ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 106 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 2101 - 2120 จากข้อมูลทั้งหมด 123963 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2101 | ถ้อยแถลงร่วมเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวประกันในกาซา (Joint Statement Calling for the Release of the Hostages Held in Gaza) ฉบับสุดท้าย | กต. | 30/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบถ้อยแถลงร่วมเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวประกันในกาซา (Joint Statement
Calling for the Release of the Hostages Held in Gaza) ฉบับสุดท้าย
โดยถ้อยแถลงร่วมฯ มีสาระสำคัญเป็นการเรียกร้องให้รัฐอิสราเอลและกลุ่มฮามาสเร่งรัดการเจรจาเพื่อนำไปสู่การลงนามข้อตกลงหยุดยิงอย่างถาวร
การปล่อยตัวประกัน
และการยินยอมให้มีการจัดส่งความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมเข้าไปในฉนวนกาซาโดยเร่งด่วน ซึ่งถ้อยแถลงร่วมฯ
ฉบับสุดท้าย มีประเทศที่ร่วมสนับสนุนจำนวนทั้งหมด ๑๗ ประเทศ ได้แก่ สาธารณรัฐอาร์เจนตินา
สาธารณรัฐออสเตรีย สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล สาธารณรัฐบัลแกเรีย แคนาดา
สาธารณรัฐโคลอมเบีย ราชอาณาจักรเดนมาร์ก สาธารณรัฐฝรั่งเศส
สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี สาธารณรัฐโปแลนด์ สาธารณรัฐโปรตุเกส โรมาเนีย สาธารณรัฐเซอร์เบีย
ราชอาณาจักรสเปน ประเทศไทย สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา และได้มีการปรับถ้อยคำในเนื้อหาของถ้อยแถลงร่วมฯ
โดยเน้นย้ำให้กลุ่มฮามาสยอมรับในข้อตกลงหยุดยิง
พร้อมทั้งเรียกร้องให้รัฐอิสราเอลและกลุ่มฮามาสใช้ความพยายามประนีประนอมอย่างที่สุดเพื่อให้ได้ข้อยุติในการเจรจาปล่อยตัวประกัน
และช่วยบรรเทาความทุกข์ให้แก่ครอบครัวของตัวประกัน
รวมไปถึงประชาชนของทั้งสองฝ่ายที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งด้วย ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2102 | การขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการ MUAYTHAI SOFT POWER ปี 2567 | กก. | 30/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายงบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๒๗๕,๖๔๖,๘๐๐ บาท
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการ MUAYTHAI SOFT POWER ปี ๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของกระทรวงการคลัง
และข้อเสนอแนะของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงการคลัง เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการใช้จ่ายเงินดังกล่าวให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรติดตามและประเมินผลลัพธ์ระหว่างการดำเนินกิจกรรมภายใต้โครงการอย่างใกล้ชิดตั้งแต่การเริ่มดำเนินโครงการและสิ้นสุดโครงการ
จัดทำรายงานสรุปการประเมินผลกระทบที่เกิดขึ้นทางเศรษฐกิจและสังคม
ให้ครอบคลุมทุกมิติอย่างละเอียดและรอบคอบในรายกิจกรรมภายใต้โครงการนี้
เพื่อวัดผลความคุ้มค่าจากการลงทุนที่เกิดขึ้น เร่งประสานหน่วยงานต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน ให้มีส่วนร่วมในการสนับสนุนการดำเนินโครงการ
เพื่อให้การดำเนินงานสามารถเป็นไปตามเป้าหมายภายใต้ระยะเวลาจำกัด
และเกิดการมีส่วนร่วมอย่างบูรณาการร่วมกัน และวางแผนการส่งเสริมกีฬาพื้นบ้านไทยอื่น
ๆ ที่เป็นเอกลักษณ์วัฒนธรรรมของประเทศไทย เพื่อประชาสัมพันธ์ให้กีฬาชนิดอื่น ๆ
เป็น Soft Power สู่สายตานานาชาติต่อไป ๒.
โดยที่มวยไทยเป็นศิลปะการต่อสู้อันเป็นเอกลักษณ์ของชาติไทยที่มีมาแต่โบราณและปัจจุบันถือเป็น
Soft Power สำคัญของไทยที่เป็นที่นิยมแพร่หลายไปทั่วโลก
ดังนั้น เพื่อรักษาไว้ซึ่งกฎ กติกา มารยาท แม่ไม้มวยไทย ตลอดจนองค์ประกอบอื่น ๆ
ที่เกี่ยวข้องกับการชกมวยไทยให้ถูกต้อง ครบถ้วน และคงอยู่สืบไป โดยไม่ถูกบิดเบือน
ลอกเลียน หรือสร้างความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนสับสนกับการชกมวยประเกทอื่น ๆ สมควรที่จะดำเนินการให้มีองค์กรมวยไทยระดับนานาชาติขึ้นอย่างเป็นทางการ
โดยประเทศไทย และมีที่ตั้งขององค์กรอยู่ที่ประเทศไทย รวมทั้งมีผู้บริหารองค์กรเป็นคนไทยที่มีองค์ความรู้
ความสามารถและประสบการณ์ เกี่ยวกับมวยไทยอย่างแท้จริง
เพื่อให้เป็นที่ยอมรับของนานาประเทศและองค์กรระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง จึงขอมอบหมายให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
การกีฬาแห่งประเทศไทย และหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ร่วมกับพิจารณาแนวทางการดำเนินการเพื่อให้มีองค์กรมวยไทยระหว่างประเทศในลักษณะเดียวกับสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ
(FIFA) ที่กำกับดูแลกีฬาฟุตบอล
แล้วให้รายงานผลต่อนายกรัฐมนตรีโดยด่วนด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2103 | ท่าทีการเจรจาร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (JC) ครั้งที่ 15 และการประชุมคณะกรรมการว่าด้วยยุทธศาสตร์การพัฒนาร่วมสำหรับพื้นที่ชายแดน (JDS) ครั้งที่ 6 ระดับรัฐมนตรี ระหว่างไทยกับมาเลเซีย | กต. | 30/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อท่าทีการเจรจาร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมฯ
ได้แก่ ๑)
ท่าทีการเจรจาร่างบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (JC) ระหว่างไทยกับมาเลเซีย ครั้งที่ ๑๕
มีวัตถุประสงค์เพื่อติดตามความคืบหน้าของความร่วมมือระหว่างไทยกับมาเลเซียอย่างรอบด้านและแสดงเจตนารมณ์ร่วมของรัฐบาลทั้งสองประเทศที่จะขับเคลื่อนความร่วมมือระหว่างกันในทุกระดับ
ทั้งในกรอบทวิภาคีและพหุภาคี เพื่อให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับมาเลเซียมีความใกล้ชิดยิ่งขึ้นอันจะนำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรืองและประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนของทั้งสองฝ่าย
๒) ท่าทีการเจรจาร่างบันทึกการประชุมคณะกรรมการว่าด้วยยุทธศาสตร์การพัฒนาร่วมสำหรับพื้นที่ชายแดน
(JDS) ระหว่างไทยกับมาเลเซีย ครั้งที่ ๖ มีวัตถุประสงค์เพื่อติดตามความคืบหน้าของการดำเนินงานภายใต้กรอบ
JDS ทั้งในระดับเจ้าหน้าที่ผู้ประสานงาน เจ้าหน้าที่ระดับสูง
และระดับคณะทำงานรวมถึงการแสดงเจตนารมณ์ร่วมของทั้งสองประเทศในการส่งเสริมความร่วมมือด้านเศรษฐกิจในพื้นที่ชายแดนไทย
- มาเลเซีย เพื่อมุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ชายแดนบนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกัน
โดยผลักดันโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ
ให้มีความคืบหน้าและการอำนวยความสะดวกด้านการค้า และการลงทุนระหว่างกัน และ ๓) ร่างแผนยุทธศาสตร์ของคณะกรรมการว่าด้วยยุทธศาสตร์การพัฒนาร่วมสำหรับพื้นที่ชายแดน
(JDS Strategic Plan) ค.ศ. ๒๐๒๔ - ๒๐๒๗ เป็นการเอกสารผลลัพธ์การประชุมมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดแนวทางและเป้าหมายในการดำเนินโครงการที่เกี่ยวข้องกับชายแดนโดยร่างแผนยุทธศาสตร์ฯ
ไม่มีรูปแบบหรือถ้อยคำที่มุ่งจะก่อให้เกิดพันธกรณีภายใต้บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศ
กอปรกับไม่มีการลงนามในร่างแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าว ดังนั้น ร่างแผนยุทธศาสตร์ฯ
จึงไม่เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศ และไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศร่วมรับรองร่างเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมฯ
ทั้ง ๓ ฉบับ ได้ในวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนท่าทีการเจรจาร่างบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีระหว่างไทยกับมาเลเซีย
ครั้งที่ ๑๕
ท่าทีการเจรจาร่างบันทึกการประชุมคณะกรรมการว่าด้วยยุทธศาสตร์การพัฒนาร่วมสำหรับพื้นที่ชายแดนระหว่างไทยกับมาเลเซีย
ครั้งที่ ๖
และร่างแผนยุทธศาสตร์ของคณะกรรมการว่าด้วยยุทธศาสตร์การพัฒนาร่วมสำหรับพื้นที่ชายแดน
ค.ศ. ๒๐๒๔ - ๒๐๒๗ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ไห้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
และให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ตามความเหมาะสม
และให้รายงานต่อคณะรัฐมนตรีทราบในภายหลังพร้อมเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ รวมทั้งให้สื่อสารผลลัพธ์ให้สาธารณชนและทุกภาคส่วนได้รับรู้ถึงประโยชน์ที่ประเทศไทยพึงจะได้รับ
ไปดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2104 | โครงการเพิ่มการผลิตบุคลากรสาขาพยาบาลศาสตร์ (ปีการศึกษา 2566-2570) | อว. | 30/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ดำเนินโครงการเพิ่มการผลิตบุคลากรสาขาพยาบาลศาสตร์
(ปีการศึกษา ๒๕๖๖ - ๒๕๗๐) เพื่อผลิตพยาบาลวิชาชีพ จำนวน ๕
รุ่น จำนวนรวมทั้งสิ้น ๑๕,๙๘๕ คน ส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ
จำนวน ๑๑๐,๐๐๐ บาท/คน/ปี หรือ ๔๔๐,๐๐๐
บาท/คน/หลักสูตร
ซึ่งเป็นอัตราค่าใช้จ่ายเดิมตามที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีในโครงการเพิ่มการผลิตฯ
ระยะที่ ๑ (ปีการศึกษา ๒๕๖๑ - ๒๕๖๒) สำหรับวงเงินงบประมาณจนสิ้นสุดโครงการ จำนวน ๗,๐๓๓,๔๐๐,๐๐๐ บาท ให้กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
ตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง
พร้อมทั้งรายละเอียดที่เกี่ยวข้องเพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณเท่าที่จำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ให้กระทรวงกลาโหม กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
และกรุงเทพมหานครรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ข้อเสนอแนะของสำนักงาน ก.พ.ร. และข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ. ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น สำนักงาน ก.พ.ร. เห็นควรกำหนดระยะเวลาและเงื่อนไขการชดใช้ทุนสำหรับผู้สำเร็จการศึกษาจากโครงการฯ
เพื่อให้การใช้งบประมาณแผ่นดินสนับสนุนการผลิตบุคลากรสาขาพยาบาลศาสตร์เป็นไปอย่างคุ้มค่า
มีประสิทธิภาพ สอดรับกับทิศทางการพัฒนาด้านสาธารณสุขของประเทศ สำนักงาน ก.พ. เห็นว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรบริหารอัตรากำลังบุคลากรทางการแพทย์
การพยาบาล และการสาธารณสุข
ตามหลักการและแนวทางการบริหารจัดการกำลังคนภาครัฐตามที่คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ
(คปร.) กำหนดไว้ในมาตรการบริหารจัดการกำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. ๒๕๖๒ - ๒๕๗๐) ที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบในการประชุมเมื่อวันที่
๑๔ มีนาคม ๒๕๖๖ เพื่อให้การบริหารอัตรากำลังเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด
ตลอดจนสอดคล้องกับแนวทางการบริหารจัดการกำลังคนด้านสุขภาพของประเทศในภาพรวม |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2105 | ร่างหนังสือรับรองความรับผิดชอบในการใช้ยุทโธปกรณ์จากสหรัฐอเมริกา | กห. | 30/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อร่างหนังสือรับรองความรับผิดชอบในการใช้ยุทโธปกรณ์จากสหรัฐอเมริกาก่อนการลงนาม
และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นผู้ลงนามในหนังสือรับรองฯ
โดยหนังสือรับรองฯ มีสาระสำคัญเพื่อยืนยันที่จะใช้ยุทโธปกรณ์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ
ตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศและกฎหมายระหว่างประเทศอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และจะไม่ใช้ยุทโธปกรณ์ที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ
ในการขัดขวางการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมของสหรัฐฯ ในพื้นที่ความขัดแย้ง ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ
ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างหนังสือรับรองความรับผิดชอบในการใช้ยุทโธปกรณ์จากสหรัฐอเมริกาในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงกลาโหมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2106 | การพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินโครงการบริหารและประกอบการท่าเทียบเรือ เอ ๐ ณ ท่าเรือแหลมฉบัง ของการท่าเรือแห่งประเทศไทย | คค. | 30/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางการดำเนินการที่เหมาะสมของโครงการท่าเทียบเรือ
เอ ๐ ณ ท่าเรือแหลมฉบัง โดยการให้สัญญามีผลใช้บังคับต่อไป จะทำให้เกิดความต่อเนื่องในการให้บริการสาธารณะและหากมีการบอกเลิกสัญญาอาจนำมาสู่ข้อพิจารณาจนทำให้บริการสาธารณะหยุดลงและส่งผลกระทบต่อประชาชนได้
ตามรายงานผลการศึกษาวิเคราะห์ด้านการเงินและด้านกฎหมาย ตามที่คณะกรรมการพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินโครงการลงทุน
บริหารและประกอบการท่าเทียบเรือ เอ ๐ ณ ท่าเรือแหลมฉบัง ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ให้กระทรวงคมนาคม (การท่าเรือแห่งประเทศไทย)
รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
เช่น สำนักงบประมาณ เห็นควรให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยดำเนินการตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนของพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน
พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยเคร่งครัดต่อไป สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรให้การท่าเรือแห่งประเทศไทย
เร่งรัดการพิจารณาแนวทางการดำเนินโครงการที่เหมาะสมของโครงการท่าเทียบเรือ ซี ๐
ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการตามขั้นตอนของมาตรา ๗๒
แห่งพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามนัยของมติคณะรัฐมนตรี
เมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๓ เพื่อเสนอตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2107 | รายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2566 | กค. | 30/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน
๒๕๖๖ ประกอบด้วย งบแสดงฐานะการเงิน และงบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน
ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ดำเนินการตรวจสอบงบการเงินดังกล่าวแล้วเมื่อวันที่
๑๑ มีนาคม ๒๕๖๗ โดยเห็นว่าถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการบัญชีภาครัฐและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังกำหนด
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2108 | รายงานผลการดำเนินโครงการสนับสนุนเกษตรกรชาวไร่อ้อยตัดอ้อยสดคุณภาพดีเพื่อลดฝุ่น PM2.5 | อก. | 30/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินโครงการสนับสนุนเกษตรกรชาวไร่อ้อยตัดอ้อยสดคุณภาพดีเพื่อลดฝุ่น
PM2.5 ซึ่งมีการกำหนดอัตราการจ่ายเงินสนับสนุนตามโครงการฯ
โดยใช้ข้อมูลปริมาณอ้อยสดคุณภาพดีของฤดูการผลิตปี ๒๕๖๕/๒๕๖๖ ในอัตราไม่เกิน ๑๒๐
บาทต่อตัน กรอบวงเงินงบประมาณสนับสนุนรวมจำนวน ๗,๗๗๕.๐๑
ล้านบาท เพื่อให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยสามารถดำเนินการเก็บเกี่ยวอ้อยสดคุณภาพดี และนำไปแก้ไขปัญหาในพื้นที่ที่มีข้อจำกัดที่ทำให้เกิดการลักลอบเผาอ้อย
ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2109 | การเร่งรัดติดตามการแก้ไขปัญหายาเสพติด | นร. | 30/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบนายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่
๗ พฤษภาคม ๒๕๖๗ และวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๖๗
เกี่ยวกับการปราบปรามและแก้ไขปัญหายาเสพติด กำชับให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด
เจ้าหน้าที่ตำรวจร่วมกับหน่วยงานของรัฐและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องบูรณาการการดำเนินงานในการปราบปรามและแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างจริงจังและเด็ดขาด
ให้มีผลการจับกุมผู้กระทำผิดที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมภายใน ๙๐ วัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวัดเป้าหมายที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดได้กำหนดเป็นพื้นที่สีแดงที่มีปัญหายาเสพติดรุนแรง
จำนวน ๒๕ จังหวัด โดยรัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุนและให้รางวัลแก่เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ได้สำเร็จตามเป้าหมาย
ในขณะเดียวกันก็จะมีบทลงโทษสำหรับเจ้าหน้าที่ที่บกพร่องและละเลยในการปฏิบัติหน้าที่ด้วย
นั้น บัดนี้ใกล้ครบเวลาตามเป้าหมายที่กำหนดไว้แล้ว จึงขอให้กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งรัดบูรณาการการดำเนินการป้องกัน
ปราบปราม
และแก้ไขปัญหายาเสพติดในจังหวัดเป้าหมายดังกล่าวข้างต้นให้หมดสิ้นไปโดยเร็ว
และเตรียมขยายผลไปยังจังหวัดอื่น ๆ ต่อไป ทั้งนี้
ให้พิจารณาแนวทางการดำเนินการจ่ายเงินค่าตอบแทนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานยาเสพติดให้ถูกต้อง
ทั่วถึง และรวดเร็วมากยิ่งขึ้งขึ้งขึ้น โดยให้พิจารณาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการจ่ายเงินค่าตอบแทนบางส่วนก่อน
โดยไม่ต้องรอให้คดีสิ้นสุดด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2110 | การเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ในช่วงฤดูฝน/น้ำท่วม | นร. | 30/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า
เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ในช่วงฤดูฝน/น้ำท่วมที่อาจเกิดขึ้น จึงขอมอบหมายการดำเนินการ
ดังนี้ ๑.
ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (กรมอุตุนิยมวิทยา)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามและเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
และแจ้งข้อมูลเตือนภัยให้ประชาชนทราบอย่างถูกต้อง ทั่วถึง และเท่าทันต่อสถานการณ์อย่างเคร่งครัด ๒.
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมประสานผู้บัญชาการทหารสูงสุดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ที่เคยประสบอุทกภัยเป็นประจำ
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภัยพิบัติซ้ำอีก โดยให้หน่วยบัญชาการทหารพัฒนาสนับสนุนการดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม ในการดำเนินการป้องกัน
แก้ไขปัญหาและให้ความช่วยเหลือเยียวยาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2111 | รัฐบาลสาธารณรัฐซูรินามเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐซูรินามประจำประเทศไทย (นายอรุณกุมาร ฮาร์ดีน) | กต. | 30/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายอรุณกุมาร ฮาร์ดีน (Mr. Arunkoemar Hardien) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐซูรินามประจำประเทศไทยคนใหม่
โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย สืบแทน นางติติ อะมินา ปาร์ดี (Ms.
Titi Amina Pardi) ซึ่งครบวาระการดำรงตำแหน่ง
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2112 | การสิ้นสุดหน้าที่ของกงสุลกิตติมศักดิ์ประจำกรุงมาปูโต สาธารณรัฐโมซัมบิก และการปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ประจำกรุงมาปูโต สาธารณรัฐโมซัมบิก เป็นการถาวร (นายคาร์ลูซ อังตอนีอู ดา คงเซยเซา ซิงบีนึ) | กต. | 30/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
ดังนี้ ๑. การสิ้นสุดหน้าที่ของ
นายคาร์ลูซ อังตอนีอู ดา คงเซยเซา ซิงบีนึ (Mr.Carlos Antonio da Conceicao Simbine) กงสุลกิตติมศักดิ์ประจำกรุงมาปูโต สาธารณรัฐโมซัมบิก ตั้งแต่วันที่ ๓๑
ธันวาคม ๒๕๖๗ เนื่องจากครบวาระการดำรงตำแหน่ง ๒. การปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ประจำกรุงมาปูโต
สาธารณรัฐโมซัมบิก เป็นการถาวร ตั้งแต่วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๗
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2113 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นายพงษ์ศักดิ์ เมธาพิพัฒน์ และนางสาวภิญญู กำเนิดหล่ม) | กค. | 30/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ
สังกัดกระทรวงการคลัง ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑. นายพงษ์ศักดิ์
เมธาพิพัฒน์ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี
(กลุ่มธุรกรรมทางการเงินการธนาคาร) (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ)
กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๗ ๒. นางสาวภิญญู กำเนิดหล่ม ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและ การสื่อสาร (นักวิชาการคอมพิวเตอร์ทรง คุณวุฒิ) กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง
ตั้งแต่วันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๖๗
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2114 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นางสาวบุษยา ใจสว่าง) | พม. | 30/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสาวบุษบา ใจสว่าง ข้าราชการพลเรือนสามัญ
ตำแหน่งรองอธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาวิชาการพัฒนาสังคม
(นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ตั้งแต่วันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๖๗
ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2115 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นายผดุงศักดิ์ สรุจิกำจรวัฒนะ และนายจิระพงศ์ เทพพิทักษ์) | คค. | 30/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงคมนาคม
ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๒ ราย เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ทั้งนี้
ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเสนอ
ดังนี้ ๑. นายผดุงศักดิ์ สรุจิกำจรวัฒนะ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง
สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นายจิระพงศ์ เทพพิทักษ์ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2116 | รายงานผลการศึกษา เรื่อง รายงานผลการดำเนินการของคณะกรรมาธิการ รายไตรมาสที่ 1 (ตุลาคม - ธันวาคม) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ของคณะกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร | สผ. | 23/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบรายงานผลการศึกษา เรื่อง
รายงานผลการดำเนินการของคณะกรรมาธิการรายไตรมาสที่ ๑ (ตุลาคม - ธันวาคม)
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ ของคณะกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ
สภาผู้แทนราษฎร ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2117 | รายงานประจำปีคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 | ยธ. | 23/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปีคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ
(กพยช.) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ โดยมีสาระสำคัญ เช่น ๑)
ภาพรวมสถานการณ์กระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๖๓ - ๒๕๖๕
ข้อมูลสถิติจำนวนคดี บุคคลที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในขั้นตอนต่าง ๆ รวมทั้งการรับแจ้งความและจับกุมผู้ต้องหา
๒) การรวบรวมและพิจารณาสถิติต่าง ๆ เกี่ยวกับอาชญากรรมและกระบวนการยุติธรรมประจำปี
พ.ศ. ๒๕๖๕ พบว่า คดียาเสพติดยังเป็นฐานความผิดที่พบมากที่สุด ๓) ผลการดำเนินงานของ
กพยช. เช่น
การพัฒนามาตรการต่อผู้กระทำผิดอาญาแทนการควบคุมตัวโดยการมีส่วนร่วมขององค์กรสหวิชาชีพและชุมชน
(Non - Custodial Measures) ๔)
ผลการดำเนินงานตามอำนาจหน้าที่ของ กพยช.
ตามพระราชบัญญัติพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๙ (มาตรา ๑๐)
ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ เช่น การจัดทำร่างแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศกระบวนการยุติธรรม
ฉบับที่ ๔ (พ.ศ. ๒๕๖๖ - ๒๕๖๙) การขับเคลื่อนกรอบการวิจัยเพื่อการพัฒนากระบวนการยุติธรรม
พ.ศ. ๒๕๖๖ - ๒๕๖๙ ไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ตามที่กระทรวงยุติธธรรม (สำนักงานกิจการยุติธรรม)
ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2118 | รายงานสรุปผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะกรณีการป้องกันภาวะความพิการแต่กำเนิด | สธ. | 23/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการพิจารณาต่อข้อเสนอแนะกรณีการป้องกันภาวะความพิการแต่กำเนิด ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
ซึ่งได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว สรุปได้ว่า ๑)
มาตรการป้องกันภาวะความพิการแต่กำเนิดก่อนการตั้งครรภ์ ในระยะสั้นและระยะกลาง
มีการเสนอขอเพิ่มสิทธิประโยชน์การป้องกันความพิการแต่กำเนิดด้วยยาเม็ดกรดโฟลิก
เสนอขออนุมัติสิทธิประโยชน์เพื่อให้ครอบคลุมคนไทยทุกสิทธิ ทั้งนี้
การเข้ารับบริการกรดโฟลิกสามารถใช้บริการผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตังค์ได้ ๒)
มาตรการป้องกันภาวะความพิการแต่กำเนิดระหว่างการตั้งครรภ์ ในระยะสั้นและระยะยาว โดยตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๕
ได้เริ่มดำเนินการคัดกรองกลุ่มอาการดาวน์ในหญิงตั้งครรภ์ทุกราย ทุกสิทธิ
มีการขอเพิ่มการคัดกรองดาวน์ซินโดรมด้วยวิธี NIPT และให้เป็นสิทธิประโยชน์สำหรับผู้ประกันตนต่างด้าวเหมือนคนไทย
โดยให้เบิกจากกองทุนประกันสังคมแรงงานต่างด้าว และ ๓)
มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ โดยกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม เห็นด้วยกับหลักการที่จะส่งเสริมการผสมกรดโฟลิกในส่วนผสมอาหาร
กรมอนามัยเห็นว่า การบริโภคผัก ผลไม้ให้ได้ ๔๐๐ กรัมต่อวัน
ปริมาณโฟเลตที่ได้รับจะเพียงพอกับความต้องการของร่างกาย กระทรวงสาธารณสุข และ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
มีการจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ประโยชน์
และความจำเป็นต่อการบริโภคกรดโฟลิกของหญิงวัยเจริญพันธุ์การตรวจคัดกรองดาวน์ชินโดรมของหญิงตั้งครรภ์
กระทรวงศึกษาธิการมีหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช ๒๕๕๑
ที่ให้สถานศึกษานำหลักสูตรไปสู่การปฏิบัติและเนื้อหาประโยชน์และความจำเป็นต่อการบริโภคกรดโฟลิกของหญิงวัยเจริญพันธุ์อยู่ในสาระที่
๔ การสร้างเสริมสุขภาพสมรรถภาพและการป้องกันโรค ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
และแจ้งให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2119 | การดำเนินการเกี่ยวกับการเปิด การขยายเวลา และการปิดจุดผ่านแดนระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน | นร.08 | 23/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบการดำเนินการเกี่ยวกับการเปิด
การขยายเวลา และการปิดจุดผ่านแดนระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ดังนี้ ๑)
รับทราบการเปิดจุดผ่านแดนถาวรสะพานมิตรภาพไทย - กัมพูชา (หนองเอี่ยน - สตึงบท)
อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว โดยใช้สำนักงานชั่วคราวไปพลางก่อน ๒)
รับทราบการปรับเวลาเปิดทำการจุดผ่านแดนถาวรภูดู่ อำเภอบ้านโคก จังหวัดอุตรดิตถ์
จากเดิมเวลา ๐๖.๐๐ - ๒๐.๐๐ น. ของทุกวัน เป็น ๘.๐๐ - ๑๘.๐๐ น. ของทุกวัน ๓)
รับทราบการขยายเวลาเปิด - ปิด จุดผ่านแดนถาวรช่องสะงำ อำเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ
เป็นเวลา ๐๗.๐๐ - ๒๒.๐๐ น. ๔) รับทราบการปิดจุดผ่านแดนถาวรบ้านปากห้วย ตำบลหนองผือ
อำเภอท่าลี่ จังหวัดเลย ๕) การดำเนินการใด ๆ บริเวณพื้นที่ชายแดน
จะต้องระมัดระวังมิให้เกิดความเสียหายและผลกระทบต่อความมั่นคง
โดยส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจะต้องปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม
๒๕๔๒ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๔๘ อย่างเคร่งครัด และ ๖)
ให้กระทรวงมหาดไทยออกประกาศตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองและดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง
รวมถึงแจ้งให้จังหวัดและส่วนราชการในพื้นที่รับทราบและถือปฏิบัติโดยทั่วกัน ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงสาธารณสุข คณะกรรมการกฤษฎีกา
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เห็นควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวก
รวมถึงการเตรียมอัตรากำลังเจ้าหน้าที่ให้มีความเหมาะสม
เพื่อให้สามารถรองรับการปฏิบัติงาน ณ จุดผ่านแดนต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ กระทรวงสาธารณสุข เห็นควรให้มีการจัดตั้งเป็นด่านอาหารและยาในพื้นที่ที่ไม่มีด่านอาหารและยาตั้งอยู่
และควรขอรับการจัดสรรบุคลากรเพิ่มเติมเพื่อประจำด่านฯ ดังกล่าว |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
2120 | แนวทางการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 24-25 กรกฎาคม 2567 | ปสส. | 23/07/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเกี่ยวกับระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร
ชุดที่ ๒๖ ปีที่ ๒ ครั้งที่ ๗ (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) วันพุธที่ ๒๔
กรกฎาคม ๒๕๖๗ และครั้งที่ ๘ (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) วันพฤหัสบดีที่ ๒๕
กรกฎาคม ๒๕๖๗ ตามที่ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร
สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|