คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ) ผู้อำนวยการศูนย์
อำนวยการต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติดแห่งชาติรายงานผลการดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด
ประจำเดือนกันยายน 2547 ข้อมูล ณ วันที่ 20 กันยายน 2547 ซึ่งมีผลการดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่ การ
ประชุมศูนย์อำนวยการต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติดแห่งชาติ  (ศตส.)  เพื่อรับทราบความก้าวหน้าการดำเนิน
งานของ ศตส. ด้านการป้องกันกลุ่มผู้มีโอกาสเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ด้านการควบคุมตัวยา  ด้านการ
ดูแลผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติด  และเห็นชอบในเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ โครงการสนับสนุนการสืบสวนปราบปรามยา
เสพติดของประเทศเพื่อนบ้านซึ่งจะดำเนินการในประเทศพม่า สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และ
กัมพูชา  และการดำเนินการเพื่อการเฝ้าระวังปัญหายาเสพติด  ซึ่งเป็นการปฏิบัติการพลังแผ่นดินร่วมกวาด
ล้างยาเสพติด  ครั้งที่  2  (4 ตุลาคม-3 ธันวาคม 2547)  รวมทั้งผลการดำเนินงานของสำนักงาน  ป.ป.ส. 
เกี่ยวกับสรุปผลการจ่ายเงินสินบนเงินรางวัลคดียาเสพติด  ปีงบประมาณ  พ.ศ. 2547  ซึ่งได้มีการขออนุมัติ
เบิกจ่ายเงินสินบนเงินรางวัล ฯ  ไปแล้วจำนวน 115,362,380 บาท รวม  3,019  คดี  และโครงการประชุม
เชิงปฏิบัติการระดมความร่วมมือภาคธุรกิจเอกชนให้เข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินงานด้านการป้องกันและ
แก้ไขปัญหายาเสพติด ซึ่งจะจัดขึ้นให้วันที่  29  กันยายน  2547 มีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมกันวางแนวทางการ
ประสานความร่วมมือเพื่อให้เกิดกิจกรรมป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดระหว่างภาครัฐและภาคธุรกิจเอก
ชน โดยมีหน่วยงาน/องค์กรเข้าร่วมการประชุม ฯ จำนวนประมาณ 160 คน

           คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอร่างเอกสารความตกลงประเทศเจ้า
ภาพระหว่างสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (Office of the  United  Nations
High  Commissioner  for  Human  Rights - OHCHR) กับรัฐบาลไทยเพื่อการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ
ผู้เชี่ยวชาญด้านแผนปฏิบัติการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติและสิทธิมนุษยชนศึกษาในภูมิภาคเอเชียและแป
ซิฟิก (Inter-Sessional Workshop on National Human Rights  Plan  of  Action  and  Human  Right
 Education in the Asia-Pacific Region) ระหว่างวันที่ 20-22 ตุลาคม 2547 ณ กรุงเทพมหานคร ซึ่ง
มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดทำยุทธศาสตร์ที่มีประสิทธิภาพ  ครอบคลุมประเด็นต่าง  ด้านสิทธิมนุษยชนและ
มีความยั่งยืนในการปรับปรุงการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน  รวมทั้งการจัดทำกลไกในการกำกับดูแล และ
ติดตามผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการ โดยให้คณะทูตถาวรแห่งประเทศ ณ นครเจนีวา ลงนาม
ในเอกสารความตกลงดังกล่าว

            คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมรายงานสรุปปริมาณคดีที่เข้าสู่กระบวนการตาม
พระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. 2545 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2546 ถึงวันที่ 31 สิงหาคม
2547 โดยสรุปดังนี้ ปริมาณคดีที่เข้าสู่กระบวนการตามพระราชบัญญัติ ฯ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 ตั้งแต่
วันที่ 3 มีนาคม 2546-30 กันยายน 2546 มีผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ 7,759 ราย  เป็นเพศชาย 6,605 ราย
เพศหญิง 1,154 ราย ฐานความผิดเสพยาเสพติด  6,132  ราย  เสพและครอบครองยาเสพติด  1,414  ราย
และจำนวนผู้ได้รับการฟื้นฟูสมรรภาพ 6,618 ราย ส่วนปริมาณคดีที่เข้าสู่กระบวนการตามพระราชบัญญัติ ฯ
ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2546-31 สิงหาคม 2547  มีการผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์
17,081 ราย เป็นเพศชาย 14,395 ราย เพศหญิง  2,686  ราย  ฐานความผิดเสพยาเสพติด  14,884  ราย
เสพและครอบครองยาเสพติด 1,998 ราย และจำนวนผู้ได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพ 16,228 ราย

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนขยายระยะเวลาการก่อหนี้
ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ค่าครุภัณฑ์ รายการระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารและการจัดการ ของกรม
พินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน  1  ระบบ  จากเดิมปีงบประมาณ พ.ศ. 2547-พ.ศ. 2548 เป็นปีงบ
ประมาณ พ.ศ. 2547-พ.ศ. 2549ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ

             คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงาน ปปง. เสนอร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือ
ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลธุรกรรมทางการเงินเพื่อการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ระหว่างสำนัก
งาน ปปง. และ The General Inspector of Financial Information ประเทศโปแลนด์

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
(สำนักงาน ปปง.) เสนอการจ้างลูกจ้างชั่วคราว  จำนวน  25  อัตรา  สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. 2548
ต่อเนื่องไปอีก 1 ปี ทั้งนี้ เมื่อสำนักงาน ปปง. ดำเนินการจัดทำกรอบอัตรากำลังพนักงานราชการเสร็จ
เรียบร้อยแล้ว  ให้ยกเลิกการจ้างลูกจ้างชั่วคราวของสำนักงาน ปปง.  จำนวน  25  อัตราดังกล่าว  ตาม
ความเห็นของสำนักงาน ก.พ.

                คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอยกเว้นให้โครงการก่อสร้างเรือน
จำและทัณฑสถานใหม่ 5 แห่ง  ของกรมราชทัณฑ์ได้รับการผ่อนผันไม่ต้องปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี
(16 กรกฎาคม 2547)ที่ให้เร่งรัดการก่อหนี้ผูกพันภายในไตรมาสที่ 3 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2547
และให้ดำเนินการโครงการดังกล่าวต่อไปได้ ทั้งนี้ ให้กระทรวงยุติธรรมถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี
เมื่อวันที่  31  สิงหาคม  2547  เรื่อง  แนวทางการผ่อนผันสำหรับรายการที่ไม่สามารถก่อหนี้ผูกพัน
ได้ทันภายในเดือนสิงหาคม 2547 ของกระทรวงการคลัง

            คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 8 (คกก.8) 
(ฝ่ายกฎหมาย) ที่มีมติอนุมัติหลักการตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  (ฉบับที่ ..)  พ.ศ. ....  มีสาระสำคัญคือ   กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวง
ยุติธรรมเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ดำเนินการในส่วนว่าด้วยการขอพระราชทานอภัยโทษ       แทนรัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงมหาดไทย  และร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  (ฉบับที่ ..)   
พ.ศ.  ....   มีสาระสำคัญคือกำหนดวิธีการหรือสถานที่ในการขังหรือจำคุกให้เหมาะสมกับสภาพปัจจุบัน   และ
ปรับปรุงการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังที่เป็นหญิงมีครรภ์ เพื่อขยายการทุเลาการบังคับโทษ      และให้ส่งสำนักงาน
คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาโดยให้รับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง  และประเด็นอภิปรายของ 
คกก.8 ที่เห็นว่า  ร่างพระราชบัญญัติ  ฯ ซึ่งกำหนดเกี่ยวกับการขอพระราชทานอภัยโทษ  เป็นการแก้ไขเพื่อให้
สอดคล้องกับการปฏิรูประบบราชการ  ซึ่งได้โอนกรมราชทัณฑ์กระทรวงมหาดไทยไปสังกัดกระทรวงยุติธรรม 
ซึ่งในกรณีนี้คณะกรรมการกฤษฎีกาได้วินิจฉัยว่า   อำนาจหน้าที่ในการดำเนินการขอพระราชทานอภัยโทษ      
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาดังกล่าว ไม่โอนไปเป็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ตาม
พระราชกฤษฎีกาโอนกิจการบริหารและอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติปรับปรุง
กระทรวง  ทบวง   กรม   พ.ศ.  2545    พ.ศ.  2545    และปัจจุบันการขอพระราชทานอภัยโทษ    จึงต้องให้
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินการจึงมีความจำเป็นต้องแก้ไขกฎหมาย
ดังกล่าว    และเห็นว่า  ในอนาคตอาจมีการเปลี่ยนแปลง เช่นกรณีดังกล่าวอีก ดังนั้น เพื่อมิให้เกิดปัญหาในทาง
ปฏิบัติควรบัญญัติกฎหมายไว้ในลักษณะกลาง ๆ  โดยให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ดังกล่าว เนื่องจาก
นายกรัฐมนตรีสามารถมอบอำนาจการปฏิบัติในเรื่องดังกล่าวให้รัฐมนตรีอื่นได้ไปประกอบการพิจารณาด้วย     
แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา  ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป

            คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมรายงานสรุปปริมาณคดีที่เข้าสู่กระบวนการ
ตามพระราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. 2545  ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2546 ถึงวันที่ 31
กรกฎาคม 2547  ดังนี้  การตรวจพิสูจน์ มีผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ จำนวน  15,003  ราย  เป็นเพศชาย
จำนวน 12,577 ราย เพศหญิง จำนวน 2,426 ราย มีอายุมากกว่า 25 ปี  จำนวน 7,036 ราย  และอายุ
18-25 ปี จำนวน 6,458 ราย  สถานภาพการควบคุมตัว  ผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ถูกควบคุมตัว จำนวน
7,891 ราย ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว จำนวน 7,112 ราย ประเภทยาเสพติดให้โทษ แยกเป็น เมทแอม
เฟตามีน จำนวน 10,991 ราย กัญชา จำนวน  1,669  ราย  ฐานความผิด ส่วนใหญ่กระทำความผิดฐาน
เสพยาเสพติดให้โทษ  จำนวน  13,020  ราย   รองลงมาคือ  ความผิดฐานเสพและครอบครองยาเสพติด
จำนวน  1,795  ราย   การฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด   คณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยา
เสพติด ได้มีคำวินิจฉัยผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ โดยให้เข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพแบบควบคุมตัว จำนวน
7,327 ราย  และให้เข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพแบบไม่ควบคุมตัว จำนวน  6,259  ราย  ส่งตัวคืนตำรวจ
และอัยการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมปกติ 750 ราย

            คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดราย
งานผลการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ประจำเดือนสิงหาคม 2547  ข้อมูล  ณ  วันที่ 17
สิงหาคม 2547 ประกอบด้วย การประชุมศูนย์อำนวยการต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติดแห่งชาติ (ศตส.) เพื่อ
รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานของ ศตส.  ในด้านการป้องกันกลุ่มผู้มีโอกาสเข้าไปเกี่ยวข้องกับยา
เสพติด  การดำเนินงานด้านควบคุมตัวยา  การดำเนินงานด้านการดูแลผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติด   รวมทั้งผล
การดำเนินงานแก้ไขปัญหายาเสพติดตาม Roadmap ระยะที่ 3  ของ ศตส.กทม.  ระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม
2546-13 สิงหาคม 2547  และสถานการณ์ยาเสพติดประเทศไทยเดือนกรกฎาคม 2547   และเห็นชอบ
ในเรื่องต่าง ๆ อาทิเช่น  เห็นชอบ Roadmap การต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด ระยะที่ 4 ปี พ.ศ. 2548  และ
การดำเนินการปราบปรามการลักลอบค้ายาเสพติดและการก่ออาชญากรรมของชาวต่างชาติในไทย เป็น
ต้น สำหรับการดำเนินงานด้านอื่น ๆ ได้แก่ การปรับปรุงกฎหมายและระเบียบซึ่งไม่สอดคล้องหรือเหมาะ
สมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอันเป็นอุปสรรคต่อการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด การพิจารณา
จ่ายเงินสินบนเงินรางวัลคดียาเสพติด  ปีงบประมาณ พ.ศ. 2547   และการจัดกิจกรรมด้านการป้องกันที่
สำคัญ ได้แก่  โครงการทำความดีเพื่อแผ่นดิน  และโครงการอบรมกระบวนการแก้ไขปัญหายาเสพติดตาม
แนวชายแดนอย่างยั่งยืน ระหว่างไทย-สปป.ลาว

           คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอการผ่อนผันให้กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและ
เยาวชนดำเนินการจัดซื้อคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์  สำหรับโครงการจัดหาระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร
และจัดการได้ภายในไตรมาสที่ 4 (กันยายน 2547) เป็นกรณีพิเศษ

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเสนแต่งตั้ง พลตำรวจโท  กฤษณะ
ผลอนันต์ ให้ดำรงตำแหน่ง เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สำนักงานคณะกรรม
การป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กระทรวงยุติธรรม ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2547 เป็นต้นไป

              คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการขอต่อเวลาการดำรงตำแหน่งของ นายสมชาย 
วงศ์สวัสดิ์ ปลัดกระทรวง (นักบริหาร 11) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงยุติธรรม 
ต่อไปอีก 1 ปี (เป็นการต่อเวลาครั้งที่  2) ตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน 2547-10 พฤศจิกายน
2548 ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเสนอ

              คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 ที่มีมติ
อนุมัติหลักการตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาว
ชนขึ้นในจังหวัดกำแพงเพชร จังหวัดชัยภูมิ จังหวัดเชียงราย  จังหวัดตราด  จังหวัดแพร่  จังหวัดลพบุรี  จังหวัด
สระแก้ว และจังหวัดหนองบัวลำภู พ.ศ. ....  โดยมีสาระสำคัญคือ  กำหนดให้จัดตั้งสถานพินิจและคุ้มครองเด็ก
และเยาวชนขึ้นในจังหวัดกำแพงเพชร จังหวัดชัยภูมิ จังหวัดเชียงราย จังหวัดตราด  จังหวัดแพร่  จังหวัดลพบุรี
จังหวัดสระแก้ว  และจังหวัดหนองบัวลำภู  โดยกำหนดให้เปิดทำการในวันที่  1  กันยายน  2547  และให้ส่ง
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน  แล้วให้ดำเนินการต่อไปได้  และอนุมัติกรอบ
อัตรากำลังข้าราชการของสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ใน  8  จังหวัด  จำนวน  116  อัตรา  โดย
ให้ดำเนินการเกลี่ยอัตรากำลังภายในกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนก่อนตามความเห็นของสำนักงาน
ก.พ. และคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.)

            คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมรายงานความก้าวหน้าของโครงการหรือเรื่อง
เร่งด่วนของรัฐบาล ด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ปีงบประมาณ พ.ศ. 2547  ระยะเวลาตั้งแต่
เดือนเมษายน - มิถุนายน 2547  โดยมีผลการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด  จำแนกตาม
ยุทธศาสตร์ดังต่อไปนี้  (1) ยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาตัวยา/ผู้ค้ายาเสพติด  (Supply)  ประกอบด้วย 7
ยุทธศาสตร์ย่อย คือ  ยุทธศาสตร์การทำลายโครงสร้างเครือข่ายการผลิตการค้ารายใหญ่และผู้มีอิทธิพล
ยุทธศาสตร์การควบคุมการแพร่ระบาดของยาเสพติดในพื้นที่  ยุทธศาสตร์การสกัดกั้นยาเสพติดตามแนว
ชายแดน ยุทธศาสตร์การปราบปรามเจ้าหน้าที่รัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ยุทธศาสตร์การเฝ้าระวัง
ยาเสพติดชนิดใหม่ ยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบการข่าว และเทคโนโลยีการปราบปราม และยุทธศาสตร์
การสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างประเทศ  (2)  ยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาผู้เสพ/ผู้ติดยา
เสพติด (Demand) ประกอบด้วย 4 ยุทธศาสตร์ย่อย  คือ  ยุทธศาสตร์การสำรวจค้นหา ชักจูงให้ผู้เสพ/ผู้
ติดยาเสพติดเข้ารับการบำบัดรักษาฟื้นฟูและพัฒนา  ยุทธศาสตร์การบำบัดรักษาฟื้นฟูและพัฒนาผู้เสพ/
ผู้ติดยาเสพติด ยุทธศาสตร์การติดตามดูแลช่วยเหลือผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติด และยุทธศาสตร์การปรับทัศน
คติ  เตรียมความพร้อมของชุมชน  อาสาสมัคร  เพื่อดูแลช่วยเหลือให้ผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติดกลับคืนสู่ชุมชน
(3) ยุทธศาสตร์การป้องกันกลุ่มผู้มีโอกาสเข้าไปใช้ยาเสพติด (Potential Demand) ประกอบด้วย 4 ยุทธ
ศาสตร์ย่อย  คือ  ยุทธศาสตร์การสร้างกระแสและพลังขับเคลื่อนทางสังคม   ยุทธศาสตร์การสร้างภูมิคุ้ม
กันและเฝ้าระวังกลุ่มเป้าหมาย   ยุทธศาสตร์การสร้างครอบครัวและชุมชนเข้มแข็งอย่างยั่งยืน    และยุทธ
ศาสตร์การส่งเสริมและพัฒนาการทำงานในลักษณะเครือข่าย  และ  (4)  ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการ
เชิงบูรณาการ ประกอบด้วย 4 ยุทธศาสตร์ย่อย คือ ยุทธศาสตร์การบูรณาการนโยบาย แนวคิด แนวทาง
การดำเนินงาน ยุทธศาสตร์การบูรณาการองค์กรการดำเนินงานในทุกระดับ ยุทธศาสตร์การบูรณาการ
เป้าหมาย/แผนงาน/งบประมาณ การดำเนินงาน และยุทธศาสตร์การบูรณาการระบบอำนวยการ กำกับ
ติดตาม รายงานผลการดำเนินงาน

            คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมรายงานสรุปปริมาณคดีที่เข้าสู่กระบวนการตามพระ
ราชบัญญัติฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. 2545  ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2546 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2547
ดังนี้ การตรวจพิสูจน์ มีผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ จำนวน 13,433 ราย  เป็นเพศชาย จำนวน  11,235  ราย  เพศ
หญิง จำนวน 2,198 ราย มีอายุมากกว่า 25 ปี จำนวน  6,257  ราย  และอายุ 18-25 ปี  จำนวน  5,814  ราย
สถานภาพการควบคุมตัว ผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ต้องขังระหว่างการตรวจพิสูจน์ จำนวน  7,112  ราย ได้รับการ
ปล่อยตัวชั่วคราว จำนวน 6,321 ราย ประเภทยาเสพติดให้โทษ  แยกเป็น  เมทแอมเฟตามีน จำนวน 9,828 ราย
กัญชา จำนวน  1,557  ราย  ฐานความผิด  ส่วนใหญ่กระทำความผิดฐานเสพยาเสพติดให้โทษ  จำนวน 11,618
ราย รองลงมาคือความผิดฐานเสพและครอบครองยาเสพติด จำนวน  1,655  ราย  การฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยา
เสพติด   คณะอนุกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด  ได้มีคำวินิจฉัยผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์  โดยให้เข้ารับ
การฟื้นฟูสมรรถภาพแบบควบคุมตัว  จำนวน  6,249 ราย   และให้เข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพแบบไม่ควบคุมตัว
จำนวน 5,205 ราย

            คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงาน ป.ป.ส. เสนอว่า สำนักงาน ป.ป.ส. ในฐานะเลขานุการ
ศูนย์อำนวยการต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติดแห่งชาติ (ศตส.)  และเลขานุการร่วม ศตส.  ได้ดำเนินการประชา
สัมพันธ์เผยแพร่ผลการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ความยากจน  และผู้มีอิทธิพล  ผ่านสื่อ
มวลชน  โดยได้กำหนดจัดทำภาพยนตร์โฆษณาสั้น เพื่อเผยแพร่ทางสื่อโทรทัศน์และสื่ออื่น ๆ  แบ่งเป็นด้าน
ยาเสพติด จำนวน 10 เรื่อง  ด้านความยากจนและผู้มีอิทธิพล ด้านละ  4  เรื่อง โดยเน้นการผลิตภาพยนตร์
โฆษณาสั้นให้มีความเชื่อถือ สามารถสร้างกระแสความสนใจจากประชาชน และสื่อมวลชนได้เป็นอย่างดี

             คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมรายงานสรุปผลการดำเนินการโครงการนำ
วัฒนธรรมและอัตลักษณ์มาเป็นกระบวนการในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพและการไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาท 
และรายการประจำปี 2546 กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ  สรุปดังนี้ การดำเนินโครงการ ฯ ดังกล่าว ได้
นำศิลปินแห่งชาติ ศิลปินดีเด่น หรือศิลปินที่ได้รับความนิยม ทั้ง 4 ภาค  จำนวน  25  คณะ  เข้าร่วมโครง
การเพื่อถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับกฎหมายและสิทธิเสรีภาพ   เป็นการศึกษาควบคู่ไปกับการทดลองนำไป
ใช้  และจัดเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็น  เพื่อเป็นฐานข้อมูลสำหรับพัฒนาการถ่ายทอดความรู้ด้วยวิธีการ
ดังกล่าวให้เกิดความยั่งยืน   จากการดำเนินการและการศึกษาโครงการดังกล่าวเมื่อปี พ.ศ. 2546  พบว่า
การนำทุนทางวัฒนธรรม  (Cultural   Capital)  ประเภทศิลปะการแสดงพื้นบ้านมาบูรณาการร่วมกับวิถี
ทางหนึ่งในหลาย  ๆ  วิธี  หากทำร่วมกับกระบวนการอื่น  ๆ  อย่างเป็นระบบและมียุทธศาสตร์/กลยุทธ์
ย่อมจะเกิดประโยชน์ต่อสังคมอย่างสูง   และจากการประมวลความคิดเห็นของผู้เข้าร่วมโครงการ  ฯ  ทั้งที่
เป็นผู้ร่วมเสวนา และผู้เข้าชมการแสดง พบว่าโดยภาพรวม อยู่ในระดับความพอใจที่สูงเป็นกลุ่มเป้าหมาย
ที่เป็นเพศหญิง  อายุระหว่าง 46 - 55 ปี  และการใช้กระบวนการนี้เหมาะสมกับกลุ่มประชากรที่มีความรู้
ระดับประถมศึกษา ถึงมัธยมศึกษา  รายได้ต่ำกว่า  5,000  บาทต่อเดือน  และผู้ชมการแสดงที่เป็นผู้แทน
ชุมชน/พื้นที่มีความคิดเห็นต่อการแสดงของศิลปินพื้นบ้านในระดับสูงสุด ทั้งนี้จากการดำเนินโครงการ ฯ
ดังกล่าวทำให้เกิด  "เครือข่ายวัฒนธรรมเพื่อสิทธิเสรีภาพ"  ใน  75  จังหวัดทั่วประเทศ   ซึ่งประกอบด้วย
บุคลากรจากหลากหลายอาชีพ โดยเห็นว่ากระบวนการนำวัฒนธรรมมาเผยแพร่ความรู้เป็นสิ่งที่น่าสนใจ
และจะช่วยให้ชาวบ้านรับรู้และเข้าใจได้ง่ายที่สุด   และในปี พ.ศ. 2547  กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพได้
รับงบประมาณเพื่อสร้างเครือข่ายวัฒนธรรมเพื่อสิทธิเสรีภาพให้มีความเข้มแข็งโดยร่วมกับกระทรวงวัฒน
ธรรมอบรมให้ความรู้แก่สมาชิกเครือข่ายวัฒนธรรมเพื่อสิทธิเสรีภาพ  และขยายสู่ประชาชน เพื่อส่งเสริม
และคุ้มครองสิทธิเสรีภาพแก่ประชาชน ให้เป็น "วิถีชีวิตแห่งสิทธิเสรีภาพ เพื่อสังคมที่เป็นธรรม"

              คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมรายงานผลการดำเนินการเพื่อหันเหคดีออก
จากกระบวนการยุติธรรม ซึ่งสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนทั่วประเทศได้ดำเนินการหันเหคดีออก
จากกระบวนการยุติธรรมโดยใช้มาตรการการประชุมกลุ่มครอบครัวและชุมชนตามมาตรา 63  แห่งพระราช
บัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง และวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว  พ.ศ. 2534  พร้อม
ทั้งได้วางหลักเกณฑ์   กำหนดรูปแบบ   และวิธีดำเนินการในระยะแรกให้ดำเนินการเฉพาะคดีที่มีอัตราโทษ
อย่างสูงให้จำคุกไม่เกินสามปีหรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท  โดยให้ผู้เสียหาย ครอบครัวผู้ต้องหา และผู้แทน
ชุมชนเป็นผู้กำหนดมาตรการแก้ไขเด็กหรือเยาวชนแทนการฟ้องคดีต่อศาล    ซึ่งผลการดำเนินงานในระยะ
แรกประสบผลสำเร็จ มีเด็กและเยาวชนจำนวนไม่น้อยซึ่งไม่สมควรถูกฟ้องคดีไม่ต้องถูกฟ้องคดี และยังทำให้
ฝ่ายผู้เสียหายได้รับการบรรเทาความเสียหาย  ทั้งนี้  กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจึงได้ขยายหลัก
เกณฑ์การดำเนินการ  เพื่อจัดการประชุมกลุ่มครอบครัวและชุมชนในความผิดอัตราโทษเต็มตามที่กฎหมาย
กำหนด  คือ  อัตราโทษจำคุกไม่เกินห้าปี   และจากผลการดำเนินการมาครบ  1  ปี   ได้หันเหคดีออกจาก
กระบวนการยุติธรรมโดยพนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องเป็นจำนวนทั้งสิ้น 1,160 คดี

             คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอให้กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน
เปลี่ยนแปลงรายการค่าก่อสร้างสถานแรกรับเด็กและเยาวชนจังหวัดราชบุรี พร้อมครุภัณฑ์  บ้านพักและ
สิ่งก่อสร้างประกอบ เป็นค่าก่อสร้างสถานแรกรับเด็กและเยาวชนจังหวัดนครสวรรค์ พร้อมครุภัณฑ์ บ้าน
พักและสิ่งก่อสร้างประกอบ 1 แห่ง ในวงเงิน 127,500,000 บาท  สำหรับรายการค่าก่อสร้างให้ดำเนิน
การตามความเห็นของสำนักงบประมาณต่อไป