ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 17 จากทั้งหมด 108 หน้า แสดงรายการที่ 321 - 340 จากข้อมูลทั้งหมด 2153 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
321 | แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การสวนพฤกษศาสตร์ (1. นายพงศ์บุณย์ ปองทอง) | ทส. | 10/08/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การสวนพฤกษศาสตร์
รวม ๑๐ คน เนื่องจากประธานกรรมการและกรรมการอื่นเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสองปี โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๐ สิงหาคม ๒๕๖๔) เป็นต้นไป
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑. นายพงศ์บุณย์ ปองทอง ประธานกรรมการ ๒. นายณพงศ์ ศิริขันตยกุล กรรมการ ๓. พลเรือเอก พิเชฐ
ตานะเศรษฐ กรรมการ ๔. นายพรชัย หาญยืนยงสกุล กรรมการ ๕. นายวีระชัย อมรรัตน์ กรรมการ ๖. นายศศิศ มนต์เสรีนุสรณ์ กรรมการ ๗. นายประสิทธิ์
วังภคพัฒนวงศ์ กรรมการ ๘. นายนำชัย แสนสุภา กรรมการ ๙. พลตำรวจตรี วิวัฒน์ ชัยสังฆะ กรรมการ ๑๐. ร้อยตำรวจโทหญิง ศรัณย์กร เลิศโอภาส กรรมการ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
322 | การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาบาเซลว่าด้วยการควบคุมการเคลื่อนย้ายข้ามแดนของของเสียอันตรายและการกำจัด สมัยที่ 15 การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญารอตเตอร์ดัมว่าด้วยกระบวนการแจ้งข้อมูลสารเคมีล่วงหน้าสำหรับสารเคมีอันตรายและสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชและสัตว์บางชนิดในการค้าระหว่างประเทศ สมัยที่ 10 และการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสตอกโฮล์มว่าด้วยสารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน สมัยที่ 10 | ทส. | 27/07/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
ดังนี้ ๑.๑ รับทราบองค์ประกอบคณะผู้แทนไทยสำหรับการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาบาเซลว่าด้วยการควบคุมการเคลื่อนย้ายข้ามแดนของเสียอันตรายและการกำจัด
สมัยที่ ๑๕
การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญารอตเตอร์ดัมว่าด้วยกระบวนการแจ้งข้อมูลสารเคมีล่วงหน้าสำหรับสารเคมีอันตรายและสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชและสัตว์บางชนิดในการค้าระหว่างประเทศ
สมัยที่ ๑๐ และการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสตอกโฮล์มว่าด้วยสารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน
สมัยที่ ๑๐ ๑.๒ เห็นชอบกรอบการเจรจา ข้อเสนอแนะ
และความเห็นของประเทศไทยสำหรับใช้ในการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาบาเซลฯ สมัยที่ ๑๕
การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญารอตเตอร์ดัมฯ สมัยที่ ๑๐ และการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ
สมัยที่ ๑๐ ๑.๓ หากมีข้อเจรจาใดที่นอกเหนือจากกรอบเจรจาฯ
และไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย (Legally Binding) ต่อประเทศไทย ขอให้เป็นดุลยพินิจของหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเป็นผู้พิจารณา โดยไม่ต้องนำกลับเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาใหม่จนสิ้นสุดการประชุมรัฐภาคีฯ
ในวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ผ่านระบบออนไลน์ ๒.ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นว่า
การพิจารณาข้อเสนอนอกเหนือกรอบการเจรจา
ขอให้คำนึงถึงการดำเนินการที่กระทำได้ภายใต้กฎหมายภายในของไทยด้วย
และหากการดำเนินการเพื่อให้เป็นตามหนังสือสัญญานั้นต้องมีการออกพระราชบัญญัติ
หรือหนังสือสัญญานั้นอาจมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม หรือการค้าหรือการลงทุนของประเทศอย่างกว้างขวางตามมาตรา
๑๗๘ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ก็ต้องเสนอขอความเห็นชอบจากรัฐสภาด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
323 | ร่างแถลงการณ์ร่วมอาเซียนด้านสารเคมีและของเสียสำหรับการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาบาเซลฯ สมัยที่ 15 การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญารอตเตอร์ดัมฯ สมัยที่ 10 และการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ สมัยที่ 10 ปี พ.ศ. 2564 | ทส. | 20/07/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมอาเซียนด้านสารเคมีและของเสียสำหรับการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาบาเซลฯ
สมัยที่ ๑๕ การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญารอตเตอร์ดัมฯ สมัยที่ ๑๐
และการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ สมัยที่ ๑๐ ปี พ.ศ. ๒๕๖๔ มีสาระสำคัญเพื่อแสดงจุดยืนร่วมกันของประเทศสมาชิกอาเซียน
ไม่ได้เป็นหนังสือสัญญาและมีผลผูกผันทางกฎหมายซึ่งเป็นไปตามมาตรา ๑๗๘
แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมด้านสารเคมีและของเสียฯ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมอาเซียนด้านสารเคมีและของเสียสำหรับการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาบาเซลฯ สมัยที่ ๑๕
การประชุมรัฐภาคีอนุสัญญารอตเตอร์ดัมฯ สมัยที่ ๑๐
และการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาสตอกโฮล์มฯ สมัยที่ ๑๐ ปี พ.ศ. ๒๕๖๔
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
324 | รายงานสถานการณ์ด้านทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และการกัดเซาะชายฝั่งของประเทศไทย พ.ศ. 2563 | ทส. | 13/07/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบรายงานสถานการณ์ด้านทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
และการกัดเซาะชายฝั่งของประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๖๓
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้แก่ประชาชนให้ถูกต้อง
ทั่วถึง และต่อเนื่อง
เพื่อให้เกิดความตระหนักและมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งของไทยให้มากยิ่งขึ้น ๒.
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการและแนวทางการดำเนินการแก้ไขปัญหาทรัพยากรทางทะเลที่ได้รับผลกระทบจากการทำการประมงให้ชัดเจนและให้เร่งดำเนินการอย่างเคร่งครัด
โดยเฉพาะกรณีการใช้เครื่องมือทำการประมงไม่เหมาะสมหรือผิดประเภทและกรณีการตัดอวนทิ้งในทะเลซึ่งทำให้สัตว์ทะเลติดอวนเสียชีวิต
รวมทั้งสภาพธรรมชาติใต้ท้องทะเลเกิดความเสียหายด้วย ๓.
ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการและแนวทางในการควบคุม
กำกับ ติดตาม
และตรวจสอบเรือเดินทะเลทุกประเภทไม่ให้มีการปล่อยของเสียหรือทิ้งขยะลงสู่ทะเลในเขตน่านน้ำของไทย
ทั้งนี้ ให้พิจารณากำหนดบทลงโทษที่เหมาะสมด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
325 | องค์ประกอบและท่าทีของราชอาณาจักรไทยในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ 44 | ทส. | 13/07/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและรับทราบองค์ประกอบและท่าทีของราชอาณาจักรไทยในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ
ครั้งที่ ๔๔ ประกอบด้วย ๑)
รายงานสถานการณ์การอนุรักษ์แหล่งมรดกโลก พื้นที่กลุ่มป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ ให้หัวหน้าคณะผู้แทนไทยดำเนินการชี้แจงและโน้มน้าวคณะกรรมการมรดกโลก
ศูนย์มรดกโลกและองค์กรที่ปรึกษาให้เห็นถึงการดำเนินการของราชอาณาจักรไทยในการให้ความสำคัญต่อการดูแลและอนุรักษ์พื้นที่
๒) การขึ้นทะเบียนแหล่งมรดกโลก พื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจาน ให้คณะผู้แทนไทย
ชี้แจงทำความเข้าใจ และโน้มน้าว คณะกรรมการมรดกโลก องค์กรที่ปรึกษา และศูนย์มรดกโลก
เกี่ยวกับสถานการณ์และวิถีชีวิตชุมชนในพื้นที่กลุ่มป่าแก่งกระจาน ๓) รายงานสถานการณ์การอนุรักษ์แหล่งมรดกโลก
นครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาให้หัวหน้าคณะผู้แทนไทยดำเนินการชี้แจงและโน้มน้าวคณะกรรมการมรดกโลก
ศูนย์มรดกโลกและองค์กรที่ปรึกษาให้เห็นถึงการดำเนินการให้ความสำคัญต่อการดูแลและอนุรักษ์มรดกโลก
และการดำเนินการต่าง ๆ เพื่อลดผลกระทบต่อคุณค่าความโดดเด่นอันเป็นสากลของแหล่ง
กรณีประเด็นที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า
ให้อยู่ในดุลยพินิจของหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการพิจารณากำหนดท่าทีในประเด็นนั้น ๆ
โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นที่ปรึกษา
และนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว ทำหน้าที่กรรมการในคณะกรรมการมรดกโลกและหัวหน้าคณะผู้แทนไทย และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย
กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ และคณะทำงาน
เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานในการดำรงตำแหน่งกรรมการมรดกโลก วาระปี พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๖
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม
กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่าให้พิจารณาดำเนินการตามระเบียบ
กฎหมาย และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ยึดถือผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ
และคำนึงถึงความสัมพันธ์หว่างประเทศด้วย
ควรมีข้อกำหนดที่ชัดเจนที่เป็นข้อห้ามไม่ให้มีการดำเนินการใด ๆ
ที่ส่งผลกระทบต่อมรดกโลก หรือส่งผลให้พื้นที่มรดกโลกกลายเป็นแหล่งมรดกโลกในภาวะอันตรายหรือมีประเด็นสุ่มเสี่ยง
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
326 | รายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2563 | ทส. | 15/06/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม
พ.ศ. ๒๕๖๓ และรายงานผลการติดตามการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๑ ซึ่งคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
ในการประชุม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ สรุปได้ (๑) รายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ.
๒๕๖๓ ได้เสนอสถานการณ์และการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมในระดับโลก ระดับภูมิภาค
และภายในประเทศ สถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อมรายสาขา จำนวน ๑๑ สาขา
ประเด็นสถานการณ์สิ่งแวดล้อมที่สำคัญ พ.ศ. ๒๕๖๓
และได้คาดการณ์แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงในอนาคตและนำเสนอข้อมูลเชิงนโยบาย (๒) รายงานผลการติดตามการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
ซึ่งพบว่าหน่วยงานต่าง ๆ สามารถดำเนินได้ครบถ้วน จำนวน ๑๑๑ ข้อเสนอแนะ (ร้อยละ ๙๓
ของข้อเสนอแนะทั้งหมด) จากทั้งหมด๑๑๙ ข้อเสนอแนะ ๑๑ สาขา
และยังดำเนินการได้ไม่ครบถ้วน ๘ ข้อเสนอแนะ สำหรับข้อเสนอแนะที่ยังไม่สามารถดำเนินการได้
เพราะต้องมีกระบวนการการมีส่วนร่วมจากหลายภาคส่วน
บางข้อเสนอแนะเป็นการศึกษาวิจัยและนวัตกรรม ทำให้การดำเนินการต้องใช้งบประมาณสูง
และใช้ระยะเวลานาน
นอกจากนี้ได้รายงานปัญหาและอุปสรรคในภาพรวมจากการติดตามการดำเนินงานดังกล่าว และแนวทางแก้ไขปัญหาด้วย
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงคมนาคม สำนักงบประมาณ และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
และข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ที่เห็นว่าการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องคำนึงถึงการมีส่วนร่วม
การสร้างความรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับประชาชนทั้งในปัจจุบันและอนาคต
ตลอดจนจัดให้มีระบบติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินงาน
รวมทั้งแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม
และควรมีการสนับสนุนการบูรณาการข้อมูลและกำหนดกรอบความร่วมมือในการใช้ประโยชน์ข้อมูลของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วย
ทั้งนี้ ขอให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัดต่อไป
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งสำรวจและปรับปรุงข้อมูลภาพและการใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าไม้และพื้นที่ลุ่มน้ำต่าง
ๆ ให้เป็นปัจจุบัน
เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณากำหนดนโยบายการอนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม
ตลอดจนการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ดังกล่าวให้เหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
327 | รายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินกองทุนจัดการซากดึกดำบรรพ์ สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2562 | ทส. | 08/06/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินกองทุนจัดการซากดึกดำบรรพ์ สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๒ ประกอบด้วย งบแสดงฐานะการเงิน งบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน และงบแสดงการเปลี่ยนแปลงสินทรัพย์สุทธิ/ส่วนทุน ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบแล้วเห็นว่ารายงานการเงินดังกล่าวถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการบัญชีภาครัฐและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังกำหนด ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
328 | สรุปผลการประชุมสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ สมัยที่ 5 ผ่านระบบออนไลน์ | ทส. | 25/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ
สมัยที่ ๕ ผ่านระบบออนไลน์ ระหว่างวันที่ ๒๒-๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมฯ
ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการเน้นย้ำความสำคัญของความร่วมมือระหว่างประเทศภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ การเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมในด้านต่าง ๆ เช่น ของเสีย สารเคมี
ขยะพลาสติก เป็นต้น และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มลพิษ และปัญหาสุขภาพ
รวมถึงการปรับเปลี่ยนนโยบายการดำเนินงานวิถีใหม่ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ ทั้งนี้
ในการประชุมดังกล่าว ได้มีการรับรองเอกสารผลลัพธ์การประชุม เมื่อวันที่ ๒๓
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ ได้แก่ ข้อความสาร Looking ahead to the resumed UN Environment Assembly in 2022-Message from online UNEA 5 มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองร่วมกันเกี่ยวกับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด ๒๐๑๙ ภัยคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มลพิษ ของเสีย และสารเคมี การดำเนินงานตามความร่วมมือพหุภาคีด้านสิ่งแวดล้อมที่สำคัญ
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
329 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2564 | ทส. | 25/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๖๔ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
สรุปได้ ดังนี้ ๑.
รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม จำนวน ๔ โครงการ ได้แก่ ๑)
โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองส่วนต่อขยาย ช่วงแยกรัชดา-ลาดพร้าว ถึงแยกรัชโยธิน ๒) โครงการถนนเลี่ยงเมืองสตูลฝั่งตะวันออก
ต.คลองขุด ต.พิมาน อ.เมือง จ.สตูล ๓) โครงการศึกษาออกแบบระบบขนส่งมวลชนระบบราง อ.หาดใหญ่
จ.สงขลา และ ๔) โครงการทางหลวงหมายเลข ๒๐๓ (หล่มสัก-หล่มเก่า-เลย) ๒.
การปรับปรุงมาตรฐานควบคุมการระบายน้ำทิ้งจากท่าเทียบเรือประมงบางประเภท ได้แก่
ท่าเทียบเรือประมงพาณิชย์ ท่าเทียบเรือประมงสำหรับการนำเข้าสัตว์น้ำ
ท่าเทียบเรือประมงของโรงงานแปรรูปสัตว์น้ำและท่าเทียบเรือประมงที่มีการขนถ่ายสัตว์น้ำ
สำหรับการผลิตอาหารสัตว์ ตามความเห็นของคณะกรรมการควบคุมมลพิษ ในการประชุมครั้งที่
๔/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๖๓
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
330 | (ร่าง) แถลงการณ์ร่วม (Joint Statement) ระหว่างสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของราชอาณาจักรไทยกับกรมสิ่งแวดล้อมของสมาพันธรัฐสวิส ในความร่วมมือด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ | ทส. | 25/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ (ร่าง)
แถลงการณ์ร่วม (Joint Statement) ระหว่างสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของราชอาณาจักรไทยกับกรมสิ่งแวดล้อมของสมาพันธรัฐสวิสในความร่วมมือด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
และอนุมัติให้เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้แทนลงนาม
โดย (ร่าง) แถลงการณ์ร่วมฯ
มีสาระสำคัญเป็นการระบุถึงความมุ่งมั่นของทั้งสองหน่วยงานในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศผ่านความร่วมมือภายใต้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความตกลงปารีส
และการแสดงความตั้งใจที่จะมีการดำเนินงานร่วมกัน และร่วมกับประเทศอื่น ๆ
ในการมุ่งบรรลุเป้าหมายของความตกลงปารีส
รวมทั้งนำเสนอการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของราชอาณาจักรไทยและสมาพันธรัฐสวิส
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และหากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยน (ร่าง) แถลงการณ์ร่วมฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม)
ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน
๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ทั้งนี้
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
ในการดำเนินการในระยะต่อไป ควรมีการหารือร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อสร้างความเข้าใจและแนวทางการในดำเนินการร่วมกันภายใต้ (ร่าง) แถลงการณ์ร่วมฯ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
331 | ร่างแผนปฏิบัติการภูมิภาคอาเซียนว่าด้วยการต่อต้านขยะทะเล พ.ศ. 2564 – 2568 (ASEAN Regional Action Plan for Combating Marine Debris 2021 - 2025) | ทส. | 11/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างแผนปฏิบัติการภูมิภาคอาเซียนว่าด้วยการต่อต้านขยะทะเล
พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๘ (ASEAN Regional Action Plan for Combating Marine Debris 2021-2025)
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายรับรองร่างแผนปฏิบัติการฯ โดยร่างแผนปฏิบัติการฯ เป็นเอกสารที่จะมีการรับรองโดยรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อมภายในวันที่
๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๔
มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างการประสานงานทั้งในระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศให้มีการจัดการสิ่งแวดล้อมทางทะเลและชายฝั่งอย่างยั่งยืน
โดยมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาขยะพลาสติกในทะเล เนื่องจากขยะประเภทนี้มีปริมาณและใช้เวลาในการย่อยสลายนาน
โดยเริ่มต้นตั้งแต่ต้นทางของการออกแบบบรรจุภัณฑ์ไปจนถึงปลายทางในเรื่องการจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพ
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแผนปฏิบัติการฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
332 | ขอขยายเวลาในการยื่นคำขออนุญาตเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2563 | ทส. | 11/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบการดำเนินการและผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน
๒๕๖๓ และเห็นชอบขยายเวลาในการยื่นคำขออนุญาตเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้
โดยให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐ ยื่นคำขออนุญาตเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้
ภายใน ๑๒๐ วัน นับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้ขยายเวลาในการยื่นคำขออนุญาตฯ
ซึ่งผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๓
มีส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐได้มายื่นคำขออนุญาตเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้
จำนวน ๕๘,๙๒๓ แห่ง มีจำนวนคำขออนุญาตฯ ที่ยื่นเกินจากบัญชีที่สำรวจไว้เดิมตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๓ จำนวน ๓๘,๑๑๐ แห่ง
เนื่องจากการตรวจสอบพบว่ามีการตกสำรวจและมีจำนวนคำขอที่ยังไม่ได้ยื่นตามบัญชีที่สำรวจไว้เดิม
จำนวน ๑,๐๙๕ แห่ง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ทั้งนี้ เมื่อครบกำหนดระยะเวลา
๑๒๐ วัน นับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ขยายเวลาในการยื่นคำขออนุญาตเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ในครั้งนี้แล้ว
ห้ามมิให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐใดเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ก่อนได้รับอนุญาตอีกอย่างเด็ดขาด
และหากปรากฏว่ายังมีส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐใดฝ่าฝืน
ให้พิจารณาดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงพาณิชย์ สำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานศาลปกครอง เช่น
ควรกำหนดหลักเกณฑ์การเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ให้สอดคล้องกับหลักการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
หากส่วนราชการยื่นคำขออนุญาตฯ ไม่ทันภายในกำหนดระยะเวลาที่คณะรัฐมนตรีให้ขยายในคราวนี้อีก
ให้ดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบอย่างเคร่งครัดต่อไป เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
333 | การเสนอขอรับเป็นเจ้าภาพสำนักงาน Decade Coordination Office (DCO) | ทส. | 27/04/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการเสนอขอรับเป็นเจ้าภาพสำนักงาน
Decade Coordination Office (DCO) ซึ่งการได้เป็นเจ้าภาพสำนักงาน
DCO จะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของสำนักงานระดับภูมิภาคในการดำเนินการภายใต้ทศวรรษแห่งสหประชาชาติว่าด้วยวิทยาศาสตร์ทางมหาสมุทรเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
[UN Decade of Ocean Science for Sustainable Development (UN Decade)] ปี ค.ศ. ๒๐๒๑-๒๐๓๐ ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อนำความรู้ด้านสมุทรศาสตร์มาใช้ในการวิจัยเพื่อนำไปสู่การกำหนดนโยบายในการบริหารจัดการและการใช้ประโยชน์จากมหาสมุทรอย่างยั่งยืน
โดยจะส่งผลให้ประเทศไทยมีการพัฒนาองค์ความรู้ด้านสมุทรศาสตร์และสามารถเข้าถึงโครงการต่าง
ๆ ด้านสมุทรศาสตร์ได้มากขึ้น
ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการอนุรักษ์และพัฒนาทรัพยากรทางทะเลของไทย
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ทั้งนี้
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นว่า
หากประเทศได้รับการคัดเลือกให้เป็นเจ้าภาพสำนักงาน DCO และจะต้องดำเนินการจัดทำความตกลงกับคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยสมุทรศาสตร์
[Intergovernmental Oceanographic Commission (IOC)] ประกอบด้วย
ความตกลงจัดตั้งสำนักงาน (Seat Agreement) และบันทึกความเข้าใจเพื่อกำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบของคู่ภาคี
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะต้องเสนอเรื่องให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ
รวมถึงประเด็นการดำเนินการตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ไปดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
334 | ขอบเขตพื้นที่เมืองเก่า และแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่าอุทัยธานี เมืองเก่าตรัง และเมืองเก่าฉะเชิงเทรา | ทส. | 27/04/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบขอบเขตพื้นที่เมืองเก่า
และแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่าอุทัยธานี เมืองเก่าตรัง และเมืองเก่าฉะเชิงเทรา
ซึ่งได้ผ่านการประชุมรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์
และเมืองเก่า ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๖๔ เรียบร้อยแล้ว
โดยขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าอุทัยธานี มีเนื้อที่ประมาณ ๑.๖๙ ตารางกิโลเมตร
(๑,๐๕๘.๘๗ ไร่) ครอบคลุมองค์ประกอบเมืองที่สำคัญ เช่น วัดอุโปสถาราม (วัดโบสถ์)
พื้นที่ย่านการค้าดั้งเดิมบริเวณถนนศรีอุทัยและถนนท่าช้าง
ย่านชุมชนชาวจีนตรอกโรงยา และชุมชนชาวแพแม่น้ำสะแกกรัง ขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าตรัง
เนื้อที่ประมาณ ๑.๙๑ ตารางกิโลเมตร (๑,๑๙๒.๙๕ ไร่) ครอบคลุมองค์ประกอบเมืองที่สำคัญ
เช่น หอนาฬิกาจังหวัดตรัง สถานีรถไฟตรัง และขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าฉะเชิงเทรา
เนื้อที่ประมาณ ๓.๙๖ ตารางกิโลเมตร (๒,๔๗๕.๖๙ ไร่)
ครอบคลุมองค์ประกอบเมืองที่สำคัญ เช่น ป้อมและกำแพงเมือง วัดโสธรวรารามวรวิหาร ย่านการค้าตลาดทรัพย์สินพระมหากษัตริย์
จังหวัดฉะเชิงเทรา ส่วนแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า ประกอบด้วยแนวทางทั่วไป
เช่น การมีส่วนร่วมและการประชาสัมพันธ์ การสร้างจิตสำนึกการอนุรักษ์และพัฒนาอย่างยั่งยืน
การส่งเสริมกิจกรรมและวิถีชีวิตท้องถิ่น และแนวทางสำหรับพื้นที่หลัก เช่น ด้านการใช้ประโยชน์ที่ดิน
ด้านอาคารและสภาพแวดล้อม ด้านระบบการราจรและคมนาคมขนส่ง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงคมนาคม
กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เช่น หน่วยงานผู้รับผิดชอบในพื้นที่ควรมีแผนการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยว
และแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อรองรับการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักท่องเที่ยว
โดยต้องคำนึงถึงสุขอนามัย ความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวเป็นสำคัญ
หน่วยงานที่รับผิดชอบทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น
รวมถึงองค์กรภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องจะต้องให้ความสำคัญกับการนำแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาพื้นที่เมืองเก่าไปสู่การปฏิบัติอย่างจริงจัง
และในการจัดทำแผนแม่บทและผังแม่บทการอนุรักษ์และพัฒนาบริเวณเมืองเก่าฉะเชิงเทราซึ่งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
จังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรคำนึงถึงความเชื่อมโยงกับการพัฒนาเขตพัฒนาภาคตะวันออก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ประโยชน์จากโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนานบิน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
สำหรับค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ตามกรอบแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า
และการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า
เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีที่ได้รับจัดสรรไว้แล้ว
ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีต่อ ๆ ไป ให้ดำเนินการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีอย่างเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำชับให้เจ้าหน้าที่ในระดับพื้นที่ที่เกี่ยวข้องบูรณาการการปฏิบัติงานร่วมกันให้ถูกต้อง
เหมาะสม รวมทั้งสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนที่อาจได้รับผลกระทบจากการกำหนดขอบเขตพื้นเมืองเก่าให้ทั่วถึงด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
335 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 7/2563 | ทส. | 20/04/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
ครั้งที่ ๗/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๓ จำนวน ๕ เรื่อง ได้แก่ (๑)
รายงานสถานภาพการเงินกองทุนสิ่งแวดล้อม ณ สิ้นไตรมาส ๔ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ (๒) รายงานการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม
โครงการท่าเทียบเรือขนถ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนกระบี่
ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (๓) โครงข่ายทางหลวงเชื่อมโยงระหว่างประเทศทางหลวงหมายเลข
๑๐๑ ตอน น่าน-อ.เฉลิมพระเกียรติ (ตอน ๒) ของกรมทางหลวง (๔)
การปรับปรุงประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดโครงการ
กิจการ หรือการดำเนินการ ซึ่งต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และ (๕)
การปรับปรุงมาตรฐานคุณภาพดิน ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
336 | รายงานผลการดำเนินงานขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี กาญจนบุรี และนครปฐม ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ครั้งที่ 3 | ทส. | 07/04/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบรายงานผลการดำเนินงานขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรี
กาญจนบุรี และนครปฐม ครั้งที่ ๓ ซึ่งมีการดำเนินงานขับเคลื่อนโดยจำแนกตามกลุ่มสภาพปัญหา
ประกอบด้วย (๑)
กลุ่มผู้ได้รับผลกระทบด้านเศรษฐกิจจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) (ผู้ประกอบการและผู้ว่างงาน) และ (๒)
กลุ่มโครงสร้างการพัฒนาจังหวัดต่าง ๆ ในด้านการเกษตรและการบริหารจัดการด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย
และกระทรวงอุตสาหกรรมรับประเด็นข้อหารือจากการประชุมดังกล่าวไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมควบคุมมลพิษ)
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทยและสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติในประเด็นการแก้ไขปัญหาด้านการขาดแคลนน้ำ
และการดำเนินงานขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันในพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรีและกาญจนบุรี
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
337 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการจัดสรรเงินอุดหนุนโครงการพัฒนาไม้ผลและไม้ยืนต้น และโครงการศูนย์เฉพาะกิจป้องกันปราบปรามการบุกรุกทำลายป่า | ทส. | 30/03/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘
กรกฎาคม ๒๕๒๑ (เรื่อง การดำเนินการโครงการพัฒนาไม้ผลและไม้ยืนต้น
และขออนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการตามโครงการ) ในส่วนข้อที่ ๑ ที่กำหนดให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้จัดสรรเงินกำไรปีละ
๒๐ ล้านบาท ทุกปี นับตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๒๒ เป็นต้นไป เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการพัฒนาไม้ผลและไม้ยืนต้น
และเห็นชอบให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๘ กรกฎาคม ๒๕๒๑ โดยไม่ต้องจ่ายค่าใช้จ่ายค้างจ้ายที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๓๔ จนถึงปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ รวมถึงค่าใช้จ่ายค้างจ่าย จำนวน ๑๕ ล้านบาท ๑.๒ ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔
เมษายน ๒๕๒๕ (เรื่อง การป้องกันแก้ไขการบุกรุกทำลายป่าไม้ของชาติ) ในส่วนข้อที่ ๓
ให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้จัดสรรเงินรายได้โดยไม่ต้องนำส่งคลัง จำนวน ๒๐
ล้านบาทต่อปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ ๒๕๒๕ เป็นต้นไป เนื่องจากเป็นนโยบายพิเศษเร่งด่วนเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานเกี่ยวกับการป้องกันปราบปรามการบุกรุกทำลายป่าไม้แก่กรมป่าไม้
และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๖ (เรื่อง
การป้องกันแก้ไขการบุกรุกทำลายป่าไม้ของชาติ) และเห็นชอบให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๔ เมษายน ๒๕๒๕ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๖
โดยไม่ต้องจ่ายค่าใช้จ่ายค้างจ่ายที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๔
จนถึงปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ รวมถึงค่าใช้จ่ายค้างจ้าย จำนวน ๑๗.๙๔๒ ล้านบาท ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการประเมินความจำเป็นในการดำเนินโครงการพัฒนาไม้ผลและไม้ยืนต้น
และโครงการศูนย์เฉพาะกิจป้องกันปราบปรามการบุกรุกทำลายป่า ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
338 | ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง มาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ในพื้นที่อำเภอปะเหลียน อำเภอหาดสำราญ อำเภอย่านตาขาว อำเภอกันตัง และอำเภอสิเกา จังหวัดตรัง พ.ศ. .... | ทส. | 16/03/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เรื่อง มาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ในพื้นที่อำเภอปะเหลียน
อำเภอหาดสำราญ อำเภอย่านตาขาว อำเภอกันตัง และอำเภอสิเกา จังหวัดตรัง พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดพื้นที่ให้ใช้มาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
ในพื้นที่อำเภอปะเหลียน อำเภอหาดสำราญ อำเภอย่านตาขาว อำเภอกันตัง และอำเภอสิเภา จังหวัดตรัง
เพื่อสงวน คุ้มครอง อนุรักษ์ และจัดระบบการใช้ประโยชน์ที่ยั่งยืน
รวมทั้งการสร้างความสมบูรณ์ของระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่ง
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงคมนาคมที่เห็นว่า ร่างประกาศฉบับนี้ยังคงมีหลักการให้กรมเจ้าท่าต้องแจ้งไปยังอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งล่วงหน้าไม่น้อยกว่า
๓๐ วัน ซึ่งกรณีโครงการของกรมเจ้าท่าที่อยู่ระหว่างดำเนินการและยังไม่แล้วเสร็จ
ควรได้รับการยกเว้นตามประกาศฉบับนี้ ไปประกอบการพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประเมินผลสัมฤทธิ์ของประกาศนี้
และมาตรการที่กำหนดไว้เมื่อสิ้นระยะเวลาการบังคับใช้ด้วย
และหากพิจารณาเห็นเป็นการสมควรที่จะต้องมีมาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งในบริเวณดังกล่าวเป็นการถาวร
ก็สมควรกำหนดเป็นกฎกระทรวงตามมาตรา ๒๐
แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. ๒๕๕๘
ต่อไป และเห็นควรที่ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชน ชุมชน
และผู้ประกอบการในพื้นที่ทั้งผู้ประกอบการบนพื้นที่ชายหาดและชายฝั่งทะเล
และผู้ประกอบการเดินเรือท่องเที่ยวและประมงชายฝั่งในทะเลได้รับทราบทั่วถึง
เข้าใจถึงเจตนารมณ์ของร่างประกาศฉบับนี้ เพื่อให้ได้รับความร่วมมือจากประชาชน
ชุมชน และภาคเอกชนที่ประกอบการด้านการท่องเที่ยวและประมงในพื้นที่
ในการอนุรักษ์คุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งของจังหวัดตรังและพื้นที่ใกล้เคียงได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนต่อไป
รวมทั้งเห็นควรพิจารณาจัดทำแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลภายใต้ร่างประกาศฉบับนี้
เพื่อให้การบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งมีประสิทธิภาพและสามารถแก้ไขปัญหาในพื้นที่ได้อย่างเป็นรูปธรรม
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
339 | ขอความเห็นชอบต่อร่างข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกับสถานเอกอัครราชทูตราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ประจำประเทศไทย ว่าด้วยความร่วมมือด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเศรษฐกิจหมุนเวียน | ทส. | 09/03/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกับสถานเอกอัครราชทูตราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ประจำประเทศไทย
ว่าด้วยความร่วมมือด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
และเศรษฐกิจหมุนเวียน และอนุมัติให้ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนาม
โดยร่างข้อตกลงความร่วมมือฯ
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดกรอบการดำเนินงานความร่วมมือในการส่งเสริมการจัดการสิ่งแวดล้อม
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และสนับสนุนแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน
เพื่อป้องกันการรั่วไหลของขยะพลาสติกลงสู่ทะเล ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างข้อตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
340 | แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (1. นายพีรพันธ์ คอทอง) | ทส. | 09/03/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้
จำนวน ๕ คน เนื่องจากกรรมการอื่นเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสามปี โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๙ มีนาคม ๒๕๖๔) เป็นต้นไป
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑. นายพีรพันธ์ คอทอง ๒. นายภูมิพัฒน์ สินาเจริญ ๓. นายอภิสิทธิ์ ไล่สัตรูไกล ๔. พลตำรวจตรี วิวัฒน์ ชัยสังฆะ ๕. นายกิตติศักดิ์ ศรีประเสริฐ
|