คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 ที่มีมติ
อนุมัติหลักการตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาว
ชนขึ้นในจังหวัดกำแพงเพชร จังหวัดชัยภูมิ จังหวัดเชียงราย  จังหวัดตราด  จังหวัดแพร่  จังหวัดลพบุรี  จังหวัด
สระแก้ว และจังหวัดหนองบัวลำภู พ.ศ. ....  โดยมีสาระสำคัญคือ  กำหนดให้จัดตั้งสถานพินิจและคุ้มครองเด็ก
และเยาวชนขึ้นในจังหวัดกำแพงเพชร จังหวัดชัยภูมิ จังหวัดเชียงราย จังหวัดตราด  จังหวัดแพร่  จังหวัดลพบุรี
จังหวัดสระแก้ว  และจังหวัดหนองบัวลำภู  โดยกำหนดให้เปิดทำการในวันที่  1  กันยายน  2547  และให้ส่ง
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน  แล้วให้ดำเนินการต่อไปได้  และอนุมัติกรอบ
อัตรากำลังข้าราชการของสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ใน  8  จังหวัด  จำนวน  116  อัตรา  โดย
ให้ดำเนินการเกลี่ยอัตรากำลังภายในกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนก่อนตามความเห็นของสำนักงาน
ก.พ. และคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.)

            คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมรายงานความก้าวหน้าของโครงการหรือเรื่อง
เร่งด่วนของรัฐบาล ด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ปีงบประมาณ พ.ศ. 2547  ระยะเวลาตั้งแต่
เดือนเมษายน - มิถุนายน 2547  โดยมีผลการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด  จำแนกตาม
ยุทธศาสตร์ดังต่อไปนี้  (1) ยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาตัวยา/ผู้ค้ายาเสพติด  (Supply)  ประกอบด้วย 7
ยุทธศาสตร์ย่อย คือ  ยุทธศาสตร์การทำลายโครงสร้างเครือข่ายการผลิตการค้ารายใหญ่และผู้มีอิทธิพล
ยุทธศาสตร์การควบคุมการแพร่ระบาดของยาเสพติดในพื้นที่  ยุทธศาสตร์การสกัดกั้นยาเสพติดตามแนว
ชายแดน ยุทธศาสตร์การปราบปรามเจ้าหน้าที่รัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ยุทธศาสตร์การเฝ้าระวัง
ยาเสพติดชนิดใหม่ ยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบการข่าว และเทคโนโลยีการปราบปราม และยุทธศาสตร์
การสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างประเทศ  (2)  ยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาผู้เสพ/ผู้ติดยา
เสพติด (Demand) ประกอบด้วย 4 ยุทธศาสตร์ย่อย  คือ  ยุทธศาสตร์การสำรวจค้นหา ชักจูงให้ผู้เสพ/ผู้
ติดยาเสพติดเข้ารับการบำบัดรักษาฟื้นฟูและพัฒนา  ยุทธศาสตร์การบำบัดรักษาฟื้นฟูและพัฒนาผู้เสพ/
ผู้ติดยาเสพติด ยุทธศาสตร์การติดตามดูแลช่วยเหลือผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติด และยุทธศาสตร์การปรับทัศน
คติ  เตรียมความพร้อมของชุมชน  อาสาสมัคร  เพื่อดูแลช่วยเหลือให้ผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติดกลับคืนสู่ชุมชน
(3) ยุทธศาสตร์การป้องกันกลุ่มผู้มีโอกาสเข้าไปใช้ยาเสพติด (Potential Demand) ประกอบด้วย 4 ยุทธ
ศาสตร์ย่อย  คือ  ยุทธศาสตร์การสร้างกระแสและพลังขับเคลื่อนทางสังคม   ยุทธศาสตร์การสร้างภูมิคุ้ม
กันและเฝ้าระวังกลุ่มเป้าหมาย   ยุทธศาสตร์การสร้างครอบครัวและชุมชนเข้มแข็งอย่างยั่งยืน    และยุทธ
ศาสตร์การส่งเสริมและพัฒนาการทำงานในลักษณะเครือข่าย  และ  (4)  ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการ
เชิงบูรณาการ ประกอบด้วย 4 ยุทธศาสตร์ย่อย คือ ยุทธศาสตร์การบูรณาการนโยบาย แนวคิด แนวทาง
การดำเนินงาน ยุทธศาสตร์การบูรณาการองค์กรการดำเนินงานในทุกระดับ ยุทธศาสตร์การบูรณาการ
เป้าหมาย/แผนงาน/งบประมาณ การดำเนินงาน และยุทธศาสตร์การบูรณาการระบบอำนวยการ กำกับ
ติดตาม รายงานผลการดำเนินงาน

            คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมรายงานสรุปปริมาณคดีที่เข้าสู่กระบวนการตามพระ
ราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. 2545  ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2546 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2547
ดังนี้ การตรวจพิสูจน์ มีผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ จำนวน 13,433 ราย  เป็นเพศชาย จำนวน  11,235  ราย  เพศ
หญิง จำนวน 2,198 ราย มีอายุมากกว่า 25 ปี จำนวน  6,257  ราย  และอายุ 18-25 ปี  จำนวน  5,814  ราย
สถานภาพการควบคุมตัว ผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ต้องขังระหว่างการตรวจพิสูจน์ จำนวน  7,112  ราย ได้รับการ
ปล่อยตัวชั่วคราว จำนวน 6,321 ราย ประเภทยาเสพติดให้โทษ  แยกเป็น  เมทแอมเฟตามีน จำนวน 9,828 ราย
กัญชา จำนวน  1,557  ราย  ฐานความผิด  ส่วนใหญ่กระทำความผิดฐานเสพยาเสพติดให้โทษ  จำนวน 11,618
ราย รองลงมาคือความผิดฐานเสพและครอบครองยาเสพติด จำนวน  1,655  ราย  การฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยา
เสพติด   คณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด  ได้มีคำวินิจฉัยผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์  โดยให้เข้ารับ
การฟื้นฟูสมรรถภาพแบบควบคุมตัว  จำนวน  6,249 ราย   และให้เข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพแบบไม่ควบคุมตัว
จำนวน 5,205 ราย

            คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงาน ป.ป.ส. เสนอว่า สำนักงาน ป.ป.ส. ในฐานะเลขานุการ
ศูนย์อำนวยการต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติดแห่งชาติ (ศตส.)  และเลขานุการร่วม ศตส.  ได้ดำเนินการประชา
สัมพันธ์เผยแพร่ผลการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ความยากจน  และผู้มีอิทธิพล  ผ่านสื่อ
มวลชน  โดยได้กำหนดจัดทำภาพยนตร์โฆษณาสั้น เพื่อเผยแพร่ทางสื่อโทรทัศน์และสื่ออื่น ๆ  แบ่งเป็นด้าน
ยาเสพติด จำนวน 10 เรื่อง  ด้านความยากจนและผู้มีอิทธิพล ด้านละ  4  เรื่อง โดยเน้นการผลิตภาพยนตร์
โฆษณาสั้นให้มีความเชื่อถือ สามารถสร้างกระแสความสนใจจากประชาชน และสื่อมวลชนได้เป็นอย่างดี

             คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมรายงานสรุปผลการดำเนินการโครงการนำ
วัฒนธรรมและอัตลักษณ์มาเป็นกระบวนการในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพและการไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาท 
และรายการประจำปี 2546 กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ  สรุปดังนี้ การดำเนินโครงการ ฯ ดังกล่าว ได้
นำศิลปินแห่งชาติ ศิลปินดีเด่น หรือศิลปินที่ได้รับความนิยม ทั้ง 4 ภาค  จำนวน  25  คณะ  เข้าร่วมโครง
การเพื่อถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับกฎหมายและสิทธิเสรีภาพ   เป็นการศึกษาควบคู่ไปกับการทดลองนำไป
ใช้  และจัดเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็น  เพื่อเป็นฐานข้อมูลสำหรับพัฒนาการถ่ายทอดความรู้ด้วยวิธีการ
ดังกล่าวให้เกิดความยั่งยืน   จากการดำเนินการและการศึกษาโครงการดังกล่าวเมื่อปี พ.ศ. 2546  พบว่า
การนำทุนทางวัฒนธรรม  (Cultural   Capital)  ประเภทศิลปะการแสดงพื้นบ้านมาบูรณาการร่วมกับวิถี
ทางหนึ่งในหลาย  ๆ  วิธี  หากทำร่วมกับกระบวนการอื่น  ๆ  อย่างเป็นระบบและมียุทธศาสตร์/กลยุทธ์
ย่อมจะเกิดประโยชน์ต่อสังคมอย่างสูง   และจากการประมวลความคิดเห็นของผู้เข้าร่วมโครงการ  ฯ  ทั้งที่
เป็นผู้ร่วมเสวนา และผู้เข้าชมการแสดง พบว่าโดยภาพรวม อยู่ในระดับความพอใจที่สูงเป็นกลุ่มเป้าหมาย
ที่เป็นเพศหญิง  อายุระหว่าง 46 - 55 ปี  และการใช้กระบวนการนี้เหมาะสมกับกลุ่มประชากรที่มีความรู้
ระดับประถมศึกษา ถึงมัธยมศึกษา  รายได้ต่ำกว่า  5,000  บาทต่อเดือน  และผู้ชมการแสดงที่เป็นผู้แทน
ชุมชน/พื้นที่มีความคิดเห็นต่อการแสดงของศิลปินพื้นบ้านในระดับสูงสุด ทั้งนี้จากการดำเนินโครงการ ฯ
ดังกล่าวทำให้เกิด  "เครือข่ายวัฒนธรรมเพื่อสิทธิเสรีภาพ"  ใน  75  จังหวัดทั่วประเทศ   ซึ่งประกอบด้วย
บุคลากรจากหลากหลายอาชีพ โดยเห็นว่ากระบวนการนำวัฒนธรรมมาเผยแพร่ความรู้เป็นสิ่งที่น่าสนใจ
และจะช่วยให้ชาวบ้านรับรู้และเข้าใจได้ง่ายที่สุด   และในปี พ.ศ. 2547  กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพได้
รับงบประมาณเพื่อสร้างเครือข่ายวัฒนธรรมเพื่อสิทธิเสรีภาพให้มีความเข้มแข็งโดยร่วมกับกระทรวงวัฒน
ธรรมอบรมให้ความรู้แก่สมาชิกเครือข่ายวัฒนธรรมเพื่อสิทธิเสรีภาพ  และขยายสู่ประชาชน เพื่อส่งเสริม
และคุ้มครองสิทธิเสรีภาพแก่ประชาชน ให้เป็น "วิถีชีวิตแห่งสิทธิเสรีภาพ เพื่อสังคมที่เป็นธรรม"

              คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมรายงานผลการดำเนินการเพื่อหันเหคดีออก
จากกระบวนการยุติธรรม ซึ่งสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนทั่วประเทศได้ดำเนินการหันเหคดีออก
จากกระบวนการยุติธรรมโดยใช้มาตรการการประชุมกลุ่มครอบครัวและชุมชนตามมาตรา 63  แห่งพระราช
บัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง และวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว  พ.ศ. 2534  พร้อม
ทั้งได้วางหลักเกณฑ์   กำหนดรูปแบบ   และวิธีดำเนินการในระยะแรกให้ดำเนินการเฉพาะคดีที่มีอัตราโทษ
อย่างสูงให้จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท  โดยให้ผู้เสียหาย ครอบครัวผู้ต้องหา และผู้แทน
ชุมชนเป็นผู้กำหนดมาตรการแก้ไขเด็กหรือเยาวชนแทนการฟ้องคดีต่อศาล    ซึ่งผลการดำเนินงานในระยะ
แรกประสบผลสำเร็จ มีเด็กและเยาวชนจำนวนไม่น้อยซึ่งไม่สมควรถูกฟ้องคดีไม่ต้องถูกฟ้องคดี และยังทำให้
ฝ่ายผู้เสียหายได้รับการบรรเทาความเสียหาย  ทั้งนี้  กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจึงได้ขยายหลัก
เกณฑ์การดำเนินการ  เพื่อจัดการประชุมกลุ่มครอบครัวและชุมชนในความผิดอัตราโทษเต็มตามที่กฎหมาย
กำหนด  คือ  อัตราโทษจำคุกไม่เกินห้าปี   และจากผลการดำเนินการมาครบ  1  ปี   ได้หันเหคดีออกจาก
กระบวนการยุติธรรมโดยพนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องเป็นจำนวนทั้งสิ้น 1,160 คดี

             คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอให้กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน
เปลี่ยนแปลงรายการค่าก่อสร้างสถานแรกรับเด็กและเยาวชนจังหวัดราชบุรี พร้อมครุภัณฑ์  บ้านพักและ
สิ่งก่อสร้างประกอบ เป็นค่าก่อสร้างสถานแรกรับเด็กและเยาวชนจังหวัดนครสวรรค์ พร้อมครุภัณฑ์ บ้าน
พักและสิ่งก่อสร้างประกอบ 1 แห่ง ในวงเงิน 127,500,000 บาท  สำหรับรายการค่าก่อสร้างให้ดำเนิน
การตามความเห็นของสำนักงบประมาณต่อไป

              คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด
(สำนักงาน ป.ป.ส.) รายงานผลการปฏิบัติงานของเจ้าพนักงาน ป.ป.ส.  ประจำปี พ.ศ. 2546  โดยผล
การทำลายโครงสร้างเครือข่ายการค้ายาเสพติด สามารถจับกุมผู้ผลิต/ผู้ค้ารายสำคัญ 2,982/3,464
คน  การควบคุมการแพร่ระบาดของยาเสพติดในพื้นที่ ได้ตั้งจุดตรวจ/จุดสกัด 628,155 แห่ง  ปิดล้อม
ตรวจค้น 177,831 ครั้ง จับกุมผู้ค้ารายย่อย  20,857  ราย  23,378  คน  และตรวจค้นสถานบริการ
315,668 ครั้ง และการสกัดกั้นตามแนวชายแดน ได้ลาดตระเวน/พิสูจน์ทราบพื้นที่เป้าหมาย 41,066
ครั้ง จัดกำลังปิดล้อม/ตรวจค้น 4,671 ครั้ง และจัดจุดตรวจ/ด่านตรวจตามแนวชายแดน 32,446 ครั้ง
นอกจากนี้  ยังได้ประสานความร่วมมือในการดำเนินงานกับองค์กรระหว่างประเทศเพื่อปราบปรามจับ
กุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด    และรายงานผลเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตกรณีกลุ่ม
นักค้าและผู้มีอิทธิพลซึ่งอยู่เบื้องหลังการค้ายาเสพติดต่อสู้ขัดขวางการจับกุม รวมทั้งข้อสังเกตของคณะ
รัฐมนตรีเกี่ยวกับการใช้อำนาจตรวจค้นของเจ้าพนักงาน ป.ป.ส. กรณีไม่มีหมายค้น และการติดตามผล
การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานป.ป.ส. ในการใช้อำนาจปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพ
ติด และให้เสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต่อไป

               คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ  โดยอนุมัติเป็นหลักการให้กรมพินิจและคุ้มครอง
เด็กและเยาวชนก่อหนี้ผูกพันรายการวัสดุบริโภคก่อนปีงบประมาณและก่อนได้รับเงินประจำงวดภายในวงเงิน
งบประมาณที่ได้รับเป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย และให้ถือปฏิบัติในปีต่อ ๆ ไปได้

              คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดเสนอ  ดังนี้
รับทราบผลการดำเนินงานการแก้ปัญหายาเสพติดและการปราบปรามผู้มีอิทธิพลและธุรกิจผิดกฎหมาย
โดยด้านการควบคุมตัวยาและผู้ค้ายาเสพติด สามารถจับกุมผู้ผลิตจำนวน 11 คน (5 คดี) ผู้ค้ารายสำคัญ
4,030 คน  (3,434 คดี)  จำนวนของกลางยาบ้า 49.90 ล้านเม็ด  มูลค่าทรัพย์สินที่ยึดอายัด 5,050.59
ล้านบาท สกัดกั้นยาเสพติดพื้นที่ชายแดน ได้ของกลางยาบ้า 33.16 ล้านเม็ด  เฮโรอีน 461.35 กิโลกรัม
ฝิ่น 71.91 กิโลกรัม กัญชาสด 11,473.47 กิโลกรัม กัญชาแห้ง 5,325.73 กิโลกรัม ด้านการแก้ไขปัญหา
ผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติด สามารถให้การบำบัดรักษาทั้งหมด 300,644 คน ทั้งในระบบสมัครใจ ระบบบังคับ
บำบัด  และระบบต้องโทษ  ด้านการป้องกันกลุ่มผู้มีโอกาสเข้าไปใช้ยาเสพติด  สามารถรณรงค์ให้เยาวชน
สมัครเข้าเป็นสมาชิกโครงการ To Be Number One  จำนวน  20.8  ล้านคน  จัดตั้งผู้ประสานพลังแผ่นดิน
ในระดับหมู่บ้าน 2,871,402 คน และเสริมสร้างดำรงความเข้มแข็งเอาชนะยาเสพติดและมีระบบเฝ้าระวัง
ปัญหายาเสพติดของหมู่บ้าน/ชุมชน รวม 67,008 หมู่บ้าน/ชุมชน  จาก  83,472  หมู่บ้าน/ชุมชน  ด้าน
การบริหารจัดการ ได้จัดตั้งองค์กรต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติดในทุกระดับตั้งแต่ระดับชาติจนถึงระดับพื้นที่
มีการบูรณาการแผนงบประมาณและการดำเนินงานขึ้นทุกระดับ    ตลอดจนเร่งรัด   กำกับ   ติดตามและ
ประเมินผลอย่างต่อเนื่อง   สำหรับผลการดำเนินการปราบปรามผู้มีอิทธิพลและธุรกิจผิดกฎหมาย ได้จัด
ทำบัญชีรายชื่อผู้มีอิทธิพลทั่วประเทศ  สรุปรายชื่อผู้มีอิทธิพลระดับแกนนำ 313 ราย  รายชื่อผู้มีอิทธิพล
ทั่วไป 2,525 ราย  และรายชื่อบุคคลผู้ต้องเฝ้าระวัง 1,793 ราย  ส่วนการปราบปรามอาวุธปืน  อาวุธสง
คราม วัตถุระเบิดและยาเสพติด สามารถจับกุมและยึดอาวุธปืน  945  กระบอก  รวมทั้งอาวุธสงครามและ
ระเบิด จับกุมผู้มีอิทธิพลระดับแกนนำ 12 ราย ประชาชนนำอาวุธปืนมามอบให้ทางราชการ และจับกุมผู้
มีอิทธิพลที่อยู่เบื้องหลังขบวนการค้ายาเสพติด โดยจับกุมผู้ผลิต 857 ราย  700  คน  จับกุมผู้ค้า 2,372
ราย 3,057 คน และยึด/อายัดทรัพย์ รวมมูลค่า 1,813,295,434 บาท และเห็นชอบการบูรณาการการ
ติดตามการปฏิบัติงานระดับพื้นที่ของการแก้ไขปัญหายาเสพติด ผู้มีอิทธิพล  และธุรกิจผิดกฎหมาย  และ
ความยากจน   โดยให้สำนักงาน ป.ป.ส.  ในฐานะฝ่ายเลขานุการศูนย์อำนวยการต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพ
ติดแห่งชาติ    และเลขานุการร่วมฝ่ายยุทธศาสตร์ศูนย์อำนวยการต่อสู้เพื่อเอาชนะความยากจนแห่งชาติ
จัดประชุมระดับภูมิภาค จำนวน 4 ครั้ง ในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้

            คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 เห็นควร
กำหนดค่าตอบแทนกรรมการในคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) และอนุกรรมการที่ กคพ. แต่งตั้ง ดังนี้ ค่า
ตอบแทนกรรมการใน  กคพ.  ให้ประธานกรรมการได้รับค่าตอบแทนรายเดือนในอัตราเดือนละ  5,000  บาท
กรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิได้รับในอัตราเดือนละ 4,000 บาท  ส่วนค่าตอบแทนอนุกรรมการที่ กคพ.
แต่งตั้ง ให้ประธานอนุกรรมการได้รับค่าตอบแทนเป็นรายครั้ง ครั้งละ  1,200  บาท รวมกันแล้วไม่เกินเดือนละ
6,000 บาท อนุกรรมการได้รับค่าตอบแทนเป็นรายครั้ง ครั้งละ 1,000 บาท รวมกันแต่ไม่เกินเดือนละ 5,000
บาท ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายในการจ่ายค่าตอบแทนกรรมการและอนุกรรมการดังกล่าวให้เบิกจ่ายจากงบประมาณราย
จ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ สำหรับหลักเกณฑ์ในการเบิกจ่ายค่าตอบแทน
เป็นรายเดือนและรายครั้ง  ให้เป็นไปตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ   โดยการเบิกจ่ายค่าตอบแทนกรรมการใน
กคพ.  จะต้องมีกรรมการใน กคพ. มาประชุมเกินกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมด  จึงจะเป็นองค์ประชุม
และมีสิทธิเบิกค่าตอบแทนได้ เว้นแต่ในการแต่งตั้งนั้นมีการกำหนดเกี่ยวกับองค์ประชุมไว้เป็นอย่างอื่น และการ
เบิกจ่ายค่าตอบแทนอนุกรรมการที่ กคพ. แต่งตั้ง จะต้องมีอนุกรรมการมาประชุมเกินกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนอนุ
กรรมการทั้งหมด จึงจะเป็นองค์ประชุมและมีสิทธิเบิกค่าตอบแทนได้ เว้นแต่ในการแต่งตั้งนั้นมีการกำหนดเกี่ยว
กับองค์ประชุมไว้เป็นอย่างอื่น

          คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมรายงานงบการเงินของกองทุนป้องกันและปราบ
ปรามยาเสพติด สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2546  และ  2545  ที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้
ตรวจสอบและรับรองเรียบร้อยแล้ว  สรุปได้ดังนี้  สินทรัพย์และหนี้สิน  ปี พ.ศ. 2546 กองทุน ฯ มีสินทรัพย์
รวม  124,677,113.51  บาท  ปี พ.ศ. 2545 มีสินทรัพย์รวม  105,876,680.95  บาท  ส่วนของหนี้สิน ปี
พ.ศ. 2546 กองทุน ฯ มีหนี้สินรวม 67,439.67 บาท ปี พ.ศ. 2545 มีหนี้สินรวม 51,170.01 บาท  สำหรับ
รายได้และค่าใช้จ่าย ปี พ.ศ. 2546 กองทุน ฯ มีรายได้รวม 3,238,227.61 บาท ปี พ.ศ. 2545 มีรายได้รวม
2,619,768.85 บาท  ในส่วนของค่าใช้จ่าย ปี พ.ศ. 2546 กองทุน ฯ มีค่าใช้จ่ายรวม 20,543,078.06 บาท
ปี พ.ศ. 2545 มีค่าใช้จ่ายรวม 16,006,447.63 บาท  ทั้งนี้ ในปี พ.ศ. 2546 กองทุน ฯ มีรายได้ต่ำกว่าค่าใช้
จ่าย 17,304,859.45 บาท  และในปี พ.ศ. 2545 กองทุน ฯ มีรายได้ต่ำกว่าค่าใช้จ่ายรวม 13,386,678.78
บาท

              คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอบันทึกความเข้าใจเรื่องความร่วมมือใน
การแลกเปลี่ยนข้อมูลธุรกรรมทางการเงินเพื่อการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ระหว่างสำนักงาน
ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.)  กับ  The  National  Bureau  of  Investigation -
Money Laundering Clearing House ประเทศฟินแลนด์  ซึ่งได้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจ ฯ เสร็จสิ้น
เรียบร้อยแล้ว โดยเป็นการลงนามแบบแลกเปลี่ยนกันทางจดหมาย  ทั้งนี้ บันทึกความเข้าใจฉบับนี้ได้มีผล
บังคับใช้แล้วตั้งแต่วันที่ 22 เมษายน 2547 ที่ผ่านมา

             คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมรายงานสรุปปริมาณคดีที่เข้าสู่กระบวนการ
ตามพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. 2545  ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2546  ถึงวันที่ 31
พฤษภาคม 2547 ดังนี้ การตรวจพิสูจน์ มีผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ใน  76  จังหวัด จำนวน  11,557  ราย
เป็นเพศชาย จำนวน 9,637 ราย เพศหญิง จำนวน 1,920 ราย  โดยมีอายุมากกว่า 25 ปี จำนวน 5,424
ราย และอายุระหว่าง 18-25 ปี จำนวน  4,945  ราย สถานภาพการควบคุมตัว ผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์
ต้องขังระหว่างการตรวจพิสูจน์ จำนวน 6,152 ราย  และได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว จำนวน  5,405  ราย
ประเภทยาเสพติดให้โทษ แยกเป็น เมทแอมเฟตามีน จำนวน 8,441 ราย  ประเภทกัญชา จำนวน 1,348
ราย  ฐานความผิด  ส่วนใหญ่กระทำความผิดฐานเสพยาเสพติดให้โทษ จำนวน 9,920 ราย  รองลงมาคือ
ความผิดฐานเสพและครอบครองยาเสพติด จำนวน 1,480 ราย การฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด คณะ
อนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด ได้มีคำวินิจฉัยผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ โดยให้เข้ารับการฟื้น
ฟูสมรรถภาพแบบควบคุมตัว  จำนวน  5,729  ราย  และให้เข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพแบบไม่ควบคุมตัว
จำนวน 4,948 ราย

            คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่ศูนย์อำนวยการต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติดแห่งชาติเสนอขอปรับปรุงองค์
ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการกำหนดนโยบาย กองอำนวยการเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดน
ภาคใต้  (กอ.สสส.จชต.)  ดังนี้  องค์ประกอบของคณะกรรมการกำหนดนโยบาย กอ.สสส.จชต.  ประกอบด้วย  ผู้
แทนส่วนราชการ หน่วยงานเอกชน  องค์กรประชาชนหรือผู้ทรงคุณวุฒิ  ที่ประธานคณะกรรมการ ฯ  เห็นสมควร
เป็นกรรมการ เลขาธิการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน  ปลัดกระทรวงมหาดไทย  ผู้บัญชาการตำรวจ
แห่งชาติ   เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ   เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ  อธิบดีกรมการปกครอง  เลขาธิการ ป.ป.ส.  ผู้แทนจุฬาราชมนตรี  และประธาน
กรรมการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน  เป็นกรรมการและเลขานุการร่วม   ส่วนอำนาจหน้าที่   ให้คณะกรรมการ
กำหนดนโยบาย  กอ.สสส.จชต.  มีอำนาจหน้าที่ในการกำหนดยุทธศาสตร์  แนวทางการดำเนินการ  มาตรการ
ปฏิบัติในการเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งกำกับดูแล  ประสานการปฏิบัติ  และติดตามตรวจ
สอบการดำเนินการของทุกหน่วยงานให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล  บูรณาการแผนงาน  โครงการ  และงบ
ประมาณพร้อมทั้งมอบหมายให้ทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้องนำไปสู่การปฏิบัติในพื้นที่ให้สัมฤทธิ์ผลตามเป้าหมาย
ที่กำหนดตลอดจนแสวงหาความร่วมมือจากภาคเอกชน  องค์กรพัฒนาเอกชน  ภาคประชาชน  ในการมีส่วนร่วม
และสนับสนุนช่วยเหลือที่เกี่ยวกับการส่งเสริมสันติสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

             คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการ
คดีพิเศษ จำนวน 9 คน โดยให้แต่งตั้งนับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (22 มิถุนายน 2547) เป็นต้นไป

           คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรม โดยกรมราชทัณฑ์ รายงานผลการจดทะเบียนปัญหา
สังคมและความยากจนเชิงบูรณาการของผู้ต้องขังในเรือนจำ/ทัณฑสถานทั่วประเทศ  มีผู้ต้องขังลงทะเบียนทั้งหมด
47,276 คน เป็นชาย 36,378 คน และหญิง 10,898 คน แยกตามลักษณะปัญหาได้ ดังนี้ แบบ สย.1 ปัญหาที่ดิน
จำนวน  25,852  คน แบบ สย.2 ปัญหาคนเร่ร่อน จำนวน  1,882  คน แบบ สย.3 ปัญหาผู้ประกอบอาชีพผิดกฎ
หมาย จำนวน 9,009 คน แบบ สย.4 ปัญหาเด็กนักเรียน/นักศึกษาประกอบอาชีพไม่เหมาะสม จำนวน  489  คน
แบบ สย.5 ปัญหาการถูกหลอกลวง จำนวน 600 คน  แบบ สย.6 ปัญหาหนี้สินภาคประชาชน จำนวน 8,619 คน
แบบ สย.7 ปัญหาที่อยู่อาศัยของคนจน จำนวน 17,953 คน และปัญหาอื่น ๆ จำนวน 7,665 คน

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติโครงการและงบประมาณเพิ่มเติมให้กับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและ
ปราบปรามยาเสพติด ซึ่งเป็นหน่วยงานกลางในการดำเนินโครงการเกี่ยวกับการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพ
ติด จำนวน 3 โครงการ รวมเงินทั้งสิ้น 94,270,000 บาท ประกอบด้วย  กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน
จำนวน 10,180,000 บาท เพื่อใช้ในโครงการเสริมสร้างหมู่บ้านชุมชนเข้มแข็งในพื้นที่ชายแดน  สำนักงานคณะ
กรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) จำนวน 10,000,000 บาท  เพื่อใช้ในโครงการพัฒนาพื้น
ที่บ้านยองข่า  และกรมการปกครอง จำนวน 74,090,000 บาท เพื่อใช้ในโครงการจัดตั้งชมรมพลังแผ่นดินท้อง
ถิ่นท้องที่สามัคคี โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ 2547   งบกลาง  รายการ
ค่าใช้จ่ายเพื่อการเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันและการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ  และให้ดำเนินการต่อไปได้
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ   ทั้งนี้   ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการติดตามดูแลการดำเนินการโครงการ
ในความรับผิดชอบให้เกิดผลอย่างยั่งยืนด้วย   และให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในการดำเนินงานป้องกันและแก้ไข
ปัญหายาเสพติดปรับแผนงานและงบประมาณในช่วง  6  เดือนหลังของปีงบประมาณ 2547 ให้เป็นไปตามมติที่
ประชุมร่วมระหว่างสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) และศูนย์อำนวยการต่อ
สู้เพื่อเอาชนะยาเสพติดแห่งชาติ (ศตส.) รวมทั้งให้แจ้งทุกจังหวัดและกรุงเทพมหานคร ปรับแผนและงบประมาณ
ตามแนวทางการดำเนินงาน   กรอบกิจกรรม   และเป้าหมายใหม่ที่กำหนดในแต่ละยุทธศาสตร์ให้สอดคล้องกับ
สถานการณ์ในพื้นที่ด้วย

               คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและให้ดำเนินการต่อไปได้ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ชวลิต  ยงใจ
ยุทธ) ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติดแห่งชาติ เสนอแนวทางการรณรงค์ประชาสัมพันธ์
และการจัดกิจกรรมรณรงค์พิเศษ  เนื่องในวันต่อต้านยาเสพติด (26 มิถุนายน 2547) โดยให้ศูนย์ปฏิบัติการต่อ
สู้เพื่อเอาชนะยาเสพติดกรุงเทพมหานคร ศูนย์ปฏิบัติการต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติดจังหวัด  และหน่วยงาน/องค์
กรต่าง ๆ  ที่เกี่ยวข้องทั้งในส่วนกลางและในระดับพื้นที่กำหนดจัดกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ต่อสาธารณะ  ได้แก่ 
การทำความสะอาดหรือพัฒนาปรับปรุงพื้นที่/สถานที่สาธารณะ เช่น  โรงเรียน  ศาสนสถาน  แหล่งรกร้าง/มั่ว
สุมในหมู่บ้าน/ชุมชน ลานกีฬาของชุมชน ฯลฯ การล้างท่อระบายน้ำ ขุดลอกคูคลอง  การพัฒนาสภาพแวดล้อม
บริเวณรอบโรงงานหรือสถานประกอบกิจการ และการบรรเทาสาธารณภัยในชุมชนหรือสถานที่สำคัญ เป็นต้น
และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแนวทางการรณรงค์ประชาสัมพันธ์และการจัดกิจกรรมรณรงค์พิเศษ
ดังกล่าว โดยเน้นการจัดกิจกรรมรณรงค์พิเศษขึ้นในส่วนกลาง  ณ บริเวณท้องสนามหลวง  โดยมีนายกรัฐมนตรี
เป็นประธานในพิธีในส่วนกลาง และในทุกพื้นที่จังหวัด อำเภอ/กิ่งอำเภอ มีบุคคลสำคัญของจังหวัด  อำเภอ/กิ่ง
อำเภอ เป็นประธานในพิธี  สำหรับกำหนดการจัดกิจกรรมให้กำหนดการจัดกิจกรรมรณรงค์พิเศษในวันเสาร์ที่
26  มิถุนายน  2547  หรือ  วันอาทิตย์ที่ 27 มิถุนายน 2547 เวลา  07.00-07.30 น.  เพื่อให้ลักษณะของพิธี
การจัดงานมีแนวทางและรูปแบบ รวมทั้งเวลาเช่นเดียวกัน ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค

               คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมรายงานผลการดูงานด้านการแก้ไขปัญหายา
เสพติด ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา  ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและคณะผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม
ระหว่างวันที่ 27 มีนาคม-4 เมษายน 2547 โดยวัตถุประสงค์การศึกษาดูงานด้านการแก้ไขปัญหายาเสพติด
ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา ในครั้งนี้   เพื่อมุ่งศึกษาเปรียบเทียบนโยบายและกระบวนการในการแก้ไขปัญหาผู้
กระทำผิดคดียาเสพติดด้านการลดอุปสงค์ผู้เสพยาเสพติด (Demand  Reduction) โดยในส่วนของการศึกษา
กระบวนการยุติธรรม  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและคณะได้พบปะกับคณะตุลาการระดับสูงของศาล
Circuit Court of Cook County มลรัฐอิลลินอยส์ โดยได้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันเกี่ยวกับระบบศาล
และการทำงานในการดำเนินคดีของทั้งสองประเทศ ศึกษารายละเอียดกระบวนการ  กลไก  ขั้นตอน  และวิธี
การทำงานของศาล การคุมประพฤติ การคุมขังผู้ต้องโทษ  การบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ต้องโทษคดียาเสพติด
รวมทั้งการทำงานร่วมกับชุมชนของ Cook County ซึ่งถือเป็นรูปแบบที่ทันสมัยในการปรับระบบกระบวนการ
ยุติธรรม ให้สามารถเข้ามาแก้ปัญหาผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติดของสหรัฐ  ฯ   สำหรับการดูงาน  รัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงยุติธรรมและคณะได้ดูงานและเข้าร่วมสังเกตการณ์ด้านต่าง  ๆ   ได้แก่   การทำงานของผู้พิพากษา
ในการพิจารณา และออกคำสั่งส่งตัวผู้กระทำความผิดในคดียาเสพติดและเข้ารับการบำบัดรักษาและการคุม
ประพฤติ  และการพิจารณาคดีของศาลเยาวชน   การดูงานห้องขังของผู้ต้องหาที่ศาลอาญาและศาลเยาวชน
เกี่ยวกับระบบการดูแล  การดูงานเรือนจำของกรมราชทัณฑ์ของมลรัฐอิลลินอยส์   ซึ่งมีการบำบัดรักษาและ
ฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดโดยวิธีการชุมชนบำบัด (Therapeutic Community) ซึ่งดำเนินการโดยองค์กรภาคเอกชน
ที่ไม่หวังผลกำไรภายในเรือนจำ  และการดูงานการบำบัดรักษาผู้ถูกคุมประพฤติในชุมชน ซึ่งดำเนินการโดย
องค์กรภาคเอกชนที่ไม่หวังผลกำไร  ทั้งนี้ จากการศึกษากระบวนการยุติธรรมและการดูงานดังกล่าวสะท้อน
ให้เห็นถึงรูปแบบและแนวคิดการดูแลแก้ไขผู้กระทำผิดในคดียาเสพติดของทั้งสองประเทศมีลักษณะใกล้เคียง
กัน คือ การให้ผู้ต้องโทษสามารถกลับเข้าสู่สังคมโดยได้รับการดูแล ต้อนรับ และช่วยเหลือจากสังคม รวมถึง
การช่วยเหลือเพื่อหางานให้ด้วย