่วนได้ ส่วนเสีย เกี่ยวกับร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมพัดลมไฟฟ้ากระแสสลับ-คุณลักษณะที่ต้องการด้านความปลอดภัยต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างถูกต้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
21663 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ 27 และการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 23 ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการค้าและการลงทุน | พณ | 29/12/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ ๒๗ (APEC Ministerial Meeting : AMM) และการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๓ (APEC Economic Leader’s Meeting : AELM) ระหว่างวันที่ ๑๖-๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ณ กรุงมะนิลา สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการค้าและการลงทุน ภายใต้หัวข้อ “การสร้างเศรษฐกิจที่เท่าเทียม การสร้างโลกที่ดีขึ้น (Building Inclusive Economies, Building a Better World)” โดยที่ประชุมได้เห็นชอบผลการดำเนินงานของเอเปคปี ๒๕๕๘ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลัก มีสาระสำคัญเกี่ยวกับเรื่องการก้าวสู่การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาคและการสนับสนุนระบบการค้าพหุภาคี และหารือทวิภาคีกับ ๗ ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย ฮ่องกง ชิลี รัสเซีย และเปรู และมอบหมายส่วนราชการที่เกี่ยวข้องตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
21664 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ ตำบลบ้านฉาง ตำบลบางปรอก ตำบลบางหลวง ตำบลบางเดื่อ ตำบลบางคูวัด อำเภอเมืองปทุมธานี ตำบลคูบางหลวง ตำบลคลองพระอุดม อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี และตำบลคลองข่อย อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี พ.ศ. .... | คค | 29/12/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลบ้านฉาง ตำบลบางปรอก ตำบลบางหลวง ตำบลบางเดื่อ ตำบลบางคูวัด อำเภอเมืองปทุมธานี ตำบลคูบางหลวง ตำบลคลองพระอุดม อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี และตำบลคลองข่อย อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงชนบท สายถนนราชพฤกษ์ ตอนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๔๖-ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๔๕ กับสร้างและขยายทางหลวงชนบท สายเชื่อมระหว่างถนนราชพฤกษ์กับถนนกาญจนาภิเษก ที่แยกต่างระดับสาลิโข-แยกต่างระดับโค้งสามวัง และแยกต่างระดับไพร่ฟ้า-แยกต่างระดับบางโพธิ์ใต้ รวมทั้งถนนต่อเชื่อม ตามโครงการก่อสร้างถนนเชื่อมต่อถนนราชพฤกษ์-ถนนกาญจนาภิเษก และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบให้กระทรวงคมนาคมรับไปดำเนินการในการกำหนดราคาและค่าตอบแทนตามข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
21665 | การเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือเอเชีย ครั้งที่ 14 และการประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือเอเชีย ครั้งที่ 2 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | กต | 29/12/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือเอเชีย ครั้งที่ ๑๔ ระหว่างวันที่ ๙-๑๑ มีนาคม ๒๕๕๙ ที่กรุงเทพมหานคร ๑.๒ เห็นชอบในหลักการกับการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือเอเชีย (ACD Summit) ครั้งที่ ๒ และการประชุมที่เกี่ยวข้องในช่วงระหว่างเดือนกันยายน-ธันวาคม ๒๕๕๙ ที่กรุงเทพมหานคร ๑.๓ ให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการและคณะทำงานต่าง ๆ ประกอบด้วยส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในช่วงเวลาที่เหมาะสมเพื่อเตรียมการสำหรับการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ACD Summit ครั้งที่ ๒ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดจากการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ให้กระทรวงการต่างประเทศใช้จ่ายจากงบรายจ่ายอื่น รายการค่าใช้จ่ายในการดำเนินภารกิจเร่งด่วนตามสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงด้านการต่างประเทศ ซึ่งได้รับจัดสรรไว้แล้ว จำนวน ๑๗๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้กระทรวงการต่างประเทศเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป อนึ่ง ในช่วงเวลาเดียวกัน รัฐบาลไทยโดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะหน่วยงานประสานหลัก (National Coordinator) แผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ (Greater Mekong Subregion Economic Cooperation : GMS) จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับรัฐมนตรีแผนงาน GMS ครั้งที่ ๒๑ (the 21st GMS Ministerial Conference) ในการนี้ จึงเห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันหารือเพื่อเน้นย้ำและผลักดันขับเคลื่อนประเด็นต่าง ๆ ที่จะเป็นผลประโยชน์ต่อประเทศไทยให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
21666 | การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สำหรับโครงการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานในนครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว | กค | 29/12/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) ดำเนินการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ในวงเงินรวม ๓๑๓.๓๗ ล้านบาท รวมทั้งอนุมัติแหล่งที่มาของเงินทุน รูปแบบ วิธีการ และเงื่อนไขทางการเงินสำหรับการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป.ลาว อย่างไรก็ดี กรณีที่ สพพ. สามารถจัดหาแหล่งเงินทุนเพื่อดำเนินการดังกล่าวในอัตราที่เหมาะสมตามหลักการประหยัดต้นทุนทางการเงินได้ มอบหมายให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน ตามพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติมได้ ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๑.๒ กรณีการชดเชยส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยให้ สพพ. นั้น ให้ใช้เงินสะสมเป็นลำดับแรกก่อน หากไม่เพียงพอก็ขอให้ สพพ. ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า สพพ. ควรมีข้อมูลวงเงินกู้และอัตราดอกเบี้ยเงื่อนไขผ่อนปรน (Soft Loan) จากองค์กรระหว่างประเทศอื่น เช่น ธนาคารโลก (World Bank) หรือธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) เพื่อใช้อ้างอิงประกอบการพิจารณาในการดำเนินการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ประเทศเพื่อนบ้าน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
21667 | ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง ระบบการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) | ทส | 29/12/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการพิจารณาเกี่ยวกับข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ (เรื่อง ระบบการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ ซึ่งมีข้อเสนอการปฏิรูปรวม ๔ ประเด็น ได้แก่ (๑) การเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (๒) การปฏิรูประบบโครงสร้างองค์กรและกฎหมายด้านการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (๓) การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้เครื่องมือและกลไกในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ (๔) การสร้างความเป็นหุ้นส่วนในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งผลการพิจารณาของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเพื่อนำเสนอสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศต่อไป และแจ้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมของคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
21668 | ร่างกฎกระทรวง (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบทหาร พุทธศักราช 2477 ว่าด้วยเครื่องแบบทหารอากาศ ฉบับที่ .. | กห | 29/12/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบทหาร พุทธศักราช ๒๔๗๗ ว่าด้วยเครื่องแบบทหารอากาศ ฉบับที่ .. มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง (พ.ศ. ๒๕๑๑) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบทหาร พุทธศักราช ๒๔๗๗ ว่าด้วยเครื่องแบบทหารอากาศ ฉบับที่ ๑๓ และฉบับที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมเครื่องแบบทหารอากาศและส่วนประกอบเครื่องแบบทหารอากาศ มีความเป็นมาตรฐานและเหมาะสมกับสภาพปัจจุบัน ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
21669 | การเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างแรกบรรจุของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย | พน | 29/12/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้
๑. ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีในเรื่องวันมีผลใช้บังคับตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๘ เรื่อง การปรับค่าจ้างชดเชยให้ลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างแรกบรรจุของลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ ๒. ให้การปรับค่าจ้างชดเชยผู้ได้รับผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างแรกเข้าทำงานของ กฟผ. มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ เป็นต้นไป |
||||||||||||||||||||||||
21670 | ผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (JC) ครั้งที่ 13 และการประชุมคณะกรรมการว่าด้วยยุทธศาสตร์การพัฒนาร่วมสำหรับพื้นที่ชายแดน (JDS) ระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 4 ระหว่างไทยกับมาเลเซีย | กต | 29/12/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (Joint Commission for Bilateral Cooperation : JC) ครั้งที่ ๑๓ และการประชุมคณะกรรมการว่าด้วยยุทธศาสตร์การพัฒนาร่วมสำหรับพื้นที่ชายแดน (Joint Development Strategy : JDS) ระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๔ ระหว่างไทยกับมาเลเซีย ระหว่างวันที่ ๒๑-๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๘ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย โดยที่ประชุมฯ ได้มีการหารือเกี่ยวกับประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ การเร่งรัดการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโก-ลก การเชื่อมโยงโครงการเมืองยางพารา การบูรณาการเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน การส่งเสริมความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมฮาลาล การพิจารณานำเข้าข้าวจากไทยทางบก การเร่งรัดการยกร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านความมั่นคงรอบด้านระหว่างไทยกับมาเลเซีย และความร่วมมือในสาขาใหม่ (ด้านประมง ด้านการอนุรักษ์สัตว์ป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ด้านการแก้ไขปัญหาหมอกควัน) เป็นต้น และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำผลการประชุมดังกล่าวไปปฏิบัติและติดตามความคืบหน้าต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่าในส่วนของผลการประชุม JDS ระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๔ ในเรื่องการเชื่อมโยงเมืองยางพาราและการบูรณาการเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนระหว่างไทยกับมาเลเซียมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องการส่งเสริมการลงทุน เห็นควรมอบให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเป็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มอีกหน่วยงานหนึ่งด้วย ส่วนการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโกลก เห็นควรเพิ่มเติมหน่วยงานด้านความมั่นคง ได้แก่ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาคที่ ๔ ร่วมเป็นหน่วยงานรับผิดชอบในด้านการเตรียมการพิธีวางศิลาฤกษ์ และด้านการบูรณาการเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนระหว่างไทยและมาเลเซีย ควรมุ่งเน้นประเด็นการบูรณาการกับฝ่ายมาเลเซีย โดยให้ความสำคัญกับการจัดลำดับความสำคัญของพื้นที่ที่มีศักยภาพในการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษตามที่คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษของไทยกำหนด เพื่อเป็นกรอบแนวทางการบูรณาการกับฝ่ายมาเลเซีย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
21671 | ขออนุมัติแต่งตั้งกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ประจำนครบริสเบน รัฐควีนส์แลนด์ เครือรัฐออสเตรเลียคนใหม่ สืบแทน นายวิลเลียม เจมส์ จอห์น ดันน์ (Mr. William James John Dunn) ซึ่งประสงค์ขอลาออกจากตำแหน่งด้วยเหตุผลด้านสุขภาพ (กระทรวงการต่างประเทศ) | กต | 29/12/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายแอนดรูว์ เวนต์เวิร์ท พาร์ก (Mr. Andrew Wentworth Park) ดำรงตำแหน่งกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ประจำนครบริสเบน รัฐควีนส์แลนด์ เครือรัฐออสเตรเลีย สืบแทน นายวิลเลียม เจมส์ จอห์น ดันน์ (Mr. William James John Dunn) ซึ่งขอลาออกจากตำแหน่งด้วยเหตุผลด้านสุขภาพ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
21672 | สรุปมติ - ข้อสั่งการที่สำคัญในการประชุมคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ ครั้งที่ 7/2558 | สลธ.คสช. | 29/12/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปมติ-ข้อสั่งการที่สำคัญในการประชุมคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ ครั้งที่ ๗/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๕๘ โดยมีมติคณะกรรมการรับทราบผลการดำเนินงานเกี่ยวกับด้านการป้องกันการทุจริต ได้แก่ ด้านการปลูกจิตสำนึกและสร้างการรับรู้ การสำรวจผลสัมฤทธิ์จากการปฏิบัติตามมติและข้อสั่งการของคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ การขับเคลื่อนศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตระดับกระทรวง ด้านการประชาสัมพันธ์การต่อต้านการทุจริต ด้านความร่วมมือข้อตกลงคุณธรรม การเป็นเจ้าภาพจัดกิจกรรมวันต่อต้านคอร์รัปชันสากล การดำเนินงานของภาคเอกชนและต่างชาติในการสนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการต่อต้านการ และมีข้อสั่งการและมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ตามที่คณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติเสนอ ๒. มอบหมายให้กระทรวงการคลัง (กรมสรรพากร) กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
21673 | ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อขยายทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 สายกรุงเทพมหานคร - บ้านฉาง รวมทางแยกไปบรรจบทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 34 (บางวัว) และทางแยกเข้าท่าเรือแหลมฉบังที่บ้านสวนมะพร้าว บ้านวังตะโก บ้านนาพร้าว บ้านหนองขาม บ้านนาวัง บ้านหนองน้ำเต้าลอย บ้านโป่งล่าง และบ้านหนองสมอ เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน | คค | 29/12/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อขยายทางหลวงพิเศษหมายเลข ๗ สายกรุงเทพมหานคร-บ้านฉาง รวมทางแยกไปบรรจบทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๔ (บางวัว) และทางแยกเข้าท่าเรือแหลมฉบัง ที่บ้านสวนมะพร้าว บ้านวังตะโก บ้านนาพร้าว บ้านหนองขาม บ้านนาวัง บ้านหนองน้ำเต้าลอย บ้านโป่งล่าง และบ้านหนองสมอ เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีอำนาจวางเงินค่าทดแทน เข้าครอบครอง หรือใช้อสังหาริมทรัพย์ และส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างได้ทันตามกำหนดเวลา ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
21674 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมการดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาสมทบ) | สว | 29/12/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมการดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาสมทบ) ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ โดยมีข้อสังเกต ดังนี้ ๑.๑ ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางควรประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข่าวสารการรับสมัครบุคคลเข้ารับการคัดเลือกเพื่อดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาสมทบในศาลเยาวชนและครอบครัวให้ครอบคลุมทุกช่องทางของการสื่อสาร รวมถึงขอความร่วมมือไปยังสื่อสารมวลชนในแขนงต่าง ๆ เพื่อให้มีการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข่าวสารการรับสมัครดังกล่าวอย่างต่อเนื่องและทั่วถึง ๑.๒ การกำหนดวาระการดำรงตำแหน่งของผู้พิพากษาสมทบที่ยาวนานขึ้น โดยไม่จำกัดจำนวนวาระการดำรงตำแหน่ง คณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรมควรกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาสมทบให้เข้มข้นขึ้น เพื่อป้องกันข้อครหาการปฏิบัติหน้าที่อยู่ในตำแหน่งยาวนาน และควรกำหนดมาตรการเพื่อสอดส่องและดูแลการประพฤติตนของผู้พิพากษาสมทบให้อยู่ในกรอบวินัยและจริยธรรมของผู้พิพากษาอย่างเคร่งครัด ๑.๓ ปัญหาการขาดแคลนผู้พิพากษาสมทบในบางพื้นที่ ศาลยุติธรรมอาจดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วยการจัดกลุ่มจังหวัด โดยกำหนดให้ผู้พิพากษาสมทบในกลุ่มจังหวัดดังกล่าวสามารถเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่เป็นองค์คณะร่วมนั่งพิจารณาคดีในจังหวัดที่อยู่ใกล้เคียงนั้นได้ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติที่แก้ไขเพิ่มเติมตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ เป็นเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ในการประกาศราชกิจจานุเบกษาต่อไป ๓. มอบหมายให้สำนักงานศาลยุติธรรมรับไปพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
21675 | รายงานผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง แผนปฏิรูปสัมมาชีพชุมชน) | พม | 29/12/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ (เรื่อง แผนปฏิรูปสัมมาชีพชุมชน) ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องพิจารณาแล้วเห็นด้วยกับข้อเสนอของสภาปฏิรูปแห่งชาติ เนื่องจากการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนฐานราก ควรจัดระบบบูรณาการระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจัง เป็นรูปธรรม โดยสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ไม่ขัดข้องในการจัดตั้งสำนักส่งเสริมสัมมาชีพชุมชนขึ้นภายในสถาบันฯ และตราพระราชบัญญัติจัดตั้งองค์การขึ้นทำหน้าที่โดยเฉพาะ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งรายงานผลการพิจารณาฯ ให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเพื่อนำเสนอสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศต่อไป และแจ้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
21676 | รายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิชุมชน กรณีคัดค้านโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานลม อำเภอเทพสถิต จังหวัดชัยภูมิ | สม | 29/12/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อเสนอแนะตามรายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิมนุษยชน กรณีคัดค้าน โครงการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานลม อำเภอเทพสถิต จังหวัดชัยภูมิ ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และมอบหมายให้กระทรวงพลังงานเป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป โดยมีข้อเสนอแนะ ดังนี้
๑. รัฐควรส่งเสริมให้การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนเป็นโครงการที่ลงทุนและดำเนินการโดยชุมชน เพื่อประโยชน์อันเกิดจากโครงการ เช่น กระแสไฟฟ้า การจ้างงาน แหล่งท่องเที่ยว และเห็นควรปรับปรุงแก้ไขกฎหมายระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เอื้อและสอดคล้องต่อการริเริ่มพัฒนาโครงการโดยชุมชน เช่น ระเบียบของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเสนอขายไฟฟ้าและสัญญาซื้อขายไฟฟ้าให้เอื้อต่อการเสนอขายไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าชุมชนขนาดเล็ก ๒. คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ควรแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาอนุญาตให้ประกอบกิจการโรงไฟฟ้าพลังงานลม โดยกำหนดให้ผู้ขออนุญาตจะต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพเพื่อนำมาพิจารณาประกอบการอนุญาต ๓. กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานควรพิจารณาปรับเปลี่ยนและเสนอนโยบายการพัฒนาพลังงานทดแทนโดยให้มีการสนับสนุนและพัฒนาการผลิตไฟฟ้าจากโรงฟ้าขนาดเล็กโดยชุมชน ๔. สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมควรเสนอต่อคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเพื่อพิจารณายกเลิกมติที่กำหนดให้โครงการโรงไฟฟ้ากังหันลมเป็นกิจการที่เกี่ยวข้องกับความเป็นอยู่ของเกษตรกร
|
||||||||||||||||||||||||
21677 | รายงานความคืบหน้าการดำเนินงานโครงการเหมืองแร่โพแทช | อก | 29/12/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานโครงการเหมืองแร่โพแทช ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ กระทรวงอุตสาหกรรมได้อนุญาตประทานบัตรการทำเหมืองแร่โพแทช จำนวน ๒ ราย ได้แก่ บริษัท เหมืองแร่โปแตชอาเซียน จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไทยคาลิ จำกัด โดยผ่านขั้นตอนที่ ๑ เป็นขั้นตอนการดำเนินการยื่นคำขอประทานบัตรในพื้นที่ และขั้นตอนที่ ๒ เป็นขั้นตอนการพิจารณาของกระทรวงอุตสาหกรรมผ่านคณะกรรมการชุดต่าง ๆ เรียบร้อยแล้ว ยังคงเหลือขั้นตอนที่ ๓ เป็นขั้นตอนการตรวจเปิดการประกอบการ และอยู่ระหว่างการดำเนินการคำขอประทานบัตรทำเหมืองแร่โพแทช จำนวน ๑ ราย คือ บริษัท เอเชีย แปซิฟิค โปแตช คอร์ปอเรชั่น จำกัด ซึ่งอยู่ในขั้นตอนที่ ๑ ๑.๒ กระทรวงอุตสาหกรรมได้ลงพื้นที่เมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๘ และเมื่อวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๕๘ ชี้แจงชาวบ้าน โดยเชิญผู้มีส่วนได้เสียเข้าร่วมประชุมหารือพร้อมผู้แทนกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งได้เปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้เสียและผู้แทนจากทั้ง ๒ หน่วยงานดังกล่าวสอบถามรายละเอียดและข้อกังวล รวมถึงแนวทาง การแก้ไขปัญหา โดยมีเจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการทำหน้าที่ตอบคำถาม ผลการดำเนินการดังกล่าวเป็นไปด้วยดี และที่ประชุมเห็นด้วยกับโครงการพร้อมทั้งมีการรับรองรายงานการประชุมเรียบร้อยแล้ว ๑.๓ กระทรวงอุตสาหกรรมได้ดำเนินการจัดทำรายงานการศึกษาและประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์การพัฒนาเหมืองแร่โพแทช (Strategic Environmental Assessment : SEA) ซึ่งเป็นไปตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติแล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยได้ศึกษาในเชิงพื้นที่ครอบคลุม ๔ มิติ ได้แก่ เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยี ผลการศึกษาสรุปได้ว่า การพัฒนาเหมืองแร่โพแทชต้องเป็นการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่ผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสียอย่างแท้จริง อีกทั้งโครงการเหมืองแร่โพแทชทั้ง ๓ โครงการได้จัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมเรียบร้อยแล้ว ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการอนุญาตให้เปิดการทำเหมืองแร่โพแทช ควรจะต้องกำกับดูแลให้เป็นไปตามมาตรการที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพอย่างเคร่งครัด และให้ความสำคัญในการสนับสนุนการใช้กองทุนสุขภาพ เพื่อประโยชน์ในการเฝ้าระวัง ป้องกันและส่งเสริมสุขภาพของประชาชนในพื้นที่ นอกจากนี้ ให้เผยแพร่ข้อมูลที่เป็นปัจจุบันเกี่ยวกับการดำเนินกิจการและแผนการดำเนินกิจการระยะต่อไปของโครงการเหมืองแร่โพแทชเป็นระยะ ทั้งกรณีโครงการที่ได้รับอนุญาตประทานบัตรแล้ว และอยู่ระหว่างการดำเนินการขออนุญาตประทานบัตร รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบ ควบคุม กำกับดูแลการดำเนินการทำเหมืองแร่โพแทชให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่ผู้ประกอบการได้เสนอไว้เป็นเงื่อนไขแนบท้ายในประทานบัตร และเป็นไปตามมาตรการป้องกันและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม โดยให้ความสำคัญในระดับสูงสุดในการให้การคุ้มครองสิทธิในอสังหาริมทรัพย์ ตามมาตรา ๘๘/๑๒ และมาตรา ๘๘/๑๓ ตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๑๐ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติแร่ (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๔๕ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
21678 | สถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้งปี 2558/2559 ครั้งที่ 5 | กษ | 29/12/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้งปี ๒๕๕๘/๒๕๕๙ ครั้งที่ ๕ และครั้งที่ ๖ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑.๑ สถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้งปี ๒๕๕๘/๒๕๕๙ ครั้งที่ ๕ ๑.๑.๑ สถานการณ์น้ำ ณ วันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๘ เช่น อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั้งประเทศ จำนวน ๓๓ แห่ง มีปริมาตรน้ำรวม ๔๐,๕๙๑ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๕๘ ของปริมาตรน้ำกักเก็บทั้งหมด เป็นน้ำใช้การได้ ๑๗,๐๘๘ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๓๖ ของปริมาตรน้ำใช้การทั้งหมด ๑.๑.๒ การจัดสรรน้ำ ช่วงวันที่ ๑ พฤศจิกายน-๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๘ อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั้งประเทศ ใช้น้ำไปแล้ว ๗๒๕ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๗ ของแผนการจัดสรรน้ำ ส่วนในลุ่มน้ำเจ้าพระยา (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ และผันน้ำจากลุ่มน้ำแม่กลอง) ใช้น้ำไปแล้ว ๕๙๔ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๒๐ ของแผนการจัดสรรน้ำ ๑.๑.๓ การบริหารจัดการน้ำและอาคารชลประทานในลุ่มน้ำเจ้าพระยาช่วงฤดูแล้งปี ๒๕๕๘/๒๕๕๙ ช่วงวันที่ ๘-๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๘ กำหนดแผนการระบายน้ำจากเขื่อน จำนวน ๖ เขื่อน ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เขื่อนนเรศวร และเขื่อนเจ้าพระยา ๑.๑.๔ สถานการณ์การเพาะปลูกข้าวในเขตชลประทานลุ่มน้ำเจ้าพระยา ณ วันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๘ ปลูกข้าวนาปี ปี ๒๕๕๘ จำนวน ๖.๔๐ ล้านไร่ เก็บเกี่ยวแล้ว จำนวน ๕.๖๙ ล้านไร่ เสียหาย จำนวน ๐.๐๒ ล้านไร่ รอเก็บเกี่ยว จำนวน ๐.๖๙ ล้านไร่ ปลูกข้าวนาปีต่อเนื่อง ปี ๒๕๕๘ จำนวน ๑.๗๕ ล้านไร่ เก็บเกี่ยวแล้ว จำนวน ๐.๓๕ ล้านไร่ รอเก็บเกี่ยว จำนวน ๑.๔๐ ล้านไร่ และปลูกข้าวนาปรัง ปี ๒๕๕๘/๒๕๕๙ จำนวน ๑.๒๙ ล้านไร่ ๑.๒ สถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้งปี ๒๕๕๘/๒๕๕๙ ครั้งที่ ๖ ๑.๒.๑ สถานการณ์น้ำ ณ วันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๘ เช่น อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั่งประเทศ จำนวน ๓๓ แห่ง มีปริมาตรน้ำรวม ๔๐,๗๒๖ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๕๗ ของปริมาตรน้ำกักเก็บทั้งหมด เป็นน้ำใช้การได้ ๑๖,๘๒๓ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๓๖ ของปริมาตรน้ำใช้การทั้งหมด ๑.๒.๒ การจัดสรรน้ำ ช่วงวันที่ ๑ พฤศจิกายน-๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๘ อ่างเก็บน้ำใหญ่และขนาดกลางทั้งประเทศ ใช้น้ำไปแล้ว ๘๖๙ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๘ ของแผนการจัดสรรน้ำ ส่วนในลุ่มน้ำเจ้าพระยา (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ และผันน้ำจากลุ่มน้ำแม่กลอง) ใช้น้ำไปแล้ว ๗๐๓ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๒๔ ของแผนการจัดสรรน้ำ ๑.๒.๓ การบริหารจัดการน้ำและอาคารชลประทานในลุ่มน้ำเจ้าพระยาช่วงฤดูแล้งปี ๒๕๕๘/๒๕๕๙ ช่วงวันที่ ๑๔-๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๘ กำหนดแผนการระบายน้ำจากเขื่อน จำนวน ๖ เขื่อน ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เขื่อนนเรศวร และเขื่อนเจ้าพระยา ๑.๒.๔ สถานการณ์การเพาะปลูกข้าวในเขตชลประทานลุ่มน้ำเจ้าพระยา ณ วันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๘ ปลูกข้าวนาปี ปี ๒๕๕๘ จำนวน ๖.๔๐ ล้านไร่ เก็บเกี่ยวแล้ว จำนวน ๕.๙๔ ล้านไร่ เสียหาย จำนวน ๐.๐๒ ล้านไร่ รอเก็บเกี่ยว จำนวน ๐.๔๔ ล้านไร่ ปลูกข้าวนาปีต่อเนื่อง ปี ๒๕๕๘ จำนวน ๑.๗๕ ล้านไร่ เก็บเกี่ยวแล้ว จำนวน ๐.๖๒ ล้านไร่ รอเก็บเกี่ยว จำนวน ๑.๑๓ ล้านไร่ และปลูกข้าวนาปรัง ปี ๒๕๕๘/๒๕๕๙ จำนวน ๑.๔๙ ล้านไร่ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการการทำงานร่วมกันในการบริหารจัดการน้ำของประเทศทั้งระบบเพื่อให้เพียงพอกับความต้องการใช้น้ำในระยะต่อไป โดยเฉพาะในกรณีที่พื้นที่เก็บน้ำไม่ตรงกับพื้นที่ที่ต้องการใช้น้ำ ให้พัฒนาในเรื่องระบบท่อส่งน้ำและระบบการกระจายน้ำ ตลอดจนการปรับปรุงแหล่งกักเก็บน้ำที่มีอยู่เดิมให้สามารถใช้งานได้ ทั้งนี้ ในการดำเนินการให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากภาคประชาชนและให้สร้างการรับรู้เรื่องวินัยการใช้น้ำให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่องด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
21679 | เป้าหมายของนโยบายการเงิน ประจำปี 2559 | กค | 29/12/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติเป้าหมายของนโยบายการเงิน ประจำปี ๒๕๕๙ ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงินได้ทำความตกลงร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแล้ว โดยกำหนดอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปีที่ร้อยละ ๒.๕ ? ๑.๕ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยรับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่าสาธารณชนและภาคธุรกิจให้ความสำคัญกับค่ากลางของอัตราเงินเฟ้อเป้าหมายเพื่อประกอบการตัดสินใจในทางธุรกิจและการดำรงชีวิตประจำวัน ดังนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทยควรมีการติดตามความเคลื่อนไหวของอัตราเงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งมีการชี้แจงสาเหตุและแนวทางการดำเนินนโยบายการเงินแก่สาธารณชนโดยเร็วในกรณีที่อัตราเงินเฟ้อเคลื่อนไหวออกนอกกรอบเป้าหมายของนโยบายการเงิน ไปพิจารณาต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
21680 | ผลการประชุมสภารัฐมนตรีสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย ครั้งที่ 15 ที่เมืองปาดัง สาธารณรัฐอินโดนีเซีย | กต | 29/12/2558 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมสภารัฐมนตรีสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดีย (Indian Ocean Rim Association : IORA) ครั้งที่ ๑๕ เมื่อวันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๘ ณ เมืองปาดัง สาธารณรัฐอินโดนีเซีย โดยที่ประชุมได้ร่วมรับรองและลงนามเอกสาร ๓ ฉบับ (ร่างปฏิญญาสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดียว่าด้วยความร่วมมือทางทะเล ร่างแถลงการณ์ปาดัง และบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลของรัฐสมาชิกกรอบสมาคมแห่งมหาสมุทรอินเดียว่าด้วยการประสานงานและร่วมมือเพื่อการค้นหาและช่วยเหลือในภูมิภาคมหาสมุทรอินเดีย) และมอบหมายให้หน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวเนื่องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ประเด็นความปลอดภัยและความมั่นคงทางทะเล ได้แก่ การแต่งตั้งผู้ประสานงานหลักระดับชาติในเรื่องความปลอดภัยและความมั่นคงทางทะเล การให้ข้อมูลแก่สำนักเลขาธิการ IORA (หน่วยงานด้านความปลอดภัยและความมั่นคงทางทะเลของไทย พร้อมทั้งขีดความสามารถและอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานดังกล่าว เป็นต้น) การลงนามและเป็นภาคีในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการประสานงานและร่วมมือเพื่อการค้นหาและช่วยเหลือในภูมิภาคมหาสมุทรอินเดีย ๑.๒ ประเด็นเศรษฐกิจภาคทะเล ได้แก่ การให้ความเห็นชอบต่อข้อเสนอโครงการซึ่งเป็นผลจากการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจทางทะเล ครั้งที่ ๑ ที่มอริเชียส เมื่อวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๕๘ ประกอบด้วย โครงการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืด และ/หรือ เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งขนาดเล็กในภูมิภาคมหาสมุทรอินเดีย โครงการฝึกอบรมด้านการจัดการการประมงระหว่างจับ การแปรรูปหลังการจับ และการเก็บรักษาสินค้าประมงและสินค้าจากการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ โครงการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับการส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนจากมหาสมุทร และการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องในภูมิภาคมหาสมุทรอินเดีย โครงการฝึกอบรมเรื่องการสำรวจทรัพยากรใต้ทะเลอย่างยั่งยืน โครงการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับการปรับปรุงการค้าบริเวณมหาสมุทรอินเดียด้วยการส่งเสริมความเชื่อมโยงของท่าเรือ และโครงการจัดตั้งระบบตรวจการณ์ทางทะเลในบริเวณมหาสมุทรอินเดีย ๑.๓ ประเด็นการค้าและการลงทุน ได้แก่ การให้ประเทศสมาชิกแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียพิจารณาเข้าร่วมการประชุมด้านเศรษฐกิจและธุรกิจ ครั้งที่ ๒ (Economic and Business Conference : EBC-II) ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๓ เมษายน ๒๕๕๙ ณ นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับประเด็นเศรษฐกิจภาคทะเล (Blue Economy) โครงการที่ ๑ โครงการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืด และ/หรือ เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งขนาดเล็กในภูมิภาคมหาสมุทรอินเดียนั้น เห็นควรให้ความสำคัญกับการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งมากกว่าการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืด เพราะจะมีส่วนสำคัญที่แสดงความตั้งใจและนำไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมของการแก้ไขปัญหา IUU ของประเทศไทย ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. เห็นชอบต่อข้อมติเรื่องการจัดตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อพัฒนาเอกสาร The Indian Ocean Rim Association (IORA) Concord และอนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศรับรองเอกสารดังกล่าว ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ |
.....