ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 412 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 8221 - 8240 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
8221 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณก่อสร้างอาคารผู้ป่วยนอก 4 ชั้น พื้นที่ใช้สอยประมาณ 5,640 ตารางเมตร (รวมโครงสร้างต้านแผ่นดินไหว) โรงพยาบาลท่าโรงช้าง ตำบลท่าโรงช้าง อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี 1 หลัง | สธ. | 29/06/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
อนุมัติตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้ ๑.๑
เพิ่มวงเงินรายการก่อสร้างอาคารผู้ป่วยนอก ๔ ชั้น พื้นที่ใช้สอยประมาณ ๕,๖๔๐
ตารางเมตร (รวมโครงสร้างต้านแผ่นดินไหว) โรงพยาบาลท่าโรงช้าง ตำบลท่าโรงช้าง อำเภอพุนพิน
จังหวัดสุราษฎร์ธานี ๑ หลัง จากเดิมวงเงิน ๗๔,๐๓๐,๖๗๐ บาท เป็นวงเงิน
๗๖,๖๓๑,๘๔๒.๐๒ บาท โดยงานส่วนที่เหลือในวงเงิน ๖๓,๗๗๐,๐๐๐ บาท
ใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓-พ.ศ. ๒๕๖๖ จำนวน ๖๒,๗๐๔,๘๐๐ บาท
และเงินบำรุงโรงพยาบาลท่าโรงช้างสมทบอีก จำนวน ๑,๐๖๕,๒๐๐ บาท ๑.๒ ขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อสร้างดังกล่าว
จากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-พ.ศ. ๒๕๕๙ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-พ.ศ. ๒๕๖๖ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุข
(สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข) รับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้ดำเนินการตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง
ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วน
โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ
สำหรับกรณีการยกเลิกสัญญาการก่อสร้างดังกล่าวซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการ
เห็นควรที่พิจารณาดำเนินการตามระเบียบ ข้อสัญญา และกฎมาย
ที่เกี่ยวข้องกับผู้รับจ้างอย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8222 | ขอความเห็นชอบการสมัครเป็นสมาชิกสมาคมกีฬามวลชนนานาชาติ (The Association For International Sport for All: TAFISA) | กก. | 29/06/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบการสมัครเป็นสมาชิกสมาคมกีฬามวลชนนานาชาติ (The Association For
International Sport for All : TAFISA) ของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
(กรมพลศึกษา) ในนามประเทศไทย รวมทั้งเห็นชอบค่าใช้จ่ายและแหล่งที่มาสำหรับค่าบำรุงสมาชิกประจำปี
๒๕๖๔ จำนวน ๔๐๐ ยูโร และค่าธรรมเนียมการโอนเงินระหว่างประเทศ จำนวน ๒๐ ยูโร
รวมทั้งสิ้น ๔๒๐ ยูโร หรือเทียบเท่า ๑๖,๘๐๐ บาท (๑ ยูโร เท่ากับ ๔๐ บาท)
ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ สำหรับค่าบำรุงสมาชิกประจำปี ๒๕๖๔
ค่าธรรมเนียมการโอนเงินระหว่างประเทศ เห็นควรให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
(กรมพลศึกษา) พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดังกล่าว ส่วนค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณต่อ
ๆ ไป เห็นควรให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.
ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแผนการดำเนินงานเพื่อส่งเสริมการพัฒนากีฬามวลชนในประเทศอย่างเป็นรูปธรรม
โดยให้ความสำคัญกับการสนับสนุนการลงทุนด้านกีฬาในโรงเรียนและชุมชนเพื่อส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพของเด็กเยาวชนในระยะยาว
ลดปัญหาการกลั่นแกล้งและการใช้ความรุนแรงในสถานศึกษา (school
Bullying) และปัญหายาเสพติดและอาชญากรรมในโรงเรียนและชุมชน
ตลอดจนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของประเด็นการพัฒนาศักยภาพการกีฬาของแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8223 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เรื่่อง การกำหนดวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษและการกำหนดวันหยุดราชการประจำภูมิภาค รวมทั้งการเลื่อนวันหยุดชดเชยวันหยุดราชการ ประจำปี 2564 (ยกเลิกวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษในวันอังคารที่ 27 กรกฎาคม 2564) | นร. | 29/06/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๖๓ (เรื่อง การกำหนดวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษและการกำหนดวันหยุดราชการประจำภูมิภาค
รวมทั้งการเลื่อนวันหยุดชดเชยวันหยุดราชการ ประจำปี ๒๕๖๔) เห็นชอบในวันอังคารที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๖๔
เป็นวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษ ในปี ๒๕๖๔ นั้น
โดยที่ปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (โควิด-19)
ยังคงมีความรุนแรงอยู่อย่างต่อเนื่อง จึงมีความจำเป็นต้องดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙
ดังกล่าว ให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากที่สุด
รวมถึงการให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการรวมตัวกัน
และจำกัดการเดินทางออกนอกพื้นที่พักอาศัยโดยไม่จำเป็น
ดังนั้น คณะรัฐมนตรีจึงมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบให้ยกเลิกวันหยุดราชการเพิ่มเป็นกรณีพิเศษในวันอังคารที่ ๒๗ กรกฎาคม
๒๕๖๔
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8224 | บันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งคณะทำงานร่วมด้านความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างกระทรวงดิจิทัลและเศรษฐกิจของสาธารณรัฐออสเตรียกับกระทรวงพาณิชย์ของราชอาณาจักรไทย | พณ. | 29/06/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งคณะทำงานร่วมด้านความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างกระทรวงดิจิทัลและเศรษฐกิจของสาธารณรัฐออสเตรียกับกระทรวงพาณิชย์ของราชอาณาจักรไทย ซึ่งร่างบันทึกความเข้าใจฯ
มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจ กาค้า และวิชาการ
ในสาขาที่มีความสนใจร่วมกัน ๑๐ สาขา ได้แก่ ๑) อุตสาหกรรมยานยนต์ ๒)
บริการด้านการบริหารจัดการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ๓) การเกษตรอินทรีย์ ๔)
เศรษฐกิจหมุนเวียน ๕) เมืองอัจฉริยะ ๖) วิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย ๗)
วิสาหกิจเริ่มต้น (Startups) ๘)
การพัฒนากำลังคน ๙) อุตสาหกรรมเครื่องจักรกล หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ และ ๑๐)
เทคโนโลยีสิ่งทอ ทั้งนี้ ร่างบันทึกความเข้าใจฯ
มิได้มีเจตนาก่อให้เกิดพันธกรณีภายใต้บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศ
และมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ
ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นว่าเหมาะสมสอดคล้องกับนโยบายและผลประโยชน์ของไทย
สามารถปฏิบัติได้ภายใต้กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมีการติดตามประเมินผลเป็นระยะ
เพื่อขยายไปสู่ความร่วมมือในมิติอื่นต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งคณะทำงานร่วมด้านความร่วมมือทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างกระทรวงดิจิทัลและเศรษฐกิจของสาธารณรัฐออสเตรียกับกระทรวงพาณิชย์ของราชอาณาจักรไทยในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8225 | ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาตและใบแทนใบอนุญาตเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมสำหรับผู้ประกอบการตรวจสอบและรับรอง พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | อก. | 29/06/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาตและใบแทนใบอนุญาตเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมสำหรับผู้ประกอบการตรวจสอบและรับรอง
พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาตและใบแทนใบอนุญาตเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
พ.ศ. ๒๕๔๘ และยกเว้นค่าธรรมเนียมสำหรับผู้ประกอบการตรวจสอบและรับรอง
ตามที่กำหนดในกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมสำหรับผู้ประกอบการตรวจสอบและรับรอง
พ.ศ. ๒๕๕๒ โดยให้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
จนถึงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๕ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงาน
ก.พ.ร. และสำนักงบประมาณ ที่เห็นว่ากระทรวงอุตสาหกรรมควรทบทวนการจัดเก็บค่าธรรมเนียมให้สอดคล้องกับปัจจุบัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับการขอรับใบอนุญาต ใบรับรอง
หรือใบแทนใบอนุญาต และควรเร่งพัฒนาแพลตฟอร์มกลาง (I-Connect)
ที่บูรณาการเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานภายในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมกับหน่วยงานภายนอก
และผู้ประกอบการ
สร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
ไปพิจารณาดำเนินการ ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
เกี่ยวกับการจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน
และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ
ตลอดจนรายงานและติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินงานเป็นระยะ ๆ
และเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการตามนัยแห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ ต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8226 | ร่างกฎกระทรวงการจัดเก็บข้อมูลของสัตว์ที่เข้าสู่โรงฆ่าสัตว์และเนื้อสัตว์ที่ออกจากโรงฆ่าสัตว์ พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดชนิดของสัตว์ที่ต้องอยู่ในการกำกับดูแลการประกอบกิจการฆ่าสัตว์ พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | กษ. | 29/06/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงการจัดเก็บข้อมูลของสัตว์ที่เข้าสู่โรงฆ่าสัตว์และเนื้อสัตว์ที่ออกจากโรงฆ่าสัตว์
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์การจัดเก็บข้อมูลของสัตว์ที่เข้าสู่โรงฆ่าสัตว์และเนื้อสัตว์ที่ออกจากโรงฆ่าสัตว์
เพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบย้อนกลับข้อมูลของเนื้อสัตว์
ตลอดกระบวนการผลิตและการเรียกคืนเนื้อสัตว์
เพื่อให้ผู้บริโภคได้บริโภคเนื้อสัตว์ที่ถูกสุขอนามัย และร่างกฎกระทรวงกำหนดชนิดของสัตว์ที่ต้องอยู่ในการกำกับดูแลการประกอบกิจการฆ่าสัตว์
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดชนิดของสัตว์ ได้แก่ ไก่งวงและนกกระทา ให้เป็นสัตว์ที่ต้องอยู่ในการกำกับดูแลมาตรการประกอบกิจการฆ่าสัตว์
ตามพระราชบัญญัติควบคุมการฆ่าสัตว์เพื่อการจำหน่ายเนื้อสัตว์ พ.ศ. ๒๕๕๙ ทั้งนี้ เพื่อให้มีมาตรการตรวจสอบควบคุมหรือป้องกันมิให้มีโรคระบาดที่เกิดกับสัตว์ติดต่อมาสู่คน
รวมถึงตรวจสอบสารตกค้างในเนื้อสัตว์ดังกล่าว เพื่อให้ผู้บริโภคได้บริโภคเนื้อสัตว์ที่ถูกสุขอนามัย รวม ๒ ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8227 | การนำแนวทางการจัดทำข้อตกลงคุณธรรม (Integrity Pact) ตามโครงการความร่วมมือป้องกันการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ สำหรับหน่วยงานของรัฐที่ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างหรือการร่วมลงทุนภายใต้กฎหมายอื่น นอกเหนือจากพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 ไปกำหนดใช้โดยอนุโลม | กค. | 29/06/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบการนำแนวทางการจัดทำข้อตกลงคุณธรรม
(Integrity Pact)
ตามโครงการความร่วมมือป้องกันการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
สำหรับหน่วยงานของรัฐที่ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างหรือการร่วมลงทุนภายใต้กฎหมายอื่น
นอกเหนือจากพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐
ไปกำหนดใช้โดยอนุโลม
เพื่อสนับสนุนให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
รวมถึงสร้างความโปร่งใสในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐได้อย่างครอบคลุมทุกโครงการจัดซื้อจัดจ้างในทุกหน่วยงานของรัฐ
ตามที่คณะกรรมการนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างและบริหารพัสดุภาครัฐเสนอ ทั้งนี้
ให้คณะกรรมการนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างและบริหารพัสดุภาครัฐ กระทรวงการคลัง
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม สำนักงบประมาณ
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
ควรมีการจัดทำข้อกำหนดของเป้าหมายการดำเนินงานดัชนี
และตัวชี้วัดของข้อตกลงคุณธรรมดังกล่าว
และควรกำหนดให้ชัดเจนว่าจะนำไปใช้ในกรณีใดในทางปฏิบัติต่อไป เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องทุกแห่งถือปฏิบัติตามแนวทางการจัดทำข้อตกลงคุณธรรม
(Integrity Pact) ตามที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบตามข้อ ๑ อย่างเคร่งครัด |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8228 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานท่อส่งน้ำสาย 1 ซ้าย ของท่อส่งน้ำสายใหญ่ของอ่างเก็บน้ำคลองจะกระ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... | กษ. | 29/06/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานท่อส่งน้ำสาย
๑ ซ้าย ของท่อส่งน้ำสายใหญ่ของอ่างเก็บน้ำคลองจะกระ
เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ทางน้ำชลประทานท่อส่งน้ำสาย
๑ ซ้าย ของท่อส่งน้ำสายใหญ่ของอ่างเก็บน้ำคลองจะกระ ในท้องที่ตำบลนาหูกวาง
อำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทานจากผู้ใช้น้ำที่นำน้ำไปใช้เพื่อกิจการโรงงาน
การประปา หรือกิจการอื่นนอกภาคเกษตรกรรม เพื่อประโยชน์ในการควบคุมดูแลปริมาณน้ำ
และให้การใช้น้ำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8229 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านเศรษฐกิจดิจิทัลระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงการสื่อสารและสารสนเทศแห่งสาธารณรัฐสิงคโปร์ | ดศ. | 29/06/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านเศรษฐกิจดิจิทัลระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งราชอาณาจักรไทย
และกระทรวงการสื่อสารและสารสนเทศแห่งสาธารณรัฐสิงคโปร์
และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมมอบหมายเป็นผู้ร่วมลงนามฝ่ายไทยในร่างบันทึกความเข้าใจฉบับดังกล่าว
โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเป็นการสนับสนุนเศรษฐกิจดิจิทัลของทั้งสองประเทศให้มีความครอบคลุมและรอบด้านทั้งในมิติด้านเศรษฐกิจ
สังคม และความมั่นคง แลกเปลี่ยนนโยบาย เทคโนโลยี ข้อมูลและทรัพยากรมนุษย์
และส่งเสริมอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลตามความสนใจของแต่ละฝ่าย ซึ่งจะนำไปสู่ผลประโยชน์ร่วมกัน ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ และให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ ที่เห็นว่าไม่มีข้อขัดข้องต่อสารัตถะและถ้อยคำโดยรวมของร่างบันทึกความเข้าใจฯ
โดยได้ปรับแก้หัวข้อของวรรค ๙ ของร่างบันทึกความเข้าใจฯ จาก “Dispute Settlement” เป็น “Resolution of Differences” ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านเศรษฐกิจดิจิทัลระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งราชอาณาจักรไทย
และกระทรวงการสื่อสารและสารสนเทศแห่งสาธารณรัฐสิงคโปร์ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดำเนินการได้
โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8230 | แผนการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม พ.ศ. 2564 – 2565 | นร.53 | 29/06/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบแผนการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๕ ซึ่งเป็นกรอบแนวทางในการขับเคลื่อนงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
(Small and Medium
Enterprise : SME) ประกอบด้วย ๓ แนวทาง คือ (๑)
การบรรเทาปัญหาและฟื้นฟูธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด 19 (๒)
การสร้างความพร้อมให้ SME ในการเข้าสู่การแข่งขันในบริบทใหม่ทางเศรษฐกิจ
(๓) การปรับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจให้เกิดความสะดวกแก่ SME ตามที่สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
(สสว.) เสนอ และให้ สสว. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงบประมาณ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์
(องค์การมหาชน) และธนาคารแห่งประเทศไทย รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงสาธารณสุข เช่น
ควรพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของโครงการที่มีผลกระทบในวงกว้างและตอบโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการในสถานการณ์ปัจจุบัน
ควรสนับสนุนให้ภาครัฐพัฒนา Digital Factoring Platform และควรกำหนดระยะเวลาการดำเนินงานของแต่ละแผนย่อย
(Action plan) ให้ชัดเจน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
๒. ให้ สสว. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารด้านการให้ความช่วยเหลือจากภาครัฐ
เพื่อให้ SME และผู้ประกอบการรายย่อยสามารถเข้าถึงสิทธิประโยชน์ที่รัฐจัดหาให้ได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึง
รวมทั้งพิจารณากำหนดกลไกและมาตรการเพื่อจูงใจผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจในลักษณะบุคคลธรรมดาให้เข้าสู่ระบบการจดทะเบียนพาณิชย์เพื่อให้ภาครัฐมีข้อมูลของ
SME และประกอบการรายย่อยได้อย่างถูกต้องครบถ้วนมากยิ่งขึ้น |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8231 | หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 [Coronavirus Disease 2019 (COVID - 19)] (ฉบับที่ 4) | สธ. | 29/06/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบหลักเกณฑ์
วิธีการ
และเงื่อนไขการกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ
กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด
19 [Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)] (ฉบับที่ ๔) ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
และให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
ที่เห็นว่าให้กระทรวงสาธารณสุขกำกับ ติดตาม
และตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ
เงื่อนไข อัตราที่กำหนดและสามารถตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน
พร้อมกับดำเนินการให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ค่าใช้จ่ายของกระทรวงการคลังด้วย
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการให้ถูกต้อง
เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8232 | มาตรการบรรเทาผลกระทบต่อกลุ่มแรงงานและผู้ประกอบการ อันเนื่องมาจากข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 25) | นร.11 | 29/06/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการของข้อเสนอมาตรการให้ความช่วยเหลือในระยะเร่งด่วน
เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่กลุ่มแรงงานและผู้ประกอบการในพื้นที่สถานการณ์ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด
ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติตามข้อกำหนด
(ฉบับที่ ๒๕) และมาตรการให้ความช่วยเหลือในระยะต่อไป
เพื่อเตรียมความพร้อมในการดำเนินการมาตรการให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนและผู้ประกอบการทีได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ ที่เหมาะสม และมอบหมายให้กระทรวงการคลัง กระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมาตรการบรรเทาผลกระทบต่อกลุ่มแรงงานและผู้ประกอบการอันเนื่องมาจากข้อกำหนดออกตามความในมาตรา
๙ แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ (ฉบับที่ ๒๕)
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพิ่มเติม
ดังนี้ ๒.๑ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจสอบยืนยันตัวตน
ของผู้ลงทะเบียนรับความช่วยเหลือผ่านแอปพลิเคชันถุงเงินภายใต้โครงการคนละครึ่งอย่างเป็นระบบ
โดยมีการเก็บข้อมูลอย่างครบถ้วนเป็นรายแห่งว่ามีความสอดคล้องและเป็นกลุ่มเป้าหมายตามหลักการของมาตรการฯ ๒.๒
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ของมาตรการดังกล่าวอย่างเป็นระบบครอบคลุมในทุกมิติ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นความต่อเนื่องในการประกอบกิจการ
การจ้างแรงงานของผู้ประกอบการ ทั้งนี้ ให้เผยแพร่การดำเนินการตามมาตรการข้างต้นให้ประชาชนได้รับทราบเป็นระยะ
ๆ ด้วย ๓.
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8233 | ร่างเอกสารผลลัพธ์การประชุมระดับรัฐมนตรี Water Dialogues for Results Bonn 2021: Accelerating Cross - Sectoral SDG 6 Implementation | นร.14 | 29/06/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างสารทางการเมือง
From Dialogues to Results-Key messages for
Accelerating Cross-Sectoral SDG 6 Implementation และมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี
(พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ในฐานะกำกับการบริหารราชการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายระดับรัฐมนตรีกล่าวปาฐกถาในการประชุมระดับรัฐมนตรี
Water Dialogues for Results Bonn 2021 : Accelerating
Cross-Sectoral SDG 6 Implementation ที่จะจัดขึ้นในวันที่
๑ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ผ่านระบบการประชุมทางไกล โดยร่างสารทางการเมืองฯ
เป็นเอกสารผลลัพธ์การประชุมฯ ที่จะมีการรับรองโดยไม่มีการลงนาม
มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองของประเทศสมาชิกในการเร่งรัดการดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนด้านน้ำภายใต้วาระการพัฒนาที่ยั่งยืน
ค.ศ. ๒๐๓๐ ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างสารทางการเมืองฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8234 | การทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ระลอกใหม่ | กค. | 29/06/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (โควิด-๑๙)
ระลอกใหม่ โดยการขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโคโรนา
(โควิด-๑๙) จากเดิมวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๔ ออกไปเป็นวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๔
การปรับปรุงการดำเนินโครงการ Soft Lone ออมสินฟื้นฟูท่องเที่ยวไทย
เช่น ขยายระยะเวลาเงินกู้ ขยายระยะเวลาปลอดชำระเงินต้น ขยายระยะเวลารับคำขอสินเชื่อ
และการปรับปรุงการดำเนินโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ SMEs มีที่
มีเงิน สำหรับธุรกิจท่องเที่ยว เพื่อให้การช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้
ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและธนาคารแห่งประเทศไทย
ที่เห็นว่าควรสร้างความรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการและโครงการให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
รวมทั้งการจัดทำประมาณการรายได้ ตลอดจนติดตาม ประเมินผลสัมฤทธิ์
และรายงานการดำเนินงานตามมาตรการและโครงการดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ
ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
และดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบ กฎหมาย และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป
และพิจารณาดำเนินการให้ลูกหนี้ที่มีความเปราะบางซึ่งมีข้อจำกัดในการเข้าถึงสินเชื่อจากแหล่งอื่นสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น
และทบทวนหลักเกณฑ์การพิจารณาการให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ให้สอดคล้องกับสถานการณ์
เพื่อช่วยเหลือประคองธุรกิจให้อยู่รอดต่อไป
ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒.
ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8235 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | รง. | 29/06/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพแห่งชาติ
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขปรับปรุงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
ว่าด้วยการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๒
เกี่ยวกับองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพแห่งชาติ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8236 | ขอความเห็นชอบ (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านนโยบายภาษาแห่งชาติ (พ.ศ. 2564 – 2565) | นร.04 | 29/06/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบ (ร่าง)
แผนปฏิบัติการด้านนโยบายภาษาแห่งชาติ (พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๕)
และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นกรอบในการจัดทำแผนงาน โครงการ
ที่มีความสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมาย ประเด็นยุทธศาสตร์ และตัวชี้วัดความสำเร็จของแผนยุทธศาสตร์ฯ
ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๕ เป็นต้นไป โดย (ร่าง) แผนปฏิบัติการฯ
ได้รับความเห็นชอบจากราชบัณฑิตยสภา
และได้รับความเห็นชอบจากสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติแล้ว โดยมีเป้าหมายให้สังคมไทยตระหนักถึงความสำคัญของภาษา
เห็นคุณค่าและยอมรับความแตกต่างของภาษาและสังคมวัฒนธรรม
สามารถอยู่ร่วมกันในสังคมได้ ประกอบด้วย ๖ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ (๑)
ขับเคลื่อนสังคมไทยไปสู่การยอมรับการเป็นสังคมพหุลักษณ์และมุ่งเน้นการพัฒนาเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขและยั่งยืนทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ
(๒) พัฒนาศักยภาพการเรียนรู้ของคนในชาติด้วยการเรียนรู้ภาษาที่หลากหลาย (๓)
ส่งเสริมการใช้ภาษาไทยในฐานะเป็นภาษาประจำชาติ
และปรับเปลี่ยนการจัดการเรียนรู้ภาษาไทยให้เป็นไปตามธรรมชาติการเรียนรู้ภาษาของมนุษย์
(๔) รักษา สืบทอดการใช้ภาษาท้องถิ่น หรือภาษาแม่ทั้งในชีวิตประจำวันและในระบบการศึกษา
(๕)
พัฒนาทักษะและความสามารถทางด้านภาษาเพื่อเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
และ (๖) ส่งเสริมการพัฒนาทักษะการใช้ภาษาไทยและสื่อเพื่อการสื่อสาร การดำรงชีวิต
และรักษาสิทธิขั้นพื้นฐานให้กับกลุ่มคนด้อยโอกาส ตามที่สำนักงานราชบัณฑิตยสภาเสนอ ๒. ให้สำนักงานราชบัณฑิตยสภาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักนายกรัฐมนตรี
(สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี) สำนักงบประมาณ
และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์
และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ
รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย
และข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เช่น (๑)
(ร่าง) แผนปฏิบัติการฯ เคยมีการดำเนินการตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๔
จึงควรมีการวิเคราะห์ผลการดำเนินการที่ผ่านมา ประเด็นปัญหาอุปสรรค
และผลกระทบที่เกิดจากการดำเนินการตาม (ร่าง) แผนปฏิบัติการฯ ฉบับดังกล่าว
เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จ ความสามารถในการตอบสนองต่อประเด็นยุทธศาสตร์ชาติ
แผนการปฏิรูปประเทศ
และแนวทางในการปฏิบัติงานที่มีประสิทธิภาพสำหรับการดำเนินงานของแผนฉบับต่อไป และ
(๒) การพัฒนาทักษะและความสามารถทางด้านภาษาเพื่อเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ควรระบุภาษาที่ ๒ หรือภาษาอื่น ๆ ที่คนไทยต้องเรียนรู้ให้มีความชัดเจน เช่น
คนไทยสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ ๒ ได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๒๕
ของประชากรทั้งประเทศภายในปี ๒๕๗๐ หรือสามารถสื่อสารภาษาจีนหรือภาษาของประเทศในอาเซียนเป็นภาษาที่
๓ ได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๑๐ ของประชากรทั้งประเทศภายในปี ๒๕๗๐ เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓.
ให้สำนักงานราชบัณฑิตยสภาพิจารณาเร่งรัดการดำเนินการตาม (ร่าง) แผนปฏิบัติการฯ
ให้เกิดผลสัมฤทธิ์เป็นรูปธรรมโดยเร็ว |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8237 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีบิมสเทค ครั้งที่ 17 | กต. | 29/06/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรีบิมสเทค
ครั้งที่ ๑๗ เมื่อวันที่ ๑ เมษายน
๒๕๖๔ ผ่านระบบการประชุมทางไกล
เพื่อหารือเกี่ยวกับแนวทางความร่วมมือที่จะเป็นประโยชน์ในการรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของติดโรคเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (โควิด-๑๙) และสภาพปกติใหม่ โดยที่ประชุมฯ ได้เห็นชอบเอกสารสำคัญ เช่น
ถ้อยแถลงร่วมการประชุมบิมสเทค ครั้งที่ ๑๗ ร่างบันทึกความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีบิมสเทค
ร่างกฎบัตรบิมสเทค และได้มีการปรับความร่วมมือจาก ๑๔ สาขา เป็น ๗ สาขา
ซึ่งไทยได้นำวิสัยทัศน์ในการรับหน้าที่ประเทศผู้ขับเคลื่อนหลักในสาขาความเชื่อมโยงที่ครอบคลุมทุกมิติ
รวมทั้งแนวคิดนโยบายเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีขียว (Bio-Circular-Green
Economy Model : BCG)
ที่จะผลักดันในวาระการเป็นของไทยต่อไป และมอบหมายส่วนราชการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามตารางติดตามผลการประชุมฯ
ต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒.
ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า ควรเน้นย้ำการส่งเสริมความร่วมมือในทุกระดับ
ควรให้มีการหารือภายในประเทศเพื่อกำหนดหน่วยงานร่วมดำเนินงานและกำหนดท่าทีของประเทศประกอบการเข้าร่วมประชุมระดับปฏิบัติการดังกล่าวต่อไป
และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเป็นหลักในการขับเคลื่อนประเด็นดังกล่าวเพิ่มเติม
โดยยึดพันธกิจและภารกิจของหน่วยงานเป็นสำคัญ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8238 | รายงานผลการปฏิบัติงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ประจำปี 2563 | กสทช. | 29/06/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง
กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ประจำปี ๒๕๖๓ ประกอบด้วย (๑)
ผลการดำเนินงานสำคัญของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์
และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ประจำปี ๒๕๖๓ (๒) แผนการดำเนินงานและงบประมาณรายจ่าย
ประจำปี ๒๕๖๔ (๓) งบการเงิน และรายงานการตรวจสอบภายใน (๔) ปัญหาและอุปสรรคในการประกอบกิจการฯ
(๕) ประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการพิจารณาเรื่องร้องเรียนของผู้บริโภคในกิจการฯ
(๖) ประสิทธิภาพและประสิทธิผลของกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง
กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมเพื่อประโยชน์สาธารณะ และ (๗) รายงานสภาพตลาดและการแข่งขัน
ทั้งนี้ งบการเงินของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์
และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติยังไม่ได้ผ่านการรับรองจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน
ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบงบการเงินดังกล่าว
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์
และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8239 | ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง การออกหนังสือคนประจำเรือตามกฎหมายว่าด้วยการประมง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. .... และร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การยกเว้นข้อห้ามมิให้คนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการเฉพาะ สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา สามารถยื่นคำขอรับหนังสือคนประจำเรือเพื่ออยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว และทำงานกับนายจ้างในกิจการประมงทะเล ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ............... รวม 2 ฉบับ | กษ. | 29/06/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง
การออกหนังสือคนประจำเรือตามกฎหมายว่าด้วยการประมง (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการต่ออายุหนังสือสำหรับคนต่างด้าวที่ได้รับหนังสือคนประจำเรือ
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๓ ออกไปอีก ๑ ปี
นับแต่หนังสือคนประจำเรือเดิมสิ้นอายุ
โดยแรงงานด่างด้าวที่ประสงค์จะทำงานบนเรือประมงต่อไป
จะต้องยื่นคำขอตามระยะเวลาที่กรมประมงประกาศกำหนด และร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย
เรื่อง การยกเว้นข้อห้ามมิให้คนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการเฉพาะ
สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา
สามารถยื่นคำขอรับหนังสือคนประจำเรือเพื่ออยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว
และทำงานกับนายจ้างในกิจการประมงทะเล ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ............... รวม ๒ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดยกเว้นให้คนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา
ลาว และเมียนมา ที่ได้รับหนังสือคนประจำเรือตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง
การออกหนังสือคนประจำเรือตามกฎหมายว่าด้วยการประมง พ.ศ. ๒๕๖๓
ที่ระยะเวลาการอนุญาตสิ้นสุดลง
แต่ไม่ได้เดินทางออกนอกราชอาณาจักรสามารถยื่นขอต่ออายุหนังสือคนประจำเรือเพื่ออยู่ในราชอาณาจักรไทยเป็นการชั่วคราวและทำงานกับนายจ้างในกิจการประมงทะเลได้
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. เห็นชอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ
ดังนี้ (๑) ให้กรมประมงต่ออายุหนังสือคนค้ำประกันเรือ (๒) ให้กระทรวงสาธารณสุขตรวจสุขภาพซึ่งครอบคลุมถึงการตรวจโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ และทำประกันสุขภาพคนต่างด้าว (๓) ให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจัดทำสัญญาจ้างและตรวจสอบสัญญาจ้างของคนต่างด้าว
(๔) ให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองตรวจลงตราและประทับตราอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรแก่คนต่างด้าวและจัดเก็บอัตลักษณ์บุคคล
(Biometrics)
(๕) ให้กรมการปกครองต่ออายุบัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย (บัตรสีชมพู) ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
และให้ดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8240 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | อว. | 29/06/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา
อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ
และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา (ฉบับที่ ..) พ.ศ.
.... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดปริญญาในสาขาวิชา และอักษรย่อสำหรับสาขาวิชา และกำหนดสีประจำของสาขาวิชาดุริยางคศาสตร์
และกำหนดสาขาวิชาระดับปริญญาโทและระดับปริญญาเอกของสาขาวิชาการแพทย์แผนไทย
เพิ่มขึ้น ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|