คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเสนอการรับโอน นายพงษ์ภัฏ เรียง
เครือ ข้าราชการอัยการ ตำแหน่งอัยการจังหวัดประจำกรม สถาบันกฎหมายอาญา สำนักงานอัยการสูงสุด มา
บรรจุเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ  และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาเฉพาะด้านกฎหมายมหาชน  (นิติกร
10 ชช)  สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงยุติธรรม ตั้งแต่วันที่ 3 มิถุนายน 2547

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของกระทรวงการคลังให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการ
ฟอกเงินดำเนินการเช่ารถได้ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง และเห็นชอบตามความเห็นของกระทรวง
การคลัง เกี่ยวกับการคำนวณอัตราค่าเช่ารถของส่วนราชการ   โดยให้ส่วนราชการถือปฏิบัติตามหลักเกณฑ์
การคำนวณอัตราค่าเช่ารถมาใช้ในราชการตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2546  เรื่อง  การ
เช่ารถยนต์มาใช้ในราชการ ให้ถูกต้องก่อนที่จะเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี โดยให้ปรับใช้ตัวเลขอัตราดอกเบี้ย
เงินกู้ขั้นต่ำ (MLR) ของธนาคารพาณิชย์ จากเดิมใช้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำ(MLR)ของ 5  ธนาคารพาณิชย์
เฉลี่ย  บวก  2  เป็น  ใช้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำ(MLR)ของธนาคากรุงไทย จำกัด (มหาชน) บวก 2 ในการ
คำนวณอัตราค่าเช่ารถของส่วนราชการ  หากการคำนวณอัตราค่าเช่ารถของส่วนราชการมีหลักเกณฑ์และเงื่อน
ไขที่ถูกต้องตามนัยมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว และให้ส่วนราชการได้ปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำแล้ว  ให้ถือว่า
กระทรวงการคลังได้เห็นชอบในการอนุมัติวงเงินงบประมาณก่อหนี้ผูกพันข้ามปีเพื่อใช้เป็นค่าเช่ารถตามนัยมาตรา 
23 แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2502 และที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไม่
ต้องขอความเห็นกระทรวงการคลังอีก ดังนั้น ส่วนราชการเจ้าของเรื่องต้องระบุให้ชัดเจนในหนังสือเสนอเรื่องต่อ
คณะรัฐมนตรีด้วยว่าได้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีอย่างถูกต้องครบถ้วนแล้ว

             คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอให้กรมราชทัณฑ์เพิ่มวงเงินงบประมาณ
ค่าก่อสร้างเรือนจำอำเภอเกาะสมุย จากที่ได้รับความเห็นชอบไว้แล้ว จำนวน 178,500,000 บาท เป็น
จำนวน 181,558,000 บาท

             คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 (ฝ่ายกฎ
หมาย ฯ) ที่มีมติเกี่ยวกับการขอยกเว้นไม่ต้องถือปฏิบัติตามระเบียบการเบิกจ่ายเงินจากคลัง ระเบียบกระทรวง
การคลังว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการประชุมระหว่างประเทศ  พ.ศ. 2539  โดยขอเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการจัดประชุม
สหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญา  ครั้งที่ 11  ซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้า
ภาพ  ได้เท่าที่จ่ายจริงเป็นกรณีพิเศษ รวม  13  รายการ  รวมทั้งได้รับการยกเว้นไม่ต้องถือปฏิบัติตามระเบียบ
สำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2538 (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2539
(ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2541 (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2542  และ (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2545  โดยให้มีการจัดซื้อจัดจ้างโดยวิธี
พิเศษรวม 11 รายการ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ โดยคณะกรรมการกลั่นกรองฯ เห็นว่ากระทรวงยุติธรรม
ควรเร่งดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบและหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องก่อน  แต่เพื่อไม่ให้เสียหายต่อการจัดประชุม
นานาชาติซึ่งเกี่ยวกับภาพลักษณ์ของประเทศในกรณีที่เห็นว่ามีความจำเป็นไม่สามารถดำเนินการตามระเบียบ
และหลักเกณฑ์ในเรื่องนี้ได้  ให้กระทรวงยุติธรรมตกลงกับกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณแล้วแต่กรณี
เพื่อยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยค่าใช้จ่ายในการประชุมระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539
และหนังสือกรมบัญชีกลาง ด่วนที่สุด ที่ กค 0526.7/ว 26191 ลงวันที่  28  กันยายน  2544  เรื่อง  การเบิก
จ่ายค่าใช้จ่ายในการประชุมระหว่างประเทศ  และการถัวจ่ายค่าใช้จ่ายในรายการต่าง ๆ  ต่อไป  และเสนอคณะ
กรรมการว่าด้วยการพัสดุพิจารณายกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบดังกล่าว   และกรณีคณะกรรมการว่าด้วยการ
พัสดุไม่มีอำนาจยกเว้นตามระเบียบ ฯ ได้ ให้กระทรวงการคลังให้ความเห็นชอบได้

           คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 (ฝ่ายกฎ
หมาย ฯ) ที่มีมติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอให้ประเทศไทยให้ความเห็นชอบกับแผนปฏิบัติการป้องกันการ
ทุจริตในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิค โดยมีหลักการสำคัญคือ การพัฒนาระบบราชการที่มีประสิทธิผลและมีความ
โปร่งใส  (Developing Effective and Transparent Systems for Public Service)  การเสริมสร้างความเข้มแข็ง
ให้กับการป้องกันการติดสินบนและส่งเสริมความซื่อสัตย์ในการประกอบธุรกิจ (Strengthening Anti-Bribery
Action and Promoting Integrity in  Business  Operations) และการสนับสนุนการมีส่วนร่วมของสาธารณชน
อย่างแข็งขัน และมอบหมายให้กระทรวงยุติธรรมเป็นหน่วยงานเจ้าของเรื่องรับผิดชอบในการดำเนินการเพื่อ
ให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติการ ฯ ในเรื่องนี้ต่อไป

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอการเบิกจ่ายเงินงบประมาณก่อนได้รับ
อนุมัติเงินประจำงวด  สำหรับโครงการสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม  เพื่อใช้ในการสัมมนา
ทางวิชาการ เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจในกระบวนการยุติธรรม รวมทั้งสนับสนุนเครื่องมือและอุปกรณ์ที่
จำเป็นตามมาตรฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ สำหรับการตรวจสถานที่เกิดเหตุเพื่อสร้างความมั่นใจในการ
ปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ภาครัฐต่อประชาชน

             คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมรายงานสรุปปริมาณคดีที่เข้าสู่กระบวนการตาม
พระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. 2545  ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2547  ถึงวันที่ 31 ตุลาคม
2547 โดยในช่วงดังกล่าวมีผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ 908 ราย เป็นเพศชาย 763 ราย เพศหญิง 145 ราย อายุ
ของผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ มากกว่า 25 ปี 342 ราย และอายุ 18-25 ปี  456  ราย  สถานภาพของผู้เข้ารับ
การตรวจพิสูจน์ ถูกควบคุมตัว 499 ราย ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว 409 ราย  ประเภทยาเสพติด จำแนกเป็น
เมทแอมเฟตามีน 805 ราย  แอมเฟตามีน 53 ราย  ฐานความผิด  ส่วนใหญ่กระทำความผิดฐานเสพติดยาเสพ
ติดให้โทษ 818 ราย รองลงมาคือ ความผิดฐานเสพและครอบครองยาเสพติด  83  ราย  ในส่วนของการฟื้นฟู
สมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด  คณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดได้มีคำวินิจฉัยผู้เข้ารับการตรวจ
พิสูจน์ โดยให้เข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพแบบควบคุมตัว 384 ราย ให้เข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพแบบไม่ควบ
คุมตัว 297 ราย และส่งตัวคืนตำรวจและอัยการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมปกติ 65 ราย

             คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7  (ฝ่าย
กฎหมาย  ฯ)  ที่มีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอร่างพระราชบัญญัติมาตรการป้องกันและ
แก้ไขปัญหาการทุจริตภาครัฐ พ.ศ. .... โดยมีสาระสำคัญคือ  ให้มีส่วนราชการในฝ่ายบริหารรับผิดชอบเกี่ยว
กับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตโดยตรง   รวมทั้งกำหนดมาตรการต่าง  ๆ  เพื่อให้การป้องกันและ
ปราบปรามการทุจริตดำเนินการในลักษณะบูรณาการและมีประสิทธิภาพ และร่างพระราชบัญญัติประกอบ
รัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยมีสาระสำคัญคือ  กำหนด
มาตรการให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. กับส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือองค์กรภาครัฐอื่นที่มีอำนาจหน้า
ที่ดำเนินการเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตสามารถถ่ายโอนเรื่องที่มีเจ้าหน้าที่ของรัฐ   ซึ่งมิ
ใช่ผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงเป็นผู้ถูกกล่าวหาไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องระหว่างกัน  และให้ส่งสำนักงาน
คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา  โดยรับประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ  และความ
เห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง  ไปดำเนินการด้วย   โดยในส่วนของคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ  เห็นว่า  การ
กำหนดคุณสมบัติและการแต่งตั้งคณะกรรมการ ก.ต.ท.  ควรเป็นอำนาจของคณะรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบ
ของคณะกรรมการ  ป.ป.ช.  เพื่อความเชื่อมโยงในการปฏิบัติงานในเรื่องที่  ก.ต.ท.   เห็นควรส่งเรื่องให้คณะ
กรรมการ ป.ป.ช. ดำเนินการ  หรือในกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.  เห็นควรดำเนินการเรื่องใด  ๆ  ที่อยู่ใน
อำนาจหน้าที่ของ  ก.ต.ท.  โดยให้ปลัดกระทรวงการคลังร่วมเป็นกรรมการด้วย   ส่วนการกำหนดให้ข้าราช
การ  หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐระดับ 8  ลงมา   ต้องอยู่ภายใต้การตรวจสอบตามร่างพระราชบัญญัติมาตรการ
ป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตภาครัฐ  พ.ศ. ....  นั้น   หน่วยงานหรือส่วนราชการที่ไม่สังกัดฝ่ายบริหาร
หรือข้าราชการที่สังกัดองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ  ข้าราชการสังกัดสำนักงานศาลยุติธรรม   และข้าราช
การสังกัดสำนักงานศาลปกครองสมควรให้อยู่ภายใต้กฎหมายนี้หรือไม่  สำหรับสถานะของสำนักงานคณะ
กรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตภาครัฐ ควรเป็นหน่วยงานกลางไม่สังกัดกระทรวง  ทบวง  หรือ
กรมให้ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมโดยตรง น่าจะเหมาะสม  นอกจากนี้
การกำหนดให้ตำแหน่งพนักงานเจ้าหน้าที่   ตามร่างพระราชบัญญัติมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการ
ทุจริตภาครัฐ  พ.ศ. ....  ตามร่างมาตรา  27  เป็นตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษ  โดยให้รับค่าตอบแทนและเงินเพิ่ม
พิเศษนั้น ควรตัดออกเพราะอาจก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำกับข้าราชการในหน่วยงานอื่น ๆ  ที่ปฏิบัติหน้าที่
ในลักษณะเดียวกัน  แล้วส่งให้สำนักงานคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอ
สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป  กับเห็นควรแจ้งผลการหารือร่วมกันของกระทรวงยุติธรรมกับสำนักงาน
ศาลยุติธรรม   กรณีให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีอำนาจดำเนินคดีบุคคล
อื่น ๆ  ที่ได้กระทำผิดร่วมกับกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะตัวการ ผู้ใช้หรือผู้สนับสนุน ว่าน่าจะขัดหรือแย้งต่อ
บทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทราบ

             คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอแต่งตั้ง นายทวี สุรฤทธิกุล เป็นกรรมการ
ผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคดีพิเศษ แทน นายอารีย์  วงศ์อารยะ  ที่ลาออก  โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะ
รัฐมนตรีมีมติ (9 พฤศจิกายน 2547) เป็นต้นไป

             คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้ เห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี  (พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ)  ผู้อำนวยการ
ศูนย์อำนวยการต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติดแห่งชาติเสนอโครงการสนับสนุนการสืบสวนปราบปรามยาเสพติด
ของประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อสนับสนุนหน่วยงานด้านการข่าวและปราบปรามยาเสพติดของประเทศพม่า สปป.
ลาว  และกัมพูชา  รวมทั้งพิสูจน์ทราบและทำลายแหล่งผลิต  แหล่งพัก  และขบวนการค้ายาเสพติดในประเทศ
และเพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับชุดปฏิบัติการด้านการข่าว   และการปราบปรามยาเสพติดของประเทศเพื่อนบ้าน
และอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ให้สำนัก ป.ป.ส. เปลี่ยนแปลงการจัดสรรงบประมาณรายจ่าย
ประจำปีงบประมาณพ.ศ. 2548 ภายในแผนงานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด งานปราบปรามยาเสพติด
งบรายจ่ายอื่น  จากรายการค่าใช้จ่ายด้านการยุติแหล่งผลิตนอกประเทศ  จำนวน  15,000,000  บาท  และ
รายการค่าใช้จ่ายด้านการปราบปรามยาเสพติดในพื้นที่ระดับภาคและจังหวัด จำนวน 5,000,000 บาท รวม
เป็นเงิน  20,000,000  บาท เป็นรายการเงินราชการลับสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายตามโครงการ ฯ  ทั้งนี้  เพื่อให้
เป็นไปตามนัยมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2502 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ที่กำหนดว่า
การจะโอนเงินไปเพิ่มรายจ่ายประเภทเงินราชการลับจะกระทำไม่ได้ เว้นแต่จะได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี

           คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ) ผู้อำนวยการศูนย์
อำนวยการต่อสู้เพื่อเอาชนะความยากจนแห่งชาติ เสนอให้ศูนย์อำนวยการต่อสู้เพื่อเอาชนะความยากจน
แห่งชาติเป็นศูนย์กลางในการบูรณาการแผนงาน งบประมาณ โครงการ  กิจกรรม  และการปฏิบัติเกี่ยว
กับงานคาราวานแก้จนของทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง  ตลอดจนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรเอก
ชน และองค์กรภาคประชาชนต่าง ๆ

             คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้ รับทราบตามที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินรายงานผล
การปฏิบัติงาน ประจำปี พ.ศ. 2546 และเห็นชอบให้เสนอรายงานผลการปฏิบัติงานต่อสภาผู้แทนราษฎร
และวุฒิสภาต่อไป โดยผลการปฏิบัติงาน ประจำปี พ.ศ. 2546  ที่สำคัญมีดังนี้  ด้านการสืบสวน  สอบสวน
และดำเนินคดีตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน  ได้ดำเนินคดีทั้งสิ้น  132  คดี
แยกเป็น คดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด 124 คดี  ความผิดเกี่ยวกับเพศ 3 คดี  ความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกง
ประชาชน 1 คดี  ความผิดเกี่ยวกับการยักยอกหรือฉ้อโกง 1 คดี  ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ 1 คดี
ความผิดเกี่ยวกับการลักลอบหนีศุลกากร 2 คดี  รวมมูลค่าทรัพย์สินที่ยึดหรืออายัดไว้  916.08  ล้านบาท
ส่วนการเก็บรักษาทรัพย์สินที่ได้จากการยึดหรืออายัดตั้งแต่วันที่ 13 ธันวาคม 2543 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม
2546 มีมูลค่ามากกว่า 1,192 ล้านบาท  ทั้งนี้ ได้มีการนำทรัพย์สินที่มีสภาพไม่เหมาะสมที่จะเก็บรักษาไว้
หรือเก็บรักษาไว้จะเป็นภาระแก่ทางราชการ เช่น  บ้าน  รถยนต์  สัตว์ต่าง ๆ  ไปบริหารจัดการ  เช่น  ขาย
ทอดตลาด  การใช้เช่า  เป็นต้น   สำหรับปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงาน  ได้แก่  อัตรากำลังไม่เพียง
พอต่อการปฏิบัติงาน ประกอบกับกฎหมาย ระเบียบความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมมีความซับซ้อนทำให้ไม่
สามารถทำการสื่อสารได้  รวมถึงระเบียบการบริหารจัดการทรัพย์สินบางประการยังไม่ชัดเจน  และหน่วย
งานบังคับใช้กฎหมายและประชาชนยังไม่มีความรู้  ความเข้าใจ   นอกจากนี้  ยังขาดบุคลากรที่มีความเชี่ยว
ชาญด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ

            คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมรายงานความก้าวหน้าของโครงการหรือเรื่อง
เร่งด่วนของรัฐบาล ด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ปีงบประมาณ พ.ศ. 2547  ระยะเวลาตั้งแต่
เดือนกรกฎาคม-กันยายน 2547  โดยมีผลการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด  จำแนกตาม
ยุทธศาสตร์ดังต่อไปนี้  (1) ยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาตัวยา/ผู้ค้ายาเสพติด  (Supply)  ประกอบด้วย 7
ยุทธศาสตร์ย่อย คือ  ยุทธศาสตร์การทำลายโครงสร้างเครือข่ายการผลิตการค้ารายใหญ่และผู้มีอิทธิพล
ยุทธศาสตร์การควบคุมการแพร่ระบาดของยาเสพติดในพื้นที่  ยุทธศาสตร์การสกัดกั้นยาเสพติดตามแนว
ชายแดน ยุทธศาสตร์การปราบปรามเจ้าหน้าที่รัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ยุทธศาสตร์การเฝ้าระวัง
ยาเสพติดชนิดใหม่ ยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบการข่าว และเทคโนโลยีการปราบปราม และยุทธศาสตร์
การสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างประเทศ  (2)  ยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาผู้เสพ/ผู้ติดยา
เสพติด (Demand) ประกอบด้วย 4 ยุทธศาสตร์ย่อย  คือ  ยุทธศาสตร์การสำรวจค้นหา ชักจูงให้ผู้เสพ/ผู้
ติดยาเสพติดเข้ารับการบำบัดรักษาฟื้นฟูและพัฒนา   ยุทธศาสตร์การบำบัดรักษาฟื้นฟูและพัฒนาผู้เสพ/
ผู้ติดยาเสพติด ยุทธศาสตร์การติดตามดูแลช่วยเหลือผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติด และยุทธศาสตร์การปรับทัศน
คติ  เตรียมความพร้อมของชุมชน  อาสาสมัคร  เพื่อดูแลช่วยเหลือให้ผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติดกลับคืนสู่ชุมชน
(3) ยุทธศาสตร์การป้องกันกลุ่มผู้มีโอกาสเข้าไปใช้ยาเสพติด (Potential Demand) ประกอบด้วย 4 ยุทธ
ศาสตร์ย่อย  คือ  ยุทธศาสตร์การสร้างกระแสและพลังขับเคลื่อนทางสังคม   ยุทธศาสตร์การสร้างภูมิคุ้ม
กันและเฝ้าระวังกลุ่มเป้าหมาย   ยุทธศาสตร์การสร้างครอบครัวและชุมชนเข้มแข็งอย่างยั่งยืน    และยุทธ
ศาสตร์การส่งเสริมและพัฒนาการทำงานในลักษณะเครือข่าย  และ  (4)  ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการ
เชิงบูรณาการ ประกอบด้วย 4 ยุทธศาสตร์ย่อย คือ ยุทธศาสตร์การบูรณาการนโยบาย แนวคิด แนวทาง
การดำเนินงาน ยุทธศาสตร์การบูรณาการองค์กรการดำเนินงานในทุกระดับ ยุทธศาสตร์การบูรณาการ
เป้าหมาย/แผนงาน/งบประมาณ การดำเนินงาน และยุทธศาสตร์การบูรณาการระบบอำนวยการ กำกับ
ติดตาม รายงานผลการดำเนินงาน

              คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมรายงานสรุปปริมาณคดีที่เข้าสู่กระบวนการตาม
พระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. 2545 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2546  ถึงวันที่ 30 กันยายน
2547 ดังนี้ การตรวจพิสูจน์ มีผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์จำนวน 19,297 ราย เป็นเพศชายจำนวน 16,324 ราย
เพศหญิงจำนวน 2,973 ราย มีอายุมากกว่า  25  ปี  จำนวน 8,798 ราย  และอายุ 18-25 ปี  จำนวน 8,505
ราย  สถานภาพการควบคุมตัว  ผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ถูกควบคุมตัว จำนวน 9,900 ราย  ได้รับการปล่อยตัว
ชั่วคราว จำนวน 9,397 ราย ประเภทยาเสพติดให้โทษ แยกเป็นเมทแอมเฟตามีน จำนวน 14,308 ราย กัญชา
จำนวน  2,016  ราย  ฐานความผิด ส่วนใหญ่กระทำความผิดฐานเสพยาเสพติดให้โทษ จำนวน  16,842  ราย
รองลงมาคือ ความผิดฐานเสพและครอบครองยาเสพติด จำนวน 2,234 ราย การฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพ
ติด  คณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดได้มีคำวินิจฉัยผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ โดยให้เข้ารับการ
ฟื้นฟูสมรรถภาพแบบควบคุมตัว จำนวน 8,972 ราย  ให้เข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพแบบไม่ควบคุมตัว จำนวน
8,418 ราย และส่งตัวคืนตำรวจและอัยการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมปกติ จำนวน 964 ราย

             คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี  (พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ)  ผู้อำนวยการศูนย์
อำนวยการต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติดแห่งชาติ รายงานผลการประชุมศูนย์อำนวยการต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพ
ติด ครั้งที่ 8/2547 เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2547  ซึ่งได้มีการพิจารณาแนวทางการปฏิบัติการป้องกันและแก้ไข
ปัญหายาเสพติดในพื้นที่คลองเตยและกรุงเทพมหานคร โดยที่ประชุมเห็นชอบการดำเนินการในพื้นที่ดังกล่าว
ควรเป็นการบูรณาการปฏิบัติงานรวมกันทั้ง  4  ยุทธศาสตร์  ดังนี้  ยุทธศาสตร์ด้าน  Supply  เน้นการปราบ
ปรามโดยเด็ดขาด  และใช้มาตรการยึดทรัพย์สิน  มาตรการปราบปรามการฟอกเงิน  และมาตรการทางภาษี
อากรควบคู่กันไป  ยุทธศาสตร์ด้าน Potential Demand เน้นการสร้างชุมชนเข้มแข็งเฝ้าระวังยาเสพติด การให้
ข่าวสารของประชาชน และการรณรงค์ต่อต้านยาเสพติด  ยุทธศาสตร์ด้าน Demand  เน้นไปที่การ Re X-Ray
พื้นที่ นำผู้เสพ/ผู้ติดออกมาบำบัดรักษา และขยายผลไปถึงผู้ค้ายาเสพติด และยุทธศาสตร์การบริหารจัดการ
เน้นการปฏิบัติที่มีเอกภาพและบรรลุเป้าหมาย กำหนดระยะเวลาและแนวการปฏิบัติเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะ
ที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 4 ตุลาคม ถึงวันที่ 3 ธันวาคม 2547  เป็นระยะการปราบปรามทำลายผู้ค้ายาเสพติด  ควบคู่
ไปกับการนำผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติดเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษา  ระยะที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 4 ธันวาคม 2547 ถึง
วันที่ 31 มีนาคม 2548  เป็นระยะฟื้นฟูดูแลผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติด  และขบวนการเสริมสร้างความเข้มแข็งของ
ชุมชนให้เป็นพลังแผ่นดินเพื่อเอาชนะยาเสพติด  และระยะที่  3  ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน  ถึงวันที่ 30 กันยายน
2548  เป็นระยะการสถาปนาความมั่นคงปลอดภัยจากปัญหายาเสพติดในพื้นที่และสร้างพลังแผ่นดิน ชุมชน
เข้มแข็งเอาชนะยาเสพติดอย่างยั่งยืน และมีระบบเฝ้าระวังปัญหายาเสพติดมิให้หวนกลับมาอีก

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 8  (ฝ่ายกฎ
หมาย ฯ)  ที่มีมติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงยุติธรรม เรื่อง  การกำหนด
ส่วนราชการตามกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม พ.ศ. 2545 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
โดยมีสาระสำคัญคือ ยกฐานะเรือนจำจังหวัด 6 แห่ง คือ เรือนจำจังหวัดสุรินทร์ เป็นเรือนจำกลางสุรินทร์ เรือน
จำจังหวัดเพชรบุรี เป็นเรือนจำกลางเพชรบุรี เรือนจำจังหวัดตาก เป็นเรือนจำกลางตาก  เรือนจำจังหวัดปัตตานี
เป็นเรือนจำกลางปัตตานี  เรือนจำจังหวัดสมุทรสงคราม  เป็นเรือนจำกลางสมุทรสงคราม   และเรือนจำจังหวัด
นครพนม เป็นเรือนจำกลางนครพนม และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วให้ดำเนิน
การต่อไปได้  รวมทั้งเห็นชอบให้ยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่  14  ตุลาคม  2540  และวันที่  3  กุมภาพันธ์
2541  เพื่อให้เรือนจำพิเศษสุรินทร์  เรือนจำพิเศษเพชรบุรี  เรือนจำพิเศษตาก  เรือนจำพิเศษปัตตานี  เรือนจำ
พิเศษสมุทรสงคราม และเรือนจำพิเศษนครพนม เป็นส่วนราชการเพิ่มขึ้นใหม่ โดยไม่ให้มีการเพิ่มอัตรากำลังเจ้า
หน้าที่ และไม่เพิ่มภาระด้านงบประมาณ

            คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมรายงานการเดินทางเจรจาและปรึกษาหารือเกี่ยวกับ
อาชญากรรมข้ามชาติและอื่น  ๆ  ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและคณะข้าราชการกระทรวงยุติธรรม  ณ
ประเทศสิงคโปร์ ระหว่างวันที่ 23-27 กรกฎาคม 2547 ซึ่งมีประเด็นการเจรจาหารือ เช่น การแลกเปลี่ยนบุคลา
กร และการขอความร่วมมือสนับสนุนในเรื่องการฝึกอบรม โดยฝ่ายไทยได้เสนอเรื่องที่อยู่ในความสนใจที่จะหารือ
กับสิงคโปร์ เช่น เรื่องการปราบปรามยาเสพติด การก่อการร้าย การสร้างระบบป้องกันการคอร์รัปชั่น  งานด้าน
นิติวิทยาศาสตร์ งานด้านราชทัณฑ์  การบริหารจัดการเรือนจำ  ซึ่งมีศักยภาพโดดเด่นในเรื่องการใช้เทคโนโลยีที่
ทันสมัย  ทั้งนี้  สิ่งที่น่าสนใจที่ได้รับจากการเจรจาในครั้งนี้ เช่น  การแก้ไขผู้กระทำผิดมีโปรแกรมการพัฒนาพฤติ
นิสัยและมีการวางแผนที่ชัดเจน   ทั้งในเรื่องเกี่ยวกับเยาวชนและผู้กระทำผิด  สิ่งที่รัฐบาลสิงคโปร์เน้นและให้ความ
สำคัญมาก คือ การมีส่วนร่วมของครอบครัว เพื่อน ชุมชน และบุคลากรที่ทำงานในด้านนี้ด้วยความตั้งใจและจริงใจ
รวมทั้งการปลูกฝังให้คนในชาติไม่ยอมรับและปฏิเสธคนที่ทำการคอรัปชั่น และการบังคับใช้กฎหมายที่มีประสิทธิ
ภาพเป็นจุดเด่นที่สุดที่ทำให้สิงคโปร์ประสบความสำเร็จในการปราบปรามและป้องกันการคอรัปชั่น ยังผลให้สิงค
โปร์ได้รับรางวัลที่ 1 ในเอเชียว่าเป็นประเทศที่ปลอดการคอรัปชั่นมานานกว่า 5 ปี  นอกจากนี้  การเตรียมความ
พร้อมในเรื่องของการป้องกันการก่อการร้ายโดยเน้นในเรื่องทางการเฝ้าระวังและการเตรียมความพร้อมอยู่เสมอ
อีกทั้งความร่วมมือจากชุมชน  การให้การศึกษาในเรื่องศาสนา  โดยยึดหลักการที่ว่า การลงทุนในเรื่องของความ
พร้อม มีความคุ้มค่ามากกว่าการแก้ไขที่ต้องกระทำเมื่อมีเหตุเกิดขึ้นแล้วภายใต้วิสัยทัศน์ที่ว่าจะดำเนินการอย่างดี
ที่สุดเพื่อให้ชาวสิงคโปร์ได้อยู่ในบ้าน (ประเทศสิงคโปร์) ที่ปลอดภัยที่สุด เป็นต้น

             คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอยุทธศาสตร์การป้องกันและแก้ไขปัญหา
การทุจริตในภาครัฐในส่วนของกระทรวงยุติธรรม โดยการจัดตั้งองค์กรของฝ่ายบริหารขึ้นรับผิดชอบภารกิจ
การแก้ไขปัญหาดังกล่าว และในระหว่างที่ยังมิได้มีการจัดตั้งองค์กรของฝ่ายบริหารฯ ให้กระทรวงยุติธรรม
ดำเนินโครงการบูรณาการภารกิจการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ ของส่วนราชการในบังคับ
บัญชาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และส่วนราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรม  ได้แก่  สำนักงาน
ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน  (ปปง.)  สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด   
(ปปส.)กรมสอบสวนคดีพิเศษ  และสำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม  ด้วยการสร้างกลไกการประสานภารกิจ
อย่างไม่เป็นทางการระหว่างส่วนราชการดังกล่าวภายใต้กรอบภารกิจและอำนาจหน้าที่   ซึ่งแต่ละหน่วยงาน
มีอยู่ตามกฎหมายและกฎระเบียบของทางราชการ  ทั้งนี้ เพื่อเป็นการผนึกกำลังการป้องกันและแก้ไขปัญหาการ
ทุจริต  ปปง.  ได้จัดทำข้อตกลงร่วมกับองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และสนับ
สนุนการปฏิบัติงานร่วมกันภายใต้กรอบอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย    และโดยที่กระทรวงยุติธรรมประกอบ
ไปด้วยหน่วยงานที่ทำหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมายและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายใน
อันที่จะให้คุณและให้โทษแก่ประชาชนและผู้เกี่ยวข้อง  จึงต้องมีกระบวนการตรวจสอบความซื่อสัตย์สุจริตที่มี
ประสิทธิภาพทั้งในการสรรหา การคัดเลือก การบรรจุแต่งตั้ง การแต่งตั้งโยกย้าย และการตรวจสอบทรัพย์
สิน   ในการนี้   กระทรวงยุติธรรมได้มอบนโยบายให้อธิบดี  และหัวหน้าส่วนราชการทั้งหมดไปดำเนินการ
ศึกษาว่า  ภายในหน่วยงานของตนมีกิจกรรมใดที่เอื้ออำนวยต่อการแสวงหาประโยชน์อันมิชอบของเจ้าหน้า
ที่   และจัดให้มีมาตรการและแนวทางแก้ไขเพื่อลดโอกาสการทุจริตของเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง   และต้องแสดง
บัญชีทรัพย์สินเป็นระยะอย่างสม่ำเสมอ       และเห็นควรให้นำมาตรการดังกล่าวไปใช้กับข้าราชการในส่วน
ราชการอื่นด้วย  สำหรับข้าราชการกลุ่มอื่นจะพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์ให้ผู้ที่ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ระดับผู้
อำนวยการกอง หรือผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งตั้งแต่ระดับ  8  ขึ้นไป  ต้องแสดงบัญชีทรัพย์สินก่อนเข้ารับตำแหน่ง
พร้อมกับมีการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินอย่างสม่ำเสมอ    ในส่วนของเจ้าหน้าที่ของรัฐในระดับสูงที่มีโอกาส
ในการทุจริตสูง ให้กระทรวงยุติธรรมศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนามาตรการตรวจสอบดูแล  และนำเสนอต่อรัฐบาล
เพื่อพิจารณาในโอกาสต่อไป    นอกเหนือจากมาตรการทั่วไปแล้ว   กระทรวงยุติธรรมจะพัฒนาระบบตรวจ
สอบการใช้ดุลพินิจของข้าราชการบางกลุ่มที่อาจมีผลกระทบต่อผลประโยชน์ของผู้เกี่ยวข้องด้วยการจัดให้มี
ผู้เชี่ยวชาญภายนอกมาร่วมทำความเห็นประกอบสำนวน  และจะเร่งพัฒนาเครือข่ายการป้องกันปัญหาการ
ทุจริต ฉ้อราษฎร์บังหลวง เพื่อสร้างความร่วมมือกับสังคม ชุมชนและประชาชน โดยจะจัดให้มีการอบรมเพื่อ
พัฒนาค่านิยม  และทัศนคติที่ถูกต้องเหมาะสมอย่างจริงจังและต่อเนื่อง   ในด้านความร่วมมือกับนานาชาติ
กระทรวงยุติธรรมได้รับมอบหมายในการศึกษาความเหมาะสมของการให้สัตยาบันแก่อนุสัญญาสหประชา
ชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต (United Natios  Conventin  Against  Corruption) ส่วน ปปง. ได้รับมอบ
หมายให้ทำข้อตกลงระดับทวิภาคีกับนานาประเทศเรื่อง ความร่วมมือด้านด้านการป้องกันและปราบปราม
การฟอกเงิน

           คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 8  (ฝ่าย
กฎหมาย ฯ)  ที่มีมติเกี่ยวกับการพิจารณาความเหมาะสมของการยกเลิกความผิดทางอาญาเกี่ยวกับการใช้
เช็ค ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ โดยเห็นควรยกเลิกพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค
พ.ศ. 2534  และให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและกระทรวงยุติธรรมพิจารณายกร่างกฎหมาย โดย
ให้มีมาตรการรองรับตามประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ ดังนี้ ให้มีบทเฉพาะกาลกำหนด
เวลาใช้บังคับ เพื่อให้มีเวลาเพียงพอสำหรับการพัฒนามาตรการสร้างความน่าเชื่อถือในเช็ค บทเฉพาะกาล
สำหรับกรณีความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คที่อยู่ระหว่างการพิจารณาคดีของศาลหรือที่อยู่ระหว่างการสอบ
สวนของพนักงานสอบสวน รวมทั้งให้ธนาคารแห่งประเทศไทยและสมาคมธนาคารพาณิชย์เข้ามามีส่วนรับ
ผิดชอบการดำเนินการในเรื่องนี้ เพื่อการกำหนดมาตรการรองรับและการสร้างความน่าเชื่อถือในเช็คตาม
อำนาจหน้าที่กฎหมายกำหนด  และแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา  341  ให้ครอบคลุมถึงกรณีการ
กระทำโดยทุจริตสั่งให้ธนาคารระงับการจ่ายเงินตามเช็คเป็นเหตุให้ธนาคารหลงเชื่อและปฏิเสธการใช้เงิน
ให้เป็นความผิดฐานฉ้อโกง     และมีมาตรการช่วยเหลือผู้ทรงเช็คที่อาจเป็นผู้ยากไร้ด้วยระบบการให้ความ
ช่วยเหลือทางกฎหมายเป็นกรณี ๆ  ไป   และให้รับประเด็นอภิปรายตลอดจนความเห็นของส่วนราชการที่
เกี่ยวข้องไปประกอบการพิจารณา และให้รับฟังความคิดเห็นจากบุคคลในสาขาอาชีพที่เกี่ยวข้องตามความ
เหมาะสมด้วย

            คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.)
เสนอการลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจเรื่องความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลธุรกรรมทางการเงินเพื่อ
การป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ระหว่างสำนักงาน ปปง. กับ The Anti-Money Laundering Council
ประเทศฟิลิปปินส์