ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 561 จากทั้งหมด 6201 หน้า แสดงรายการที่ 11201 - 11220 จากข้อมูลทั้งหมด 124011 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
11201 | ร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการก่อการร้าย พ.ศ. .... | นร08 | 04/02/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการก่อการร้าย พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามการก่อการร้าย โดยกำหนดให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเป็นหน่วยงานบูรณาการและกำหนดหน้าที่และอำนาจของพนักงานเจ้าหน้าที่ในการดำเนินมาตรการป้องกันและปราบปรามการก่อการร้าย รวมถึงการคุ้มครองการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ และกำหนดมาตรการในการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11202 | ผลการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 35 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง | กต | 04/02/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๓๕ และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๒-๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ณ กรุงเทพมหานคร และจังหวัดนนทบุรี ซึ่งเป็นการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ ๒ ภายใต้การเป็นประธานอาเซียนของไทย โดยมีผู้นำจากประเทศต่าง ๆ เข้าร่วมการประชุมฯ โดยมีเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ รวมทั้งสิ้น ๔๔ ฉบับ ซึ่งที่ประชุมฯ ได้เน้นเรื่องความเป็นหุ้นส่วนเพื่อสานต่อผลลัพธ์จากการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๓๔ ใน ๓ ส่วน ได้แก่ การส่งเสริมความยั่งยืนในทุกมิติ การเชื่อมโยงยุทธศาสตร์การเชื่อมโยง และการเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคต โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาทุนมนุษย์และการส่งเสริมดิจิทัลอาเซียน นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ได้สนับสนุนหลักการและแนวทางความร่วมมือภายใต้เอกสารมุมมองของอาเซียนต่ออินโด-แปซิฟิก บนพื้นฐาน ๓ ด้าน ได้แก่ ความไว้เนื้อเชื่อใจ การเคารพซึ่งกันและกัน และผลประโยชน์ร่วมกัน รวมถึงได้หารือในประเด็นสำคัญอื่น ๆ ได้แก่ สถานการณ์ในรัฐยะไข่ สถานการณ์ในทะเลจีนใต้ และการส่งเสริมประชาคมที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ทั้งนี้ ผลการประชุมฯ มีประเด็นที่ต้องมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไป เช่น การส่งเสริมความมั่นคงที่ยั่งยืน การเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ การเมืองความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม เป็นต้น โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำผลการประชุมฯ และติดตามผลการประชุมฯ ต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11203 | ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การส่งสินค้าผักและผลไม้ออกไปนอกราชอาณาจักร พ.ศ. 2546 พ.ศ. .... | พณ | 04/02/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง ยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การส่งสินค้าผักและผลไม้ออกไปนอกราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๔๖ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง การส่งสินค้าผักและผลไม้ออกไปนอกราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๔๖ เนื่องจากได้มีพระราชบัญญัติกักพืช (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๑ และประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการส่งออกสินค้าผักและผลไม้ประกาศใช้บังคับเป็นกฎหมายเฉพาะแล้ว ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11204 | รายชื่อผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาของส่วนราชการต่าง ๆ (จำนวน 8 ราย) | นร05 | 04/02/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายชื่อผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา (ปคร.) ของส่วนราชการต่าง ๆ เพิ่มเติม (จำนวน ๘ ราย) ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. นายฉัตรชัย วิริยเวชกุล ปฏิบัติหน้าที่ ปคร. กระทรวงการต่างประเทศ ๒. นายสำราญ สาราบรรณ์ ปฏิบัติหน้าที่ ปคร. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ๓. นางสาวสราญภัทร อนุมัติราชกิจ ปฏิบัตหน้าที่ ปคร. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ๔. นายสมบูรณ์ หน่อแก้ว ปฏิบัติหน้าที่ ปคร. กระทรวงพลังงาน ๕. นางรักขณา ตัณฑวุฑโฒ ปฏิบัติหน้าที่ ปคร. กระทรวงศึกษาธิการ ๖. นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี ปฏิบัติหน้าที่ ปคร. กระทรวงอุตสาหกรรม ๗. นายสุรศักดิ์ เรียงเครือ ปฏิบัติหน้าที่ ปคร. สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ๘. พลโท สวัสดิ์ ชนะจิตราสกุล ปฏิบัติหน้าที่ คปร. กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11205 | สรุปผลการประชุมสมัยสามัญของยูเนสโก ครั้งที่ 40 | ศธ | 04/02/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมสมัยสามัญของยูเนสโก ครั้งที่ ๔๐ (The 40th Session of the General Conference) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๒-๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ณ สำนักงานใหญ่ยูเนสโก สาธารณรัฐฝรั่งเศส โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมฯ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สรุปการประชุมคณะกรรมาธิการทั้ง ๖ ด้าน ของยูเนสโก (ด้านการศึกษา ด้านวิทยาศาสตร์ ด้านวัฒนธรรม ด้านสังคมศาสตร์ ด้านสื่อสารมวลชน ด้านบริหารและความร่วมมือกับต่างประเทศ) ซึ่งคณะกรรมาธิการทุกด้านได้มีมติเห็นชอบแผนงานในปี ๒๕๖๓-๒๕๖๔ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการของคณะกรรมาธิการด้านต่าง ๆ โดยยูเนสโกได้มีมติอนุมัติงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๔ จำนวน ๑,๓๒๙.๑๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะต้องมีการระดมเงินมาเพิ่มเติมอีก จำนวน ๔๕๓.๘๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ จึงประมาณการว่าไทยจะต้องชำระค่าสมาชิกยูเนสโกประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๔ เพิ่มขึ้นปีละ ๑๒๐,๔๐๘ ดอลลาร์สหรัฐ รวมเป็นเงินที่ต้องชำระ ๒,๐๗๓,๔๕๖ ดอลลาร์สหรัฐต่อปี ๒. การปรับแก้ไขธรรมนูญของยูเนสโก ที่ประชุมฯ มีมติให้แก้ไขเกี่ยวกับการเสนอให้รัฐสมาชิกไม่มีสิทธิดำรงตำแหน่งสมาชิกคณะกรรมการบริหารของยูเนสโก หากค้างชำระค่าสมาชิกในปีปัจจุบันและปีก่อนหน้า และหากเป็นสมาชิกคณะกรรมการบริหาร แต่ค้างชำระค่าสมาชิกในปีปัจจุบันและปีก่อนหน้าก็จะไม่มีสิทธิออกเสียง ยกเว้นรัฐสมาชิกที่ไม่สามารถจ่ายค่าสมาชิกซึ่งเกิดจากเหตุปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ ๓. การเลือกตั้งคณะกรรมการต่าง ๆ ของยูเนสโก โดยในส่วนของไทยได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกในคณะกรรมการระหว่างรัฐบาล ระหว่างปี ๒๕๖๒-๒๕๖๖ รวม ๔ คณะ ได้แก่ คณะกรรมการบริหารยูเนสโก คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยชีวจริยธรรม คณะกรรมการสภาระหว่างรัฐบาลว่าด้วยโครงการสารนิเทศเพื่อปวงชน และคณะกรรมการสภาระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการจัดการการเปลี่ยนแปลงทางสังคม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11206 | รายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ในประเทศของรัฐบาลที่ดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 | กค | 04/02/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ในประเทศของรัฐบาลที่ดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ซี่งกระทรวงการคลังได้กู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะที่มีระยะเวลาการชำระหนี้เกิน ๑๒ เดือน จำนวนรวม ๓๙๑,๔๘๙.๘๒ ล้านบาท แบ่งการกู้เงินเป็น ๔ ประเภท รวมทั้งได้ดำเนินการออกประกาศกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้สาธารณะ จำนวน ๒๒ ฉบับ และลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ดังนี้
๑. การกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ/เมื่อรายจ่ายสูงกว่ารายได้และการบริหารหนี้ จำนวน ๒๘๗,๖๓๐.๐๐ ล้านบาท ๒. การกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ. ๒๕๔๑ จำนวน ๓๕,๗๓๒.๐๐ ล้านบาท ๓. การกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ จำนวน ๑๗,๖๘๒.๐๐ ล้านบาท ๔. การกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้มาเพื่อให้กู้ต่อ จำนวน ๕๐.๔๔๕.๘๒ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11207 | แนวทางปฏิบัติในการเจรจาและการทำสัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ | พณ | 04/02/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบแนวทางปฏิบัติในการเจรจาและการทำสัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (Government to Government : G to G) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ หลักการสำคัญในการเจรจาและทำสัญญาซื้อขายข้าวแบบ G to G (๑) รัฐบาลของประเทศคู่เจรจาและทำสัญญาซื้อขายข้าวกับรัฐบาลไทยจะต้องเป็นหน่วยงานรัฐบาลหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นลายลักษณ์อักษรให้ดำเนินการแทนรัฐบาลเท่านั้น เว้นแต่หน่วยงานผู้แทนรัฐบาลของประเทศผู้ซื้อบางประเทศที่มีหน่วยงานที่ทำหน้าที่ในการเจรจาและทำสัญญาซื้อขายข้าวเพียงหน่วยงานเดียวโดยไม่เคยเปลี่ยนแปลงมาเป็นเวลาช้านาน (๒) การชำระเงิน ต้องเป็นการชำระเงินระหว่างประเทศ ซึ่งจะต้องสามารถตรวจสอบที่มาของเงินดังกล่าวได้ และ (๓) จะต้องส่งข้าวออกไปจากประเทศไทยจริง ๑.๒ ขั้นตอนในการเจรจาและทำสัญญาซื้อขายข้าวแบบ G to G โดยทั่วไปจะเริ่มจากรัฐบาลประเทศผู้ซื้อแจ้งความประสงค์ขอซื้อข้าวจากรัฐบาลไทย โดยมีหนังสือถึงกระทรวงพาณิชย์หรือกรมการค้าต่างประเทศโดยตรง หรือมีหนังสือผ่านทางกระทรวงการต่างประเทศหรือช่องทางการทูต เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงได้อีกทางหนึ่ง ส่วนการเจรจาซื้อขายข้าว รัฐบาลทั้งสองฝ่ายจะเจรจาภายใต้กรอบที่ได้รับความเห็นชอบ จนกระทั่งสามารถตกลงราคาและรายละเอียดเงื่อนไขต่าง ๆ ในร่างสัญญาได้แล้ว ๑.๓ การเปิดเผยข้อมูลในสัญญาซื้อขายข้าวแบบ G to G จะพิจารณาเปิดเผยข้อมูลบางส่วนตามความเหมาะสม โดยไม่ขัดต่อข้อกำหนดในสัญญาและไม่กระทบต่อความสัมพันธ์กับประเทศผู้ซื้อ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นควรให้รัฐบาลกลางของประเทศผู้ซื้อมีหนังสือถึงรัฐบาลไทยยืนยันการมอบอำนาจในกรณีที่จะให้รัฐวิสาหกิจหรือเอกชนของประเทศตนเป็นผู้ดำเนินการตามสัญญาซื้อขาย เนื่องจากประเทศ เช่น จีน มีรัฐวิสาหกิจในหลายระดับ ทั้งส่วนกลางและส่วนท้องถิ่น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11208 | ผลการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2562 | นร14 | 04/02/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ครั้งที่ ๓/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๖๒ ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) เป็นประธานการประชุม ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เรื่องเสนอเพื่อพิจารณา จำนวน ๔ เรื่อง ได้แก่ (๑) แผนปฏิบัติการภายใต้แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ๒๐ ปี (๒) แผนงานโครงการขนาดใหญ่และโครงการสำคัญ (๓) กรอบแนวทางเพื่อการกำหนดหลักเกณฑ์การใช้สอยทรัพยากรน้ำสาธารณะของหน่วยงานของรัฐหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และ (๔) ร่างคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการทรัพยากรน้ำจังหวัด ๒. เรื่องเสนอเพื่อทราบ จำนวน ๔ เรื่อง ได้แก่ (๑) ผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการภายใต้ กนช. (๒) ความก้าวหน้าแผนงานโครงการที่เสนอในคณะรัฐมนตรีสัญจร และงานนโยบายที่นายกรัฐมนตรีตรวจพื้นที่ (๓) ผลการดำเนินการของคณะกรรมการลุ่มน้ำ และ (๔) รายงานผลการดำเนินการตามมติ กนช. เมื่อคราวประชุม กนช. ครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ และครั้งที่ ๒/๒๕๖๒
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11209 | ร่างพระราชบัญญัติควบคุมยุทธภัณฑ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กห | 04/02/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติควบคุมยุทธภัณฑ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ. ๒๕๓๐ โดยกำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตทุกประเภท (สั่งเข้ามา นำเข้ามา ผลิต หรือมีซึ่งยุทธภัณฑ์) ต้องจัดให้มีบัญชีรับจ่ายยุทธภัณฑ์และส่งสำเนาบัญชีรับจ่ายยุทธภัณฑ์ให้กระทรวงกลาโหมทราบทุกเดือน แก้ไขระยะเวลาให้ใช้ใบอนุญาต จากไม่เกิน ๑ ปี เป็นไม่เกิน ๓ ปี และปรับปรุงอัตราค่าธรรมเนียมท้ายพระราชบัญญัติขึ้นใหม่เพื่อให้การควบคุมยุทธภัณฑ์มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ทั้งนี้ ให้พิจารณาการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมตามร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ให้สอดคล้องตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ มกราคม ๒๕๖๓ (เรื่อง แนวทางการทบทวนอัตราค่าธรรมเนียมในการอนุมัติ อนุญาต ของทางราชการ) ด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11210 | ขอความเห็นชอบการยุติการดำเนินโครงการปรับปรุงร่องน้ำการเดินเรือในแม่น้ำล้านช้าง - แม่น้ำโขง ภายใต้ความตกลงการเดินเรือพาณิชย์ในแม่น้ำล้านช้าง - แม่น้ำโขง พ.ศ. 2543 | คค | 04/02/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินงานเบื้องต้น (Preliminary Work) โครงการปรับปรุงร่องน้ำการเดินเรือในแม่น้ำล้านช้าง-แม่น้ำโขง ภายใต้ความตกลงว่าด้วยการเดินเรือพาณิชย์ในแม่น้ำล้านช้าง-แม่น้ำโขง พ.ศ. ๒๕๔๓ โดยการดำเนินงานเบื้องต้นของโครงการดังกล่าวเป็นขั้นตอนการศึกษา สำรวจ และออกแบบแนวทางการปรับปรุงร่องน้ำทางเดินเรือในแม่น้ำโขงระหว่างชายแดนประเทศจีน-เมียนมา ถึงนครหลวงพระบาง สปป.ลาว ระยะทางประมาณ ๖๓๑ กิโลเมตร เพื่อรองรับเรือขนาด ๕๐๐ ตันกรอส (DWT) ภายใต้การสนับสนุนงบประมาณจาก ASEAN-China Maritime Cooperation Fund โดยมีกรอบระยะเวลาดำเนินการ ๓๖๕ วัน เริ่มจากเดือนเมษายน ๒๕๕๙-เมษายน ๒๕๖๐ ต่อมาในการประชุมคณะกรรมการร่วมเพื่อประสานการดำเนินการความตกลงว่าด้วยการเดินเรือพาณิชย์ในแม่น้ำล้านช้าง-แม่น้ำโขง ครั้งที่ ๑๗ เมื่อวันที่ ๒๖-๒๗ มีนาคม ๒๕๖๒ ณ เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี ฝ่ายจีนได้เสนอรายงานผลการศึกษาการดำเนินงานเบื้องต้นโครงการปรับปรุงร่องน้ำทางเดินเรือในแม่น้ำล้านช้าง-แม่น้ำโขงแก่ที่ประชุม พร้อมทั้งได้แจ้งว่าไม่ได้จัดสรรงบประมาณสำหรับดำเนินโครงการดังกล่าวแล้ว และการดำเนินการต้องสิ้นสุดลงโดยจะไม่มีการดำเนินการใด ๆ เว้นแต่จะมีความเห็นชอบร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิกผ่านช่องทางทางการทูต ๒. เห็นชอบการยุติการดำเนินโครงการปรับปรุงร่องน้ำการเดินเรือในแม่น้ำล้านช้าง-แม่น้ำโขง ภายใต้ความตกลงการเดินเรือพาณิชย์ในแม่น้ำล้านช้าง-แม่น้ำโขง พ.ศ. ๒๕๔๓
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11211 | ขอความเห็นชอบร่างปฏิญญาระดับรัฐมนตรีสำหรับการประชุมนานาชาติว่าด้วยความมั่นคงทางนิวเคลียร์ | อว | 04/02/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างปฏิญญาระดับรัฐมนตรีสำหรับการประชุมนานาชาติว่าด้วยความมั่นคงทางนิวเคลียร์ (ICONS 2020 Ministerial Declaration) ซึ่งจะมีการรับรองในการประชุมนานาชาติว่าด้วยความมั่นคงทางนิวเคลียร์ (International Conference on Nuclear Security : Sustaining and Strengthening Efforts-ICONS 2020) ในวันที่ ๑๐-๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ ณ กรุงเวียนนา สาธารณรัฐออสเตรีย โดยเอกอัครราชทูต ณ กรุงเวียนนา หัวหน้าคณะผู้แทนไทยจะเป็นผู้รับรองร่างปฏิญญาฯ โดยร่างปฏิญญาฯ มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันของรัฐสมาชิกที่จะย้ำความมุ่งมั่นของรัฐภาคีต่อการสร้างความยั่งยืนและเข้มแข็งด้านความมั่นคงปลอดภัยทางนิวเคลียร์ของวัสดุนิวเคลียร์ วัสดุกัมมันตรังสี รวมถึงสถานประกอบการทางนิวเคลียร์และรังสี ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11212 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2552 เรื่อง แนวทางแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินของเกษตรกรสภาประชาชน 4 ภาค | กษ | 04/02/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ เรื่อง แนวทางแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินของเกษตรกรสภาประชาชน ๔ ภาค เพื่อให้สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) สามารถดำเนินการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ไร้ที่ดินทำกินได้ตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติมได้ และเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับการจัดสรรที่ดินที่ ส.ป.ก. ได้จัดซื้อไว้แล้ว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยในส่วนของการดำเนินการแก้ไขปัญหาด้านที่ดิน ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย ส.ป.ก. ดำเนินการตามข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นควรจัดที่ดินให้แก่เกษตรกรฯ ๔ ภาค ที่เหลืออยู่หรือที่มาแสดงตนภายหลังเป็นลำดับแรกก่อน ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย ส.ป.ก. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงบประมาณ เช่น (๑) ควรกำหนดเวลาให้เกษตรกรฯ ๔ ภาค โดยหากไม่มาขึ้นทะเบียนภายในกำหนดเวลา ก็สามารถไปยื่นคำร้องขอขึ้นทะเบียนขอรับการจัดที่ดินในฐานะผู้ไร้ที่ดินทำกินซึ่งพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม กำหนดไว้ได้ตามปกติ (๒) การนำเงินที่เหลืออยู่ จำนวน ๒๒๑.๓๑ ล้านบาท คงไว้ในกองทุนการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมโดยไม่ต้องส่งคืนคลัง อาจไม่สอดคล้องกับพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ และพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ และ (๓) วงเงินที่เหลือจ่ายจากการจัดซื้อที่ดิน จำนวน ๒๒๑.๓๑ ล้านบาท ควรพิจารณาดำเนินการตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11213 | โครงการจัดทำรายงานแห่งชาติ ฉบับที่ 4 และรายงานความก้าวหน้ารายสองปี ฉบับที่ 3 ตามกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ | ทส | 04/02/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างบันทึกความตกลงระหว่างโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติและหน่วยงานร่วมปฏิบัติการ ภายใต้โครงการจัดทำรายงานแห่งชาติ ฉบับที่ ๔ และรายงานความก้าวหน้ารายสองปี ฉบับที่ ๓ ตามกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเห็นชอบให้เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความตกลงฯ โดยบันทึกความตกลงฯ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดรายละเอียดการให้การสนับสนุนแก่โครงการดำเนินงานในระดับประเทศ โดยโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Programme : UNDP) จะให้การสนับสนุนสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในการดำเนินกิจกรรมภายใต้โครงการ เช่น การจัดทำบัญชีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ปี พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑ แล้วเสร็จ การพัฒนากระบวนการทำงาน และการพัฒนาศักยภาพของบุคคลากรในประเทศ เป็นต้น ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรปรับระยะเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดโครงการให้สอดคล้องกับระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติให้ดำเนินโครงการ (พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๕) ไปดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11214 | ขอความเห็นชอบแผนอัตรากำลังโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 - 2565 | อว | 04/02/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแผนอัตรากำลังโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) สังกัดมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี จังหวัดนครราชสีมา ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๕ จำนวน ๑,๐๙๐ อัตรา วงเงินรวม ๓๘๓,๘๘๐,๑๒๐ บาท ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ และให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมรับความเห็นของสำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ เช่น (๑) แผนอัตรากำลังดังกล่าว ควรสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์การปฏิรูปกำลังคนและภารกิจบริการด้านสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุข และควรมีการศึกษาความต้องการสาขาแพทย์และสาขาอาชีพอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในภาพรวมทั้งระบบในภาครัฐและภาคเอกชน (๒) หาก มทส. มีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องบรรจุอัตรากำลังตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ก็ให้ มทส. พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณของ มทส. มาดำเนินการเป็นลำดับแรกก่อน สำหรับปีต่อ ๆ ไป ควรขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยคำนึงถึงภาระงานที่เกิดขึ้นจริง ศักยภาพในการสรรหา และความสามารถในการบรรจุอัตรากำลัง รวมถึงการพิจารณานำเงินนอกงบประมาณ (เงินรายได้ของโรงพยาบาล) มาใช้จ่ายเป็นค่าบุคลากร เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงาน ก.พ. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการจัดทำแผนยุทธศาสตร์การปฏิรูปกำลังคนและภารกิจบริการด้านสาธารณสุขในภาพรวมทั้งระบบให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๖๐ (เรื่อง การพิจารณาทบทวนความจำเป็นเหมาะสมของการกำหนดอัตราข้าราชการตั้งใหม่ตำแหน่งเภสัชกร จำนวน ๓๑๖ อัตรา ให้กับสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข) เพื่อให้สามารถวางระบบการบริหารอัตรากำลังให้สอดคล้องกับภารกิจบริการสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาระบบสุขภาพของประเทศและการลงทุนในยุทธศาสตร์การจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ สถาบันทางการแพทย์ และสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ในภาพรวมของประเทศ ในระยะยาว (๕-๑๐ ปี) ทั้งนี้ ในการจัดทำแผนอัตรากำลังของโรงพยาบาลในครั้งต่อ ๆ ไป ให้หน่วยงานเจ้าของเรื่องนำแผนยุทธศาสตร์การปฏิรูปกำลังคนและภารกิจบริการด้านสาธารณสุขในภาพรวมทั้งระบบและยุทธศาสตร์การจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ สถาบันทางการแพทย์ และสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ในภาพรวมของประเทศ ในระยะยาว (๕-๑๐ ปี) มาพิจารณาประกอบการจัดทำแผนอัตรากำลังดังกล่าวให้เหมาะสมสอดคล้องกันด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11215 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อสร้างอาคารวิจัยทางการแพทย์ของมหาวิทยาลัยบูรพา | อว | 04/02/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อสร้างอาคารวิจัยทางการแพทย์ของมหาวิทยาลัยบูรพา จำนวน ๑๑ รายการ จากเดิมจำนวน ๙๐๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็นจำนวน ๙๕๕,๓๔๙,๘๑๖.๐๙ บาท โดยมีค่าก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นจำนวน ๔๗,๓๔๙,๘๑๖.๐๙ บาท ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ ทั้งนี้ การดำเนินโครงการต่าง ๆ ในครั้งต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามโครงการอย่างละเอียดรอบคอบให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกมิติก่อนตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ (เรื่อง การตรวจสอบและจัดเตรียมความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ) อย่างเคร่งครัด และหากมีความจำเป็นต้องขอเปลี่ยนแปลงรายการหรือเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันเกินวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ ให้เสนอขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรีก่อนการดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11216 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการค่าก่อสร้างและเพิ่มวงเงินในการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ (สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน) | ตผ | 04/02/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเปลี่ยนแปลงรายการค่าก่อสร้าง และเพิ่มวงเงินในการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากเดิม ๔ รายการ วงเงิน ๑,๘๓๒,๙๐๖,๖๐๐ บาท เป็น ๒ รายการ ภายในกรอบวงเงิน ๒,๖๓๖,๘๐๐,๐๐๐ บาท ตามนัยข้อ ๗ (๓) ของระเบียบว่าด้วยการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ประกอบด้วย (๑) รายการก่อสร้างอาคารที่ทำการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (แห่งใหม่) พร้อมสิ่งก่อสร้างประกอบ ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๖ จำนวนเงิน ๒,๕๖๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท และ (๒) รายการค่าควบคุมงานก่อสร้างอาคารที่ทำการสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (แห่งใหม่) พร้อมสิ่งก่อสร้างประกอบ ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๖ จำนวนเงิน ๗๖,๘๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินขอทำความตกลงความเหมาะสมของราคากับสำนักงบประมาณ ตามระเบียบว่าด้วยการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมที่เห็นควรพิจารณาดำเนินการตามข้อกำหนดและเงื่อนไขในสัญญาเช่าที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ในรายละเอียดอย่างเคร่งครัด และดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และหลักธรรมาภิบาลในรายละเอียดต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ ในการต่อสัญญาเช่าที่ดินของ รฟท. ในครั้งต่อ ๆ ไป ให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินขอความร่วมมือจาก รฟท. ในการพิจารณาปรับปรุงอัตราค่าเช่าสำหรับหน่วยงานราชการในลักษณะผ่อนปรนต่ำสุดเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงในกรณีที่ราคาประเมินมูลค่าที่ดิน ณ ปีที่ต่ออายุสัญญาเพิ่มสูงขึ้นมาก รวมทั้งให้ระบุการขอสงวนสิทธิ์การขอใช้พื้นที่ของ รฟท. ไว้ในสัญญาเช่าให้ชัดเจนด้วย ๒. ในกรณีที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินจะต้องดำเนินโครงการในลักษณะนี้อีกในอนาคต ให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินดำเนินการตรวจสอบความพร้อมและความเป็นไปได้ในการดำเนินโครงการต่าง ๆ อย่างละเอียดรอบคอบและครบถ้วนในทุกมิติก่อนที่จะเสนอขออนุมัติโครงการ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการและการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ) อย่างเคร่งครัด รวมถึงควรมีกลไกในการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินโครงการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปตามแผนงานและกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11217 | แนวปฏิบัติเชิงนโยบายเพื่อสกัดกั้นการลักลอบขนส่งอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง ระบบเครื่องส่ง และวัสดุอุปกรณ์ (ทางทะเล ทางอากาศ และทางบก) | นร08 | 04/02/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบแนวปฏิบัติเชิงนโยบายเพื่อสกัดกั้นการลักลอบขนส่งอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง ระบบเครื่องส่ง และวัสดุอุปกรณ์ (ทางทะเล ทางอากาศ และทางบก) โดยพิจารณาถึงความสอดคล้องกับกฎหมายและแนวปฏิบัติภายในประเทศและความตกลงระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปปฏิบัติต่อไป โดยแบ่งเป็น ๓ ขั้นตอนหลัก ได้แก่ (๑) การดำเนินการก่อนการสกัดกั้น (๒) การดำเนินการสกัดกั้น และ (๓) การดำเนินการหลังการสกัดกั้น ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและสำนักข่าวกรองแห่งชาติที่เห็นควรเพิ่มเติมกฎหมายระหว่างประเทศ และกฎหมายภายในประเทศของการท่าเรือแห่งประเทศไทย จำนวน ๒ ระเบียบ คือ ระเบียบการท่าเรือแห่งประเทศไทยว่าด้วยวิธีปฏิบัติในการใช้ท่าเรือ บริการ และความสะดวกต่าง ๆ พ.ศ. ๒๕๔๕ และฉบับแก้ไขปรับปรุงต่าง ๆ และระเบียบท่าเรือแห่งประเทศไทยว่าด้วยวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการนำเข้าและส่งออกสินค้าอันตรายของท่าเรือกรุงเทพ พ.ศ. ๒๕๕๐ เพื่อให้มีหลักกฎหมายที่ใช้ในการดำเนินการที่ครบถ้วนยิ่งขึ้น รวมทั้งปรับถ้อยคำที่ระบุในเอกสารแนวปฏิบัติเชิงนโยบายเพื่อสกัดกั้นการลักลอบขนส่งอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง ระบบเครื่องส่ง และวัสดุอุปกรณ์ ทั้งทางทะเล ทางอากาศ และทางบก ในขั้นตอนการประสานงาน การประสานข้อมูล/ข่าวกรอง จาก “ประสานสำนักข่าวกรองแห่งชาติเพื่อตรวจสอบข้อมูล/ข่าวกรองของเรือต้องสงสัย/ข่าวกรองของอากาศยานต้องสงสัย/ข่าวกรองของบุคคลและยานพาหนะต้องสงสัย” เป็น “ประสานสำนักข่าวกรองแห่งชาติตรวจสอบข้อมูล/ข่าวกรองที่เกี่ยวข้องเมื่อได้รับการแจ้งเตือน” ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11218 | รายงานผลการดำเนินการโครงการจิตอาสาพระราชทาน | นร01 | 04/02/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการโครงการจิตอาสาพระราชทาน ประจำเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๒ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การฝึกอบรมหลักสูตรจิตอาสา ๙๐๔ “หลักสูตรหลักประจำ” รุ่นที่ ๔/๖๒ หน่วยราชการในพระองค์ฯ ได้จัดการฝึกอบรมหลักสูตรฯ ระหว่างวันที่ ๕ พฤศจิกายน-๒๔ ธันวาคม ๒๕๖๒ ณ โรงเรียนจิตรอาสาพระราชทาน เพื่อสร้างจิตสำนึก สร้างระเบียบวินัย สามารถเป็นกลจักรสำคัญในการประสานความร่วมมือ แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชนในพื้นที่ ๒. การจัดตั้งชุดปฏิบัติการจิตอาสาภัยพิบัติประจำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทานมีความประสงค์ขอให้กระทรวงมหาดไทยประสานจังหวัด อำเภอ จัดตั้งชุดปฏิบัติการจิตอาสาภัยพิบัติประจำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อย่างน้อย ๕๐ คน/แห่ง เพื่อเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงานในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในระดับพื้นที่ ๓. การจัดกิจกรรมในช่วงพระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนคร โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช ๒๕๖๒ โดยศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน กำหนดให้จัดกิจกรรมในช่วงพระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนคร โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช ๒๕๖๒ ในวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๖๒ เพื่อเปิดโอกาสให้จิตอาสาพระราชทานและประชาชนภาคส่วนต่าง ๆ ทั่วประเทศได้ร่วมกันแสดงออกถึงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ๔. แนวทางปฏิบัติการจัดกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาในโอกาสวันสำคัญของชาติไทย ศูนย์อำนวยการใหญ่จิตอาสาพระราชทาน ได้จัดทำแนวทางปฏิบัติการจัดกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาในโอกาสวันสำคัญของชาติไทย เพื่อให้ส่วนราชการ ศูนย์อำนวยการจิตอาสาพระราชทานภาค ๑-๔ และจังหวัด ใช้เป็นแนวทางปฏิบัติกิจกรรมจิตอาสาพัฒนาในโอกาสวันสำคัญของชาติไทยดังกล่าวให้ส่วนราชการและหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัด จังหวัด และกรุงเทพมหานครทราบและถือเป็นแนวทางในการปฏิบัติต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11219 | รายงานผลการดำเนินงานแผนยุทธศาสตร์การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด พ.ศ. 2558 - 2562 | ยธ | 04/02/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานแผนยุทธศาสตร์การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ฯ รวม ๘ ยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย (๑) การป้องกันกลุ่มผู้มีโอกาสเข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด (๒) การสร้างสภาพแวดล้อมเพื่อป้องกันปัญหายาเสพติด (๓) การแก้ไขปัญหาผู้เสพผู้ติดยาเสพติด (๔) การสร้างและพัฒนาระบบรองรับการคืนคนดีสู่สังคม (๕) การควบคุมตัวยาและผู้ค้ายาเสพติด (๖) ความร่วมมือระหว่างประเทศ (๗) การมีส่วนร่วมภาคประชาชน และ (๘) การบริหารจัดการอย่างบูรณาการ ๒. ผลสัมฤทธิ์การดำเนินงาน จากการสำรวจความพึงพอใจของประชาชนจากการดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดของรัฐบาลตั้งแต่ปี ๒๕๕๘-๒๕๖๒ พบว่า ประชาชนมีความพึงพอใจและมีความเชื่อมั่นโดยเฉลี่ยไม่น้อยกว่าร้อยละ ๙๕
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11220 | ขอยกเลิกการผูกพันงบประมาณรายการค่าเช่าอุปกรณ์เครื่องมือติดตามตัวอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Monitoring : EM) พร้อมระบบควบคุมการทำงาน จำนวน 4,000 เครื่อง ตามมติคณะรัฐมนตรี ที่ นร 0505/8215 ลงวันที่ 21 มีนาคม 2561 และขออนุมัติผูกพันงบประมาณรายการค่าเช่าอุปกรณ์ติดตามตัวอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Monitoring : EM) พร้อมระบบที่เกี่ยวข้อง จำนวน 30,000 เครื่อง | ยธ | 04/02/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ให้กระทรวงยุติธรรม (กรมคุมประพฤติ) ดำเนินการ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้ดำเนินโครงการนำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัวมาใช้เพื่อเป็นมาตรการทางเลือกแทนการลงโทษจำคุก จำนวน ๓๐,๐๐๐ เครื่อง ภายในกรอบวงเงิน ๗๖๔,๗๖๔,๒๐๐ บาท โดยเริ่มปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓-ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ ประกอบด้วย ค่าเช่าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว พร้อมระบบที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๓๐,๐๐๐ เครื่อง จำนวน ๗๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท และค่าใช้จ่ายบริหารจัดการโครงการ จำนวน ๔๔,๗๖๔,๒๐๐ บาท ๑.๒ อนุมัติให้ยกเลิกการก่อหนี้ผูกพันงบประมาณรายการค่าเช่าอุปกรณ์เครื่องควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Monitoring : EM) พร้อมระบบควบคุมการทำงาน จำนวน ๔,๐๐๐ เครื่อง งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ จำนวน ๔๔,๖๘๒,๐๐๐ บาท เนื่องจากผู้รับจ้างนำส่งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัวที่มีคุณลักษณะไม่ตรงตามขอบเขตของการเช่าและติดตั้งอุปกรณ์ กรมคุมประพฤติจึงแจ้งบอกเลิกสัญญากับผู้รับจ้าง ๑.๓ สำหรับการขออนุมัติรายการค่าเช่าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว (Electronic Monitoring : EM) พร้อมระบบที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๓๐,๐๐๐ เครื่อง วงเงินรวม ๗๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท นั้น เห็นควรให้กระทรวงยุติธรรมนำความเห็นและข้อสังเกตของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสนอคณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติพิจารณา ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๖๓ ก่อน แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนอีกครั้งหนึ่ง ๒. ให้กระทรวงยุติธรรม (กรมคุมประพฤติ) รับความเห็นของกระทรวงการคลัง และข้อสังเกตของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เช่น การเช่าใช้อุปกรณ์ EM พร้อมระบบที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๓๐,๐๐๐ เครื่อง ควรพิจารณาเพิ่มเติมในเรื่องของ “ระบบที่เกี่ยวข้อง” ในการสนับสนุนการใช้งานดังกล่าว เนื่องจากระบบที่เกี่ยวข้องตามข้อกำหนด (TOR) อาจมีความเกี่ยวโยงกับการส่งข้อมูลโดยอุปกรณ์ EM จึงควรพิจารณาหาทางป้องกันการผูกขาด “ระบบที่เกี่ยวข้องและเครื่องอุปกรณ์ EM” โดยควรกำหนดให้มีการเปิดเผยรูปแบบและวิธีการส่งข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ EM ไปยังระบบที่เกี่ยวข้อง และควรพิจารณาในเรื่องการบริหารความต่อเนื่องของการใช้งานอุปกรณ์และลดปัญหาการผูกขาดของผู้ผลิตเพียงรายเดียว รวมถึงส่วนของโปรแกรมที่มีการเข้าหรือถอดรหัสข้อมูลที่ส่งมาจากอุปกรณ์ EM ควรมีมาตรฐานหรือข้อกำหนดที่ชัดเจนที่สามารถใช้ร่วมกันหรือปรับใช้ได้ และควรพิจารณาการคำนึงถึงการดูแลข้อมูลส่วนบุคคล (Data Privacy) และการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล (Security) รวมทั้งการดูแลข้อมูลที่จัดเก็บในระบบคลาวน์ของผู้ให้บริการให้เป็นไปตามมาตรฐาน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
.....