ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 108 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 2141 - 2160 จากข้อมูลทั้งหมด 123963 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2141 | รายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2566 และรายงานผลการติดตามการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2564 | ทส. | 23/07/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม
พ.ศ. ๒๕๖๖ ได้รายงานสถานการณ์การดำเนินการที่เกี่ยวข้อง
และข้อเสนอแนะรายสาขาสิ่งแวดล้อม ๑๑ สาขา ในช่วง พ.ศ. ๒๕๖๕ - ๒๕๖๖ เช่น ๑)
ทรัพยากรดินและการใช้ที่ดิน ๒) ทรัพยากรแร่ ๓) พลังงาน ๔)
ทรัพยากรป่าไม้และสัตว์ป่า ๕) ทรัพยากรน้ำ ซึ่งสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อมบางสาขาที่ควรเฝ้าติดตาม
เช่น ๑) การปลูกพืชในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมส่งผลให้เกิดการชะล้างพังทลายของดิน ๒)
การผลิตพลังงานได้ลดลงแต่มีการนำเข้าพลังงานและใช้พลังงานเพิ่มขึ้น ๓)
คุณภาพน้ำทะเลชายฝั่งโดยเฉพาะบริเวณอ่าวไทยค่อนข้างเสื่อมโทรม ๔)
ปริมาณฝนรวมเฉลี่ยสูงกว่าค่าปกติเพิ่มขึ้น และ ๕) เกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติเพิ่มขึ้น
โดยเฉพาะดินถล่ม และรายงานผลการติดตามการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม
พ.ศ. ๒๕๖๔ มีสาระสำคัญเป็นรายงานความคืบหน้าในการดำเนินการตามข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อมในปีก่อนหน้า
รวมทั้งปัญหา อุปสรรค และแนวทางแก้ไข ซึ่งเป็นการดำเนินการตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๔ มกราคม ๒๕๖๓ ที่ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานความคืบหน้าดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรี
ตามที่กระทรวงทรัพยากรรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2142 | ร่างพระราชบัญญัติยกเลิกประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติบางฉบับที่หมดความจำเป็นและไม่เหมาะสมกับกาลปัจจุบัน พ.ศ. .... | นร.09 | 23/07/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติยกเลิกประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติบางฉบับที่หมดความจำเป็นและไม่เหมาะสมกับกาลปัจจุบัน
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติบางฉบับที่หมดความจำเป็นและไม่เหมาะสมกับกาลปัจจุบัน
จำนวน ๒๔ ฉบับ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ โดยให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตัดคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
ที่ ๑๔/๒๕๕๙ เรื่อง คณะกรรมการที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้
และการกำหนดอำนาจหน้าที่ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ลงวันที่ ๔
เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๙ ออกจากบัญชีท้ายร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2143 | มาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้กับประชาชน | พน. | 23/07/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบในหลักการมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้กับประชาชน โดยให้ใช้เงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงตรึงราคาน้ำมันดีเซลให้ไม่เกิน
๓๓ บาทต่อลิตร อัตราการชดเชยไม่เกิน ๒ บาทต่อลิตร จนถึงวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๗
ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
และให้กระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวตามหน้าที่และอำนาจให้ถูกต้อง
เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดโดยเร็วต่อไป
ทั้งนี้
ให้กระทรวงพลังงานและกระทรวงการคลังรับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
ที่เห็นว่ามาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานเป็นมาตรการระยะสั้น
สมควรที่คณะรัฐมนตรีจะมอบหมายให้กระทรวงพลังงานและกระทรวงการคลังศึกษาแนวทางที่เหมาะสมในการปรับโครงสร้างพลังงานของประเทศอย่างเป็นระบบเพื่อสะท้อนต้นทุนด้านพลังงานที่แท้จริง
รวมทั้งการส่งเสริมและพัฒนาแหล่งพลังงานใหม่ เช่น พลังงานหมุนเวียน พลังงานสะอาด
รวมทั้งพลังงานนิวเคลียร์มาใช้เพื่อรองรับความต้องการใช้พลังงานที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
เพิ่มความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการและประเทศ และเพื่อบรรลุเป้าหมาย Carbon neutrality ในปี ๒๐๓๐ และ Net Zero
emission ในปี ๒๐๕๐ ได้อย่างแท้จริง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2144 | มองโกเลียขอเปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์มองโกเลีย ณ จังหวัดชลบุรี และแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์มองโกเลีย ณ จังหวัดชลบุรี (นายนิธิวัชร์ เรืองฉัตรศรีกุล) | กต. | 23/07/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑. เปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์มองโกเลีย ณ
จังหวัดชลบุรี โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมจังหวัดชลบุรีและจังหวัดระยอง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2145 | การสิ้นสุดหน้าที่ของกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐฟินแลนด์ ณ เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี และการแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐฟินแลนด์ ณ จังหวัดชลบุรี (นายฤทธิกร ศิริประเสริฐโชค) | กต. | 23/07/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศ ดังนี้ ๑. รับทราบการสิ้นสุดหน้าที่ของ นายตัวโม เราตะกิวิ
(Mr. Tuomo Rautakivi) กงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐฟินแลนด์
ณ เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี ตั้งแต่วันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๖๓ ซึ่งขอลาออกจากตำแหน่งเนื่องจากเหตุผลส่วนตัว ๒. เห็นชอบการแต่งตั้ง นายฤทธิกร ศิริประเสริฐโชค
ให้ดำรงตำแหน่งกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐฟินแลนด์ ณ จังหวัดชลบุรี คนใหม่
โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมจังหวัดชลบุรี จันทบุรี ระยอง และตราด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2146 | มาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าให้แก่ประชาชน | พน. | 23/07/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบในหลักการมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าให้แก่ประชาชน ซึ่งเป็นมาตรการต่อเนื่องจากมาตรการที่ดำเนินการในช่วงเดือนพฤษภาคม
๒๕๖๗ ถึงเดือนสิงหาคม ๒๕๖๗
เพื่อบรรเทาผลกระทบต่อภาระค่าครองชีพของประชาชนและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ทั้งนี้
ให้กระทรวงพลังงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวตามหน้าที่และอำนาจให้ถูกต้อง
เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดโดยเร็วต่อไป
โดยให้รับความเห็นของรองนายกรัฐมนตรี (นายพิชัย ชุณหวชิร)
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ รองนายกรัฐมนตรี (นายพิชัย ชุณหวชิร)
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เห็นว่าอัตราค่าไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้น
ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากราคาค่าเชื้อเพลิง
ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของต้นทุนการผลิตไฟฟ้า ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงควรพิจารณาความเป็นไปได้ในการจัดหาและสำรวจแหล่งผลิตก๊าซธรรมชาติอื่น
ๆ เพิ่มเติมเพื่อให้ประเทศมีปริมาณก๊าซสำรองใช้เพิ่มขึ้น
ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าและลดภาระค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าให้แก่ประชาชนและภาคธุรกิจในระยะยาว สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เห็นว่าควรจะต้องดำเนินการตามกฎหมาย
กฎ ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัดต่อไป สำหรับข้อเสนอให้ปรับปรุงแนวทางการคิดเงินนำส่งคลังตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ
เพื่อลดภาระเงินคงค้างสะสมของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เห็นควรรับฟังความเห็นของกระทรวงการคลังเพื่อประกอบการพิจารณาด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2147 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยส่วนกลาง ขนาด 68 ครอบครัว จำนวน 2 อาคาร และอาคารที่จอดรถ สูง 8 ชั้น จำนวน 1 หลัง แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร | ตช. | 23/07/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวนเงิน ๓๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยส่วนกลาง ขนาด ๖๘ ครอบครัว จำนวน ๒ อาคาร
และอาคารที่จอดรถ สูง ๘ ชั้น จำนวน ๑ หลัง แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร
เพื่อเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิต สวัสดิการ และบรรเทาความเดือดร้อน ด้านค่าใช้จ่าย รวมทั้ง
เป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับข้าราชการตำรวจต่อไป ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ
และให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่เห็นควรต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมเสนอในขั้นขออนุญาตก่อสร้างหรือหากใช้วิธีการแจ้งต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่นตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคารโดยไม่ยื่นขอรับใบอนุญาตให้เสนอในขั้นการแจ้งต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่น
แล้วแต่กรณี
และจะต้องจัดกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนตามประกาศสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เรื่อง แนวทางการมีส่วนร่วมของประชาชน
ในกระบวนการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๖๖ ไปดำเนินการต่อไป
ทั้งนี้
ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๓๕ รวมทั้งกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง ครบถ้วนอย่างเคร่งครัด ๒.
ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ความสำคัญกับการจัดสวัสดิการที่พักอาศัยให้กับข้าราชการตำรวจชั้นผู้น้อยที่ได้รับความเดือดร้อนเพื่อเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตและสร้างขวัญกำลังใจให้กับข้าราชการตำรวจในกลุ่มนี้เป็นลำดับแรก
และกำกับดูแลการจัดสรรที่พักอาศัยให้เป็นไปตามระเบียบ
หลักเกณฑ์เกี่ยวกับการเข้าพักอาศัยในอาคารที่พักอาศัยของสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างเคร่งครัดและต่อเนื่อง
โดยเฉพาะกรณีการนำสิทธิการเข้าพักอาศัยไปให้บุคคลภายนอกเช่าหรือเข้าพักอาศัยแทน |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2148 | (ร่าง) ข้อเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ปีก (ไก่งวง) ในประเทศไทย | กษ. | 23/07/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ (ร่าง)
ข้อเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาเกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์ปีก (ไก่งวง) ในประเทศไทย และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแนวทางดังกล่าว
ประกอบด้วย ๑) ขอให้ภาครัฐเร่งอนุญาตให้โรงฆ่าสัตว์ปีก เพิ่มชนิดสัตว์ปีก ประเภทไก่งวง
๒) สนับสนุนให้มีโรงฆ่าสัตว์ปีก (ไก่งวง)
ที่ได้รับมาตรฐานการส่งออกขนาดเล็กสำหรับเกษตรกรรายย่อยของหน่วยงานภาครัฐ ๓) กำหนดมาตรฐานสำหรับฟาร์มสัตว์ปีก
(ไก่งวง) แบบโรงเรือนยกพื้น (มาตรฐาน GAP) เพื่อเพิ่มศักยภาพในการผลิต และยกระดับมาตรฐานเพื่อการส่งออก ๔) ภาครัฐสนับสนุนการจัดทำพิธีสารว่าด้วยการส่งออกไก่งวง
และ ๕) ขอให้ภาครัฐเร่งระบายไก่งวงที่ค้างสต็อกอย่างเร่งด่วน ตามที่สภาเกษตรกรแห่งชาติเสนอ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
เช่น กระทรวงอุตสาหกรรม เห็นว่าในส่วนของไก่งวงแช่แข็งที่ค้างสต็อกและไก่งวงที่พร้อมเข้าโรงฆ่าสัตว์ปีก
อาจมีแนวทางมาตรการเพื่อระบายสต็อกที่ค้างอยู่ออกไปก่อน
แต่ทั้งนี้ในระยะยาวอาจจะต้องมีการวางแผนการผลิต การตลาด
ให้เหมาะสมต่อความต้องการของตลาดในอนาคต สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นว่ากรมปศุสัตว์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ควรเร่งประชาสัมพันธ์แนวทางการยื่นขอรับอนุญาตฆ่าไก่งวงเพิ่มเติมให้ผู้ประกอบกิจการโรงฆ่าสัตว์ทราบอย่างทั่วถึงในวงกว้าง
เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบกิจการโรงฆ่าสัตว์ที่ยังดำเนินการไม่เต็มศักยภาพการผลิตยื่นขอรับอนุญาตฆ่าไก่งวงเพิ่มเติม
พร้อมทั้งสนับสนุนให้มีการปรับปรุง แก้ไข พัฒนา กิจการโรงฆ่าสัตว์ให้ได้มาตรฐานการส่งออกควบคู่ไปด้วย กระทรวงพาณิชย์
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรพิจารณาจัดหาช่องทางการจัดจำหน่ายและอำนวยความสะดวกในการจับคู่
(Matching) ระหว่างกลุ่มเกษตรกรและผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมต่อเนื่อง
(อาหารแปรรูปและอาหารสัตว์) เครือโรงแรม ภัตตาคาร และร้านอาหาร
เพื่ออำนวยความสะดวกในการเร่งระบายไก่งวงแช่แข็งค้างในสต๊อกเพื่อบรรเทาภาระต้นทุน ค่าใช้จ่าย
โดยการดำเนินการดังกล่าวจะต้องพิจารณาราคาในการจัดจำหน่ายไก่งวงแช่แข็งที่เหมาะสมและเป็นธรรมด้วย
รวมทั้งให้พิจารณาความเหมาะสมและความเป็นได้ในการส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ประเภทอื่นที่เป็นที่ต้องการของตลาดเพิ่มมากขึ้นด้วย
เช่น นกกระทา
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2149 | การลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) เพื่อบริหารจัดการโครงการฝึกอบรมสำหรับประเทศกำลังพัฒนา | คค. | 23/07/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติในหลักการของร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ
เพื่อบริหารจัดการโครงการฝึกอบรมสำหรับประเทศกำลังพัฒนา และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ
เพื่อบริหารจัดการโครงการฝึกอบรมสำหรับประเทศกำลังพัฒนา โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดความร่วมมือเกี่ยวกับการบริหารจัดการหลักสูตรการฝึกอบรมของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย
และให้ทุนแก่ผู้เข้าร่วมฝึกอบรมจากประเทศกำลังพัฒนา ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
และให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง ที่เห็นควรคำนึงถึงประเด็นความคุ้มค่า
ต้นทุน และผลประโยชน์ เสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม
ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของรัฐ และเพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของบทบัญญัติมาตรา
๗ ของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2150 | ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ปช. | 23/07/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการให้ความคุ้มครองและช่วยเหลือแก่ผู้ให้ถ้อยคำ
แจ้งข้อมูลหรือเบาะแสหรือแสดงความคิดเห็นแก่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
หรือพนักงานเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
ในกรณีที่บุคคลถูกร้องทุกข์ ถูกกล่าวโทษ ถูกฟ้องคดี
หรือถูกดำเนินการทางวินัยจากการให้ถ้อยคำดังกล่าว ตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา โดยให้ส่งความเห็นของสำนักงานอัยการสูงสุดไปเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร
ก่อนเสนอรัฐสภาต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง
กรอบระยะเวลา
และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าว
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ ๓.
ให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ
ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
เช่น สำนักงบประมาณ เห็นควรให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
โดยกองทุนป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงิน
เพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม
โดยคำนึงถึงความครอบคลุมทุกแหล่งเงิน ความคุ้มค่า ประหยัด
และประโยชน์สูงสุดที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ
เห็นควรให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
พิจารณากำหนดหลักเกณฑ์ในกรณีที่ผู้มีอำนาจดำเนินการทางวินัยเห็นว่าการดำเนินการทางวินัยในเรื่องนั้นไม่ใช่เป็นการถูกดำเนินการทางวินัยอันเนื่องมาจากการดำเนินการตามมาตรา
๑๓๒ โดยกำหนดหลักเกณฑ์ให้ผู้มีอำนาจดำเนินการทางวินัยมีสิทธิที่จะชี้แจงข้อเท็จจริงและแสดงหลักฐานต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
เพื่อประกอบการพิจารณาด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2151 | การรับรองเอกสารผลลัพธ์การประชุมระดับรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขง-ญี่ปุ่น ครั้งที่ 15 การประชุมรัฐมนตรีหุ้นส่วนลุ่มน้ำโขง-สหรัฐฯ ครั้งที่ 3 และการรับตำแหน่งประธานร่วมของหุ้นส่วนลุ่มน้ำโขง-สหรัฐฯ ในปี 2568 | กต. | 23/07/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบต่อร่างยุทธศาสตร์กรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขง
- ญี่ปุ่น ค.ศ. ๒๐๒๔ และร่างแผนดำเนินการหุ้นส่วนลุ่มน้ำโขง-สหรัฐฯ ค.ศ. ๒๐๒๔-๒๐๒๖
เป็นเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขง-ญี่ปุ่น ครั้งที่
๑๕ และของการประชุมรัฐมนตรีหุ้นส่วนลุ่มน้ำโขง-สหรัฐฯ ครั้งที่ ๓ ตามลำดับ และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายให้การรับรองร่างเอกสาร
ในการประชุมรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขง-ญี่ปุ่น ครั้งที่ ๑๕
และที่ประชุมรัฐมนตรีหุ้นส่วนลุ่มน้ำโขง-สหรัฐฯ ครั้งที่ ๓ โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายแจ้งที่ประชุมรัฐมนตรีหุ้นส่วนลุ่มน้ำโขง-สหรัฐฯ
ครั้งที่ ๓ ว่าราชอาณาจักรไทยเห็นพ้องที่จะรับตำแหน่งประธานร่วมของ MUSP ร่วมกับสหรัฐอเมริกาต่อจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวในปี
๒๕๖๘ โดยร่างยุทธศาสตร์ฯ เป็นเอกสารกำหนดแนวทางความร่วมมือในระยะ ๕ ปี ภายใต้ ๓
สาขาหลัก ได้แก่ ๑) การเป็นสังคมที่มีความยืดหยุ่นและเชื่อมโยงกันในโลก
หลังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙ ๒) การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล และ ๓)
การตอบสนองเชิงรุกต่อประเด็นความมั่นคงรูปแบบใหม่ และร่างแผนดำเนินการฯ
เป็นการกำหนดกิจกรรมและโครงการต่าง ๆ ที่สหรัฐฯ จะดำเนินการภายใต้กรอบความร่วมมือหุ้นส่วนส่วนลุ่มน้ำโขง-สหรัฐฯในระยะะเวลา
๓ ปีข้างหน้า ภายได้ ๔ สาขา ได้แก่ ๑) ความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ ๒)
การใช้และการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ
และการอนุรักษ์และคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ๓) ความมั่นคงรูปแบบใหม่ และ ๔)
การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างยุทธศาสตร์กรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขง - ญี่ปุ่น
ค.ศ. ๒๐๒๔ และร่างแผนดำเนินการหุ้นส่วนลุ่มน้ำโขง - สหรัฐฯ ค.ศ. ๒๐๒๔ - ๒๐๒๖
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
ทั้งนี้
ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรยกระดับความสำคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวให้เป็นหนึ่งในหัวข้อความร่วมมือหลักภายใต้ร่างยุทธศาสตร์กรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขง-ญี่ปุ่นฯ
เพื่อให้เกิดความสอดคล้องและครอบคลุมประเด็นการพัฒนาที่ยั่งยืนมากขึ้น ทั้งนี้
กระทรวงการต่างประเทศควรสื่อสารผลลัพธ์ให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับรู้ถึงประโยชน์ประเทศไทยพึงจะได้รับจากการดำเนินงานภายใต้ร่างเอกสารทั้ง
๒ ฉบับ ไปดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2152 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นางอรนุช หล่อเพ็ญศรี และนายภาดล ถาวรกฤชรัตน์) | ทส. | 23/07/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๒ ราย
เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่างและสับเปลี่ยนหมุนเวียน ทั้งนี้
ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
ดังนี้ ๑. นางอรนุช หล่อเพ็ญศรี ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2153 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 (1. นายวิโรจน์ ตั้งเจริญเสถียร ฯลฯ จำนวน 13 คน) | สธ. | 23/07/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
จำนวน ๗ คน
และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข
จำนวน ๖ คน รวมจำนวน ๑๓ คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสี่ปี
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๓ กรกฎาคม ๒๕๖๗) ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
ดังนี้ ๑. คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
จำนวน ๗ คน ๑.๑ นายวิโรจน์ ตั้งเจริญเสถียร ด้านประกันสุขภาพ ๑.๒ ศาสตราจารย์ปิยะมิตร ศรีธรา ด้านการแพทย์และสาธารณสุข ๑.๓ นายพรเทพ ศิริวนารังสรรค์ ด้านการแพทย์แผนไทย ๑.๔
นายประทีป ธนกิจเจริญ ด้านการแพทย์ทางเลือก ๑.๕ นางมานิดา ภู่เจริญ ด้านการเงินการคลัง ๑.๖ นายสุวิช ชูตระกูล ด้านกฎหมาย ๑.๗ รองศาสตราจารย์อภิญญา เวชยชัย ด้านสังคมศาสตร์ ๒. คณะกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข
จำนวน ๖ คน ๒.๑ นายวิชัย อัศวภาคย์ สาขาเวชศาสตร์ครอบครัว ๒.๒ นางสาวโชษิตา ภาวสุทธิไพศิฐ สาขาจิตเวช ๒.๓ นายธงชัย เลิศวิไลรัตนพงศ์ สาขาการแพทย์แผนไทย ๒.๔ ศาสตราจารย์คลินิกสุพรรณ ศรีธรรมมา สาขาเวชศาสตร์ป้องกัน ๒.๕ นางวัชรา ริ้วไพบูลย์ สาขาเวชศาสตร์ฟื้นฟู
๒.๖
ศาสตราจารย์ภิเศก ลุมพิกานนท์ สาขาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2154 | ร่างกฎกระทรวงการอนุญาตโฆษณาเกี่ยวกับการบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด พ.ศ .... | สธ. | 16/07/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงการโฆษณาเกี่ยวกับการบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด
พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขการขออนุญาตและการออกใบอนุญาต
รวมทั้งเงื่อนไขในการโฆษณาตามใบอนุญาตเกี่ยวกับการบำบัดรักษายาเสพติด
ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2155 | ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการควบคุมป้ายหรือสิ่งที่สร้างขึ้นสำหรับติดหรือตั้งป้ายตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | มท. | 16/07/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการควบคุมป้ายหรือสิ่งที่สร้างขึ้นสำหรับติดหรือตั้งป้ายตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมข้อกำหนดเกี่ยวกับความสูงและแนวร่วมของป้ายบนหลังคาหรือดาดฟ้าของอาคารและป้ายหรือสิ่งที่สร้างขึ้นสำหรับติดหรือตั้งป้ายที่ติดตั้งอยู่บนพื้นดินโดยตรงให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพการณ์ปัจจุบัน
รวมทั้งผ่อนปรนให้ป้ายหรือสิ่งที่สร้างขึ้นสำหรับติดหรือตั้งป้ายที่มีอยู่ในวันก่อนวันที่กฎกระทรวงว่าด้วยการควบคุมป้ายหรือสิ่งที่สร้างขึ้นสำหรับติดหรือตั้งป้ายตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร
พ.ศ. ๒๕๕๘ ใช้บังคับและมีความมั่นคงแข็งแรง ให้สามารถขออนุญาตก่อสร้างได้ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2156 | รายงานผลการเดินทางเยือนสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามและสาธารณรัฐประชาชนจีนของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ | พณ. | 16/07/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางเยือนสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามและสาธารณรัฐประชาชนจีนของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์
(นายนภินทร ศรีสรรพางค์) ระหว่างวันที่ ๒๔ - ๒๘ เมษายน ๒๕๖๗
เพื่อสำรวจเส้นทางขนส่งสินค้าผลไม้ เตรียมความพร้อมในการรองรับฤดูผลไม้
และป้องกันปัญหาการขนส่งผลไม้ที่ติดขัดบริเวณชายแดนเวียดนามตอนเหนือกับจีนตอนใต้
อีกทั้งยังเป็นการกระชับความร่วมมือและความสัมพันธ์กับหน่วยงานภาคเอกชน ผู้นำเข้า
ผู้ประกอบการ ผู้กระจายสินค้ารายสำคัญ เพื่อผลักดันการส่งออกให้ได้ตามเป้าหมาย
ขยายส่วนแบ่งสินค้าเกษตรของไทยในตลาดต่างประเทศ และประชาสัมพันธ์ผลไม้ไทยให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น
โดยได้เข้าร่วมกิจกรรม เช่น ๑) สำรวจด่านรถไฟด่งดัง ด่านสากลหูหงิ
และหารือกับประธานคณะกรรมการประชาชนและผู้บริหาร จังหวัดลางเซิน เวียดนาม ๒) สำรวจด่านโหย่วอี้กวน
ด่านรถไฟผิงเสียง และหารือกับรองนายกเทศมนตรีเมืองฉงจั่ว
เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง ๓) หารือกับผู้บริหารบริษัทเอกชน ได้แก่
รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ของบริษัทตลาดเจียงหนาน และรองประธานกรรมการบริหารบริษัท Pagoda รวมทั้งได้เยี่ยมชมซูเปอร์มาร์เก็ต
Freshippo ซึ่งมีประเด็นการหารือที่สำคัญเกี่ยวกับการขยายตลาดการส่งออกสินค้าเกษตรของไทย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลไม้ไทยไปยังจีน ทั้งในรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์
รวมทั้งการจัดกิจกรรมส่งเสริมการประชาสัมพันธ์ผลไม้ไทยในตลาดจีน เป็นต้น ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2157 | รายงานผลการเดินทางเยือนประเทศญี่ปุ่นของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ | พณ. | 16/07/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการเดินทางเยือนกรุงโตเกียว
ประเทศญี่ปุ่นของรองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย)
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระหว่างวันที่ ๙ - ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๗
เพื่อเข้าร่วมงานเทศกาลไทย ณ กรุงโตเกียว ครั้งที่ ๒๔ (Thai Festival Tokyo 2024) และเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการขายสินค้าไทย
ซึ่งมีกิจกรรมที่สำคัญ เช่น ๑) เป็นประธานเปิดงานเทศกาลไทย ครั้งที่ ๒๔ เพื่อส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ไทย
ซึ่งการจัดงานในครั้งนี้ประกอบด้วยคูหากว่า ๘๐ คูหา เช่น คูหาผ้าไทยใส่ให้สนุก คูหาซีรีส์วาย
เป็นต้น ๒) เป็นสักขีพยานในพิธีลงนาม MOU ระหว่างกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศกับ
Rakuten ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ชั้นนำของญี่ปุ่น
เพื่อเปิดร้าน TOPTHAI และส่งเสริมการขายสินค้าไทยในตลาดญี่ปุ่น
และ ๓) หารือกับผู้บริหารบริษัท KALDI โดยรองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ได้แนะนำสินค้าไทยที่มีศักยภาพไปจัดจำหน่ายในร้าน KALDI เพิ่มขึ้น
อาทิ กาแฟ ผลไม้ และสินค้าไทย และยังแนะนำให้บริษัทฯ
นำเข้าผลไม้คุณภาพที่เป็นที่ชื่นชอบของชาวญี่ปุ่น เช่น กล้วยหอมทอง ทุเรียน
และมังคุด เพิ่มขึ้น ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2158 | มาตรการในการแก้ไขปัญหาการทุจริตแบบบูรณาการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 | ปปท. | 16/07/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบสรุปผลการดำเนินการเกี่ยวกับมาตรการในการแก้ไขปัญหาการทุจริตแบบบูรณาการประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘
และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำความเห็นจากที่ประชุมหารือเกี่ยวกับมาตรการดังกล่าวไปดำเนินการ
และยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๖๗ เรื่อง
มาตรการในการแก้ไขปัญหาการทุจริตแบบบูรณาการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ โดยผลการพิจารณามาตรการฯ
ในภาพรวมมีหน่วยงานที่เห็นด้วยกับมาตรการฯ และไม่ขอแก้ไข ๖๐ หน่วยงาน มีหน่วยงานที่ขอแก้ไข
๑๑ หน่วยงาน เช่น การแก้ไขเป้าหมายและตัวชี้วัดกิจกรรมที่ต้องดำเนินการ
และมีหน่วยงานที่ให้ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม ๒ หน่วยงาน เช่น
มาตรการที่กำหนดมีแผนงานจำนวนมากส่งผลต่อการดำเนินการให้สำเร็จตามแผนงานภายใน ๑ ปี
จึงควรมุ่งเน้นในส่วนที่เป็นมาตรการในการแก้ไขปัญหาโครงสร้างของปัญหาการทุจริต ตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐเสนอ
และแจ้งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2159 | ร่างกฎกระทรวงการจ่ายค่าทดแทนเพื่อชดเชยความเสียหายจากการเฝ้าระวัง การป้องกัน และการควบคุมโรคติดต่อ พ.ศ. .... | สธ. | 16/07/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการจ่ายค่าทดแทนเพื่อชดเชยความเสียหายจากการเฝ้าระวัง
การป้องกัน และการควบคุมโรคติดต่อ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการจ่ายค่าทดแทนเพื่อชดเชยความเสียหายจากการดำเนินการเฝ้าระวัง
ป้องกัน หรือควบคุมโรคของเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ
โดยผู้เสียหายหรือทายาทโดยธรรมของผู้เสียหายสามารถยื่นคำขอรับค่าทดแทนเพื่อชดเชยความเสียหายด้วยตัวเองได้ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดหรือสำนักอนามัย
กรุงเทพมหานคร แล้วแต่กรณี โดยผู้เสียหายอาจมีสิทธิได้รับค่าทดแทนเพื่อชดเชยความเสียหาย
ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทยและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ กระทรวงมหาดไทย เห็นควรเพิ่มช่องทางการยื่นคำขอรับค่าทดแทนเพื่อชดเชยความเสียหายของผู้เสียหายหรือทายาทโดยธรรมเพิ่มเติมจากที่กำหนดในร่างกฎกระทรวง
เช่น กำหนดให้ผู้เสียหายหรือทายาทโดยธรรมของผู้เสียหายสามารถยื่นคำขอ ณ
สำนักงานสาธารณสุขอำเภอ หรือช่องทางอื่น ๆ ตามที่เห็นสมควร สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
เห็นว่าพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. ๒๕๕๘ ไม่ได้บัญญัติให้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดและคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานครมีหน้าที่และอำนาจในการกำหนดค่าทดแทนเพื่อชดเชยแก่ผู้เสียหายดังกล่าวไว้
จึงเป็นประเด็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับการออกกฎหมายลำดับรองเกินกว่าหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดและคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานครตามที่กฎหมายแม่บทกำหนด ๒.
ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย
และสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ดังนี้ กระทรวงการคลัง
เห็นควรคำนึงถึงความคุ้มค่า ต้นทุน และผลประโยชน์ เสถียรภาพ
และความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของรัฐ กระทรวงมหาดไทย
เห็นควรเพิ่มช่องทางการยื่นคำขอรับค่าทดแทนเพื่อชดเชยความเสียหายของผู้เสียหายหรือทายาทโดยธรรมเพิ่มเติมจากที่กำหนดในร่างกฎกระทรวง
หรือช่องทางอื่น ๆ ตามที่เห็นสมควร
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2160 | การขยายระยะเวลาปรับลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ | กค. | 16/07/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบการกำหนดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่อัตราร้อยละ
๐.๑๒๕ ต่อปี
ของยอดเงินที่ได้รับจากประชาชน เป็นระยะเวลา ๑ ปี สำหรับรอบการนำส่งเงินในปี พ.ศ. ๒๕๖๗ โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๗ เป็นต้นไป
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง กำหนดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ
พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการขยายระยะเวลาการปรับลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ
รวม ๔ แห่ง ได้แก่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์
และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย โดยปรับลดอัตราเงินนำส่งเหลือร้อยละ ๐.๑๒๕ ต่อปี
ของยอดเงินที่ได้รับจากประชาชน สำหรับรอบการนำส่งเงินในปี พ.ศ. ๒๕๖๗
โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๗ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|