ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 19 จากทั้งหมด 108 หน้า แสดงรายการที่ 361 - 380 จากข้อมูลทั้งหมด 2153 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
361 | แนวทางการจัดการสิ่งแวดล้อมชุมชน เพื่อส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2563 - 2580 | ทส. | 12/01/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางการจัดการสิ่งแวดล้อม
เพื่อส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๘๐
เพื่อหน่วยงานและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องใช้เป็นกรอบแนวทางในการปฏิบัติด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมชุมชน
โดยมีสาระสำคัญครอบคลุมเกี่ยวกับ (๑) วิสัยทัศน์ คือ
“สิ่งแวดล้อมชุมชนแห่งอนาคตที่ยั่งยืน” (๒) เป้าประสงค์ เช่น
สิ่งแวดล้อมชุมชนของไทยมีสภาพแวดล้อมที่ดี มีความสมดุลของระบบนิเวศทางธรรมชาติ
และสิ่งแวดล้อมชุมชนพัฒนาบนพื้นฐานที่สอดคล้องกับภูมินิเวศและบริหารจัดการภายใต้ข้อมูล
องค์ความรู้ นวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัย และ (๓) ยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย ๕
ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ ๑
อนุรักษ์และฟื้นฟูฐานทรัพยากรธรรมชาติตามแนวศาสตร์พระราชา ยุทธศาสตร์ที่ ๒
บริหารจัดการการใช้ประโยชน์ที่ดินและการพัฒนาเมืองและชุมชนอย่างยั่งยืน
ยุทธศาสตร์ที่ ๓
ส่งเสริมการจัดการสิ่งแวดล้อมชุมชนที่ดีบนฐานเศรษฐกิจหมุนเวียนและการเติบโตสีเขียว
ยุทธศาสตร์ที่ ๔ พัฒนาระบบ กลไกเครื่องมือ
และมาตรการในการกำกับดูแลสิ่งแวดล้อมชุมชน อย่างมีธรรมาภิบาล และมีประสิทธิภาพ และยุทธศาสตร์ที่
๕ พัฒนาศักยภาพ องค์ความรู้ นวัตกรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่นและวัฒนธรรมเชิงนิเวศ
เพื่อสร้างชุมชนแห่งอนาคต ทั้งนี้ ได้มีการกำหนดแผนที่นำทาง (Roadmap) การดำเนินงาน โดยมีมาตรการแบ่งเป็นระยะสั้น (พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๕)
ระยะปานกลาง (พ.ศ. ๒๕๖๖-๒๕๗๐) และระยะยาว (พ.ศ. ๒๕๗๑-๒๕๘๐) มีการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจ
และจัดสรรงบประมาณสำหรับจัดการสิ่งแวดล้อมชุมชนในแต่ละระดับ รวมทั้งมีการติดตาม
ตรวจสอบ ประเมินผลการดำเนินงานและการจัดทำรายงานเรื่องดังกล่าวด้วย
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
362 | ผลการดำเนินงานของขวัญปีใหม่สำหรับประชาชน ประจำปี พ.ศ. 2564 ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม | ทส. | 12/01/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอผลการดำเนินงานของขวัญปีใหม่สำหรับประชาชน
ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ของกระทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สรุปได้ ดังนี้ ๑.
ของขวัญช่วงเทศกาลปีใหม่ เพื่อสร้างสุขของคนไทย ได้แก่ (๑)
การจัดสถานที่เพื่ออำนวยความสะดวก และบริการประชาชน มีผู้มาใช้บริการรวมทั้งสิ้นกว่า
๑๔๐,๑๓๙ คน (๒) ให้บริการน้ำบาดาลแก่ประชาชนในจุดบริการน้ำบาดาล มีผู้ใช้บริการ ๑๐,๖๓๕
คน ปริมาณน้ำที่แจกจ่าย ๑,๐๖๒,๑๙๐ ลิตร (๓) ศูนย์บริการอากาศยานรองรับสถานการณ์ฉุกเฉิน
โดยศูนย์ปฏิบัติการบินภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ อุทยานแห่งชาติภูกระดึง จังหวัดเลย ปฏิบัติภารกิจ
๑๔ เที่ยวบิน รวม ๔.๓๕ ชั่วโมง ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ ๙ คน (๔) การบำรุงรักษารถยนต์
ลดฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับบริษัทรถยนต์และศูนย์บริการน้ำมัน
ตรวจสภาพรถยนต์ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ ๗ ปีขึ้นไป ๕,๒๓๕ คัน บริษัท บางจาก และ ปตท.
ลดราคาน้ำมันเครื่อง ร้อยละ ๒๐-๓๐ ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ๔.๔ ล้านลิตร บริษัทรถยนต์ลดราคาค่าอะไหล่
เช่น ไส้กรองอากาศ ไส้กรองน้ำมัน ร้อยละ ๒๐-๕๐ มีรถยนต์มาใช้บริการ ๔,๗๒๔ คัน (๕)
แจกกล้าไม้ “พฤกษามหามงคล” ๑๐ ล้านกล้า ๑๐ พรรณไม้ มีประชาชนมารับและสั่งจองกล้าไม้มงคล
๑๒,๓๐๓ ราย จำนวน ๑,๐๒๓,๘๓๖ กล้า (๖) การเปิดให้ท่องเที่ยวฟรี เพื่อเข้าชมและศึกษาความรู้ในแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ
มีผู้ใช้บริการ ๘๘,๗๖๐ คน (๗) การจัดกิจกรรมป่าในเมือง “สวนป่าประชารัฐ
เพื่อความสุข ของคนไทย” มีผู้ใช้บริการ ๒๘,๓๙๙ คน (๘) การลดราคาผลิตภัณฑ์ไม้ และลดราคาค่าบริการที่พักขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้
มีผู้เข้าชมและซื้อสินค้า ๑๕๐ คน มูลค่าสินค้าที่ขายได้มากกว่า ๑.๑ ล้านบาท และลดราคาค่าที่พัก
๒๙๗ ราย รายได้มากกว่า ๑.๒ ล้านบาท และ (๙) การบริการตรวจสอบอัญมณี
และธรณีวัตถุเบื้องต้น ตลอดเดือนมกราคม ๒๕๖๔ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ๒. ของขวัญสำหรับปี
พ.ศ. ๒๕๖๔ ตลอดปี ๒๕๖๔ ได้แก่ (๑) การจัดที่ดินทำกิน
และอยู่อาศัยในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ และป่าชายเลน ออกหนังสืออนุญาตจัดที่ดินให้ชุมชนในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ
รวม ๓ พื้นที่ เนื้อที่ ๒๐,๕๙๓ ไร่ ๒ ตารางวา ๙๐ งาน (๒)
การจัดหาและพัฒนาแหล่งน้ำผิวดิน และขุดเจาะน้ำบาดาล มีเป้าหมายการจัดหา/พัฒนาแหล่งน้ำ
๖๕ แห่ง และจัดสร้างระบบกระจายน้ำ ๑๑๗ แห่ง และ (๓) การแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ
จัดตั้งศูนย์แก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ และติดตั้งสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศ (PM2.5 PM10) ๔ สถานี
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
363 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้บริเวณเกาะโลซิน ตำบลน้ำบ่อ อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี เป็นพื้นที่คุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. .... | ทส. | 12/01/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้บริเวณเกาะโลซิน ตำบลน้ำบ่อ อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี
เป็นพื้นที่คุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้บริเวณเกาะโลซิน
ตำบลน้ำบ่อ อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี เป็นพื้นที่คุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
เพื่อสงวนไว้ซึ่งสภาพธรรมชาติเดิมให้เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยและขยายพันธุ์ของปะการังและสัตว์ทะเลหายากในฝั่งอ่าวไทย
และส่งเสริมให้มีการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงพลังงาน และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรมีการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้เสียโดยเฉพาะชาวประมงที่ทำการประมงในบริเวณดังกล่าวก่อนดำเนินการ
และควรดำเนินการจัดทำสัญลักษณ์แสดงแนวเขตพื้นที่คุ้มครองดังกล่าวให้ชัดเจนและมีการประชาสัมพันธ์ให้ชาวประมงทราบอย่างทั่วถึง
รวมทั้งควรกำหนดแนวทางและขั้นตอนการกำกับดูแลให้เกิดการปฏิบัติตามมาตรการ ระเบียบ
กฎเกณฑ์ที่ภาครัฐประกาศอย่างชัดเจน มีการบังคับใช้อย่างจริงจัง และสร้างความเข้าใจกับประชาชนและผู้ประกอบการในพื้นที่ทั้งผู้ประกอบการเดินเรือท่องเที่ยวและประมงชายฝั่งถึงเจตนาและความจำเป็นของร่างกฎกระทรวงฯ
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
364 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดพื้นที่ให้เป็นเขตป่าอนุรักษ์ พ.ศ. .... | ทส. | 12/01/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีข้อสังเกตว่า หากคณะรัฐมนตรีมีมติให้เขตพื้นที่ที่จะกำหนดในร่างกฎกระทรวงกำหนดพื้นที่ให้เป็นเขตป่าอนุรักษ์
พ.ศ. .... ครอบคลุมถึงเขตพื้นที่ที่มีความอ่อนไหวหรือเป็นพื้นที่เปราะบางของระบบนิเวศด้วย
ก็จะทำให้การอนุรักษ์สอดคล้องกับหลักการอนุรักษ์อย่างยั่งยืนและเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนแห่งสหัสวรรษ
อาทิ พื้นที่คุณภาพลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ
ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ต้องสงวนรักษาไว้เป็นพื้นที่ต้นน้ำลำธารโดยแท้จริง
หากสูญเสียสภาพป่าจะส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมอย่างรุนแรง ๒.
อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดพื้นที่ให้เป็นเขตป่าอนุรักษ์ พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้พื้นที่ที่มีคุณค่าทางธรรมชาติ
หรือคุณค่าอื่นอันควรแก่การอนุรักษ์หรือรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม เป็นเขตป่าอนุรักษ์
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้แก้ไขเพิ่มเติมตามประเด็นข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
แล้วดำเนินการต่อไปได้
๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นว่า
ตามพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. ๒๕๖๒ ได้กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ
ในการจัดตั้งป่าชุมชน เป็น ๒ กรณี คือ กรณีที่เป็นป่าชุมชนอยู่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีนี้ใช้บังคับ
ซึ่งตามมาตรา ๙๙ และมาตรา ๑๐๐ ได้รับรองสถานะให้ยังเป็นป่าชุมชนอยู่
แต่ยังมีกระบวนการในการตรวจสอบยืนยันเพื่อนำพื้นที่ไปจัดทำแผนในการบริหารจัดการป่าชุมชน
ซึ่งในขั้นตอนการตรวจสอบขอให้แจ้งให้กรมธนารักษ์เข้าร่วมตรวจสอบด้วย
หากเป็นป่าชุมชนที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ราชพัสดุจะได้ร่วมกันบริหารจัดการพื้นที่ร่วมกันต่อไป
ส่วนกรณีการจัดตั้งป่าชุมชนในพื้นที่อื่นของรัฐ ตามมาตรา ๘
ซึ่งต้องตราเป็นพระราชกฤษฎีกา
และมีกระบวนการตรวจสอบในขั้นตอนการเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาอยู่แล้ว ดังนั้น
ในการดำเนินการจัดตั้งป่าชุมชนทั้ง ๒ กรณี
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจึงควรจะได้ประสานกับกรมธนารักษ์
เพื่อร่วมกันตรวจสอบความเหมาะสมในการจัดตั้ง
เพื่อให้การบริหารจัดการที่ดินของรัฐเกิดประโยชน์ในภาพรวม
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
365 | ร่างเอกสารที่จะเสนอให้มีการรับรองโดยรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อม | ทส. | 29/12/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างกรอบแผนงานอาเซียน-จีน
ด้านยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๘ (Framework
of ASEAN-China Environmental Cooperation Strategy and
Action Plan 2021-2025) และร่างเอกสารแนวคิดอาเซียน-จีน
ว่าด้วยปีแห่งความร่วมมือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน (Concept Paper on 2021 as
ASEAN-China Year of Sustainable Development Cooperation) เป็นเอกสารซี่งที่ประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อม
ครั้งที่ ๓๑ ให้การรับรองแล้วผ่านระบบการประชุมทางไกล เมื่อวันที่ ๒๔-๒๕ พฤศจิกายน
๒๕๖๓ และจะเสนอให้มีการรับรองโดยรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อม
โดยวิธีการแจ้งเวียน (ad referendum) ภายในเดือนธันวาคม ๒๕๖๓
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมให้การรับรองเอกสาร
๒ ฉบับดังกล่าว โดยร่างกรอบแผนงานฯ
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดกรอบการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมผ่านกิจกรรมการขับเคลื่อนศักยภาพในการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม
ส่วนร่างเอกสารแนวคิดฯ มีสาระสำคัญเป็นการสร้างความร่วมมือด้านสาธารณสุข
ขจัดความยากจน ลดภัยพิบัติ การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการใช้พลังงานสะอาด
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเอกสาร ๒ ฉบับดังกล่าว
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒.
สำหรับภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น
เห็นควรให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ หรือโอนเงินจัดสรร หรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร
แล้วแต่กรณี ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ในโอกาสแรก
หรือจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
366 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (1. นายเธียรชัย ณ นคร) | ทส. | 29/12/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ จำนวน ๘ คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสามปี
ทั้งนี้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๙ ธันวาคม ๒๕๖๓) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
ดังนี้ ๑. นายเธียรชัย ณ นคร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านกฎหมายสิ่งแวดล้อม ๒. นายจักรกฤษณ์ ศิวะเดชาเทพ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ภาคเอกชน) ด้านสาธารณสุขและสุขภาพ ๓. นายสุนันต์
อรุณนพรัตน์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านทรัพยากรป่าไม้และนิเวศวิทยา ๔. นางสาวลดาวัลย์
คำภา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ภาคเอกชน) ด้านเศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อม ๕. นายยงธนิศร์
พิมลเสถียร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ภาคเอกชน) ด้านอนุรักษ์ศิลปกรรม/ภูมิสถาปัตย์ และสิ่งแวดล้อมเมือง ๖. นายสันติ
บุญประดับ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ด้านบริหารจัดการทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๗. นางประกายรัตน์
สุขุมาลชาติ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ด้านสังคมและการมีส่วนร่วม ๘. นายธเรศ ศรีสถิตย์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ภาคเอกชน) ด้านมลพิษสิ่งแวดล้อม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
367 | ของขวัญปีใหม่สำหรับประชาชน ประจำปี พ.ศ. 2564 ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม | ทส. | 22/12/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบของขวัญปีใหม่สำหรับประชาชน
ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้แก่ (๑)
ของขวัญช่วงเทศกาลปีใหม่ สร้างสุขของคนไทย และ (๒) ของขวัญ สำหรับปี พ.ศ. ๒๕๖๔
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
368 | รายงานผลการติดตามและการประเมินผลการดำเนินโครงการต่าง ๆ ภายใต้กลไกเครดิตร่วม (Joint Crediting Mechanism : JCM) | ทส. | 15/12/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการติดตามและการประเมินผลการดำเนินโครงการต่าง
ๆ ภายใต้กลไกเครดิตร่วม (Joint Crediting Mechanism : JCM)
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ โดยมีผลความก้าวหน้าการดำเนินการ
ณ วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๓ (ครั้งที่ ๕) สรุปได้ ดังนี้ ๑.
การสนับสนุนจากรัฐบาลญี่ปุ่นในการพัฒนาโครงการต้นแบบ กระทรวงสิ่งแวดล้อม
ประเทศญี่ปุ่น ได้ให้ทุนสนับสนุนการพัฒนาโครงการต้นแบบ JCM
จำนวน ๓๓ โครงการ มูลค่ามากกว่า ๒ พันล้านบาท
และก่อให้เกิดการลงทุนมากกว่า ๗ พันล้านบาท โดยผู้รับทุนเป็นบริษัทเอกชนไทย จำนวน
๒๘ บริษัท โดยโครงการที่ได้รับคัดเลือกเป็นโครงการประเภทการผลิตพลังงานหมุนเวียน
จำนวน ๑๔ โครงการ และโครงการประเภทการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน จำนวน ๑๙
โครงการ ๒.
สถานภาพการดำเนินโครงการ โครงการต้นแบบ JCM ปัจจุบันโครงการต้นแบบ
JCM จำนวน ๓๓ โครงการ ได้รับการขึ้นทะเบียนแล้ว จำนวน ๘
โครงการ มีปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่คาดว่าจะลดได้เท่ากับ ๔๙,๘๕๙
ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี
และมีโครงการที่ได้รับการรับรองคาร์บอนเครดิตแล้ว จำนวน ๕ โครงการ
มีปริมาณคาร์บอนเครดิตที่ได้รับการรับรองเท่ากับ ๔,๐๓๒ ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
369 | ความตกลงทางการเงินระหว่างอาเซียนกับสหภาพยุโรป เพื่อดำเนินโครงการ Smart Green ASEAN Cities | ทส. | 23/11/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างความตกลงทางการเงินระหว่างอาเซียนกับสหภาพยุโรป เพื่อดำเนินโครงการ Smart
Green ASEAN Cities
และอนุมัติให้เลขาธิการอาเซียนหรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงฯ
รวมทั้งให้กระทรวงการต่างประเทศมีหนังสือแจ้งความเห็นชอบต่อร่างความตกลงฯ
ในนามประเทศไทย ไปยังสำนักเลขาธิการอาเซียนผ่านคณะผู้แทนถาวรไทยประจำอาเซียน ณ
กรุงจาการ์ตา โดยร่างความตกลงฯ มีสาระสำคัญเป็นการส่งเสริมความเป็นเมืองที่ยั่งยืนในอาเซียน
ลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม และเพิ่มคุณภาพชีวิตสำหรับพลเมืองอาเซียน โดยสนับสนุนให้เมืองต่าง
ๆ ในอาเซียนใช้ประโยชน์จากแนวทางเมืองอัจฉริยะ โดยมีผลผลิต ๓ ข้อ ได้แก่
การยกระดับการออกแบบ วางแผน
และดำเนินการเพื่อมุ่งสู่เมืองสีเขียวและเมืองอัจฉริยะสำหรับเมืองที่เข้าร่วมดำเนินโครงการฯ
การเสริมสร้างศักยภาพระดับประเทศเพื่อการพัฒนาเมืองสีเขียวและเมืองอัจฉริยะ
(ผ่านการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างสหภาพยุโรปและอาเซียน)
และการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนแนวปฏิบัติที่ดีด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมเมืองสีเขียวและเมืองอัจฉริยะระหว่างสหภาพยุโรปและภายในภูมิภาคอาเซียน
ซึ่งสหภาพยุโรปจะสนับสนุนงบประมาณ ๕ ล้านยูโร เพื่อดำเนินโครงการฯ เป็นเวลา ๗๒
เดือน ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
370 | ร่างแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” (พ.ศ. 2563) และแผนเฉพาะกิจเพื่อการแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง | ทส. | 23/11/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบแผนเฉพาะกิจเพื่อการแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง
ซึ่งเป็นแผนที่จะต้องเร่งรัดให้มีการดำเนินการเพื่อเตรียมการสำหรับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในปี
๒๕๖๔ (เดือนธันวาคม ๒๕๖๓-เมษายน ๒๕๖๔) รวม ๑๒ ข้อ มีรายละเอียด เช่น
การเร่งขับเคลื่อนโครงการปลูกป่าและป้องกันไฟป่า
ภายใต้ศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทาน โดนกำหนดเป้าหมาย ๑๒ จังหวัด ภายในปี ๒๕๖๓
และครบ ๗๖ จังหวัด ภายในปี ๒๕๗๐
และการเร่งรัดการเพิ่มประสิทธิภาพการถ่ายโอนภารกิจการควบคุมไฟป่าให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม
เป็นต้น ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแผนเฉพาะกิจฯ ต่อไป
โดยค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปี ๒๕๖๓
เห็นควรให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับการจัดสรร
หรือปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ หรือโอนเงินจัดสรร หรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร
หรือใช้จ่ายจากเงินนอกงบประมาณ แล้วแต่กรณี ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีต่อ ๆ
ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเท่าที่จำเป็น เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. สำหรับร่างแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ
“การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” (พ.ศ. ๒๕๖๓)
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอให้สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณากลั่นกรองนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง
แนวทางการเสนอแผนเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี)
ตามความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
๓.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงคมนาคม เช่น
ควรมีมาตรการรองรับเพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อสุขภาพอนามัยและสิ่งแวดล้อม
และควรให้ความสำคัญกับการสร้างการรับรู้ การมีส่วนร่วม และคำนึงถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจและการดำเนินชีวิตของภาคประชาชน
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
371 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2563 | ทส. | 23/11/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
ครั้งที่ ๔/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๓ รวม ๑๐ เรื่อง
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑. เรื่องเพื่อทราบ
๑ เรื่อง ได้แก่ รายงานสถานการณ์มลพิษของประเทศไทย ปี ๒๕๖๒ ๒. เรื่องเพื่อพิจารณา
๙ เรื่อง ได้แก่ (๑) โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติจากสถานีเก็บรักษาและแปรสภาพก๊าซธรรมชาติจากของเหลวเป็นก๊าซแบบลอยน้ำ
(FSRU) ไปยังโรงไฟฟ้าพระนครใต้ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย
(๒) โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ช่วงชุมทางถนนจิระ-อุบลราชธานี ของการรถไฟแห่งประเทศไทย
(๓) โครงการถนนวงแหวนรอบเมืองนครราชสีมา ตอนแยกจุดตัดทางหลวงหมายเลข
๒๐๕-แยกจุดตัดทางหลวงหมายเลข ๒๒๖ จังหวัดนครราชสีมา ของกรมทางหลวง (๔)
รายงานการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ
รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง
สายบางปะอิน-นครราชสีมา (บริเวณศูนย์บริการทางหลวง) ของกรมทางหลวง (๕)
โครงการปรับปรุงขยายท่าอากาศยานตรัง ของกรมท่าอากาศยาน (๖)
โครงการอาคารเช่าสำหรับข้าราชการผู้มีรายได้น้อย จังหวัดสกลนคร ของการเคหะแห่งชาติ
(๗) รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม สำหรับโครงการ กิจการ
หรือการดำเนินการที่อาจมีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ คุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพ
อนามัย คุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างรุนแรง โครงการก่อสร้างทางวิ่งเส้นที่ ๓ และ ๔
ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (๘) การปรับปรุงมาตรฐานระดับเสียงของรถจักรยานยนต์
และ (๙)
การปรับปรุงมาตรฐานควบคุมการระบายน้ำทิ้งจากแหล่งกำเนิดมลพิษประเภทการเลี้ยงสุกร
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
372 | รายงานการออกกฎหมายลำดับรองของพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. 2562 | ทส. | 10/11/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการตรากฎหมายลำดับรองตามพระราชบัญญัติป่าชุมชน
พ.ศ. ๒๕๖๒ จำนวน ๒๘ ฉบับ โดยดำเนินการเสร็จแล้ว จำนวน ๖ ฉบับ
และอยู่ระหว่างการดำเนินการ จำนวน ๒๒ ฉบับ เนื่องจากพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ.
๒๕๖๒ เป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับประชาชนโดยตรง ดังนั้น การออกกฎหมายลำดับรอง
จึงจำเป็นต้องอาศัยกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนและการรับฟังความคิดเห็นจากภาคประชาชนโดยรอบด้าน
ประกอบกับพระราชบัญญัติป่าชุมชนฯ เป็นกฎหมายที่ตราขึ้นใหม่
จึงจำเป็นต้องมีการสร้างความรู้ ความเข้าใจให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน
เพื่อให้การออกกฎหมายลำดับรองมีความเหมาะสมกับบริบทในการจัดทำป่าชุมชน
และเป็นไปตามเจตนารมณ์ที่กฎหมายกำหนด
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
373 | รายงานผลการดำเนินงานขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี กาญจนบุรี และนครปฐม ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ครั้งที่ 2 | ทส. | 10/11/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
เห็นชอบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน
๒๕๖๒ ที่ได้เคยมีมติเห็นชอบโครงการส่งเสริมสินเชื่อเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยอย่างครบวงจร
ปี ๒๕๖๒-๒๕๖๕
โดยกำหนดระยะเวลาการชำระคืนเงินกู้เสร็จสิ้นตามวัตถุประสงค์การกู้เงิน คือ
หากเป็นเงินกู้เพื่อพัฒนาแหล่งน้ำและการบริหารจัดการน้ำในไร่อ้อย และปรับพื้นที่ปลูกอ้อย
กำหนดชำระคืนเงินกู้เสร็จสิ้นไม่เกิน ๔ ปี
และหากเป็นเงินกู้เพื่อซื้อเครื่องจักรกลการเกษตร
กำหนดชำระคืนเงินกู้เสร็จสิ้นไม่เกิน ๖ ปี โดยเห็นชอบขยายระยะเวลาชำระคืนหนี้เงินกู้
ได้แก่ (๑) กู้เงินเพื่อพัฒนาแหล่งน้ำและการบริหารจัดการน้ำในไร่อ้อย หรือเพื่อปรับพื้นที่ปลูกอ้อย
เดิม กำหนดชำระคืนเสร็จสิ้นไม่เกิน ๔ ปี เป็น กำหนดชำระคืนเสร็จสิ้นไม่เกิน ๖ ปี
แต่ไม่เกินวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๗๐ และ (๒)
กู้เงินเพื่อจัดซื้อเครื่องจักรกลการเกษตร เดิม กำหนดชำระคืนเสร็จสิ้นไม่เกิน ๖ ปี
เป็น กำหนดชำระคืนเสร็จสิ้นไม่เกิน ๘ ปี แต่ไม่เกินวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๗๒ ๑.๒
เห็นชอบการพักชำระหนี้ต้นเงินพร้อมดอกเบี้ย งวดชำระหนี้ที่ถึงกำหนดระหว่างวันที่ ๑
เมษายน ๒๕๖๓ ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๔
ของโครงการส่งเสริมสินเชื่อเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยอย่างครบวงจรปี
๒๕๖๒-๒๕๖๔ เป็นระยะเวลา ๑ ปี โดยให้นำต้นเงินงวดชำระดังกล่าวขยายต่อท้ายงวดชำระสุดท้ายตามงวดชำระหนี้เดิม
สำหรับดอกเบี้ยให้ชำระหนี้ในงวดชำระหนี้ในบัญชี ๒๕๖๔ (วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๔-๓๑
มีนาคม ๒๕๖๕) ทั้งนี้ กรณีมีงวดชำระต้นเงินค้างชำระก่อนวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๓
ที่ถูกจัดหนี้เป็นหนี้ต่ำกว่ามาตรฐาน (NPLs) .งวดชำระหนี้ดังกล่าวไม่สามารถพักชำระหนี้ได้ ๑.๓
เห็นชอบการพักชำระหนี้ต้นเงินพร้อมดอกเบี้ย งวดชำระหนี้ที่ถึงกำหนดระหว่างวันที่ ๑
เมษายน ๒๕๖๓ ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๔
ของโครงการส่งเสริมสินเชื่อเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยอย่างครบวงจร ปี
๒๕๕๙-๒๕๖๑ เป็นระยะเวลา ๑ ปี โดยให้นำต้นเงินงวดชำระดังกล่าวขยายต่อท้ายงวดชำระสุดท้ายตามงวดชำระหนี้เดิม
สำหรับดอกเบี้ยให้ชำระหนี้ในงวดชำระหนี้ในบัญชี ๒๕๖๔ (วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๔-๓๑
มีนาคม ๒๕๖๕) ซึ่งกรอบวงเงินงบประมาณชดเชยดอกเบี้ยที่เคยได้รับการจัดสรรตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติไว้เมื่อวันที่
๕ กรกฎาคม ๒๕๕๙ มีเพียงพอ ทั้งนี้ กรณีมีงวดชำระต้นเงินค้างชำระก่อนวันที่ ๑
เมษายน ๒๕๖๓ ที่ถูกจัดหนี้เป็นหนี้ต่ำกว่ามาตรฐาน (NPLs) งวดชำระหนี้ดังกล่าวไม่สามารถพักชำระหนี้ได้ ๒.
ในส่วนของการขอรับการจัดสรรกรอบวงเงินงบประมาณเพื่อชดเชยดอกเบี้ยตามโครงการส่งเสริมสินเชื่อเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยอย่างครบวงจรปี
๒๕๖๒-๒๕๖๔ ให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพิ่มเติม
ให้ดำเนินการภายใต้กรอบงบประมาณเดิมที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติไว้เมื่อวันที่ ๑๑
มิถุนายน ๒๕๖๒ วงเงิน ๕๙๙.๔๓ ล้านบาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงอุตสาหกรรม
ธ.ก.ส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการฯ
อย่างใกล้ชิด
ควรพิจารณาว่าการดำเนินการเป็นไปตามเงื่อนไขว่าด้วยการอุดหนุนและมาตรการตอบโต้และความตกลงว่าด้วยการเกษตรภายใต้องค์การการค้าโลก
(WTO) หรือไม่
และควรร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องวางแผนการผลิตและการตลาดให้สอดคล้องและเหมาะสมกับสถานการณ์ภัยแล้ง
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
374 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ทส. | 10/11/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอว่า
เพื่อเป็นการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกอบอาชีพขับรถรับจ้างซึ่งได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (COVID-19) โดยยังคงหลักการการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากรถรับจ้าง
จึงเห็นควรทบทวนร่างกฎกระทรวงว่าด้วยรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคน
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยให้ขยายอายุรถรับจ้างที่อยู่ในระบบปัจจุบัน จาก ๙ ปี
เป็น ๑๒ ปี ตามหลักการของร่างกฎกระทรวงฯ ที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยมีข้อคิดเห็นว่ารถรับจ้างที่มีอายุมากกว่า
๙ ปี จะต้องถูกตรวจสภาพปีละ ๔ ครั้ง ๒.
ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาร่างกฎกระทรวงว่าด้วยรถยนต์รับจ้างบรรทุกคนโดยสารไม่เกินเจ็ดคน
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามหลักการเดิมที่กระทรวงคมนาคมเสนอคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๕ กันยายน ๒๕๖๓ แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓.
ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
375 | ข้อเสนอโครงการภายใต้การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน “โครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอันดามันเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน” | ทส. | 03/11/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบโครงการภายใต้การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน “โครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอันดามันเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน”
ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อันสืบเนื่องมาจากข้อเสนอของที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อพัฒนาและแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ
(กรอ.) กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน (กระบี่ พังงา ภูเก็ต ระนอง และสตูล)
ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๓ จำนวน ๑๑ โครงการ ภายในกรอบวงเงิน
๒,๐๙๘.๕๔๘๘ ล้านบาท สำหรับโครงการปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำเพื่อฟื้นฟูทรัพยากรในแหล่งท่องเที่ยวทางทะเล
พื้นที่ดำเนินการจังหวัดกระบี่ ภูเก็ต พังงา ตรัง สตูล และระนอง วงเงิน ๒๐๐.๐๐๐๐
ล้านบาท เห็นควรให้หน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวข้องโดยตรงเป็นผู้ดำเนินการ ทั้งนี้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
(กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง) เร่งจัดเตรียมความพร้อมด้านต่าง ๆ ของโครงการ อาทิ
สถานที่ดำเนินโครงการ แบบรูปรายการ ประมาณการค่าก่อสร้าง อัตรากำลัง
และการบริหารจัดการต่าง ๆ ให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงผลสัมฤทธิ์ ความต้องการหรือประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ
เพื่อจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
(กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรจัดลำดับความสำคัญตามความจำเป็นและความพร้อมของโครงการ
ให้สอดคล้องกับฐานะการคลังของประเทศด้วย ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
376 | การแต่งตั้งคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอุทยานธรณี | ทส. | 03/11/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบแต่งตั้งคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอุทยานธรณี โดยมีองค์ประกอบของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอุทยานธรณี รวม ๒๗ คน
และอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอุทยานธรณี รวม ๗ ข้อ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
(๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๓) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงาน
ก.พ.ร.
ที่เห็นควรคำนึงถึงมิติความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการเมืองระหว่างประเทศประกอบด้วยเสมอ
และเมื่อมีการแต่งตั้งคณะกรรมการดังกล่าวแล้ว กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะต้องดำเนินการยุบเลิกคณะกรรมการส่งเสริมการอนุรักษ์แหล่งธรณีวิทยาและจัดตั้งอุทยานธรณี
และคณะอนุกรรมการที่เกี่ยวข้องในทันที ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
377 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (1. นายจงคล้าย วรพงศธร) | ทส. | 06/10/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๔ ราย เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ทั้งนี้
ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
ดังนี้ ๑. นายจงคล้าย วรพงศธร ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง
สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นายปิ่นสักก์
สุรัสวดี ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง
สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. นางอรนุช หล่อเพ็ญศรี ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง
สำนักงานปลัดกระทรวง ๔. นายปรมินทร์
วงศ์สุวัฒน์ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง
สำนักงานปลัดกระทรวง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
378 | ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่อำเภอคุระบุรี อำเภอตะกั่วป่า อำเภอท้ายเหมือง อำเภอทับปุด อำเภอเมืองพังงา อำเภอตะกั่วทุ่ง และอำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ทส. | 06/10/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่อำเภอคุระบุรี อำเภอตะกั่วป่า
อำเภอท้ายเหมือง อำเภอทับปุด อำเภอเมืองพังงา อำเภอตะกั่วทุ่ง และอำเภอเกาะยาว
จังหวัดพังงา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ในท้องที่อำเภอคุระบุรี
อำเภอตะกั่วป่า อำเภอท้ายเหมือง อำเภอทับปุด อำเภอเมืองพังงา อำเภอตะกั่วทุ่ง
และอำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา พ.ศ. ๒๕๕๙
โดยแก้ไขมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมที่เนื้อหาไม่สอดคล้องกับข้อกำหนดในแผนที่ท้ายประกาศฯ
เพื่อให้มีความชัดเจนในการบังคับใช้
รวมทั้งปรับปรุงมาตรการที่มีผลกระทบต่อวิถีชีวิตของชุมชนหรือขัดต่อการดำเนินโครงการพัฒนาระบบสาธารณูปโภค
สาธารณูปการ โครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น หรือนโยบายภาครัฐต่าง ๆ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
379 | ขอบเขตพื้นที่เมืองเก่า และกรอบแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่าร้อยเอ็ด | ทส. | 06/10/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบขอบเขตพื้นที่เมืองเก่า และกรอบแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่าร้อยเอ็ด
เพื่อป้องกันการทำลายหลักฐานที่สำคัญและอนุรักษ์เมืองเก่าไว้เป็นมรดกของอนุชนรุ่นหลัง
รวมทั้งส่งเสริมให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม
โดยขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าร้อยเอ็ดมีเนื้อที่ทั้งหมด ๓.๐๑ ตารางกิโลเมตร
ครอบคลุมอาณาบริเวณกำแพงเมือง-คูเมืองร้อยเอ็ด วัด โบราณสถาน
และพื้นที่ย่านการค้าที่สำคัญ
ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า ครั้งที่
๑/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ได้มีมติเห็นชอบแล้ว
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น (๑) ให้จังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่าประสานความร่วมมือกับภาคประชาชนและหน่วยงานในระดับท้องถิ่น
เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจต่อการมีส่วนร่วมในการดำเนินการตามกรอบแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่าร้อยเอ็ดในทุกมิติ
และ (๒) ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น
รวมถึงองค์กรภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับการนำกรอบแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาพื้นที่เมืองเก่าร้อยเอ็ดไปสู่การปฏิบัติอย่างจริงจังด้วย
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป สำหรับค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๓ ให้หน่วยงานปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีที่ได้รับจัดสรรไว้แล้ว
ส่วนค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป
ให้ใช้จ่ายตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓
ไปพลางก่อน หรือเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้คณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่าร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดขับเคลื่อนการดำเนินการตามมาตรการจูงใจหรือสิทธิประโยชน์ต่าง
ๆ
สำหรับเจ้าของที่ดินและเจ้าของอาคารในพื้นที่ขอบเขตเมืองเก่าที่กำหนดไว้ตามกรอบแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่าต่าง
ๆ ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม
รวมทั้งให้คณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่าติดตามและประเมินผลการกำหนดขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าและการดำเนินการตามกรอบแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่าต่าง
ๆ ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีไปแล้วด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
380 | แต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ | ทส. | 06/10/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้
จำนวน ๒ คน แทนกรรมการเดิมที่ลาออก โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๖
ตุลาคม ๒๕๖๓) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑. พลตำรวจตรี วิวัฒน์ ชัยสังฆะ ๒. นายกิตติศักดิ์ ศรีประเสริฐ
|