ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 563 จากทั้งหมด 6201 หน้า แสดงรายการที่ 11241 - 11260 จากข้อมูลทั้งหมด 124011 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
11241 | ขอทบทวนและยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 | ทส | 28/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ ตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๔๖ (เรื่อง ขอผ่อนผันยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเพื่อให้กองทัพอากาศใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ) เฉพาะในส่วนของข้อ ๒.๒ ที่ขอแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๓๒ ที่มิให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ ไม่ว่ากรณีใด เป็นว่ากรณีจำเป็นที่ต้องขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ ต่อคณะรัฐมนตรี ส่วนราชการจะต้องจัดทำรายงานการศึกษาวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณาก่อน เพื่อเสนอความเห็นประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีทุกครั้ง ๑.๒ ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๒๘ (เรื่อง ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการกำหนดชั้นของป่าต้นน้ำลำธารและการทำเหมืองในพื้นที่ป่าปิด) เฉพาะในส่วนที่เห็นชอบตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเกี่ยวกับมาตรการการใช้ที่ดินในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี ในเขตลุ่มน้ำปิงและวัง ที่กำหนดว่าในกรณีที่ส่วนราชการใดมีความจำเป็นต้องใช้ที่ดินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในโครงการที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติแล้ว ให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการดังกล่าวนำโครงการนั้นเสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการเสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเพื่อพิจารณาต่อไป ๑.๓ ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๒๙ (เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำยมและน่าน และข้อเสนอแนะมาตรการการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำ) เฉพาะในส่วนที่เห็นชอบตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเกี่ยวกับมาตรการการใช้ที่ดินในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี ในเขตลุ่มน้ำยมและน่าน ที่กำหนดว่าในกรณีที่ส่วนราชการใดมีความจำเป็นต้องใช้ที่ดินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในโครงการที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติแล้ว ให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการดังกล่าวนำโครงการนั้นเสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการเสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเพื่อพิจารณาต่อไป ๑.๔ ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๓๑ (เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำมูลและชี และข้อเสนอแนะมาตรการการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำ) เฉพาะในส่วนที่เห็นชอบตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเกี่ยวกับมาตรการการใช้ที่ดินในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี ในเขตลุ่มน้ำมูลและชี ที่กำหนดว่าในกรณีที่ส่วนราชการใดมีความจำเป็นต้องใช้ที่ดินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในโครงการที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติแล้ว ให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการดังกล่าวนำโครงการนั้นเสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการเสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเพื่อพิจารณาต่อไป ๑.๕ ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ (เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคใต้ และข้อเสนอแนะมาตรการการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำ) เฉพาะในส่วนที่เห็นชอบตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเกี่ยวกับมาตรการการใช้ที่ดินในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี ในเขตลุ่มน้ำภาคใต้ ที่กำหนดว่าในกรณีที่ส่วนราชการใดมีความจำเป็นต้องใช้ที่ดินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในโครงการที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติแล้ว ให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการเสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณาต่อไป ๑.๖ ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๓๔ (เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพน้ำภาคตะวันออก และข้อเสนอแนะมาตรการการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำ) เฉพาะในส่วนที่เห็นชอบตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเกี่ยวกับมาตรการการใช้ที่ดินในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี ในเขตลุ่มน้ำภาคตะวันออก ที่กำหนดให้ในกรณีส่วนราชการใดมีความจำเป็นต้องใช้ที่ดินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในโครงการที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติแล้ว ให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการเสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณา ๑.๗ ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ [เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคตะวันตก ภาคกลาง และลุ่มน้ำป่าสัก และการกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนอื่น ๆ (ลุ่มน้ำชายแดน)] เฉพาะในส่วนที่เห็นชอบตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเกี่ยวกับมาตรการการใช้ที่ดินในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี ในเขตลุ่มน้ำภาคตะวันตก ภาคกลาง และลุ่มน้ำป่าสัก ในเขตลุ่มน้ำภาคเหนือส่วนอื่น ๆ และในเขตลุ่มน้ำภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนอื่น ๆ (ลุ่มน้ำชายแดน) ที่กำหนดให้ในกรณีที่ส่วนราชการใดมีความจำเป็นต้องใช้ที่ดินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในโครงการที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติแล้ว ให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการ ตั้งแต่ในระยะทำการศึกษาความเหมาะสมของโครงการเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณา ๒. ในการขอเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ ให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดโครงการ กิจการ หรือการดำเนินการ ซึ่งต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๖๑ และประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดโครงการ กิจการ หรือการดำเนินการ ซึ่งต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒ รวมถึงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๓๒ (เรื่อง ขอผ่อนผันใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ เอ เพื่อก่อสร้างทางเพื่อความมั่นคง) อย่างเคร่งครัด ๓. ในกรณีโครงการ กิจการ หรือการดำเนินงานของส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐที่ได้เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ ก่อนวันที่ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดโครงการ กิจการ หรือการดำเนินการ ซึ่งต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒ มีผลบังคับใช้ ซึ่งเมื่อครบกำหนดการขออนุญาตให้ใช้พื้นที่ลุ่มน้ำแล้วยังประสงค์จะใช้พื้นที่ลุ่มน้ำดังกล่าวต่อไป โดยเป็นการดำเนินโครงการ กิจการหรือการดำเนินงานตามวัตถุประสงค์เดิมและอยู่ภายในขอบเขตพื้นที่เดิม รวมถึงกรณีโครงการ กิจการ หรือการดำเนินงานอื่น ๆ ที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment : รายงาน EIA) ตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดังกล่าว แต่ต้องจัดทำรายงานข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Accounting Report : รายงาน EAR) ให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐเจ้าของโครงการ กิจการ หรือการดำเนินงานนั้น ๆ ถือปฏิบัติให้เป็นไปตามรายงาน EAR อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดำเนินการเกี่ยวกับการป้องกันและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่ทำหน้าที่อนุมัติหรืออนุญาต เช่น กรมป่าไม้หรือกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ติดตาม กำกับดูแลการดำเนินการให้เป็นไปตามรายงาน EAR ดังกล่าวอย่างเคร่งครัดด้วย ๔. ในการดำเนินการตามข้อ ๒ และ ๓ หากปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีการกระทำการ ไม่กระทำการ หรือการดำเนินการใด ๆ ทั้งของเจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐหรือเอกชนที่ไม่ถูกต้องตามข้อกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ มติคณะรัฐมนตรี ประกาศ ตลอดจนข้อกำหนดและเงื่อนไขในรายงานที่เกี่ยวข้อง ให้ถือเป็นความผิดอันก่อให้เกิดผลกระทบเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ และให้ผู้มีอำนาจหน้าที่เร่งดำเนินการเอาผิดตามกฎหมายอย่างเข้มงวด ๕. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรทำการศึกษาเพื่อประเมินสถานการณ์ปัจจุบันของพื้นที่ป่าต้นน้ำของประเทศไทยทั้งในภาพรวม และในเชิงพื้นที่ของแต่ละลุ่มน้ำ ให้มีความชัดเจนว่าอยู่ในสภาวะอย่างไร ประเทศไทยจำเป็นต้องมีพื้นที่ป่าต้นน้ำเท่าไร พื้นที่ที่คงเหลืออยู่นั้นเพียงพอหรือไม่ พื้นที่ใดที่อยู่ในภาวะวิกฤติ เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจเชิงนโยบายที่ถูกต้องตามสภาพความเป็นจริงของประเทศในภาพรวม และตามบริบทของแต่ละพื้นที่ ทั้งในการให้อนุญาตทำประโยชน์ การกำกับดูแล และการฟื้นฟูต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11242 | ร่างกฎกระทรวงการขึ้นทะเบียน การออกใบแทนการขึ้นทะเบียน การเพิกถอนทะเบียน การกำหนดค่าบริการและวิธีการให้บริการ การขออนุญาต การอนุญาต การต่ออายุใบอนุญาต การออกใบแทนใบอนุญาต การพักใช้และเพิกถอน ใบอนุญาต พ.ศ. .... | รง | 28/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการขึ้นทะเบียน การออกใบแทนการขึ้นทะเบียน การเพิกถอนทะเบียน การกำหนดค่าบริการและวิธีการให้บริการ การขออนุญาต การอนุญาต การต่ออายุใบอนุญาต การออกใบแทนใบอนุญาต การพักใช้และเพิกถอนใบอนุญาต พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการขอขึ้นทะเบียนในกรณีผู้ขอขึ้นทะเบียนเป็นบุคคลธรรมดา หรือการขออนุญาตในกรณีผู้ขออนุญาตเป็นนิติบุคคล การกำหนดค่าบริการ และวิธีการให้บริการ สำหรับการให้บริการตรวจวัด ตรวจสอบ ทดสอบ รับรอง ประเมินความเสี่ยง การจัดฝึกอบรมหรือให้คำปรึกษาเพื่อส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้พิจารณาในประเด็นร่างข้อ ๑๔ ที่กำหนดให้อธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายมีอำนาจเข้าไปในสถานที่ทำงานหรือสถานที่ตั้ง หรือสถานที่ที่ให้บริการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน เรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องมาชี้แจง รวมทั้งให้ส่งสิ่งของหรือเอกสารที่เกี่ยวข้องเพื่อตรวจสอบหรือกำกับดูแลให้เป็นไปตามข้อ ๑๒ และข้อ ๑๕ หรือมิให้มีการฝ่าฝืนตามข้อ ๑๓ นั้น เป็นกรณีที่ไม่สอดคล้องกับบทอาศัยอำนาจตามมาตรา ๙ วรรคสอง และมาตรา ๑๑ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ เห็นควรให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ไปพลางก่อน ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ไปพลางก่อน และให้กระทรวงแรงงานปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11243 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินค่าทำศพ พ.ศ. .... | รง | 28/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินค่าทำศพ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงอัตราเงินค่าทำศพ กรณีผู้ประกันตนถึงแก่ความตายโดยมิใช่ประสบอันตราย หรือเจ็บป่วยเนื่องจากการทำงาน จากอัตราปัจจุบัน ๔๐,๐๐๐ บาท ปรับเป็น ๕๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรเร่งสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ที่ผู้ประกันตนจะได้รับ รวมทั้งวางแผนการดำเนินการทางการเงินของกองทุนประกันสังคม ทั้งในระยะสั้นและระยะยาวให้สอดคล้องกับการดำเนินงาน เพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อเสถียรภาพของกองทุนประกันสังคมในอนาคตด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11244 | การแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงการมีและใช้อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนของหน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจ และการมอบให้ประชาชนมีและใช้เพื่อช่วยเหลือราชการ พ.ศ. 2553 | มท | 28/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการมีและใช้อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนของหน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจ และการมอบให้ประชาชนมีและใช้เพื่อช่วยเหลือราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งและสำนักงานศาลปกครองเป็นหน่วยงานราชการตามกฎกระทรวงการมีและใช้อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน ของหน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจ และการมอบให้ประชาชนมีและใช้เพื่อช่วยเหลือราชการ พ.ศ. ๒๕๕๓ ซึ่งจะทำให้หน่วยงานทั้งสองไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. ๒๔๙๐ และสามารถมีและใช้อาวุธปืนในการปฏิบัติหน้าที่ได้ตามชนิดและเงื่อนไขที่กฎกระทรวงดังกล่าวกำหนด ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้แก้ไขการจัดลำดับให้หน่วยงานเป็นหน่วยงานราชการให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริง เพื่อให้สอคดล้องกับกฎกระทรวงการมีและใช้อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน ของหน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจ และการมอบให้ประชาชนมีและใช้เพื่อช่วยเหลือราชการ พ.ศ. ๒๕๕๓ และที่แก้ไขเพิ่มเติมด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับความจำเป็นในการกำหนดให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งมีและใช้อาวุธปืนในการปฏิบัติหน้าที่ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11245 | การขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ของสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า | พณ | 28/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบกรอบวงเงินคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ของสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า จำนวน ๕๓๖,๗๒๖,๒๐๐ บาท และคำของบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๔ เพื่อบรรจุในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ต่อไป ทั้งนี้ ให้ถือว่าการเสนอคำของบประมาณรายจ่ายดังกล่าวเป็นการยื่นคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายต่อคณะรัฐมนตรีภายในระยะเวลาที่คณะรัฐมนตรีกำหนด โดยแสดงวัตถุประสงค์แผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามนัยมาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ และให้สำนักงบประมาณพิจารณาตามแนวทางการจัดทำงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป โดยให้ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๖๒ (เรื่อง แนวทางการจัดทำงบประมาณและปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔) ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้สำนักคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้ารับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าปรับบทบาทให้สามารถดำเนินการเชิงรุก โดยเร่งรัดการพัฒนาระบบบริหารจัดการภายในเพื่ออำนวยความสะดวกแก่เจ้าหน้าที่ในการพิจารณาและดำเนินการเรื่องร้องเรียนต่าง ๆ รวมทั้งเร่งรัดการศึกษาวิเคราะห์โครงสร้างตลาด การติดตามพฤติกรรมการประกอบธุรกิจและแนวโน้มการประกอบธุรกิจที่มีแนวโน้มจะก่อให้เกิดการผูกขาด โดยเฉพาะธุรกิจที่มีศักยภาพสูง อาทิ ธุรกิจด้านการท่องเที่ยว และธุรกิจบริการใหม่ที่มีแนวโน้มเติบโตสูงสอดคล้องกับพลวัตรการเปลี่ยนแปลงทางการค้าของโลก และควรพิจารณาให้มีเจ้าหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าเข้าไปมีส่วนร่วมในโครงการต่าง ๆ ที่มีการจัดจ้างที่ปรึกษาดำเนินการเพื่อเป็นการพัฒนาความรู้และทักษะของบุคลากรและสร้างความเชี่ยวชาญให้สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าสามารถดำเนินการได้เองในอนาคต นอกจากนี้ สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าควรเร่งสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายการแข่งขันทางการค้าให้แก่ผู้บริโภคและผู้ประกอบการอย่างแพร่หลายเพื่อส่งเสริมการค้าที่เป็นธรรมและเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการโดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของไทย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11246 | ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือส่วนราชการอย่างอื่นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การแก้ไขเพิ่มเติมการแบ่งส่วนราชการตำรวจภูธรภาค 1-9 ในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ) | ตช | 28/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการเป็นกองบังคับการหรือส่วนราชการอย่างอื่นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่และการแบ่งส่วนราชการภายใน ตำรวจภูธรภาค ๑-๙ โดยเสนอจัดตั้งกองบังคับการกฎหมายและคดี เป็นส่วนราชการระดับกองบังคับการ สังกัดตำรวจภูธรภาค ๑-๙ ในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงาน ก.พ. และสำนักงบประมาณที่เห็นว่า (๑) หน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นใหม่จะต้องมีขอบเขตภารกิจที่ไม่ซ้ำซ้อนกับหน่วยงานที่มีอยู่เดิม (๒) การจัดตั้งกองบังคับการกฎหมายและคดี เป็นหน่วยงานระดับกองบังคับการ สังกัดตำรวจภูธรภาค ๑-๙ และจัดแบ่งงานภายในเป็น ๓ กองกำกับการ จะส่งผลกระทบต่อการกำหนดตำแหน่งหัวหน้าหน่วยงานในระดับต่าง ๆ จึงควรพิจารณาเกลี่ยอัตรากำลังทั้งจำนวนและตำแหน่งที่มีอยู่เดิม และการเตรียมกำลังพลรองรับภารกิจของกองบังคับการกฎหมายและคดี ในระยะแรกสำนักงานตำรวจแห่งชาติควรพิจารณาข้าราชการตำรวจที่มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์มาช่วยปฏิบัติงานก่อน และในระยะถัดไปควรเตรียมการสรรหาบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถเพื่อมาบรรจุในตำแหน่งที่ว่าง รวมทั้งพิจารณาหลักสูตรการพัฒนาเฉพาะด้านอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในการปฏิบัติงาน นอกจากนี้ ภารกิจของกองกำกับการฝ่ายอำนวยการซึ่งมีลักษณะงานอำนวยการและสนับสนุนภารกิจของกองบังคับการกฎหมายและคดี ควรใช้อัตรากำลังตามพระราชกฤษฎีกาข้าราชการตำรวจประเภทไม่มียศ พ.ศ. ๒๕๕๘ เช่น พนักงานราชการหรือลูกจ้างชั่วคราวมาปฏิบัติงาน เพื่อลดภาระงบประมาณค่าใช้จ่ายด้านบุคคลในระยะยาว และ (๓) ร่างกฎกระทรวงดังกล่าวจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในส่วนของเงินประจำตำแหน่งและเงินค่าตอบแทนนอกเหนือจากเงินเดือน ดังนั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติควรบริหารอัตรากำลังตามความจำเป็น โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ภายใต้แผนงานบุคลากรภาครัฐ สำหรับปีงบประมาณต่อ ๆ ไป เห็นควรให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11247 | ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 เฉพาะกัญชง (Hemp) พ.ศ. .... | สธ | 28/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท ๕ เฉพาะกัญชง (Hemp) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตผลิต จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท ๕ เฉพาะเฮมพ์ พ.ศ. ๒๕๕๙ เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท ๕ ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11248 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 จำนวน 2 ฉบับ | อก | 28/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวง จำนวน ๒ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๓๕) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการควบคุมการระบายน้ำทิ้งออกจากโรงงาน และการควบคุมอากาศเสียจากสารมลพิษหรือการใช้สารเคมีซึ่งเกิดจากการประกอบกิจการโรงงาน ๒. ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง ฉบับที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๓๕) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการให้ผู้ประกอบกิจการโรงงานต้องแจ้งข้อมูลที่จำเป็นเกี่ยวกับสารมลพิษหรือสารเคมีในการประกอบกิจการโรงงาน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11249 | ร่างประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง กำหนดชนิดและแหล่งกำเนิดวัตถุดิบที่จะนำมาใช้ในโรงงาน พ.ศ. .... | อก | 28/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง กำหนดชนิดและแหล่งกำเนิดวัตถุดิบที่จะนำมาใช้ในโรงงาน พ.ศ. .... ที่คณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการห้ามมิให้โรงงานตามกฎหมายว่าด้วยโรงงานใช้ชิ้นส่วนอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์หรือเศษ (ไม่รวมเศษจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้า) อันเป็นขยะอิเล็กทรอนิกส์ (E-Waste) ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ มาเป็นวัตถุดิบในโรงงาน ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11250 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กโครงสร้างรูปพรรณขึ้นรูปเย็น สำหรับงานโครงสร้างทั่วไป ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... | อก | 28/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กโครงสร้างรูปพรรณขึ้นรูปเย็นสำหรับงานโครงสร้างทั่วไปต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการออกกฎกระทรวงตามมาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (ฉบับที่ ๘) พ.ศ. ๒๕๖๒ เป็นการกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กโครงสร้างรูปพรรณขึ้นรูปเย็นสำหรับงานโครงสร้างทั่วไป ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11251 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมต้องเป็นไปตามมาตรฐาน รวม 3 ฉบับ (ร่างกฎกระทรววงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมสายไฟฟ้าหุ้มฉนวนพอลิไวนิลคลอไรด์แรงดันไฟฟ้าที่กำหนดไม่เกิน 450/750 โวลต์ เล่ม 101 สายไฟฟ้ามีเปลือกสำหรับงานทั่วไป ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. ....) | อก | 28/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมต้องเป็นไปตามมาตรฐาน รวม ๓ ฉบับ เพื่อเป็นการคุ้มครองความปลอดภัยของผู้บริโภคและป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจของประเทศ และสอดคล้องกับการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตและการใช้งานในปัจจุบัน ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมสายไฟฟ้าหุ้มฉนวนพอลิไวนิลคลอไรด์ แรงดันไฟฟ้าที่กำหนดไม่เกิน ๔๕๐/๗๕๐ โวลต์ เล่ม ๑๐๑ สายไฟฟ้ามีเปลือกสำหรับงานทั่ว่ไป ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงการกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมสายไฟฟ้าหุ้มฉนวนพอลิไวนิลคลอไรด์ แรงดันไฟฟ้าที่กำหนด ๔๕๐/๗๕๐ โวลต์ เล่ม ๑๐๑ สายไฟฟ้ามีเปลือกสำหรับงานทั่วไป ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน ๒. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อนสำหรับงานถังก๊าซ ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงการกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อน สำหรับงานถังก๊าซ ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน ๓. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดเย็นเคลือบสังกะสีโดยกรรมวิธีจุ่มร้อน แผ่นม้วน แผ่นแถบ แผ่นตัด และแผ่นลูกฟูก ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเหล็กกล้าทรงแบนรีดเย็นเคลือบสังกะสีโดยกรรมวิธีจุ่มร้อน แผ่นม้วน แผ่นแถบ แผ่นตัด และแผ่นลูกฟูก ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11252 | การสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาบริหารและสภาปฏิบัติการไปรษณีย์ในการประชุมใหญ่สหภาพสากลไปรษณีย์ สมัยที่ 27 | ดศ | 28/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้ประเทศไทยสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาบริหาร (Council of Administration : CA) และสภาปฏิบัติการไปรษณีย์ (Postal Operations Council : POC) ในการประชุมใหญ่สหภาพสากลไปรษณีย์ (Universal Postal Union : UPU) สมัยที่ ๒๗ ๑.๒ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการขอเสียงและแลกเสียงสนับสนุนจากประเทศสมาชิกของ UPU ในการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิก CA และ POC ของประเทศไทย ๒. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นเห็นควรให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ เมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ประกาศใช้บังคับแล้ว รวมถึงพิจารณานำเงินนอกงบประมาณไปดำเนินการตามความจำเป็นและเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11253 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นางสาววันเพ็ญ นิโครวนจำรัส) | พณ | 28/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสาววันเพ็ญ นิโครวนจำรัส ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาการพาณิชย์ (นักวิชการพาณิชย์ทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพาณิชย์ ตั้งแต่วันที่ ๒ มกราคม ๒๕๖๓ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11254 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา ข้ามแม่น้ำเมย/ตองยิน แห่งที่ 2 พ.ศ. .... | คค | 28/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมาข้ามแม่น้ำเมย/ตองยิน แห่งที่ ๒ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา ข้ามแม่น้ำเมย/ตองยิน แห่งที่ ๒ ต่อจากทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑๓๐ เป็นสะพานที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนสะพาน กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนสะพานตามประเภทของยานยนตร์ และกำหนดประเภทของยานยนตร์ที่ได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียม ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมาข้ามแม่น้ำเมย/ตองยิน แห่งที่ ๒ ควรคำนึงถึงต้นทุนค่าขนส่ง รวมถึงต้นทุนสินค้าของผู้ประกอบการไทยยังอยู่ในระดับที่แข่งขันได้ และควรให้มีการหารือกับผู้ประกอบการในพื้นที่ด้วย รวมทั้งเห็นควรให้คณะกรรมาธิการบริหาร บำรุงรักษา และการใช้สะพาน และหน่วยบำรุงรักษาสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา ข้ามแม่น้ำเมย/ตองยิน แห่งที่ ๒ เร่งพิจารณาขยายขอบเขตของความตกลงการบริหาร การบำรุงรักษาและการใช้สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา ข้ามแม่น้ำเมย/ตองยิน แห่งที่ ๒ ให้ครอบคลุมถึงการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงบนสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา ข้ามแม่น้ำเมย/ตองยิน แห่งที่ ๑ พร้อมทั้งพิจารณากำหนดให้มีการใช้ประโยชน์สะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา ข้ามแม่น้ำเมย/ตองยิน แห่งที่ ๑ และ ๒ ภายใต้แนวคิดการแยกคนและสินค้าออกจากกันอย่างสมบูรณ์ เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์สะพานทั้ง ๒ แห่ง ได้อย่างคุ้มค่าและสามารถรองรับปริมาณการเดินทางและขนส่งสินค้าข้ามพรมแดนไทย-เมียนมา ที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11255 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 81 สายบางใหญ่-กาญจนบุรี พ.ศ. .... | คค | 28/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข ๘๑ สายบางใหญ่-กาญจนบุรี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ทางหลวงพิเศษหมายเลข ๘๑ สายบางใหญ่-กาญจนบุรี เป็นทางหลวงที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวง โดยกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมตามประเภทของยานยนตร์ กำหนดให้มีการปรับอัตราค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นทุก ๕ ปี และให้มีผลใช้บังคับนับแต่วันที่อธิบดีกรมทางหลวงประกาศกำหนด ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนที่เห็นว่า การกำหนดอัตราค่าธรรมเนียม กรมทางหลวงจะดำเนินการจัดเก็บได้ต่อเมื่อทางหลวงหมายเลข ๘๑ เปิดใช้บริการอย่างเป็นทางการแล้ว จึงควรคำนึงถึงความเหมาะสมและสภาพเศรษฐกิจและสังคมในขณะนี้ด้วย รวมทั้งควรพิจารณากำหนดกลไกการปรับอัตราค่าธรรมเนียมผ่านทางที่เหมาะสมในทุก ๆ ๕ ปี เพื่อลดความเสี่ยงทางด้านรายได้และค่าใช้จ่ายของโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่-กาญจนบุรี ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ตลอดจนควรมีการบริหารจัดการบัญชีเงินทุนค่าธรรมเนียมผ่านทางให้มีความเพียงพอต่อการจ่ายค่าตอบแทนให้กับเอกชนตามกำหนดเวลาที่ได้ตกลงกันไว้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11256 | ขออนุมัติแก้ไขชื่อตำบลของสถานที่ก่อสร้างอาคารสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัด | ปช | 28/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแก้ไขชื่อตำบลของสถานที่ก่อสร้างอาคารสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดสุโขทัย และอาคารสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดหนองบัวลำภู ตามที่สำนักงาน ป.ป.ช. เสนอ ดังนี้
๑. ค่าก่อสร้างอาคารสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดสุโขทัย พร้อมอาคารชุดพักอาศัย บ้านพักและสิ่งก่อสร้างประกอบ จาก ตำบลบ้านกล้วย อำเภอเมืองสุโขทัย จังหวัดสุโขทัย แก้ไขเป็น ตำบลปากแคว อำเภอเมืองสุโขทัย จังหวัดสุโขทัย ๒. ค่าควบคุมงานก่อสร้างอาคารสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดสุโขทัย พร้อมอาคารชุดพักอาศัย บ้านพักและสิ่งก่อสร้างประกอบ จาก ตำบลบ้านกล้วย อำเภอเมืองสุโขทัย จังหวัดสุโขทัย แก้ไขเป็น ตำบลปากแคว อำเภอเมืองสุโขทัย จังหวัดสุโขทัย ๓. ค่าก่อสร้างอาคารสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดหนองบัวลำภู และสิ่งก่อสร้างประกอบ จาก ตำบลหนองบัว อำเภอเมืองหนองบัวลำภู จังหวัดหนองบัวลำภู แก้ไขเป็น ตำบลลำภู อำเภอเมืองหนองบัวลำภู จังหวัดหนองบัวลำภู ๔. ค่าควบคุมงานก่อสร้างอาคารสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดหนองบัวลำภู และสิ่งก่อสร้างประกอบ จาก ตำบลหนองบัวลำภู อำเภอหนองบัวลำภู จังหวัดหนองบัวลำภู แก้ไขเป็น ตำบลลำภู อำเภอเมืองหนองบัวลำภู จังหวัดหนองบัวลำภู
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11257 | การรับรายงานผลดำเนินการกรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการทุจริตและประพฤติมิชอบของศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต | ปปท. | 28/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. มอบหมายให้สำนักงาน ป.ป.ท. ทำหน้าที่ประสานงานและร่วมมือกับส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐอื่นเกี่ยวกับการรับเรื่องร้องเรียนหรือพบเหตุอันควรสงสัยว่าข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐในสังกัดกระทำการหรือเกี่ยวข้องกับการทุจริตประพฤติมิชอบ รวมทั้งการตรวจสอบ เร่งรัด ติดตามการดำเนินงานของหัวหน้าส่วนราชการหรือหัวหน้าหน่วยงานของรัฐ ให้เป็นไปตามนัยมาตรา ๕๑ (๒) และ (๔) แห่งพระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๕๑ ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ทั้งนี้ ให้ศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตของแต่ละหน่วยงานมีหน้าที่ในการรายงานผลการดำเนินงานของหน่วยงานของรัฐซึ่งอยู่ในสังกัดหรือกำกับ (ประกอบด้วย ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และองค์การมหาชน) ไปยังสำนักงาน ป.ป.ท. ตามรูปแบบวิธีการที่สำนักงาน ป.ป.ท. กำหนดด้วย ๒. ให้สำนักงาน ป.ป.ท. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงบประมาณ เช่น (๑) การกำหนดรูปแบบ วิธีการ และลักษณะข้อมูลของการรายงานผลการดำเนินการกรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการทุจริตและประพฤติมิชอบ ควรคำนึงถึงวัตถุประสงค์ของการรายงานผลฯ และควรจัดเก็บข้อมูลเท่าที่จำเป็น โดยอยู่ภายใต้กฎหมาย กฎ และระเบียบที่เกี่ยวข้อง โดยควรชี้แจงหรือประชาสัมพันธ์ให้หน่วยงานเจ้าของข้อมูลเข้าใจและสามารถดำเนินการได้อย่างถูกต้อง และ (๒) ระบบติดตามการดำเนินวินัย ปกครอง ตามโครงการบูรณาการฐานข้อมูลการป้องกันและปราบปรามการทุจิต ควรคำนึงถึงการใช้งานที่สะดวก เข้าใจง่าย ไม่ยุ่งยากซับซ้อน มีความยืดหยุ่น ตอบสนองความต้องการผู้ใช้งาน เป็นระบบที่มีความมั่นคงปลอดภัยทางเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อรักษาความปลอดภัยของข้อมูลที่มีชั้นความลับ และออกแบบให้หน่วยงานเจ้าของข้อมูลเป็นผู้ดำเนินการกรอกข้อมูลเองทั้งหมด เพื่อป้องกันมิให้เกิดความผิดพลาด รวมทั้งสามารถนำข้อมูลที่เก็บรวบรวมไว้มาผ่านกระบวนการวิเคราะห์เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์ในการบูรณาการฐานข้อมูลหรือการตัดสินใจ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. มอบหมายให้สำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินการแก้ไขปัญหากรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาพรวมทั้งหมด และนำข้อมูลในเรื่องสำคัญต่าง ๆ ไปดำเนินการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้แก่ประชาชนให้ถูกต้อง ชัดเจน และทั่วถึงต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11258 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ 11/2562 | สกพอ | 28/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ ๑๑/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๖๒ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุม ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเสนอ โดยที่ประชุมฯ มีมติในเรื่องสำคัญ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแผนการส่งมอบพื้นที่และรื้อย้ายสาธารณูปโภค โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน (ท่าอากาศยานดอนเมือง-ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ-ท่าอากาศยานอู่ตะเภา) และกรอบวงเงิน ๔๗๙.๐๕๕ ล้านบาท สำหรับการดำเนินงานรื้อย้ายเพื่อเปิดพื้นที่ก่อสร้างโครงการฯ ช่วงดอนเมือง-พญาไท และช่วงสุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา รวมทั้งสิ้น ๖๕๒ จุด ดำเนินการแล้วเสร็จภายใน ๒๔ เดือน ทั้งนี้ หน่วยงานเจ้าของโครงการภายใต้กำกับของกระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร การประปานครหลวง การประปาส่วนภูมิภาค การไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) จะดำเนินการขอรับการจัดสรรงบประมาณจากงบกลาง รายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นต่อไป ๑.๒ เห็นชอบการปรับปรุงประกาศคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และกระบวนการในการร่วมลงทุนกับเอกชนหรือให้เอกชนเป็นผู้ลงทุน พ.ศ. ๒๕๖๐ และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งเห็นชอบการแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับดูแล และคณะกรรมการบริหารสัญญาและโครงสร้างการบริหารจัดการโครงการรถไฟความเร็วสูงฯ โดยให้มีผลเมื่อมีการประกาศใช้ประกาศคณะกรรมการนโยบายฯ ฉบับที่ได้มีการปรับปรุงข้างต้นแล้ว ๑.๓ เห็นชอบการจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษเพื่อกิจการพิเศษ : การแพทย์จีโนมิกส์ มหาวิทยาลัยบูรพา (บางแสน) เพื่อพัฒนาและเตรียมพื้นที่รองรับการลงทุนจากภาคเอกชนในด้านการแพทย์จีโนมิกส์ (คาดการณ์ว่าจะมีการลงทุนไม่ต่ำกว่า ๑,๒๕๐ ล้านบาท) ซึ่งจะเป็นการสร้างความรู้ทางการแพทย์จีโนมิกส์ที่จำเป็นให้แก่ประเทศ โดยการใช้ฐานข้อมูลทางพันธุกรรมเพื่อนำไปสู่การรักษาพยาบาลที่มีประสิทธิภาพ และจะนำไปใช้ในระบบหลักประกันสุขภาพเพื่อให้ประชาชนทั่วไปเข้าถึงการรักษาได้อย่างทั่วถึง ๑.๔ เห็นชอบในหลักการโครงการพัฒนาศูนย์บริการทดสอบทางการแพทย์จีโนมิกส์ ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Thailand Genome Sequencing Center) โดยให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกร่วมกับสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินโครงการฯ และจะมีการว่าจ้างผู้ประกอบการให้บริการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนม (Whole Genome Sequencing : WGS) ของประชากรไทย จำนวน ๕๐,๐๐๐ ราย รวมถึงการเห็นชอบกรอบวงเงิน ๗๕๐ ล้านบาท จากกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม เพื่อซื้อบริการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนม ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ในการส่งมอบพื้นที่และรื้อย้ายสาธารณูปโภคเพื่อดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินควรเร่งรัดให้แล้วเสร็จตามแผน และคำนึงถึงผลกระทบที่อาจจะมีต่อประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งควรประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจในการพัฒนาโครงการฯ ให้แก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11259 | ผลการประชุมคณะกรรมการเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 1/2562 และ 2/2562 | นร11 | 28/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ ระหว่างวันที่ ๔-๕ มีนาคม ๒๕๖๒ ณ กรุงซันติอาโก สาธารณรัฐชิลี และครั้งที่ ๒/๒๕๖๒ ระหว่างวันที่ ๒๖-๒๗ สิงหาคม ๒๕๖๒ ณ เมืองปัวโตวาราส สาธารณรัฐชิลี มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการขับเคลื่อนและพัฒนางานด้านเศรษฐกิจของประเทศไทยที่สำคัญ เช่น การยกระดับคุณภาพและการเข้าถึงบริการภาครัฐของประชาชนผ่านการใช้เทคโนโลยีเพื่อนำไปสู่รัฐบาลดิจิทัล (Digital Government) การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างต่อเนื่องในอนาคต การปฏิรูปด้านกฎระเบียบเพื่อส่งเสริมความสะดวกในการประกอบธุรกิจ การคุ้มครองผู้บริโภค การปฏิรูปเพื่อเพิ่มธรรมาภิบาลและความโปร่งใสในการดำเนินงานภาครัฐ เป็นต้น และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมคณะกรรมการเศรษฐกิจเอเปคต่อไป โดยให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติติดตามการขับเคลื่อนการปฏิรูปโครงสร้างของไทย และหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเสนอประเด็นการขับเคลื่อนปฏิรูปโครงสร้างที่ควรให้ความสำคัญในอนาคต ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. เพื่อให้การเสนอรายงานผลการประชุมที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือที่เกี่ยวกับองค์การระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันรัฐบาลไทยสามารถนำมาใช้ประโยชน์ต่อการขับเคลื่อนการปฏิรูปโครงสร้างของประเทศไทยได้ทันต่อสถานการณ์ในครั้งต่อ ๆ ไป ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอผลการประชุมต่าง ๆ ต่อคณะรัฐมนตรีโดยเร็วด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11260 | มาตรการการจัดการปัญหามลพิษทางเสียงจากสนามบินสาธารณะ | ทส | 28/01/2563 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมาตรการจัดการปัญหามลพิษทางเสียงจากสนามบินสาธารณะ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นกรอบการดำเนินงานในลักษณะงานบูรณาการร่วมกันในการจัดการปัญหามลพิษทางเสียงจากสนามบินสาธารณะ ซึ่งใช้แนวทางการจัดการปัญหามลพิษทางเสียงจากอากาศยานอย่างสมดุลที่องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization : ICAO) ได้เสนอ ประกอบกับมาตรการจัดการมลพิษอากาศและเสียงจากท่าอากาศยานที่ได้จัดทำในปี ๒๕๔๗ ประกอบด้วย ๔ มาตรการ ได้แก่ (๑) มาตรการการนำแผนที่เส้นเท่าระดับเสียงไปใช้ในการวางแผนการใช้ประโยชน์ที่ดินโดยรอบสนามบิน (๒) มาตรการการจัดการผลกระทบด้านเสียงจากอากาศยานและวิธีปฏิบัติการบิน (๓) มาตรการการพัฒนาเครื่องมือในการบริหารจัดการมลพิษทางเสียงและแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียน และ (๔) มาตรการการส่งเสริมการมีส่วนร่วมและเผยแพร่ข้อมูลการจัดการเสียงสนามบิน และมอบหมายกระทรวงคมนาคม กระทรวงกลาโหม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงสาธารณสุข ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
.....