ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1081 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 21601 - 21620 จากข้อมูลทั้งหมด 123972 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
21601 | ผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศแม่โขง - ล้านช้าง ครั้งที่ 1 | กต | 05/01/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ ๑ (1st Mekong-Lancang Cooperation Foreign Ministers’ Meeting) เมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ณ เมืองจิ่งหง มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนเข้าร่วมการประชุมฯ ซึ่งในการประชุมดังกล่าวได้เห็นชอบร่างเอกสารหลักการของกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง นอกจากนี้ ได้หารือเกี่ยวกับข้อเสนอโครงการเร่งด่วนเพื่อดำเนินการทันที จำนวนกว่า ๗๐ โครงการ ในสาขาต่าง ๆ อาทิ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การลดความยากจน สาธารณสุข การแลกเปลี่ยนและอบรมบุคลากร การเกษตร วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วัฒนธรรม เป็นต้น ซึ่งที่ประชุมผู้นำแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ ๑ ที่จะจัดขึ้นในช่วงปลายเดือนมีนาคม ๒๕๕๙ จะติดตามความคืบหน้าในการดำเนินงานตามผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ ๑ ด้วย และมอบหมายให้ส่วนราชการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรมีการพัฒนาการท่องเที่ยวทางธรรมชาติเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวนอกอนุภูมิภาคให้เดินทางมาท่องเที่ยวในอนุภูมิภาคมากขึ้น และควรมีการติดตามผลการประชุมอย่างต่อเนื่องโดยจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานให้เกิดเป็นรูปธรรม รวมทั้งมีกลไกในการดำเนินกิจกรรมเพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนกัน นอกจากนี้ การดำเนินความร่วมมือและการจัดทำโครงการเร่งด่วนเพื่อดำเนินการทันที ในสาขาการเมืองและความมั่นคงจะต้องระมัดระวังมิให้เกิดผลกระทบต่อกิจการภายในของประเทศไทยและประเทศสมาชิกอื่น ๆ ตลอดจนพิจารณาถึงขั้นตอนและการดำเนินการตามกระบวนการกฎหมายภายในของประเทศไทยประกอบกัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
21602 | รัฐบาลมอนเตเนโกรขออนุมัติการเปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์และขอแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์มอนเตเนโกรประจำประเทศไทย (กระทรวงการต่างประเทศ) (นางสาววิชุดา รัตนเพียร) | กต | 05/01/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการเปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์มอนเตเนโกรประจำประเทศไทย และแต่งตั้งนางสาววิชุดา รัตนเพียร ให้ดำรงตำแหน่งกงสุลกิตติมศักดิ์มอนเตเนโกรประจำประเทศไทย ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
21603 | การขออนุมัติแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์ ณ เมืองอินส์บรุค สาธารณรัฐออสเตรีย (กระทรวงการต่างประเทศ) [นายคริสท็อฟ สวาร็อฟสกี (Mr. Christoph Swarovski)] | กต | 05/01/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายคริสท็อฟ สวาร็อฟสกี (Mr. Chirstoph Swarovski) เป็นกงสุลกิตติมศักดิ์ ณ เมืองอินส์บรุค สาธารณรัฐออสเตรีย แทนนายอาร์มิน เซาท์เตอร์ (Mr. Armin Sautter) ซึ่งถูกถอดถอน ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
21604 | สรุปผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศเอเชีย - ยุโรป ครั้งที่ 12 | กต | 05/01/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศเอเชีย-ยุโรป ครั้งที่ ๑๒ (12th ASEM Foreign Ministers’ Meeting : ASEM FMM 12) ระหว่างวันที่ ๕-๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ ณ ราชรัฐลักเซมเบิร์ก โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้แทนเข้าร่วมการประชุมฯ ซึ่งในการประชุมดังกล่าวจัดขึ้นภายใต้หัวข้อหลัก "Working Together for a Sustainable and Secure Future" และที่ประชุมฯ ได้เห็นพ้องถึงความสำคัญของการส่งเสริมความร่วมมือในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสนับสนุนความร่วมมือด้านการบริหารจัดการและการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาที่ยั่งยืน และให้ความสำคัญกับการหารือเรื่องความเชื่อมโยงและทิศทางในอนาคตของ ASEM ว่า ควรมีความร่วมมือครอบคลุมทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นระบบคมนาคมขนส่ง ความเชื่อมโยงด้านดิจิทัล การค้า การลงทุน การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม การศึกษา ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความเชื่อมโยงระดับประชาชน ๒. มอบหมายให้ส่วนราชการต่าง ๆ ติดตามความร่วมมือในส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งพิจารณาเข้าร่วมในโครงการหรือกิจกรรมต่าง ๆ ภายใต้กรอบ (Asia-Europe Meeting ASEM) ตามแถลงการณ์ประธาน ASEM FMM 12 เพื่อให้การดำเนินการต่าง ๆ มีผลเป็นรูปธรรมและเป็นประโยชน์ที่ชัดเจนต่อประชาชน และเพื่อเป็นการส่งเสริมบทบาทประเทศไทยในการสนับสนุนการดำเนินงานของ ASEM ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เห็นควรเพิ่มรายชื่อประเทศไทยเพื่อบรรจุอยู่ใน Participating ASEM Partners หรือให้ประเทศไทยเข้าร่วมในฐานะผู้สังเกตการณ์ หรือขอรายงานความร่วมมือในหัวข้อที่สอดคล้องกับประเด็นที่ประเทศไทยให้ความสำคัญ เช่น (หัวข้อที่ ๑) Disaster Management and Mitigation (หัวข้อที่ ๒) Water & Waste Management และ (หัวข้อที่ ๓) SME เพื่อนำมาพิจารณาการใช้ประโยชน์ในประเทศ หรือเข้าร่วมโครงการ/กิจกรรมในโอกาสต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
21605 | ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง การพัฒนาและปรับปรุงระเบียบคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานว่าด้วยกองทุนพัฒนาไฟฟ้า เพื่อการพัฒนาหรือฟื้นฟูท้องถิ่นที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้า) | พน | 05/01/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาเกี่ยวกับข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ (เรื่อง การพัฒนาและปรับปรุงระเบียบคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานว่าด้วยกองทุนพัฒนาไฟฟ้า เพื่อการพัฒนาหรือฟื้นฟูท้องถิ่นที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้า) ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ โดยกระทรวงพลังงานได้ประชุมร่วมกับส่วนราชการส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเมื่อวันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๘ แล้ว มีมติว่า ระเบียบคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานว่าด้วยกองทุนพัฒนาไฟฟ้า เพื่อการพัฒนาหรือฟื้นฟูท้องถิ่นที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าเดิมมีความเหมาะสมอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องปรับปรุงตามข้อเสนอแนะดังกล่าว ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งผลการพิจารณาของกระทรวงพลังงานให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเพื่อนำเสนอสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศต่อไป และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
21606 | ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง แผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์) | คค | 05/01/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาเกี่ยวกับข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ (เรื่อง แผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์) ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งผลการพิจารณาของกระทรวงคมนาคมให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเพื่อนำเสนอสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศต่อไป และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปฯ มีดังนี้
๑. ปฏิรูปกระบวนการบริหารจัดการของหน่วยงานที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์ในปัจจุบัน ๒. การจัดตั้งองค์กรใหม่เพื่อเป็นองค์กรที่รับผิดชอบด้านการกำหนดนโยบายยุทธศาสตร์ชาติและแผนงานพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์ของประเทศ (Regulator) ๓. การปฏิรูปโครงสร้างพื้นฐานของเครือข่ายโทรคมนาคม ๔. ประเด็นปฏิรูปกฎหมาย ๕. การพัฒนาบุคลากรวิชาชีพโลจิสติกส์ ๖. ปรับเพิ่มระบบงบประมาณการลงทุนภาครัฐโดยเน้นให้ประชาชนและภาคเอกชนมีส่วนร่วม ๗. การพัฒนาส่งเสริมระบบโครงสร้างพื้นฐานอย่างบูรณาการควบคู่กับการพัฒนาระบบสารสนเทศ ๘. การพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ ๙. สนับสนุนการคมนาคมและขนส่งเพื่อเชื่อมโยงกลุ่มประเทศอาเซียน
|
||||||||||||||||||||||||||||||
21607 | ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง ระบบพลังงาน) | พน | 05/01/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ (เรื่อง ระบบพลังงาน) ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ ตามที่กระทรวงพลังงาน และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งผลการพิจารณาของกระทรวงพลังงานให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเพื่อนำเสนอสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศต่อไป และแจ้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปฯ มีดังนี้
๑. ระบบราคาเชื้อเพลิงที่มีการแข่งขันเสรีและเป็นธรรม ๒. บทบาท หน้าที่ และการใช้ประโยชน์กองทุนน้ำมันเชื่อเพลิง ๓. การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการกำหนดนโยบายและการกำกับกิจการพลังงาน ๔. การพัฒนาศูนย์ข้อมูลกลางด้านพลังงาน (NEIA) ๕. การกำกับกิจการพลังงานทุกประเภทที่มีลักษณะผูกขาดโดยธรรมชาติหรือมีอำนาจเหนือตลาด ๖. การจัดตั้งกองทุนพลังงานเพื่อสังคม ๗. การจัดทำค่าพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้า ๘. การจัดทำแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า (PDP) ๙. การผลิตและซื้อไฟฟ้าเสรี ๑๐. การบริหารกิจการสายส่งและศูนย์ควบคุมระบบโครงข่ายไฟฟ้า (System Operator) และตลาดกลางซื้อขายไฟฟ้าภายในแผน PDP 2015-2036 ๑๑. โครงข่ายระบบสายส่งไฟฟ้าในกลุ่มประชาคมอาเซียนและภูมิภาคข้างเคียง ๑๒. กองทุนพัฒนาไฟฟ้า ๑๓. การปฏิรูปการอนุรักษ์พลังงานในอาคารภาครัฐและเอกชนในระบบ ESCO และ BBC ๑๔. การปฏิรูปกฎหมายด้านพลังงานทดแทนและพลังงานหมุนเวียน ๑๕. การปฏิรูปพลังงานชีวภาพ ๑๖. การแยกกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานออกเป็นกรมพัฒนาพลังงานทดแทน และกรมอนุรักษ์พลังงาน ๑๗. ส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์รูฟอย่างเสรี ๑๘. โครงการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
21608 | ข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา 31 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (เรื่อง แนวทางการส่งเสริมการให้ความรู้ทางการเงินขั้นพื้นฐานแก่ประชาชน) | กค | 05/01/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาเกี่ยวกับข้อเสนอแนะเพื่อการปฏิรูปตามมาตรา ๓๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ (เรื่อง แนวทางการส่งเสริมการให้ความรู้ทางการเงินขั้นพื้นฐานแก่ประชาชน) ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ โดยกระทรวงการคลังพิจารณาเห็นด้วยกับหลักการที่กำหนดให้การให้ความรู้ทางการเงินเป็นวาระแห่งชาติที่ต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน และมีข้อสังเกตเกี่ยวกับการจัดตั้งสถาบันส่งเสริมความรู้ทางการเงินแห่งชาติว่า ปัจจุบันมีหน่วยงานที่ดำเนินงานด้านการให้ความรู้ทางการเงินแก่ประชาชนอยู่หลายหน่วยงาน รวมทั้งกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการยกร่างแผนการให้ความรู้ทางการเงินเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินงานด้านการให้ความรู้ทางการเงินระดับประเทศ ซึ่งจะทำให้มีเป้าหมายและแนวทางในการดำเนินงานและมีกลไกการขับเคลื่อนที่ชัดเจน นำไปสู่การดำเนินงานในเรื่องดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงเห็นว่าไม่จำเป็นที่จะต้องจัดตั้งสถาบันส่งเสริมความรู้ทางการเงินแห่งชาติขึ้นมาใหม่ แต่ควรกำหนดบทบาทหน้าที่และตัวชี้วัดในการดำเนินงานของแต่ละหน่วยงานที่ดำเนินการอยู่ให้ชัดเจน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งผลการพิจารณาของกระทรวงการคลังให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเพื่อนำเสนอสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศต่อไป และแจ้งสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
21609 | ร่างพระราชบัญญัติควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค | 05/01/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน พุทธศักราช ๒๔๘๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยเพิ่มหลักเกณฑ์ในการควบคุมการส่งหรือนำเงินตรา และตราสารเปลี่ยนมือ ออกไปนอกหรือเข้ามาในประเทศ รวมทั้งหลักการให้ตราสารเปลี่ยนมือเป็นของตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควรแก้ไขถ้อยคำในหลักการของร่างพระราชบัญญัติฯ ในข้อ ๒ จาก “... การออกกฎกระทรวงกรณีการส่งหรือนำเงินตรา เงินตราต่างประเทศ ตราสารเปลี่ยนมือ ออกไปนอกหรือเข้ามาในประเทศ” เป็น “... การออกกฎกระทรวงกรณีการส่งหรือนำตราสารเปลี่ยนมือออกไปนอกหรือเข้ามาในประเทศ และการนำเงินตราเข้ามาในประเทศ” และข้อ ๓ จาก “(แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๑๒)” เป็น “(แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๘ ทวิ)” ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
21610 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ทส | 05/01/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (ฉบับที่..) พ.ศ. ... มีสาระสำคัญเป็นการขยายวงเงินกู้ยืมที่สามารถดำเนินการได้ต่อครั้ง และเพิ่มอำนาจในการออกพันธบัตรหรือตราสารอื่นใดเพื่อการลงทุน รวมทั้งกำหนดให้ผู้รักษาการแทนผู้อำนวยการมีอำนาจและหน้าที่อย่างเดียวกับผู้อำนวยการ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้แก้ไขให้ผู้รักษาการแทนผู้อำนวยการมีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับผู้อำนวยการโดยไม่มีข้อยกเว้น เพื่อให้สามารถเข้าประชุมคณะกรรมการและปฏิบัติหน้าที่ได้โดยไม่กระทบต่อองค์ประกอบและองค์ประชุมของคณะกรรมการ แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเสนอขอเพิ่มอำนาจการดำเนินงานในร่างมาตรา ๗ (๘) โดยกำหนดให้ออกพันธบัตรหรือตราสารอื่นใดเพื่อการลงทุน ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อนนั้น ต้องปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง การพิจารณาวงเงินให้มีความเหมาะสมกับภารกิจหน้าที่ ตามกฎหมายที่จะต้องใช้เงินในการส่งเสริมการดำเนินการให้เกิดสภาพคล่อง คำนึงถึงต้นทุนทางการเงินที่จะเกิดขึ้นจากการลงทุนด้วยการออกพันธบัตรหรือตราสารอื่นใด โดยยึดประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญด้วย และการขยายวงเงินกู้ยืมเงินที่หน่วยงานสามารถดำเนินการได้ต่อครั้งนั้น ควรกำหนดวงเงินทั้งหมดที่สามารถดำเนินการได้ โดยยึดหลักการด้านการเงินการบัญชี รวมทั้งรัฐบาลควรสนับสนุนให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้มีบทบาทเป็นผู้นำในการส่งเสริมการปลูกไม้มีค่าทางเศรษฐกิจในระยะยาว เพื่ออนุรักษ์ ฟื้นฟู และสร้างความมั่นคงของฐานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
21611 | การรับโอนภารกิจการตรวจสอบเอกสารหลักฐานการใช้จ่ายเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน | กค | 05/01/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ส่วนราชการที่มีหน้าที่ในการดำเนินการช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยพิบัติสามารถเบิกเงินคงคลังเป็นเงินทดรองราชการเพื่อทดรองจ่ายในการแก้ไขปัญหา และดำเนินการช่วยเหลือเพื่อผ่อนคลายความเดือดร้อนเฉพาะหน้าแก่ประชาชน ผู้ประสบภัยพิบัติจากภัยพิบัติต่างๆ ให้สามารถดำรงชีวิตได้อย่างปกติสุขโดยเร็ว รวมทั้งกำหนดให้มีระบบการตรวจสอบติดตามการใช้จ่ายเงินทดรองราชการโดยนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินต่อไปได้ สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน จำนวน ๕,๒๐๐,๐๐๐ บาท นั้น ให้กระทรวงการคลังดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่ให้กรมบัญชีกลางพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ก่อน หากไม่เพียงพอก็ให้ขอรับการจัดสรรจากงบประมาณรายจ่าย งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น และขอตกลงกับสำนักงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณไปพิจารณาร่วมกันเกี่ยวกับการจัดสรรอัตรากำลังเจ้าหน้าที่เพิ่มเติมให้แก่กรมบัญชีกลางเพื่อรองรับภารกิจที่ได้รับโอนมา ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการให้กรมบัญชีกลางมีการเตรียมการรองรับภารกิจเกี่ยวกับการดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติโดยเงินทดรองราชการ สำหรับงบประมาณโครงการพัฒนาสารสนเทศให้ปฏิบัติตามกฎ ระเบียบ และการพิจารณาของสำนักงบประมาณตามความจำเป็นเหมาะสม การให้สำนักงานตรวจสอบเงินแผ่นดินทำหน้าที่ในการตรวจสอบเอกสารหลักฐานต้นฉบับของแต่ละหน่วยงานไว้ตามเดิม การวางระบบการบริหารจัดการอัตรากำลัง การพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน โดยเฉพาะข้อมูลผู้ประสบภัยพิบัติฉุกเฉินและพื้นที่ประสบภัยพิบัติฉุกเฉินให้เป็นฐานข้อมูลเดียวกันและทันสมัยอยู่ตลอดเวลา รวมทั้ง การพัฒนาระบบฐานข้อมูลดังกล่าวให้โปร่งใส ตรวจสอบได้ และสามารถเชื่อมโยงกับระบบบริหารการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
21612 | การลดหย่อนค่ารายปีภาษีโรงเรือนและที่ดินในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) | กค | 05/01/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้การลดหย่อนค่ารายปีภาษีโรงเรือนและที่ดินของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ในช่วงระยะเวลา ๕ ปีแรกของการเปิดดำเนินการของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ปีภาษี พ.ศ. ๒๕๕๐-๒๕๕๔ เป็นไปตามกรอบบันทึกข้อตกลง เรื่อง การเสียภาษีของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๔๗ ที่ตกลงให้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) เสียภาษีโรงเรือนและที่ดินให้แก่ อปท. เหมาจ่ายปีละ ๓๐ ล้านบาท โดยอาศัยอำนาจตามนัยมาตรา ๓๑ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. ๒๔๗๕ ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๓๔ ๑.๒ ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาลดหย่อนค่ารายปีภาษีโรงเรือนและที่ดินในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ปีภาษี พ.ศ. ๒๕๕๐-๒๕๕๑ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ คิดเป็นค่ารายปีจำนวนเงิน ๑๐๕,๑๘๒,๒๖๗.๔๔ บาท (คำนวณจากค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินจำนวนเงิน ๑๓,๑๔๗,๗๘๓.๔๓ บาท) โดยอาศัยอำนาจตามนัยมาตรา ๓๑ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. ๒๔๗๕ ที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๓๔ ๑.๓ ให้การประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินสำหรับอาคารทั้ง ๕ กิจกรรมของบริษัท การบินไทยฯ ตั้งแต่ปีภาษี พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นต้นไป เป็นไปตามที่ข้อกฎหมายว่าด้วยภาษีโรงเรือนและที่ดินกำหนด ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมอบหมายกระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการจัดทำหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินของรัฐวิสาหกิจให้แล้วเสร็จโดยเร็ว พร้อมทั้งนำหลักการการลดหย่อนค่ารายปีของบริษัท การบินไทยฯ ไปพิจารณาร่วมด้วย เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ความเสมอภาค และลดข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังเร่งรัดจัดทำหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินของรัฐวิสาหกิจให้แล้วเสร็จโดยเร็วตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๕๘ [เรื่อง ขอลดหย่อนค่ารายปีภาษีโรงเรือนและที่ดินในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)] |
||||||||||||||||||||||||||||||
21613 | แจ้งคำพิพากษาศาลปกครองกลางยกฟ้องคณะรัฐมนตรี (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6) ในคดีระหว่างนางสาวอรนุช สังฆมิตกุล กับพวกรวม 27 คน ผู้ฟ้องคดี บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ที่ 1 กับพวกรวม 6 คน ผู้ถูกฟ้องคดี เรื่อง ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ระงับการให้บริการการขึ้น - ลงของเครื่องบินทุกประเภท และขอให้ศาลพิพากษาให้ดำเนินการเพื่อประกาศให้สนามบินสุวรรณภูมิเป็นแหล่งกำเนิดมลพิษ และการกำหนดมาตรฐานควบคุมมลพิษจากแหล่งกำเนิดดังกล่าว รวมทั้งร่วมกันชำระค่าเสียหายทางละเมิด | อส | 05/01/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำพิพากษาศาลปกครองกลางยกฟ้องคณะรัฐมนตรี (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๖) ในคดีระหว่างนางสาวอรนุช สังฆมิตกุล กับพวกรวม ๒๗ คน ผู้ฟ้องคดี บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ที่ ๑ กับพวกรวม ๖ คน ผู้ถูกฟ้องคดี เรื่อง ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ระงับการให้บริการการขึ้น-ลงของเครื่องบินทุกประเภท และขอให้ศาลพิพากษาให้ดำเนินการเพื่อประกาศให้สนามบินสุวรรณภูมิเป็นแหล่งกำเนิดมลพิษ และการกำหนดมาตรฐานควบคุมมลพิษจากแหล่งกำเนิดดังกล่าว รวมทั้งร่วมกันชำระค่าเสียหายทางละเมิด ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
21614 | การประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 และปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 | ปช | 05/01/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้หน่วยงานภาครัฐทุกหน่วยงานเข้าร่วมรับการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๐ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการขับเคลื่อนตามยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๐) และเพื่อเป็นการป้องกันปัญหาการทุจริตในประเทศไทย ตามที่สำนักงาน ป.ป.ช. เสนอ ๒. สำหรับงบประมาณที่จะใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๐ นั้น ให้หน่วยงานภาครัฐที่รับผิดชอบการประเมินดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยงบประมาณที่จะใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ให้หน่วยงานภาครัฐที่รับผิดชอบใช้จ่ายจากงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรแล้ว หรือปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ ของหน่วยงานฯ ในโอกาสแรกก่อน หากไม่เพียงพอ ก็ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว โดยดำเนินการตามระเบียบและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ส่วนงบประมาณที่จะใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ให้หน่วยงานภาครัฐที่รับผิดชอบการประเมินเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามภารกิจตามความจำเป็นและเหมาะสม และจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ในส่วนที่เกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามขั้นตอนต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
21615 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดจำนวนเงินสะสมเข้ากองทุนสงเคราะห์สำหรับโรงเรียนในระบบ พ.ศ. .... | ศธ | 05/01/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดจำนวนเงินสะสมเข้ากองทุนสงเคราะห์สำหรับโรงเรียนในระบบ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดวงเงินสูงสุดในการส่งเงินสะสมเข้ากองทุนสงเคราะห์สำหรับผู้อำนวยการ ครู และบุคลากรทางการศึกษาของโรงเรียนเอกชน เพื่อให้มีความเหมาะสม สอดคล้องกับสภาวการณ์ในปัจจุบัน ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||
21616 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของทบวงการพลังงานหมุนเวียนระหว่างประเทศ พ.ศ. .... | สว | 05/01/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของทบวงการพลังงานหมุนเวียนระหว่างประเทศ พ.ศ. .... ซึ่งเป็นการเสนอให้มีกฎหมายกลางเพื่อรับรองสถานะและความสามารถทางกฎหมาย รวมทั้งการให้เอกสิทธิ์และความคุ้มกันแก่องค์การระหว่างประเทศ เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายประสงค์ที่จะส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในภูมิภาคขององค์การระหว่างประเทศและศูนย์การประชุมระหว่างประเทศ รวมทั้งให้ประเทศไทยมีสถานะและบทบาทที่เด่นชัดในเวทีระหว่างประเทศอันจะทำให้ส่วนราชการเจ้าของเรื่องสามารถดำเนินการต่อไปได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่จำเป็นต้องออกพระราชบัญญัติเป็นรายกรณีทุกครั้งไป ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๒. มอบหมายให้กระทรวงพลังงานเป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงยุติธรรม เพื่อศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ดังกล่าว และสรุปผลการดำเนินการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทราบภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
21617 | รายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิชุมชน กรณีโครงการก่อสร้างสายส่งไฟฟ้าแรงสูง ในพื้นที่ จังหวัดน่าน เพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการเหมืองและโรงไฟฟ้าพลังความร้อนหงสาลิกไนต์ ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป. ลาว) | สม | 05/01/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการพิจารณาคำร้องเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง สิทธิชุมชน กรณีโครงการก่อสร้างสายส่งไฟฟ้าแรงสูง ในพื้นที่จังหวัดน่าน เพื่อรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการเหมืองและโรงไฟฟ้าพลังความร้อนหงสาลิกไนต์ ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โดยมีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการพิจารณาทบทวนแผนการพัฒนาพลังงานของชาติ การดำเนินการตามแผนการพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือกร้อยละ ๒๕ ใน ๑๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๖๔) และแผนอนุรักษ์พลังงาน ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๗๓) การให้ความสำคัญกับการใช้พลังงานหมุนเวียนที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัย ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม การริเริ่มหรือพัฒนาโครงการใด ๆ ในระดับชาติ ต้องคำนึงถึงประโยชน์สาธารณะ สิทธิการมีส่วนร่วมของประชาชน และผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่โครงการ รวมทั้งการจัดตั้งกลไกหรือกำหนดภารกิจการกำกับดูแลการลงทุนในต่างประเทศของผู้ลงทุนสัญชาติไทยให้เคารพต่อหลักการพื้นฐานด้านสิทธิมนุษยชน ๒. มอบหมายให้กระทรวงพลังงานเป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงพาณิชย์เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
21618 | รายงานผลการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (เรื่อง ประโยชน์และปัญหาของสภาเกษตรกรแห่งชาติ) | สว | 05/01/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (เรื่อง ประโยชน์และปัญหาของสภาเกษตรกรแห่งชาติ) ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันพิจารณารายงานผลการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการฯ แล้ว เห็นควรให้สภาเกษตรกรแห่งชาติดำเนินการตามอำนาจหน้าที่เป็นเสมือนสภาที่ปรึกษาภาคการเกษตรของรัฐตามที่กำหนดในพระราชบัญญัติสภาเกษตรกรแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๓ เช่นเดิมต่อไป และควรโอนย้ายสภาเกษตรกรแห่งชาติไปอยู่ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เนื่องจากงานส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับภาคเกษตรตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
21619 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลไพรวัน อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... | กษ | 05/01/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลไพรวัน อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลไพรวัน อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน เพื่อให้สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมสามารถเข้าไปดำเนินการจัดที่ดินและพัฒนาศักยภาพของที่ดินได้ อันจะทำให้เกษตรกรได้รับสิทธิและใช้ประโยชน์จากที่ดินดังกล่าวได้ถูกต้องตามกฎหมาย ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพิจารณากำหนดแนวทางการใช้ประโยชน์ที่ดินให้สอดคล้องกับแผนบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรม (Zoning) และแนวทางการพัฒนายางพาราทั้งระบบ ตลอดจนโครงการที่เกี่ยวข้องของรัฐบาล และควรร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการส่งเสริมให้เกษตรกรหันมาทำการเกษตรทางเลือกอื่น ๆ หรือการทำสวนยางพาราและสวนปาล์มน้ำมันร่วมกับการเพาะปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ทางเลือกที่เหมาะสมกับเงื่อนไขการผลิตและการตลาดในระดับพื้นที่ เพื่อให้เกษตรกรได้รับประโยชน์และสามารถรักษาที่ดินทำกินที่มีอยู่ได้อย่างยั่งยืน โดยไม่บุกรุกเข้าไปใช้ประโยชน์ในเขตพื้นที่ป่าเพื่อการอนุรักษ์ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
21620 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าน้ำยาวและป่าน้ำสวด ป่าน้ำเปื๋อย ป่าน้ำหย่วน และป่าน้ำลาว และป่าแม่ยม ในท้องที่ตำบลชนแดน ตำบลยอด อำเภอสองแคว จังหวัดน่าน และตำบลร่มเย็น ตำบลแม่ลาว อำเภอเชียงคำ ตำบลผาช้างน้อย อำเภอปง จังหวัดพะเยา ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. .... (อุทยานแห่งชาติถ้ำสะเกิน) | ทส | 05/01/2559 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าน้ำยาวและป่าน้ำสวด ป่าน้ำเปื่อย ป่าน้ำหย่วน และป่าน้ำลาว และป่าแม่ยม ในท้องที่ตำบลชนแดน ตำบลยอด อำเภอสองแคว จังหวัดน่าน และตำบลร่มเย็น ตำบลแม่ลาว อำเภอเชียงคำ ตำบลผาช้างน้อย อำเภอปง จังหวัดพะเยา ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. .... (อุทยานแห่งชาติถ้ำสะเกิน) ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดบริเวณที่ดินป่าน้ำยาวและป่าน้ำสวด ป่าน้ำเปื่อย ป่าน้ำหย่วน และป่าน้ำลาว และป่าแม่ยม ในท้องที่ตำบลชนแดน ตำบลยอด อำเภอสองแคว จังหวัดน่าน และตำบลร่มเย็น ตำบลแม่ลาว อำเภอเชียงคำ ตำบลผาช้างน้อย อำเภอปง จังหวัดพะเยา ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ เพื่อสงวนไว้ให้คงอยู่ในสภาพธรรมชาติเดิม มิให้ถูกทำลายหรือเปลี่ยนแปลงไป เพื่อประโยชน์แก่การศึกษาและรื่นรมย์ของประชาชน และเพื่ออำนวยประโยชน์อื่นแก่รัฐและประชาชน และให้ดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการแก้ไขแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกานี้ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไป ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการออกกฎกระทรวงเพิกถอนป่าสงวนแห่งชาติในส่วนที่ทับซ้อนกับพื้นที่อุทยานแห่งชาติตามร่างพระราชกฤษฎีกานี้ และรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการบริหารจัดการพื้นที่โดยรอบพื้นที่อุทยานดังกล่าว โดยส่งเสริมเครือข่ายอนุรักษ์และป้องกันการบุกรุกป่าไม้ โดยภาคประชาชนและชุมชน ส่งเสริมหลักการชุมชนอยู่ร่วมกับป่า และควรจำกัดกิจกรรมในการใช้ประโยชน์ให้สอดคล้องกับแนวทางการรักษาพื้นที่ป่า ไม่ควรให้มีการปลูกพืชเชิงเดี่ยว และใช้สารเคมีการเกษตร รวมทั้งควรส่งเสริมให้มีการทำเกษตรแบบอินทรีย์ร่วมกับการปลูกป่า และใช้ประโยชน์จากป่าที่ปลูกอย่างเหมาะสม ลดผลกระทบที่จะมีต่อพื้นที่อนุรักษ์ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
.....