ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 873 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 17441 - 17460 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
17441 | ผลการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ 10 แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย - มาเลเซีย - ไทย (The 10th IMT - GT Summit) | นร11 | 20/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑.๑ รับทราบผลการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๑๐ แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle : IMT-GT) ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๖๐ ณ สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ โดยฝ่ายไทยมีนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเข้าร่วมประชุม ๑.๒ รับทราบและเห็นชอบการแก้ไขแถลงการณ์ร่วมการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๑๐ แผนงาน IMT-GT ซึ่งเป็นการปรับแก้ข้อความเล็กน้อยและไม่ได้กระทบต่อสาระสำคัญของร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบ ๑.๓ เห็นชอบการมอบหมายส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๑๐ แผนงาน IMT-GT ซึ่งมีประเด็นที่ต้องดำเนินการ เช่น การขับเคลื่อนการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโกลกแห่งใหม่ และสะพานแห่งที่สองที่อำเภอสุไหงโกลก และทางหลวงสตูล-รัฐปะลิส การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการเชื่อมโยงในทุกมิติ การใช้นวัตกรรม ความคิดสร้างสรรค์ และการออกแบบ เพื่อการเปลี่ยนแปลงในทุกมิติ การลดการเหลื่อมล้ำและการพัฒนาที่ยั่งยืน การส่งเสริมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การเชื่อมโยงเสรีดิจิทัลข้ามแดน การส่งเสริมฮาลาล และ E-Commerce และการเชื่อมโยงการพัฒนาสามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน กับพื้นที่เศรษฐกิจชายฝั่งทะเลตะวันออกของมาเลเซีย เป็นต้น โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการระดับชาติของแผนงานติดตามการขับเคลื่อนแผนงานตามวิสัยทัศน์ระยะ ๒๐ ปี และแผนดำเนินงานระยะห้าปี แผนที่ ๓ ปี ๒๕๖๐-๒๕๖๔ กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งประสานงานอย่างใกล้ชิดกับสภาธุรกิจ IMT-GT (ประเทศไทย) เพื่อให้มีความก้าวหน้าที่ชัดเจนเป็นรูปธรรมเพื่อนำเสนอในการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๑๑ แผนงาน IMT-GT ในปี ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ซึ่งนายกรัฐมนตรีของไทยจะเป็นประธานการประชุมต่อไป ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติที่เห็นควรคำนึงถึงการจัดระเบียบการพัฒนาพื้นที่ชายแดนให้มีความสมดุลทั้งในมิติเศรษฐกิจและสังคมกับมิติความมั่นคง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17442 | รายงานผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการป้องกันอุบัติเหตุและอำนวยความสะดวกในการเดินทางช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2560 ของกระทรวงคมนาคม | คค | 20/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการป้องกันอุบัติเหตุและอำนวยความสะดวกในการเดินทางช่วงเทศกาลสงกรานต์ ๒๕๖๐ ของกระทรวงคมนาคม ระหว่างวันที่ ๕-๑๘ เมษายน ๒๕๖๐ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับผลการดำเนินมาตรการป้องกันและลดอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ๒๕๖๐ สรุปสถิติการเกิดอุบัติเหตุช่วงเทศกาลสงกรานต์ ๒๕๖๐ รวมทั้งการให้บริการและอำนวยความสะดวกในการเดินทางของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม ซึ่งผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการดังกล่าวส่งผลให้มีสถิติอุบัติเหตุร้ายแรงที่ส่งผลให้เกิดความสูญเสียในชีวิตลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และกระทรวงคมนาคมจะได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17443 | สรุปผลการประชุมร่วมระดับรัฐมนตรีของบันทึกความเข้าใจโตเกียวและปารีสว่าด้วยการตรวจและควบคุมเรือในฐานะรัฐเจ้าของท่า ครั้งที่ 3 | คค | 20/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมร่วมระดับรัฐมนตรีของบันทึกความเข้าใจโตเกียวและปารีสว่าด้วยการตรวจและควบคุมเรือในฐานะรัฐเจ้าของท่า ครั้งที่ ๓ (Third Joint Ministerial Conference of the Paris and Tokyo Memoranda of Understanding on Port State Control) ระหว่างวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๐-๖ พฤษภาคม ๒๕๖๐ ณ ประเทศแคนาดา โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมเป็นตัวแทนเข้าร่วมการประชุมฯ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมได้กล่าวถ้อยแถลงสรุปว่า ประเทศไทยได้พยายามปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานให้เป็นไปตามมาตรฐานและข้อบังคับขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (International Maritime Organization : IMO) และได้เข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการป้องกันมลพิษจากเรือของ IMO ซึ่งเป็นมาตรการหลักด้านการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมทางทะเล และเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยแรงงานทางทะเล (Maritime Labour Convention : MLC) ขององค์กรแรงงานระหว่างประเทศ และประเทศไทยจะสนับสนุนการดำเนินงานภายใต้บันทึกความเข้าใจฯ ต่อไป ๒. ที่ประชุมได้รับรองปฏิญญาร่วมระดับรัฐมนตรีของการประชุมร่วมระดับรัฐมนตรีของบันทึกความเข้าใจโตเกียวและปารีสว่าด้วยการตรวจและควบคุมเรือในฐานะรัฐเจ้าของท่า ครั้งที่ ๓ โดยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมได้ร่วมลงนามด้วย ๓. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมได้หารือกับรัฐมนตรีขนส่งจากประเทศต่าง ๆ เช่น อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม ญี่ปุ่น โดยได้เน้นย้ำที่จะสานต่อความร่วมมือกันต่อไปในอนาคต และได้ขอรับการสนับสนุนจากประเทศต่าง ๆ ในการสมัครเข้ารับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกคณะมนตรี IMO ของประเทศไทย สำหรับวาระ ค.ศ. ๒๐๑๘-๒๐๑๙ ทั้งนี้ รัฐมนตรีขนส่งเปรูยินดีสนับสนุนประเทศไทยในการเลือกตั้งเป็นสมาชิกคณะมนตรี IMO
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17444 | โครงการความร่วมมือเพื่อการวิเคราะห์พฤติกรรมเรือประมง | กษ | 20/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบโครงการความร่วมมือเพื่อการวิเคราะห์พฤติกรรมเรือประมง (Fishing Vessel Behavior Analysis Cooperation Project) ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. โครงการความร่วมมือเพื่อการวิเคราะห์พฤติกรรมเรือประมง เป็นความร่วมมือระหว่างกรมประมงกับ Satellite Applications Catapult ซึ่งเป็นบริษัทที่เชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ข้อมูลจากระบบติดตามเรือประมง และกลุ่ม Shrimp Sustainable Supply Chain Task Force ซึ่งเป็นกลุ่มผู้นำเข้าและส่งออกสินค้าประมงรายใหญ่ของโลก และได้รับการสนับสนุนงบประมาณจาก Pew Charitable Trusts ซึ่งเป็นองค์กรพัฒนาเอกชนของสหรัฐอเมริกา มีจุดประสงค์เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของภาครัฐในการพัฒนาการดำเนินงานด้านการควบคุมเฝ้าระวังการทำประมง (MCS) เพื่อให้ผู้นำเข้าสินค้าประมงของไทยมั่นใจได้ว่าสินค้าประมงที่ส่งออกจากประเทศไทยไม่ได้มาจากการทำการประมงโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยเจ้าหน้าที่ของกรมประมงจะได้รับการถ่ายทอดความรู้จากระบบ Eye on the Seas ที่ผสานการติดตามด้วยเทคโนโลยีดาวเทียม ภาพถ่ายทางอวกาศ ฐานข้อมูลเรือประมง ข้อมูลด้านภูมิศาสตร์ และข้อมูลสมุทรศาสตร์ เพื่อสนับสนุนหน่วยงานต่าง ๆ ในการวิเคราะห์และตรวจสอบกิจกรรมการประมงที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่เหมาะสม ๒. กรมประมงและ Satellite Applications Catapult ได้กำหนดกลุ่มเรือตัวอย่างที่เป็นตัวแทนประชากรของเรือประมงไทยและกลุ่มเรือในห่วงโซ่อุปทานของสมาชิก Shrimp Sustainable Supply Chain Taskforce ซึ่งกลุ่มเรือตัวอย่างนี้จะถูกวิเคราะห์พฤติกรรมการเดินเรือและผลผลิตปลาที่จับได้จนถึงสิ้นเดือนตุลาคม ๒๕๕๙ และนำข้อมูลดังกล่าวไปวิเคราะห์ต่อเพื่อให้สามารถกำหนดรูปแบบและวิธีตรวจสอบการทำการประมงของเรือประมงซึ่งใช้เครื่องมือชนิดต่าง ๆ ได้ชัดเจน โดยเจ้าของเรือประมงที่เข้าร่วมโครงการฯ ได้ให้ความยินยอมให้ส่งต่อข้อมูลต่าง ๆ เพื่อการวิเคราะห์ไว้ล่วงหน้าแล้ว ๓. ผลกระทบที่จะเกิดขึ้น เนื่องจากผลสัมฤทธิ์ของโครงการฯ สามารถคัดกรองเรือประมงจากพฤติกรรมการทำประมงฝ่าฝืนกฎหมายได้ จึงอาจทำให้เรือประมงบางส่วนที่เข้าร่วมโครงการฯ ถูกคัดกรองว่ามีพฤติกรรมฝ่าฝืนกฎหมายและอาจถูกดำเนินคดีโดยใช้ข้อมูลจากระบบติดตามเรือหรือใช้เป็นข้อมูลในการวางแผนจับกุมเรือประมงเหล่านั้นต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17445 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทาน เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน รวม 3 ฉบับ | กษ | 20/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทาน เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน รวม ๓ ฉบับ เพื่อประโยชน์ในการควบคุมดูแลปริมาณน้ำ และเพื่อให้การใช้น้ำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญกำหนดให้ทางน้ำชลประทานแม่น้ำเจ้าพระยา จากกิโลเมตรที่ ๒๖๗.๗๘๐ ในท้องที่ตำบลบางกระบือ และตำบลเชียงรากน้อย อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี ถึงกิโลเมตรที่ ๒๙๘.๖๖๐ ในท้องที่ตำบลบางคูวัด อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี และตำบลบางพูด อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน ๒. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานลำเชิญ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญกำหนดให้ทางน้ำชลประทานลำเชิญ จากศูนย์กลางประตูระบายน้ำลำเชิญ กิโลเมตรที่ ๐.๐๐๐ ในท้องที่ตำบลชุมแพ อำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น และตำบลดงกลาง อำเภอคอนสาร จังหวัดชัยภูมิ ไปทางด้านเหนือน้ำ ถึงกิโลเมตรที่ ๓๐.๐๐๐ ในท้องที่ตำบลโนนคอม อำเภอภูผาม่าน จังหวัดขอนแก่น และตำบลคอนสาร อำเภอคอนสาร จังหวัดชัยภูมิ และไปทางด้านท้ายน้ำถึงกิโลเมตรที่ ๗๗.๔๗๐ ในท้องที่ตำบลกุดกว้าง อำเภอหนองเรือ จังหวัดขอนแก่น และตำบลบ้านแท่น อำเภอบ้านแท่น จังหวัดชัยภูมิ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน ๓. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญกำหนดให้ทางน้ำชลประทานแม่น้ำเจ้าพระยา จากกิโลเมตรที่ ๒๙.๐๐๐ ในท้องที่ตำบลท่าซุง อำเภอเมืองอุทัยธานี จังหวัดอุทัยธานี และตำบลคุ้งสำเภา อำเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท ถึงกิโลเมตรที่ ๕๙.๐๐๐ ในท้องที่ตำบลน้ำทรง และตำบลพยุหะ อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17446 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของสถานพยาบาลและลักษณะการให้บริการของสถานพยาบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ร่างกฎกระทรวงกำหนดชนิดและจำนวนเครื่องมือ เครื่องใช้ ยาและเวชภัณฑ์ หรือยานพาหนะที่จำเป็นประจำ สถานพยาบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดวิชาชีพและจำนวนผู้ประกอบวิชาชีพในสถานพยาบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 3 ฉบับ [ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของสถานพยาบาลและลักษณะการให้บริการของสถานพยาบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....] | สธ | 20/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง รวม ๓ ฉบับ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงกำหนดลักษณะของสถานพยาบาลและลักษณะการให้บริการของสถานพยาบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการจำแนกลักษณะของสถานพยาบาลและลักษณะการให้บริการของสถานพยาบาล ประเภทคลินิกการแพทย์แผนไทย คลินิกการแพทย์แผนไทยประยุกต์ โรงพยาบาลการแพทย์แผนไทย โรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยประยุกต์ และโรงพยาบาลเฉพาะประเภทผู้ป่วย รวมทั้งกำหนดให้มีหน่วยบริการและระบบสนับสนุนการให้บริการของโรงพยาบาลการแพทย์แผนไทย โรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยประยุกต์ และโรงพยาบาลเฉพาะประเภทผู้ป่วย ๒. ร่างกฎกระทรวงกำหนดชนิดและจำนวนเครื่องมือ เครื่องใช้ ยาและเวชภัณฑ์ หรือยานพาหนะที่จำเป็นประจำสถานพยาบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดชนิดและจำนวนเครื่องมือ เครื่องใช้ ยาและเวชภัณฑ์ หรือยานพาหนะที่จำเป็นประจำสถานพยาบาล ให้ครอบคลุมถึงคลินิกการแพทย์แผนไทย คลินิกการแพทย์แผนไทยประยุกต์ โรงพยาบาลการแพทย์แผนไทย โรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยประยุกต์ และโรงพยาบาลเฉพาะประเภทผู้ป่วย ๓. ร่างกฎกระทรวงกำหนดวิชาชีพและจำนวนผู้ป่วยวิชาชีพในสถานพยาบาล (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขการกำหนดวิชาชีพและจำนวนผู้ประกอบวิชาชีพในสถานพยาบาล โดยกำหนดให้มีวิชาชีพและจำนวนผู้ประกอบวิชาชีพในคลินิกการแพทย์แผนไทยประยุกต์ และปรับปรุงการกำหนดวิชาชีพ จำนวนผู้ประกอบวิชาชีพ และสัดส่วนของผู้ประกอบวิชาชีพต่อจำนวนเตียงที่เพิ่มขึ้นในโรงพยาบาลทั่วไปและโรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยตามตารางท้ายกฎกระทรวงกำหนดวิชาชีพและจำนวนผู้ประกอบวิชาชีพในสถานพยาบาล พ.ศ. ๒๕๕๘ โดยกำหนดเพิ่มเติมให้มีในส่วนของโรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยประยุกต์ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17447 | ร่างระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ว่าด้วยการจดทะเบียนสถาบันชาวไร่อ้อย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | อก | 20/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ว่าด้วยการจดทะเบียนสถาบันชาวไร่อ้อย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้มีสิทธิยื่นคำร้องขอจดทะเบียนสถาบันชาวไร่อ้อยตามข้อ ๘ (๓) และ (๔) ของระเบียบคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย ว่าด้วยการจดทะเบียนสถาบันชาวไร่อ้อย ฉบับที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๕๘ ซึ่งได้กำหนดหลักเกณฑ์ให้ผู้มีสิทธิยื่นคำร้องขอจดทะเบียนเป็นสถาบันชาวไร่อ้อยจะต้องมีสมาชิกเป็นชาวไร่อ้อยไม่น้อยกว่า ๖๐๐ คน และมีปริมาณอ้อยของสมาชิกที่ส่งให้แก่โรงงานใดโรงงานหนึ่งรวมกันไม่น้อยกว่าร้อยละ ๕๕ ของปริมาณอ้อยที่โรงงานนั้นหีบทั้งหมดในแต่ละฤดูการผลิต ที่ใช้บังคับตั้งแต่ฤดูการผลิต ๒๕๕๙/๒๕๖๐ เป็นต้นไป ให้กับสหกรณ์ที่มีฐานะเป็นสถาบันชาวไร่อ้อยอยู่เดิมออกไปอีก ๒ ฤดูการผลิต โดยให้เริ่มบังคับใช้ในฤดูการผลิตปี ๒๕๖๑/๒๕๖๒ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องเร่งด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งดำเนินการสร้างความเข้มแข็งให้กับสหกรณ์และชุมนุมสหกรณ์ให้มีคุณสมบัติสถาบันชาวไร่อ้อยครบถ้วนภายในระยะเวลา ๒ ฤดูการผลิต และในระยะต่อไป ควรต้องพิจารณาเจตนารมย์ของระเบียบฯ ที่มุ่งหวังให้มีเกณฑ์มาตรฐานเดียวกันในการพิจารณาสถานภาพการเป็นสถาบันชาวไร่อ้อย รวมทั้งการให้สหกรณ์หรือชุมนุมสหกรณ์ที่มีคุณสมบัติไม่ตรงตามหลักเกณฑ์สามารถปรับตัวภายหลังการครบกำหนดการให้การยกเว้นไม่ตรวจสอบคุณสมบัติ ตลอดจนเร่งพิจารณาผลดีและผลเสียของการให้การยกเว้นการตรวจสอบคุณสมบัติการเป็นสถาบันชาวไร่อ้อยของสหกรณ์ที่มีฐานะเป็นชาวไร่อ้อยอยู่เดิมต่อไปอีกหรือไม่ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17448 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติปิโตรเลียม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สว | 20/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติปิโตรเลียม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยกระทรวงพลังงานได้ดำเนินการบริหารจัดการปิโตรเลียมตามหลักการดำเนินการให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศชาติและประชาชนมาโดยตลอด บนพื้นฐานของการกำกับดูแลที่มีการรักษาความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม มีการบริหารจัดการที่มีความโปร่งใส เป็นธรรมและเหมาะสมกับทุกภาคส่วน สำหรับการพิจารณาแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการปิโตรเลียมในอนาคต กระทรวงพลังงานจะได้คำนึงถึงการพิจารณาผู้ที่มีความสามารถเกี่ยวกับเรื่องการคุ้มครองผู้บริโภค การคุ้มครองสุขภาพประชาชน และการคุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่มีคุณสมบัติเหมาะสมตามข้อกำหนดของพระราชบัญญัตินี้ด้วย รวมทั้งในการออกประกาศเชิญชวนให้เอกชนเข้ามาทำสัญญาแบ่งปันผลผลิตในแต่ละครั้ง กระทรวงพลังงานจะนำการแบ่งปันผลผลิตในอัตราที่เป็นขั้นบันไดมาปรับใช้ โดยขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่และสถานการณ์เศรษฐกิจในช่วงเวลานั้นและอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย ส่วนในประเด็นการจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ (National Oil Company : NOC) กระทรวงพลังงานเห็นว่าควรมีการแต่งตั้งคณะกรรมการชุดนี้ขึ้นมาเพื่อศึกษาความเหมาะสมของการจัดตั้ง รวมถึงรูปแบบ รายละเอียด และวิธีการจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ โดยองค์ประกอบของคณะกรรมการควรมาจากหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้สามารถทำการศึกษาครอบคลุมประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องได้ในทุกมิติ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป ๒. มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการศึกษาความเหมาะสมของการจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ (National Oil Company : NOC) รวมทั้งรูปแบบ รายละเอียด และวิธีการจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติให้ครอบคลุมประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยให้กระทรวงพลังงานเป็นหน่วยงานสนับสนุนข้อมูล แล้วรายงานคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17449 | ผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปคประจำปี 2560 (ครั้งที่ 23) | พณ | 20/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปคประจำปี ๒๕๖๐ (ครั้งที่ ๒๓) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๐-๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๐ ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม รวมทั้งผลการหารือทวิภาคี และการดำเนินการต่อเนื่องจากการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปคปี ๒๕๖๐ โดยมีผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ (นายวินิจฉัย แจ่มแจ้ง) เป็นผู้แทนเข้าร่วมการประชุมฯ ๑.๒ มอบหมายหน่วยงานรับผิดชอบดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามตารางสรุปประเด็นสำคัญและหน่วยงานรับผิดชอบในส่วนที่เกี่ยวกับการค้าและการลงทุนประจำปี ๒๕๖๐ ซึ่งมีประเด็นที่ควรพิจารณากำหนดท่าทีและเป้าหมายการดำเนินงานของไทยร่วมกับเอเปคอย่างใกล้ชิด เช่น การกำหนดวิสัยทัศน์เอเปคหลังปี ๒๕๖๓ (ค.ศ. ๒๐๒๐) การอำนวยความสะดวกพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์และเศรษฐกิจดิจิทัล เป็นต้น ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า หากต่อไปจะมีการเจรจาลดภาษีสินค้าสิ่งแวดล้อมในกรอบองค์การการค้าโลก (World Trade Organization : WTO) เห็นควรให้ไทยเข้าร่วมการเจรจาดังกล่าวก็ต่อเมื่อเป็นการเจรจาที่ให้ประเทศสมาชิกทั้งหมดของ WTO เข้าร่วมเท่านั้น โดยไม่สนับสนุนการเจรจาในแบบความตกลงหลายฝ่าย (Plurilateral Agreements) และเห็นควรส่งเสริมการบูรณาการระหว่างหน่วยงานของไทย เพื่อติดตามและกำหนดท่าทีของไทยในประเด็นการค้าการลงทุนที่เอเปคให้ความสำคัญ อาทิ การค้าบริการ พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เศรษฐกิจดิจิทัล และการส่งเสริมการมีส่วนร่วมในห่วงโซ่มูลค่าโลกของวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย นอกจากนี้กระทรวงพาณิชย์ควรจัดหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินงานและติดตามผลที่มีความชัดเจน ครบถ้วนเหมาะสมร่วมกัน เพื่อสร้างความเข้าใจให้หน่วยงานสามารถปฏิบัติได้ถูกต้อง และสนับสนุนให้มีการดำเนินการของประเทศไทยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17450 | ขอให้พิจารณานำเรื่องเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 30/2560 เรื่อง มาตรการเร่งรัดและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินการโครงการรถไฟความเร็วสูงช่วงกรุงเทพ - นครราชสีมา) | สลธ.คสช. | 20/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๓๐/๒๕๖๐ เรื่อง มาตรการเร่งรัดและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินการโครงการรถไฟความเร็วสูง ช่วงกรุงเทพ-นครราชสีมา ลงวันที่ ๑๕ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๐ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17451 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการภูมิสารสนเทศแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2560 | วท | 20/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการภูมิสารสนเทศแห่งชาติ (กภช.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๖๐ ๒. เห็นชอบในหลักการ (ร่าง) แผนแม่บทภูมิสารสนเทศแห่งชาติและมาตรฐานภูมิสารสนเทศของประเทศ จำนวน ๑๐ เรื่อง โดยการกำหนดให้มีแผนแม่บทภูมิสารสนเทศแห่งชาติเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปใช้เป็นแนวทางปฏิบัติจะทำให้การบริหารจัดการข้อมูลภูมิสารสนเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งการกำหนดมาตรฐานที่เกี่ยวกับการดำเนินการด้านภูมิสารสนเทศทั้งในส่วนของการผลิตข้อมูล การจัดเก็บ การบริการข้อมูล และมาตรฐานด้านบุคลากร จะทำให้แต่ละหน่วยงานสามารถปฏิบัติงานและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน มีความชัดเจนในการให้บริการข้อมูล รวมถึงมีความเชื่อมั่นในการนำข้อมูลไปประยุกต์ใช้งานในด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และให้ กภช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงานตามอำนาจหน้าที่ต่อไป โดยให้ความสำคัญกับการบูรณาการและเชื่อมโยงข้อมูลของหน่วยงานกับการดำเนินการเรื่องอื่นที่เกี่ยวข้องด้วย เช่น Big Data การปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ (One Map) การจัดทำผังเมือง และการดำเนินการด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยได้บัญญัติไว้ ๓. ให้ กภช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ที่จำเป็นต้องใช้ผู้ปฏิบัติงานด้านภูมิสารสนเทศร่วมกันพิจารณากำหนดให้มีตำแหน่งในสายงานดังกล่าวให้เหมาะสมและสอดคล้องกับภารกิจและความจำเป็นของงานในแต่ละส่วนราชการ และควรให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นหน่วยงานเจ้าภาพบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดทำแผนงานบูรณาการงบประมาณภูมิสารสนเทศของประเทศ รวมทั้งกำหนดแนวทางบูรณาการด้านภูมิสารสนเทศของประเทศให้ชัดเจน มีความเชื่อมโยงในทุกมิติตามยุทธศาสตร์ระยะ ๒๐ ปี โดยมีหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบชัดเจน และมีการจัดลำดับความสำคัญของโครงการ สำหรับในระยะต่อไปควรให้ความสำคัญกับการจัดทำคู่มือประกอบการทำงานในการพัฒนาระบบฐานข้อมูลภูมิสารสนเทศและแผนปฏิบัติงานด้านความปลอดภัยของระบบและบริการภูมิสารสนเทศกลางของประเทศ และควรสร้างความร่วมมือทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและบุคลากรที่เชี่ยวชาญของภาคเอกชน พร้อมทั้งควรเร่งผลักดันการให้บริการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (E-Government) อย่างเต็มรูปแบบ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ให้ กภช. ติดตามและประเมินผลการดำเนินการตาม (ร่าง) แผนแม่บทฯ และมาตรฐานฯ ดังกล่าวข้างต้นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดในภาพรวมและให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17452 | การรายงานความคืบหน้าการดำเนินการเกี่ยวกับการจัดทำกฎหมายและการดำเนินการโดยวิธีการอื่นนอกเหนือจากการจัดทำกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต่อคณะรัฐมนตรี | ยธ | 20/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการรายงานความคืบหน้าการดำเนินการเกี่ยวกับการจัดทำกฎหมายและการดำเนินการโดยวิธีการอื่นนอกเหนือจากการจัดทำกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต่อคณะรัฐมนตรี ประกอบด้วย (๑) ภาพรวมการรายงานผลความคืบหน้าการดำเนินการฯ ประจำเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๖๐ มีหน่วยงานผู้รับผิดชอบรายงานผลผ่านเว็บไซต์ฯ จำนวน ๒๕ หน่วยงาน จากทั้งหมด ๓๗ หน่วยงาน และ (๒) ปัญหาเกี่ยวกับการรายงานผลของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังไม่ถูกต้องตามแบบรูปแบบที่กำหนด และอาจส่งผลต่อความคลาดเคลื่อนของจำนวนกฎหมายที่หน่วยงานต้องจัดทำ จึงได้ดำเนินการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ปรับปรุงข้อมูล พร้อมกับเร่งรัดให้หน่วยงานที่รับผิดชอบรายงานผลการดำเนินการตามกำหนดเวลา ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17453 | รายงานความก้าวหน้าโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ณ พื้นที่ราชพัสดุ ถนนทหาร (เกียกกาย) ถึงวันที่ 30 เมษายน 2560 (ครั้งที่ 5/2560) | มท | 20/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความก้าวหน้าโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ณ พื้นที่ราชพัสดุ ถนนทหาร (เกียกกาย) ถึงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๐ (ครั้งที่ ๕/๒๕๖๐) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยมีผลงานสำคัญ สรุปได้ ดังนี้
๑. สรุปความก้าวหน้างานก่อสร้าง ผลงานสะสมที่ทำได้ คิดเป็นร้อยละ ๓๕.๐๕ เพิ่มขึ้นจากเมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๐ (ร้อยละ ๓๔.๕๒) ร้อยละ ๐.๕๓ และสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้ส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างให้แก่ผู้รับจ้างเสร็จเรียบร้อยเมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ ๒. คณะทำงานติดตามความก้าวหน้าโครงการฯ มีความเห็นว่า ๒.๑ การขยายระยะเวลาการก่อสร้าง ครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ ออกไปอีก ๔๒๑ วัน ของผู้ว่าจ้าง (สิ้นสุดเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑) อาจจะยังไม่สามารถทำให้งานก่อสร้างแล้วเสร็จได้ อีกทั้งยังอาจมีเหตุให้ผู้รับจ้างขอขยายระยะเวลาการก่อสร้างออกไปได้อีก เช่น ปัญหาการส่งมอบพื้นที่ส่วนสุดท้ายของโรงเรียนโยธินบูรณะ และการขยายระยะเวลาตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๕๙ เกี่ยวกับการช่วยเหลือผู้รับจ้างขาดแคลนแรงงานจากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำได้ ๑๕๐ วัน ๒.๒ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรจัดจ้างผู้ออกแบบเพื่อศึกษาและออกแบบงานระบบสารสนเทศ (ICT) ยังล่าช้ากว่าแผนอยู่ ซึ่งขณะนี้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้บริษัทผู้ออกแบบแล้ว และได้ลงนามในสัญญาแล้วเมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๖๐ โดยมีระยะเวลาดำเนินการออกแบบ ๙ เดือน และต้องเร่งประสานการทำงานกับผู้รับจ้างหลัก บริษัท ชิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17454 | การขยายระยะเวลาความตกลงทวิภาคีความร่วมมือระหว่างประเทศไทยกับประเทศญี่ปุ่นในการพัฒนากลไกเครดิตร่วม (Joint Crediting Mechanism: JCM) | ทส | 20/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการขยายระยะเวลาความตกลงทวิภาคีความร่วมมือระหว่างประเทศไทยกับประเทศญี่ปุ่นในการพัฒนากลไกเครดิตร่วม (Joint Crediting Mechanism : JCM) ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๗๓ โดยร่างความตกลงฯ ฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อทดแทนความตกลงฯ ฉบับเดิมที่ได้สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ มีสาระสำคัญเป็นการจัดตั้งกลไก JCM เพื่อเสริมสร้างความเป็นหุ้นส่วนการเติบโตแบบคาร์บอนต่ำระหว่างกัน โดยเป็นการส่งเสริมการลงทุน และการใช้เทคโนโลยี ผลิตภัณฑ์ ระบบ บริการ และโครงสร้างพื้นฐานคาร์บอนต่ำในการบรรลุการเติบโตแบบคาร์บอนต่ำในประเทศไทย ๑.๒ มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) (อบก.) ประสานกระทรวงการต่างประเทศดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดย อบก. รับความเห็นของกระทรวงพลังงาน กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการติดตามประเมินผลการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากโครงการ JCM เพื่อเป็นแนวทางสำหรับการพัฒนาการผลิตเทคโนโลยีประสิทธิภาพสูงในภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยให้สามารถลดการพึ่งพาเทคโนโลยีนำเข้าจากประเทศพัฒนาแล้วในอนาคต สำหรับแนวทางในการดำเนินโครงการต่าง ๆ ภายใต้ JCM นั้น ควรคำนึงถึงเป้าหมายตาม Nationally Determined Contribution (NDC) ของประเทศไทยเป็นสำคัญ และควรพิจารณาการบูรณาการในด้านการถ่ายทอดเทคโนโลยีภายใต้ JCM กับกลไกการถ่ายทอดเทคโนโลยีของ United Nations Framework Convention on Climate Change (UNFCCC) ในประเทศไทยผ่าน National Designated Entity (NDE) รวมทั้งการส่งเสริมผู้ประกอบการและ SMEs ของประเทศไทยในการเข้าร่วมและได้รับประโยชน์จากโครงการ JCM ซึ่งเป็นไปตามแนวทางการส่งเสริมความร่วมมือทางธุรกิจอุตสาหกรรมเพื่อเป็นการพัฒนาศักยภาพ การเข้าถึงเงินทุน และสร้างโอกาสให้กับอุตสาหกรรมไทย นอกจากนี้ ควรคำนึงถึงปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดได้จากโครงการ JCM ที่จะต้องถูกแบ่งปันคาร์บอนเครดิตกลับไปให้ฝ่ายญี่ปุ่นในปริมาณไม่เกินร้อยละ ๕๐ ไปพิจารณาดำเนินการ รวมทั้งให้มีการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานโครงการต่าง ๆ ภายใต้ JCM และรายงานผลต่อคณะรัฐมนตรีต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17455 | การให้ภาคยานุวัติเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท | ทส | 20/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อปกป้องสุขภาพของมนุษย์และสิ่งแวดล้อมจากการปลดปล่อยสู่บรรยากาศและการปล่อยสู่ดินหรือน้ำของปรอทและสารประกอบปรอทจากกิจกรรมของมนุษย์ โดยสาระสำคัญของอนุสัญญาฯ เป็นการมุ่งเน้นการควบคุม ลด และเลิก สำหรับการผลิต การนำเข้าและส่งออก การใช้ การปลดปล่อย การปล่อยปรอทและสารประกอบปรอทจากแหล่งกำเนิด ๑.๒ เห็นชอบในการจัดทำภาคยานุวัติสารประกาศว่าการแก้ไขเนื้อหาในภาคผนวกใด ๆ ของอนุสัญญาฯ จะมีผลใช้บังคับกับประเทศไทยต่อเมื่อได้มอบภาคยานุวัติสารต่อการแก้ไขภาคผนวกนั้นแล้ว และมอบหมายกระทรวงการต่างประเทศดำเนินการจัดทำภาคยานุวัติสารดังกล่าว พร้อมทั้งส่งมอบให้สำนักเลขาธิการสหประชาชาติภายในวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๐ ต่อไป ๑.๓ เห็นชอบให้มีการแจ้ง (๑) ยินยอมให้มีการนำเข้าปรอทจากประเทศภาคี (๒) ยินยอมให้มีการนำเข้าปรอทจากประเทศนอกภาคี (๓) ขอยกเว้นให้มีการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เติมปรอท จำนวน ๗ ประเภท (๔) ข้อมูลเกี่ยวกับมาตรการเพื่อการปฏิบัติตามอนุสัญญาฯ และ (๕) แต่งตั้งกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นศูนย์ประสานงานระดับชาติ (National focal point) ในการประสานการปฏิบัติตามข้อ ๑๗ (๔) ของอนุสัญญาฯ โดยให้แจ้งข้อมูลทั้งหมดไปพร้อมกับภาคยานุวัติสาร ๑.๔ อนุมัติให้นำวิธีการอนุญาโตตุลาการมาใช้ในการระงับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นจากอนุสัญญาฯ ๑.๕ เห็นชอบกับแผนการเตรียมความพร้อมในการเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาฯ เพื่อเป็นกรอบการดำเนินงานและกำหนดหน่วยงานรับผิดชอบพร้อมทั้งข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปปฏิบัติต่อไป ๑.๖ มอบหมายให้กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและเหมืองแร่ กรมโรงงานอุตสาหกรรม และสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข และกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ดำเนินการออกอนุบัญญัติเพื่อรองรับการปฏิบัติตามพันธกรณีของอนุสัญญาฯ ตามขั้นตอนและระยะเวลาที่กำหนดในข้อเสนอในการออกกฎหมายเพิ่มเติมเพื่อการภาคยานุวัติในอนุสัญญาฯ และรายงานผลการดำเนินงานให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและกระทรวงสาธารณสุขซึ่งมีข้อคิดเห็นเพิ่มเติม อาทิ การนำเข้าปรอทจากประเทศนอกภาคี ควรอนุญาตให้นำเข้าได้เฉพาะการนำเข้าเพื่อใช้ในงานที่อนุญาตให้มีการใช้ปรอทได้ตามที่ระบุในอนุสัญญาฯ ข้อ ๓ แหล่งอุปทานปรอทและการค้าปรอท และประเทศนอกภาคีที่เป็นผู้ส่งออกให้การรับรองแหล่งที่มาของปรอทตามที่กำหนดในอนุสัญญา ฯ การดำเนินการขึ้นทะเบียนเพื่อขอยกเว้น (Exemption) การใช้ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์และสาธารณสุข ในระยะเปลี่ยนผ่านและจนกว่าประเทศไทยจะสามารถดำเนินการได้ตามข้อกำหนด รวมทั้งรัฐบาลควรให้การสนับสนุนการเตรียมความพร้อมและศักยภาพด้านสาธารณสุขของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อการปฏิบัติตามอนุสัญญาฯ อย่างต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามขั้นตอนและระยะเวลาที่กำหนดตามแผนการเตรียมความพร้อมในการเข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาฯ เพื่อรองรับการปฏิบัติตามพันธกรณีของอนุสัญญาฯ ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17456 | สรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ 30 (ระหว่างวันที่ 12 กันยายน 2559 - 31 มีนาคม 2560) | นร04 | 20/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล ครั้งที่ ๓๐ (ระหว่างวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๙-๓๑ มีนาคม ๒๕๖๐) ตามที่คณะกรรมการขับเคลื่อนและเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลเสนอ มีผลงานสำคัญโดยสรุป ดังนี้
๑. การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ เช่น โครงการส่งเสริมการจัดกิจกรรมเพื่อความปรองดองสมานฉันท์โดยผ่านกลไกระดับจังหวัด อำเภอ ท้องถิ่น การจัดงานประเพณี กิจกรรมทางศาสนา และกิจกรรมพัฒนา และการแก้ไขปัญหาข้อร้องเรียนร้องทุกข์ ๒. การปฏิรูปประเทศ ได้แก่ การปฏิรูปกฎหมายแข่งขันทางการค้าและร่างพระราชบัญญัติการแข่งขันทางการค้า พ.ศ. .... การปรับปรุงระบบกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อเสริมสร้างธรรมาภิบาล ประสิทธิภาพ และการพัฒนาบุคลากรภาครัฐและร่างพระราชบัญญัติการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการนโยบายสาธารณะ พ.ศ. .... การปฏิรูปแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การบริหารงานภาครัฐที่เปิดเผยข้อมูลและร่างพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารสาธารณะ พ.ศ. ..... การปฏิรูปความรับผิดต่อความชำรุดบกพร่องของสินค้าและร่างพระราชบัญญัติความรับผิดต่อความชำรุดบกพร่องของสินค้า พ.ศ. .... การจัดการสินค้าที่ไม่ปลอดภัยและร่างพระราชบัญญัติการแจ้งเตือนภัยและจัดการสินค้าที่ไม่ปลอดภัยต่อผู้บริโภค พ.ศ..... การปฏิรูปประสิทธิภาพกระบวนการยุติธรรมทางอาญา และการปฏิรูปทนายความอาสา ทนายความขอแรง และที่ปรึกษากฎหมายของเด็กหรือเยาวชน ในประเด็นการปฏิรูปค่าตอบแทนและสิ่งจูงใจพิเศษเรื่องสิทธิประโยชน์ทางภาษี ๓. การบริหารราชการแผ่นดิน ๓.๑ ด้านความมั่นคง เช่น การเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้ด้วยความจงรักภักดีและปกป้องรักษาพระบรมเดชานุภาพ การน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและร่วมแสดงความอาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช การรักษาความมั่นคงของรัฐและต่างประเทศ ๓.๒ ด้านสังคมจิตวิทยา เช่น การลดความเหลื่อมล้ำของสังคม การสร้างโอกาสการเข้าถึงบริการของภาครัฐ การบูรณาการระบบการส่งเสริมอาชีพและการมีงานทำของคนพิการ การศึกษาและเรียนรู้ การทะนุบำรุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม การยกระดับคุณภาพบริการด้านสาธารณสุข และสุขภาพของประชาชน ๓.๓ ด้านเศรษฐกิจ เช่น การเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ การแก้ไขหนี้นอกระบบอย่างบูรณาการและยั่งยืน การดำเนินโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี ๒๕๖๐ การจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว การจัดงานส่งเสริมด้านดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม การขับเคลื่อนระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) การขับเคลื่อนพัฒนาและส่งเสริม SMEs การส่งเสริมสมุนไพรไทย การขับเคลื่อนแผนส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และการจัดงานส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา และนวัตกรรม ๓.๔ ด้านการต่างประเทศ เช่น การเสริมสร้างภาพลักษณ์ ความเชื่อมั่น และทัศนคติที่ดีต่อไทย การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-ญี่ปุ่น และการเปิดตัวแอปพลิเคชัน "Street Food Phuket" "Street Food Chiang Mai-Chiang Rai" และ "Street Food Bangkok" ในรูปแบบภาษาจีน ๓.๕ ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เช่น การอบรมอาสาสมัครคุมประพฤติเพื่อนำไปสู่ความสำเร็จในการแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำผิดในชุมชน การดำเนินโครงการพัฒนาระบบศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนที่มีอายุ ๒๐ ปีบริบูรณ์ขึ้นไป การส่งเสริมการบริหารราชการแผ่นดินที่มีธรรมาภิบาล การจัดกิจกรรมในการพัฒนาเครือข่ายการปฏิบัติงานรับเรื่องร้องทุกข์ของส่วนราชการระดับกระทรวง กรม รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอิสระ และการจัดตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียนสำหรับนักลงทุนชาวต่างชาติ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17457 | การเป็นเจ้าภาพร่วมการจัดประชุมสัมมนาวิชาการในระดับรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่อาวุโสด้าน 3R ของภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ครั้งที่ 9 (The High - level Ninth Regional 3R Forum in Asia and the Pacific) | ทส | 20/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นเจ้าภาพร่วมจัดการประชุมสัมมนาวิชาการในระดับรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่อาวุโส 3R (Reduce Reuse Recycle : 3R) ของภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ครั้งที่ ๙ (The High-level Ninth Regional 3R Forum in Asia and the Pacific) ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการพิจารณาค่าใช้จ่ายในการดำเนินการให้มีความประหยัดและเกิดผลสัมฤทธิ์สูงสุด ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในการจัดประชุมในส่วนที่ประเทศไทยรับผิดชอบ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมควบคุมมลพิษ) จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ โดยคำนึงถึงความประหยัดและประโยชน์ที่ทางราชการจะได้รับเป็นสำคัญ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17458 | รายงานการประเมินผลองค์การมหาชนตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2558 เรื่อง การทบทวนความจำเป็นในการมีอยู่ขององค์การมหาชน | นร12 | 20/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เสนอเพิ่มเติม
๑. ให้องค์การมหาชนที่มีผลการปฏิบัติงานที่บรรลุวัตถุประสงค์การจัดตั้ง มีผลสัมฤทธิ์ มีประสิทธิภาพที่สอดคล้องและเหมาะสมกับงบประมาณที่ได้รับการจัดสรร และมีธรรมาภิบาล จำนวน ๓๒ แห่ง คงเป็นองค์การมหาชนต่อไป ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ โดยไม่ให้มีการเพิ่มอัตรากำลังขึ้นอีก ๒. ให้องค์การมหาชนที่มีผลการปฏิบัติงานที่บรรลุวัตถุประสงค์การจัดตั้ง มีผลสัมฤทธิ์การปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพ และมีธรรมาภิบาล จำนวน ๓ แห่ง คงเป็นองค์การมหาชนต่อไป ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ โดยมีรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การมหาชนของแต่ละแห่ง ดังนี้ ๒.๑ สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) (สมศ.) โดยเปลี่ยนให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๓ และแก้ไขในร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อไป ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) เห็นชอบด้วยแล้ว ๒.๒ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) (สสปน.) โดยคงให้นายกรัฐมนตรีเป็นรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๕ ตามเดิม ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) เห็นชอบด้วยแล้ว ทั้งนี้ ให้มีการพิจารณาความจำเป็นเหมาะสมเกี่ยวกับรัฐมนตรีรักษาการในรอบการประเมินครั้งต่อไป ๒.๓ สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) (สคพ.) โดยเปลี่ยนให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๔ และแก้ไขในร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อไป ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เห็นชอบด้วยแล้ว ๓. ให้องค์การมหาชน จำนวน ๒ แห่ง คงเป็นองค์การมหาชนต่อไป แต่ต้องปรับบทบาทภารกิจ ปรับปรุงประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน และแก้ไขในพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การมหาชนให้เหมาะสม ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้ ๓.๑ องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) (อพท.) ทั้งนี้ ไม่ให้มีการเพิ่มอัตรากำลังขึ้นอีก และให้พิจารณาปรับลดงบประมาณค่าใช้จ่ายด้านการบริหารงานภายในองค์กรลงให้เหมาะสม โดยคงให้นายกรัฐมนตรีเป็นรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๖ ตามเดิม ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร) เห็นชอบด้วยแล้ว ๓.๒ สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) (สบร.)ให้คงเหลือภารกิจสำคัญที่ต้องปฏิบัติ ๒ ภารกิจ ได้แก่ (๑) ภารกิจของอุทยานการเรียนรู้ และ (๒) ภารกิจของพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ และให้แยกศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบไปจัดตั้งเป็นสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) โดยให้เสนอคำขอจัดตั้งองค์การมหาชนตามขั้นตอนของสำนักงาน ก.พ.ร. ต่อไป และกำหนดให้องค์การมหาชนแห่งใหม่นี้มีภารกิจสนับสนุน และช่วยแก้ไขปัญหาด้านการออกแบบสินค้าและบริการของ SME ด้วย โดยควรเน้นการออกแบบให้เกิดมูลค่าสูงเพื่อประโยชน์ในเชิงพาณิชย์และสังคม ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) เห็นชอบด้วยแล้ว ทั้งนี้ เมื่อแยกศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบออกไปแล้ว สบร. ต้องไม่เพิ่มอัตรากำลังและงบประมาณค่าใช้จ่ายเกินจำเป็น ๔. ให้สำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) (สพค.) และหน่วยงานภายในปรับเปลี่ยนสถานภาพ บทบาท ภารกิจให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล และเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานโดยให้โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ และงบประมาณของสำนักงานเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีไปเป็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (องค์การสวนสัตว์) และศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ ๗ รอบพระชนมพรรษา ไปเป็นของกระทรวงการคลัง (กรมธนารักษ์) ทั้งนี้ ให้ สพค. องค์การสวนสัตว์ และกรมธนารักษ์ดำเนินการตามมติคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน และแนวทางปฏิบัติที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ประธานกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน ได้หารือกับผู้เกี่ยวข้องแล้วเมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๖๐ ให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบหลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17459 | โครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการยุติแหล่งผลิตและทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ ปี 2560 (สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ราชอาณาจักรกัมพูชา และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม) | ยธ | 20/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ โครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการยุติแหล่งผลิตและทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ ปี ๒๕๖๐ เพื่อสนับสนุนงบประมาณให้แก่ประเทศเพื่อนบ้าน (สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ราชอาณาจักรกัมพูชา และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม) จำนวน ๒๐ ล้านบาท ๑.๒ ให้เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดมีอำนาจอนุมัติโครงการ แผนงาน และกิจการภายใต้กรอบงบประมาณ งบเงินอุดหนุน รายการโครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการยุติแหล่งผลิตและทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ ปี ๒๕๖๐ และสามารถจ่ายเงินงบประมาณสนับสนุนแต่ละประเทศ (หน่วยงานกลางด้านยาเสพติดของประเทศเพื่อนบ้าน) เพื่อให้มีการดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ตามที่ได้รับจัดสรร ๑.๓ ให้เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดมีอำนาจอนุมัติจ่ายเงินงบประมาณของโครงการฯ ให้กับอัครราชทูตที่ปรึกษาด้านควบคุมยาเสพติด ณ กรุงย่างกุ้ง เพื่อนำไปสนับสนุนสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา (หน่วยงานกลางด้านยาเสพติดของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา) ดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการฯ และอนุมัติให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำนักงาน ป.ป.ส.) มอบวัสดุและครุภัณฑ์ที่จัดหาให้แก่หน่วยงานกลางด้านยาเสพติดของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดยขอยกเว้นไม่ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ ๑๕๗ เป็นกรณีพิเศษ ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินโครงการฯ สำหรับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาในปี ๒๕๖๐ ซึ่งสำนักงาน ป.ป.ส. จะนำงบประมาณฝากกระทรวงการต่างประเทศเพื่อให้อัครราชทูตที่ปรึกษาด้านควบคุมยาเสพติด ณ กรุงย่างกุ้ง เบิกจ่ายจากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงย่างกุ้ง โดยไม่มีค่าใช้จ่ายนั้น ให้สำนักงาน ป.ป.ส. มีหนังสือแจ้งเรื่องการโอนงบประมาณดังกล่าวอย่างเป็นทางการและประสานงานใกล้ชิดกับกระทรวงการต่างประเทศ นอกจากนี้ ขั้นตอนการใช้จ่ายและเบิกจ่ายงบประมาณ รวมทั้งการจัดซื้อจัดจ้าง ควรดำเนินการตามขั้นตอน กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง หรือยกเว้นผ่อนผัน แล้วแต่กรณี ทั้งนี้ การดำเนินการโครงการดังกล่าวจะต้องคำนึงถึงความประหยัด ความคุ้มค่า ความมั่นคง และความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ในส่วนของการมอบพัสดุและครุภัณฑ์ที่จัดหาให้แก่หน่วยงานกลางด้านยาเสพติดของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดยขอยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม นั้น ให้กระทรวงยุติธรรม (สำนักงาน ป.ป.ส) ดำเนินการขออนุมัติยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ ดังกล่าวต่อคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุต่อไป ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17460 | ค่าใช้จ่ายสำหรับการบริหารสำนักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น | อก | 20/06/2560 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนออนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ จำนวน ๒๑๒,๒๗๓,๕๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการบริหารสำนักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (สกรศ.) ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดย สกรศ. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวข้องเพื่อหลีกเลี่ยงความซ้ำซ้อน รวมทั้งดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
.....