ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 553 จากทั้งหมด 6201 หน้า แสดงรายการที่ 11041 - 11060 จากข้อมูลทั้งหมด 124013 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
11041 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง พ.ศ. .... | นร09 | 10/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีการเรียกประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่งสำหรับปี ๒๕๖๓ ตั้งแต่วันที่ ๒๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11042 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (JTC) ไทย - บังกลาเทศ ครั้งที่ 5 | พณ | 10/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee : JTC) ไทย-บังกลาเทศ ครั้งที่ ๕ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๗-๘ มกราคม ๒๕๖๓ ณ กรุงเทพมหานคร โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์บังกลาเทศ (H.E. Mr.Tipu Munshi) เป็นประธานร่วม โดยผลการประชุมมีสาระสำคัญเกี่ยวกับภาพรวมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ การส่งเสริมการค้าการลงทุน ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ และประเด็นอื่น ๆ ซึ่งเป็นการส่งเสริมและอำนวยความสะดวกทางการค้าและการลงทุนระหว่างกันให้มากขึ้น รวมทั้งเป็นการกระชับความร่วมมือทางเศรษฐกิจในด้านที่ทั้งสองฝ่ายมีศักยภาพร่วมกัน ได้แก่ อุตสาหกรรม เกษตร ประมง ปศุสัตว์ บริการสุขภาพและสาธารณสุข และความเชื่อมโยงทางคมนาคม เพื่อผลักดันให้มูลค่าการค้าระหว่างกันบรรลุเป้าหมายที่ ๒,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี ๒๕๖๔ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เป็นต้น ดำเนินการตามผลการประชุมดังกล่าวให้มีผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11043 | ผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท สมัยที่ 3 | ทส | 10/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
๑. รับทราบผลการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท สมัยที่ ๓ ระหว่างวันที่ ๒๕-๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส โดยมีประเด็นสำคัญ เช่น (๑) ที่ประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาฯ สมัยที่ ๓ มีมติแต่งตั้งให้ ดร. ประเสริฐ ตปนียางกูร เป็นผู้แทนภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เพื่อเข้าร่วมเป็นสมาชิกของคณะกรรมการบริหารแผนงานพิเศษระหว่างประเทศต่อเป็นวาระที่ ๒ (๒) สาระสำคัญที่มีความก้าวหน้าในมติข้อตัดสินใจของการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาฯ สมัยที่ ๓ และจะนำไปหารือต่อเนื่องในการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาฯ สมัยที่ ๔ ต่อไป เช่น ผลิตภัณฑ์ที่เติมปรอทและกระบวนการผลิตที่มีการใช้ปรอทหรือสารประกอบปรอท การปลดปล่อยปรอทสู่ดินและน้ำ และการปล่อยปรอทจากการเผาในที่โล่งของของเสีย เป็นต้น และ (๓) การกำหนดการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาฯ สมัยที่ ๔ ณ เมืองบาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ระหว่างวันที่ ๓๑ ตุลาคม-๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ สมัยที่ ๓ ๒. มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมควบคุมมลพิษ) ในการปฏิบัติตามพันธกรณีของอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท และขับเคลื่อนการดำเนินงานภายในประเทศให้เป็นไปตามมติข้อตัดสินใจของการประชุมรัฐภาคีฯ สมัยที่ ๓ ดังนี้ ๒.๑ มอบหมายกระทรวงอุตสาหกรรม (กรมโรงงานอุตสาหกรรม และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกรมควบคุมมลพิษ) และกระทรวงพลังงาน (กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ) นำแนวทางการจัดการพื้นที่ปนเปื้อนที่ผ่านการรับรองโดยที่ประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาฯ สมัยที่ ๓ มาปรับใช้ในทางปฏิบัติสำหรับประเทศไทยต่อไป ๒.๒ มอบหมายกระทรวงสาธารณสุข (กรมอนามัย) จัดส่งผู้แทนเพื่อเข้ารับการคัดเลือกเป็นผู้แทนภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญเฉพาะกิจ ในการพิจารณาทบทวนภาคผนวก เอ และ บี โดยแจ้งให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมควบคุมมลพิษ) ภายในวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๖๓ ๒.๓ มอบหมายกระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) จัดส่งผู้แทนผู้มีความชำนาญในการใช้งานพิกัดศุลกากรสำหรับผลิตภัณฑ์ที่เติมปรอทตามภาคผนวก เอ โดยแจ้งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมควบคุมมลพิษ) ภายในวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๖๓ เพื่อแจ้งสำนักเลขาธิการอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอททราบ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11044 | การยืนยันร่างพระราชบัญญัติที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว (แผนการเสนอร่างกฎหมายในระยะ 1 ปี) | นร09 | 10/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแนวทางการดำเนินการเพื่อจัดทำแผนการเสนอร่างกฎหมายในระยะ ๑ ปี เนื่องจากขณะนี้คณะกรรมการปฏิรูปประเทศกำลังปรับปรุงแผนการปฏิรูปประเทศตามมติคณะรัฐมนตรี (๓ ธันวาคม ๒๕๖๒) ทำให้ข้อมูลเกี่ยวกับร่างกฎหมายที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้รับมาตามมติคณะรัฐมนตรี (๖ สิงหาคม ๒๕๖๒) จึงไม่สอดคล้องกับแผนการปฏิรูปประเทศ สมควรรอให้มีการประกาศใช้บังคับแผนการปฏิรูปประเทศที่ปรับปรุงใหม่เสียก่อน เพื่อให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจะได้จัดทำแผนการเสนอร่างกฎหมายในระยะ ๑ ปี ให้สอดคล้องกับแผนการปฏิรูปประเทศได้อย่างถูกต้อง โดยจะดำเนินการจัดทำแผนการเสนอร่างกฎหมายดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่มีการประกาศแผนการปฏิรูปประเทศที่ปรับปรุงใหม่ในราชกิจจานุเบกษา และจะได้นำเสนอแผนการเสนอร่างกฎหมายต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยเร็วต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11045 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดด่านศุลกากรและด่านพรมแดน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (กำหนดด่านพรมแดนแม่สอด แห่งที่ 2 ของด่านศุลกากรแม่สอด) | กค | 10/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดด่านศุลกากรและด่านพรมแดน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้จุดผ่านแดนถาวรสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา ข้ามแม่น้ำเมย แห่งที่ ๒ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เป็นด่านพรมแดนแม่สอด แห่งที่ ๒ ของด่านศุลกากรแม่สอด และกำหนดให้บริเวณสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา ๒ ริมฝั่งแม่น้ำเมยฝั่งไทย ตำบลท่าสายลวด อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เป็นเขตศุลกากร ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11046 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับวัตถุอันตราย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | อก | 10/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับวัตถุอันตราย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมใบนำผ่านสำหรับวัตถุอันตรายชนิดที่ ๑ ชนิดที่ ๒ และชนิดที่ ๓ เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพลังงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. เกี่ยวกับการขออนุญาตนำเข้า ส่งออก หรือนำผ่านวัตถุอัตราย ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับหลายส่วนราชการ จึงเห็นว่าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องควรมีการดำเนินงานในลักษณะของการบูรณาการการทำงานร่วมกัน และควรพัฒนาระบบการให้บริการในการขออนุมัติอนุญาตจากภาครัฐและการชำระค่าธรรมเนียมผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงการเชื่อมโยงข้อมูลของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับระบบ i-Industry ซึ่งมีกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นผู้รับผิดชอบหลัก เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11047 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นางเดือนถนอม พรหมขัติแก้ว) | สธ | 10/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางเดือนถนอม พรหมขัติแก้ว ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ทรงคุณวุฒิด้านคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ (นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข รับเงินประจำตำแหน่งอัตรา ๑๕,๖๐๐ บาท ตั้งแต่วันที่ ๕ กันยายน ๒๕๖๒ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11048 | ผลการประชุมคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2562 | ดศ | 10/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ โดยที่ประชุมฯ ได้รับทราบ และพิจารณาในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ (๑) แนวทางการแก้ปัญหาข้อร้องเรียนเกี่ยวกับมติที่ประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งที่ ๕/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ เรื่อง แนวทางการดำเนินการนำสายสื่อสารลงใต้ดินตามนโยบายของรัฐบาล (กรุงเทพมหานคร) (๒) การดำเนินการด้านงบประมาณของสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ และ (๓) ผลการดำเนินงานของคณะกรรมการภายใต้พระราชบัญญัติการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พ.ศ. ๒๕๖๐ เช่น ผลการดำเนินงานของคณะกรรมการฯ ใน ๑๕ ประเด็น สถานะทางการเงินของกองทุนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รายงานผลการศึกษาเทคโนโลยี 5G และการจัดงานสัมมนาและนิทรรศการนานาชาติ “Digital Thailand Big Bang 2019” เป็นต้น ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11049 | การขอความเห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงของรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนว่าด้วยการเสริมสร้างความเข้มแข็ง [ห่วงโซ่อุปทานอาเซียน] [ความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจของอาเซียน] ในการตอบสนองต่อการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโคโรนา (โควิด-19) | พณ | 10/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างถ้อยแถลงของรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนว่าด้วยการเสริมสร้างความเข้มแข็ง [ห่วงโซ่อุปทานอาเซียน] [ความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจของอาเซียน] ในการตอบสนองต่อการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโคโรนา (โควิด-๑๙) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายให้การรับรองร่างถ้อยแถลงฯ โดยร่างถ้อยแถลงฯ เป็นเอกสารที่จะมีการรับรองโดยไม่มีการลงนามในการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (AEM Retreat) ครั้งที่ ๒๖ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๙-๑๑ มีนาคม ๒๕๖๓ ณ เมืองดานัง สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม มีสาระสำคัญเพื่อส่งเสริมความร่วมมือในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนเพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากโควิด-๑๙ ผ่านการดำเนินการต่าง ๆ เช่น การส่งเสริมการแลกเปลี่ยนข้อมูลและความพยายามในการประสานงานและความร่วมมือในระดับภูมิภาคเพื่อการตอบสนองต่อความท้าทายทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการแพร่ระบาดของโควิด-๑๙ การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและการค้าดิจิทัลเพื่อเอื้อให้ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อมและรายย่อยเพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไป แม้ในกรณีมีการแพร่ระบาดของโควิด-๑๙ และทำงานร่วมกันเพื่อเสริมสร้างความยืดหยุ่นและความยั่งยืนของห่วงโซ่อุปทานในระยะยาว โดยเฉพาะความร่วมมือในการเร่งรัดการดำเนินการตามแผนแม่บทว่าด้วยความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน ค.ศ. ๒๐๒๕ เป็นต้น ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและการค้าดิจิทัลที่สามารถเชื่อมโยงกันในภูมิภาค เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการโดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อมและรายย่อยในประเทศสมาชิก สามารถปรับตัวและเข้าถึงช่องทางตลาดรูปแบบใหม่ ตลอดจนมีส่วนร่วมในห่วงโซ่การผลิตและการค้าในภูมิภาค ซึ่งจะช่วยบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าว และเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11050 | การต่อเวลาการดำรงตำแหน่งของอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (นายธัญญา เนติธรรมกุล) | ทส | 10/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการต่อเวลาการดำรงตำแหน่งของ นายธัญญา เนติธรรมกุล ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ต่อไปอีก ๑ ปี (ครั้งที่ ๑) ตั้งแต่วันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ ถึงวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11051 | การแต่งตั้งผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (นายพรพล เอกอรรถพร) | พณ | 10/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายพรพล เอกอรรถพร ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11052 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ครั้งที่ 2/2563 | นร11 | 10/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๖๓ ซึ่งที่ประชุมรับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจและผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 สรุปผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝายเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ เมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๖๓ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ และพิจารณาหลักการของมาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ชุดที่ ๑ รวมทั้งข้อเสนอของกระทรวงคมนาคมเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินมาตรการบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 เกี่ยวกับสายการบินและการเดินทางทางอากาศ ตามที่คณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจเสนอ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามสรุปผลการประชุมดังกล่าวให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับมาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ชุดที่ ๑ โดยขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องคำนึงถึงภารกิจ ความพร้อม ศักยภาพและความสามารถ วิธีการดำเนินการที่โปร่งใส ความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ และกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้มีความชัดเจนอย่างครอบคลุมและเป็นธรรม โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากโรคติดเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์และประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับอย่างเหมาะสม รวมถึงภาระทางการคลังหรือการสูญเสียรายได้ที่จะเกิดขึ้น ตลอดจนจัดให้มีระบบการติดตามและการรายงานผลการดำเนินงานและผลการใช้จ่ายให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ ๆ ในโอกาสแรก เพื่อให้การดำเนินมาตรการดูแลเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) ชุดที่ ๑ บรรลุวัตถุประสงค์และสามารถผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากการระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) ได้อย่างมีประสิทธิภาพทันต่อสถานการณ์ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้คณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11053 | การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการการอุดมศึกษา (จำนวน 11 ราย 1. ศาสตราจารย์คลินิกเกียรติคุณอุดม คชินทร ฯลฯ) | อว | 10/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการการอุดมศึกษา รวม ๑๑ คน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๐ มีนาคม ๒๕๖๓) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ ดังนี้
๑. ศาสตราจารย์คลินิกเกียรติคุณอุดม คชินทร ประธานกรรมการ ๒. ศาสตราจารย์ปริญญา จินดาประเสริฐ กรรมการ ๓. รองศาสตราจารย์ประดิษฐ์ วรรณรัตน์ กรรมการ ๔. รองศาสตราจารย์ศักรินทร์ ภูมิรัตน กรรมการ ๕. นายเจษฎ์ โทณะวณิก กรรมการ ๖. ศาสตราจารย์ชาติชาย ณ เชียงใหม่ กรรมการ ๗. รองศาสตราจารย์พีระพงศ์ ทีฆสกุล กรรมการ ๘. ศาสตราจารย์วิชัย ริ้วตระกูล กรรมการ ๙. นายสุเมธ แย้มนุ่น กรรมการ ๑๐. นางเสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ กรรมการ ๑๑. นายอิสระ ว่องกุศลกิจ กรรมการ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11054 | รายงานผลการดำเนินงานของศูนย์ข้อมูลมาตรการแก้ไขปัญหาจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID-19) | นร01 | 10/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินงานของศูนย์ข้อมูลมาตรการแก้ไขปัญหาจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยมีผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ ๕-๙ มีนาคม ๒๕๖๓ ได้แก่ (๑) ประสานติดตามสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในต่างประเทศและภายในประเทศ จากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (๒) รับเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์และข้อคิดเห็นจากประชาชนเกี่ยวกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จากหมายเลขโทรศัพท์ ๐๒ ๒๘๘ ๖๐๗๐-๔ และสายด่วน ๑๑๑๑ รวมทั้งสิ้น ๒,๕๐๘ เรื่อง และ (๓) ประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพื่อสร้างการรับรู้ให้กับประชาชน โดยมีประเด็นการแถลงข่าวที่สำคัญประจำวัน เช่น การเปิดศูนย์ข้อมูล COVID-19 สถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก และประเทศไทย รวมทั้งการดำเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในการรับคนไทยกลับจากต่างประเทศ เป็นต้น และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการการแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่องต่อไป ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายเทวัญ ลิปตพัลลภ) ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลมาตรการแก้ไขปัญหาจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11055 | มาตรการเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือประชาชน ดูแลปัญหาภัยแล้ง และกระตุ้นเศรษฐกิจ | พน | 10/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบกำหนดมาตรการเร่งด่วนเพื่อช่วยเหลือประชาชน ดูแลปัญหาภัยแล้ง และกระตุ้นเศรษฐกิจ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การคืนเงินประกันการใช้ไฟฟ้า โดยให้การไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายพิจารณาเร่งรัดออกแนวทางปฏิบัติและรายละเอียดในการดำเนินการเพื่อให้ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทที่ ๑ บ้านอยู่อาศัย และประเภทที่ ๒ กิจการขนาดเล็ก จำนวนผู้ใช้ไฟฟ้ารวมประมาณ ๒๑.๕ ล้านราย สามารถใช้สิทธิในการขอคืนเงินประกันการใช้ไฟฟ้าที่วางไว้ตามขนาดเครื่องวัดหน่วยไฟฟ้า ซึ่งมีวงเงินรวมที่จะมีสิทธิขอคืนประมาณ ๓๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยจะสามารถเริ่มทยอยคืนได้ตั้งแต่เดือนมีนาคม ๒๕๖๓ ๒. การเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินกองทุนพัฒนาไฟฟ้า ในพื้นที่ ๗๒ จังหวัด วงเงินรวม ๔,๐๖๔ ล้านบาท โดยให้กองทุนพัฒนาไฟฟ้าในพื้นที่ประกาศเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินภายใต้โครงการชุมชนปี ๒๕๖๓ จำนวนกว่า ๖,๖๐๐ โครงการ วงเงินรวม ๒,๔๙๔ ล้านบาท เพื่อเป็นการกระตุ้นการใช้จ่ายในพื้นที่และพัฒนาหรือฟื้นฟูท้องถิ่นในด้านสาธารณสุข อาชีพ การศึกษา และสิ่งแวดล้อม รวมทั้งให้กองทุนพัฒนาไฟฟ้าในพื้นที่ประกาศ พิจารณาทบทวนโครงการชุมชนภายใต้งบประมาณที่ได้รับอนุมัติแล้ว เพื่อดำเนินโครงการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง จ้างแรงงาน จัดซื้อหรือก่อสร้างที่ใช้วัสดุอุปกรณ์ของผู้ประกอบการระดับท้องถิ่นภายในประเทศ การศึกษาดูงานภายในประเทศแทนการศึกษาดูงานต่างประเทศ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจภายในประเทศ ๓. การกำกับดูแลอัตราค่าไฟฟ้า โดยตรึงอัตราค่าเอฟที เดือนพฤษภาคม ๒๕๖๓ ในอัตรา -๑๑.๖๐ สตางค์ต่อหน่วย หรือลดลง ๑๑.๖๐ สตางค์ต่อหน่วย จากค่าไฟฟ้าฐาน คิดเป็นวงเงินประมาณ ๔,๕๓๔ ล้านบาท ๔. มาตรการอื่น ๆ ของการไฟฟ้า อาทิ (๑) ลดค่าไฟฟ้าในอัตราร้อยละ ๓ ให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าทุกประเภท เป็นระยะเวลา ๓ เดือน (เมษายน-มิถุนายน ๒๕๖๓) และ (๒) ขยายระยะเวลาการชำระค่าไฟฟ้า สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภท กิจการเฉพาะอย่าง (ธุรกิจโรงแรม และกิจการให้เช่าพักอาศัย) ตลอดจนไม่คิดค่าปรับ (ดอกเบี้ย) ตลอดระยะเวลาการผ่อนผัน โดยไม่มีการงดจ่ายไฟฟ้าเป็นการชั่วคราว และผ่อนผันได้ไม่เกิน ๖ เดือนของแต่ละรอบบิล ทั้งนี้ เริ่มตั้งแต่ค่าไฟฟ้าประจำเดือนเมษายน-พฤษภาคม ๒๕๖๓ โดยผู้ใช้ไฟฟ้าต้องแจ้งความประสงค์ขอรับความช่วยเหลือได้ที่สำนักงานการไฟฟ้าในพื้นที่
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11056 | มาตรการด้านการงบประมาณเพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) และสถานการณ์ภัยแล้ง | นร07 | 10/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบมาตรการด้านการงบประมาณเพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) และสถานการณ์ภัยแล้ง ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ งบประมาณรายจ่ายประจำ ๑.๑.๑ ให้หน่วยรับงบประมาณพิจารณาปรับลดการใช้จ่ายงบประมาณ หรือปรับเปลี่ยนวิธีดำเนินงานสำหรับงบประมาณในลักษณะรายจ่ายประจำ ที่มิใช่ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการต่างประเทศให้ได้ประมาณร้อยละสิบของงบประมาณรายจ่ายประจำของหน่วยรับงบประมาณ เพื่อไปดำเนินการที่ก่อให้เกิดการจัดซื้อจัดจ้างจากผู้ประกอบการหรือผู้ผลิตรายย่อย รวมถึงการจ้างแรงงาน ๑.๑.๒ ให้หน่วยรับงบประมาณปรับแผนการเดินทางไปราชการต่างประเทศ ที่ตั้งไว้สำหรับศึกษา ดูงาน ประชุม สัมมนา อบรม ณ ต่างประเทศ โดยให้นำมาดำเนินการภายในประเทศ หรือเปลี่ยนแปลงงบประมาณ ไปดำเนินการตามแนวทางในข้อ ๑.๑.๑ สำหรับค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการต่างประเทศกรณีอื่น กรณีการเดินทางไปยังประเทศกลุ่มเสี่ยงที่มีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) หากสามารถระงับหรือเลื่อนการเดินทางได้ ให้หน่วยรับงบประมาณพิจารณาดำเนินการด้วย ๑.๒ งบประมาณรายจ่ายลงทุน ๑.๒.๑ งบประมาณรายจ่ายในลักษณะค่าครุภัณฑ์ที่มีวงเงินต่ำกว่าหนึ่งล้านบาท หรือสิ่งก่อสร้างที่มีวงเงินต่ำกว่าสิบล้านบาท ที่แน่ชัดว่าไม่สามารถจัดซื้อจัดจ้างได้ภายในเดือนมีนาคม ๒๕๖๓ ให้หน่วยรับงบประมาณพิจารณาโอนหรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรรไปดำเนินการจัดหาครุภัณฑ์หรือสิ่งก่อสร้างอย่างอื่น ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) หรือสถานการณ์ภัยแล้ง เช่น การพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อเตรียมความพร้อมของพื้นที่สำหรับกักเก็บน้ำในช่วงฤดูฝนโดยใช้แรงงานจากภาคเกษตร หรือปรับเปลี่ยนวิธีดำเนินการจากงานจ้างเหมาเป็นงานดำเนินการเอง เพื่อสนับสนุนให้เกิดการจ้างงานในพื้นที่ เป็นต้น ทั้งนี้ โดยดำเนินการภายในพื้นที่จังหวัดที่ได้รับจัดสรรงบประมาณในลำดับแรก ๑.๒.๒ ให้หน่วยรับงบประมาณพิจารณาทบทวนการจัดหาครุภัณฑ์จากต่างประเทศมาดำเนินการจัดหาครุภัณฑ์จากผู้ผลิตภายในประเทศ เว้นแต่กรณีที่มีความจำเป็นอย่างแท้จริง ๑.๓ งบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ๑.๓.๑ งบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นที่สำนักงบประมาณยังไม่ได้จัดสรรให้หน่วยรับงบประมาณ โดยเห็นสมควรให้หน่วยรับงบประมาณชะลอการดำเนินการไว้ก่อน ประกอบด้วย (๑) รายการที่นายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้ว และ (๒) รายการที่มีคำขอของหน่วยรับงบประมาณ ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณา ๑.๓.๒ งบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นที่สำนักงบประมาณได้จัดสรรให้แก่หน่วยรับงบประมาณแล้ว กรณีที่หน่วยรับงบประมาณไม่สามารถดำเนินการก่อหนี้ผูกพันหรือบันทึกใบสั่งซื้อ (PO) ได้ทันภายในวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๖๓ เห็นสมควรให้ยกเลิกโครงการ/รายการ และให้แจ้งสำนักงบประมาณภายในวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๖๓ เพื่อดำเนินการนำงบประมาณส่งคืนสำหรับนำไปใช้ในโครงการ/รายการสำคัญเร่งด่วนตามมาตรการระยะเร่งด่วนสำหรับการแก้ไขปัญหาจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) และสถานการณ์ภัยแล้ง ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี โดยยึดถือกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ต่อไป ๑.๓.๓ กรณีที่หน่วยรับงบประมาณมีภารกิจ และอำนาจหน้าที่ในการดำเนินการเพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) และสถานการณ์ภัยแล้ง และมีความจำเป็นต้องใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ให้เสนอขอรับการจัดสรรตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. ๒๕๖๒ หรือระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการขอใช้งบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อแก้ไขเยียวยาความเดือดร้อนเสียหายในบางกรณี พ.ศ. ๒๕๕๙ แล้วแต่กรณี ต่อสำนักงบประมาณภายในวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๖๓ ทั้งนี้ การพิจารณาดำเนินการตามมาตรการข้อ ๑.๑ และข้อ ๑.๒ ให้หน่วยรับงบประมาณพิจารณาดำเนินการให้เป็นไปตามภารกิจ และอำนาจหน้าที่ที่สามารถดำเนินการได้ โดยยึดถือกฎหมาย ระเบียบ หรือมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเป็นหลัก ๒. ให้สำนักงบประมาณได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11057 | มาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) ชุดที่ 1 | กค | 10/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า เพื่อให้มาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) มีความครอบคลุมมากยิ่งขึ้นและสามารถสื่อสารกับสาธารณชนได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้นด้วย จึงเห็นควรปรับเปลี่ยนชื่อมาตรการ จากเดิม “มาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) ชุดที่ ๑” เป็น “มาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) ต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ระยะที่ ๑” และตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเสนอขอปรับถ้อยคำของมาตรการบรรเทาภาระจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ภายใต้มาตรการช่วยเหลืออื่น ๆ จากเดิม “คืนค่าประกันมิเตอร์” เป็น “คืนเงินประกันการใช้ไฟฟ้า” ๒. รับทราบและเห็นชอบมาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) ต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ระยะที่ ๑ ดังนี้ ๒.๑ มาตรการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ หรือโควิด ๑๙ เห็นชอบในหลักการให้มีการจัดเตรียมงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในวงเงิน ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ หรือโควิด ๑๙ โดยให้กระทรวงการคลังดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๖๓ [เรื่อง มาตรการด้านการงบประมาณเพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) และสถานการณ์ภัยแล้ง] ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.๒ มาตรการด้านภาษี ๒.๒.๑ เห็นชอบในหลักการมาตรการด้านภาษี จำนวน ๔ มาตรการ ได้แก่ (๑) มาตรการคืนสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการในประเทศ (๒) มาตรการภาษีเพื่อลดภาระดอกเบี้ยจ่ายของผู้ประกอบการ (๓) มาตรการส่งเสริมเสถียรภาพของการจ้างงานในสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 และ (๔) มาตรการเร่งคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ประกอบการภายในประเทศ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒.๒.๒ อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยภาษีเงินได้ จำนวน ๑ ฉบับ (มาตรการคืนสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการในประเทศ) และร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... จำนวน ๒ ฉบับ (มาตรการภาษีเพื่อลดภาระดอกเบี้ยจ่ายของผู้ประกอบการ และมาตรการส่งเสริมเสถียรภาพของการจ้างงานในสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19) รวม ๓ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.๓ มาตรการด้านการเงิน ๒.๓.๑ เห็นชอบมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้ธนาคารออมสินสนับสนุนเงินทุนดอกเบี้ยต่ำวงเงินรวม ๑๕๐,๐๐๐ ล้านบาท ให้แก่สถาบันการเงินและสำนักงานธนานุเคราะห์ โดยคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๐.๐๑ ต่อปี และให้สถาบันการเงินให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบการในอัตราร้อยละ ๒ ต่อปี ระยะเวลา ๒ ปี วงเงินสินเชื่อสูงสุดต่อรายไม่เกิน ๒๐ ล้านบาท และรัฐบาลชดเชยต้นเงินทุนแก่ธนาคารออมสินในอัตราร้อยละ ๒.๕ ต่อปี ภายในกรอบวงเงินงบประมาณรวม ๗,๕๐๐ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้ธนาคารออมสินจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ และปีต่อ ๆ ไป ตามผลการดำเนินงานจริง โดยให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๖๒ (เรื่อง แนวทางการจัดทำงบประมาณและปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔) และให้ถือเป็นส่วนหนึ่งของคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ของธนาคารออมสินด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.๓.๒ รับทราบมาตรการด้านการเงิน จำนวน ๓ มาตรการ ได้แก่ (๑) มาตรการสินเชื่อเพื่อส่งเสริมการจ้างงานของสำนักงานประกันสังคม (๒) มาตรการพักต้นเงินลดดอกเบี้ยและขยายระยะเวลาชำระหนี้แก่ลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ และ (๓) มาตรการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจไทย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒.๒.๓ ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไปให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด รวมทั้งรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรดำเนินการด้วยความรอบคอบ โปร่งใส และระมัดระวัง เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบทางการเงิน อันจะก่อให้เกิดภาระต่อรัฐบาลในอนาคตไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย ๒.๔ มาตรการบรรเทาค่าครองชีพแก่ประชาชนจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ให้ถอนมาตรการดังกล่าวออกไปก่อน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒.๕ มาตรการสร้างความเชื่อมั่นในระบบตลาดทุน ๒.๕.๑ เห็นชอบในหลักการมาตรการสร้างความเชื่อมั่นในระบบตลาดทุน โดยให้ประชาชนทั่วไปสามารถหักลดหย่อนค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออม (Super Saving Fund หรือ SSF) ที่มีนโยบายการลงทุนในหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยไม่น้อยกว่าร้อยละ ๖๕ ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (Net Asset Value หรือ NAV) ได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท โดยแยกต่างหากจากวงเงินหักลดหย่อนค่าซื้อหน่วยลงทุนใน SSF กรณีปกติ และไม่อยู่ภายใต้เพดานวงเงินหักลดหย่อนรวมของเงินสะสม เงินสมทบหรือค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนเพื่อการเกษียณอายุทั้งหมด ทั้งนี้ ผู้ใช้สิทธิหักลดหย่อนตามมาตรการนี้จะต้องซื้อหน่วยลงทุนใน SSF ระหว่างวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๓ ถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๓ และต้องถือหน่วยลงทุนไว้ไม่น้อยกว่า ๑๐ ปี และต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขอื่น ๆ ที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด ๒.๕.๒ ให้กระทรวงการคลัง (กรมสรรพากร) เร่งรัดการจัดทำร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (มาตรการสร้างความเชื่อมั่นในระบบตลาดทุน) เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยด่วนต่อไป ๒.๖ มาตรการช่วยเหลืออื่น ๆ รับทราบมาตรการช่วยเหลืออื่น ๆ ได้แก่ (๑) มาตรการบรรเทาภาระค่าธรรมเนียม ค่าเช่า ค่าตอบแทนในการให้บริการของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ (๒) มาตรการบรรเทาภาระการจ่ายค่าน้ำค่าไฟ (๓) มาตรการลดเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมของนายจ้างและลูกจ้าง และ (๔) มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อไปให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด รวมทั้งรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมที่เห็นว่า มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ควรพิจารณาออกกฎกระทรวงการคลังเพื่อกำหนดให้การจัดซื้อจัดจ้างพัสดุในวงเงินไม่เกินสองล้านบาท ให้กระทำได้โดยวิธีคัดเลือกตามมาตรา ๕๖ (๑) (ซ) หรือวิธีเฉพาะเจาะจง ตามมาตรา ๕๖ (๒) (ซ) แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ ในห้วงเวลานับถัดจากวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติจนถึงเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๓ เพื่อให้สามารถดำเนินการได้ตามมาตรการดังกล่าวที่ระบุให้หน่วยงานเร่งดำเนินการเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุนปีเดียวที่เป็นการจัดหาพัสดุที่มีวงเงินต่อรายการไม่เกินสองล้านบาท ให้แล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๓ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒.๗ การจัดตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียนของกระทรวงการคลัง รับทราบการจัดตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียนของกระทรวงการคลัง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ และความเห็นของกระทรวงคมนาคมและธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นควร (๑) สร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานการดำเนินงานตามมาตรการดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดเวลาดำเนินการ ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ และดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบ กฎหมาย และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง (๒) วางแผนและประเมินผลกระทบภายใต้สถานการณ์จำลองต่าง ๆ (Scenario Planning) โดยเฉพาะกรณีที่มีการระบาดในระยะที่ ๓ เพื่อให้มีมาตรการเชิงรุกและงบประมาณในการรับมืออย่างเพียงพอ และออกมาตรการชุดต่าง ๆ โดยพิจารณาถึงประสิทธิผลและความคุ้มค่าของงบประมาณ รวมถึงมีกระบวนการในการดำเนินงาน และประเมินผลของมาตรการอย่างชัดเจน และ (๓) ให้ความสำคัญกับการสื่อสารกับประชาชน เพื่อสร้างความเข้าใจและความเชื่อมั่นต่อแนวทางการรับมือกับ COVID-19 ว่าจะมีมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่องและ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11058 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการบริจาคเพื่อแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)) | กค | 10/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการบริจาคเพื่อแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้บุคคลธรรมดาบริจาคเงินให้แก่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจเกี่ยวกับการป้องกัน ระงับ ยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) สามารถนำมาหักเป็นค่าลดหย่อนได้เท่าจำนวนที่บริจาค แต่เมื่อรวมกับเงินบริจาคตามมาตรา ๔๗ (๗) แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว ต้องไม่เกินร้อยละสิบของเงินได้พึงประเมินหลังจากหักค่าใช้จ่ายและหักค่าลดหย่อนอื่น ๆ แล้ว ๑.๒ กำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลบริจาคเงินหรือทรัพย์สินให้แก่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจเกี่ยวกับการป้องกัน ระงับ ยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) สามารถนำมาหักเป็นรายจ่ายได้เท่าจำนวนที่บริจาค แต่เมื่อรวมกับรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะหรือเพื่อการสาธารณประโยชน์ และเพื่อการศึกษาหรือเพื่อการกีฬา ตามมาตรา ๖๕ ตรี (๓) แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว ต้องไม่เกินร้อยละสองของกำไรสุทธิ ๑.๓ กำหนดให้ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีบริจาคเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจเกี่ยวกับการป้องกัน ระงับ ยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ๑.๔ การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีทั้งหมดข้างต้น มีผลใช้บังคับสำหรับการบริจาคผ่านระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ของกรมสรรพากร (e-Donation) ที่ได้กระทำตั้งแต่วันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๖๓ ถึงวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๖๔ ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการบริจาคเพื่อแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19)] ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ ตามนัยแห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ต่อไป ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานผลการดำเนินงานตามมาตรการภาษีดังกล่าวด้วยไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. ให้กระทรวงการคลังได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11059 | มาตรการเร่งรัดให้ทุกส่วนราชการจัดประชุมและสัมมนาภายในประเทศ 3 เดือน (เมษายน ถึง มิถุนายน 2563) เพื่อพยุงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว | กก | 10/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบมาตรการเร่งรัดให้ทุกส่วนราชการจัดประชุมและสัมมนาภายในประเทศ ๓ เดือน (เมษายน ถึง มิถุนายน ๒๕๖๓) เพื่อพยุงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โดยขอความร่วมมือให้ทุกส่วนราชการเร่งการใช้จ่ายงบประมาณปี ๒๕๖๓ โดยการจัดประชุมและสัมมนาภายในประเทศ ๓ เดือน (เมษายน ถึง มิถุนายน ๒๕๖๓) และส่งปฏิทินการจัดประชุมและสัมมนาดังกล่าวให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเพื่อนำไปขยายผลร่วมกับภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) และให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐดำเนินการต่อไป ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ทั้งนี้ ในการจัดประชุมและสัมมนาดังกล่าวให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐประสานงานกับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในการดำเนินการป้องกันและควบคุมความเสี่ยงต่อการติดเชื้อและการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ โดยการจัดเตรียมสถานที่ อุปกรณ์ และเจ้าหน้าที่ให้เป็นไปตามมาตรการและข้อแนะนำของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด รวมถึงการเพิ่มทางเลือกของการประชุมและสัมมนา โดยการนำเทคโนโลยีการสื่อสารที่ทันสมัยมาใช้เพื่อให้การจัดสถานที่ รูปแบบ และจำนวนผู้เข้าร่วมสัมมนามีความเหมาะสม และสามารถควบคุมและบริหารจัดการความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ. ด้วย ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรสนับสนุนให้มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวอื่น ๆ และบริการเสริม เพื่ออำนวยความสะดวกและสร้างแรงจูงใจให้แก่หน่วยงานผู้จัดประชุม/สัมมนาในการใช้บริการจากสถานที่ดังกล่าวมากขึ้น รวมทั้งมีระบบข้อมูล การตรวจสอบ คัดกรองและป้องกันสำหรับผู้เข้าร่วมประชุมอย่างเข้มงวด เพื่อลดความเสี่ยงและสร้างความมั่นใจให้กับผู้เข้าร่วมประชุมและสัมมนาต่อไป และให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการจัดประชุมและสัมมนาในประเทศ ๓ เดือน (เมษายน ถึง มิถุนายน ๒๕๖๓) โดยให้เร่งดำเนินการตามมาตรการด้านการงบประมาณเพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) และสถานการณ์ภัยแล้ง หรือเร่งใช้จ่ายจากงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรไว้เพื่อการดังกล่าวแล้ว รวมถึงการนำเงินนอกงบประมาณมาสมทบการจัดประชุมและสัมมนาในโอกาสแรกด้วย ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในข้อ ๑ ต่อไป ๓. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
11060 | การจัดตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 | นร04 | 10/03/2563 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นว่า เพื่อเป็นการยกระดับการบริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ในประเทศไทยให้อยู่ในวงจำกัด ลดผลกระทบต่อภาวะสุขภาพของประชาชน เศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศ สร้างความตระหนักรู้เท่าทัน และเตรียมความพร้อมในการรับมือกับการระบาดของโรคอย่างมีประสิทธิภาพตามมาตรฐานสากล ตลอดจนประเมินสถานการณ์เพื่อการบังคับใช้กฎหมายให้ตรงกับความรุนแรงของปัญหาและวางมาตรการป้องกัน ควบคุม และช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอย่างเหมาะสม คณะรัฐมนตรีจึงมีมติมอบหมายให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีจัดตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) ขึ้น เพื่อทำหน้าที่กำหนดนโยบายและมาตรการเร่งด่วนในการบริหารสถานการณ์ดังกล่าว โดยให้คณะกรรมการอำนวยการเตรียมความพร้อม ป้องกัน และแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่แห่งชาติ และศูนย์ข้อมูลมาตรการแก้ไขปัญหาจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ ปฏิบัติหน้าที่ภายใต้ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ ด้วย
|
.....