ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 877 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 17521 - 17540 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
17521 | รายงานความคืบหน้าโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2560 และเสนอให้จัดทำโครงการสำรวจข้อมูลผู้มีรายได้น้อย | กค | 13/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบรายงานความคืบหน้าโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี ๒๕๖๐ ซึ่งเมื่อสิ้นสุดโครงการลงทะเบียนฯ มีผู้มาลงทะเบียนทั้งสิ้น ๑๔,๑๘๐,๓๓๖ คน โดยอยู่ระหว่างการจัดทำข้อมูลและตรวจสอบคุณสมบัติจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคาดว่าจะตรวจสอบคุณสมบัติแล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐ และจะเผยแพร่ผลการตรวจสอบต่อไป ๑.๒ เห็นชอบในสาระสำคัญของโครงการสำรวจข้อมูลผู้มีรายได้น้อย มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจสภาพความเป็นอยู่และความต้องการสวัสดิการจากภาครัฐของผู้มีรายได้น้อย ซึ่งครอบคลุมผู้ที่ลงทะเบียนในโครงการลงทะเบียนฯ ปี ๒๕๖๐ และมอบหมายให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติเป็นหน่วยงานจัดทำโครงการสำรวจฯ และประสานกับสำนักงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทยที่เห็นว่า นักศึกษาผู้สำรวจข้อมูลควรมีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่ที่จะทำการสำรวจเป็นหลัก ซึ่งจะทำให้สะดวกและประหยัดค่าใช้จ่ายในการลงพื้นที่ในการสำรวจ อีกทั้งควรพิจารณาจัดทำแบบสำรวจให้ครอบคลุมข้อมูลที่เหมาะสมตามความจำเป็น เพื่อให้รัฐบาลมีฐานข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วน และประสานความร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทยเพื่อประชาสัมพันธ์และอำนวยความสะดวกให้กับการสำรวจข้อมูลประชากรในพื้นที่เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญเพิ่มเติมกับการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้มีรายได้น้อยที่ลงทะเบียน และนำไปสู่การสร้างฐานข้อมูลผู้มีรายได้น้อยที่สมบูรณ์แบบ ตลอดจนควรมีการหารือร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้เชี่ยวชาญด้านการสำรวจภาคครัวเรือนในการจัดทำแบบสอบถามเพื่อใช้ในการสำรวจ รวมทั้งการดำเนินโครงการสำรวจควรพิจารณาถึงการได้มาของข้อมูลในระดับครัวเรือนควบคู่กับข้อมูลในระดับบุคคล การพิจารณาถึงบริบทด้านครัวเรือนเพิ่มเติมจะช่วยลดความซ้ำซ้อนในการจัดสวัสดิการให้ความช่วยเหลือของภาครัฐได้อีกส่วนหนึ่ง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17522 | ขออนุมัติร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐคาซัคสถานว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางพิเศษ/หนังสือเดินทางราชการ | กต | 13/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐคาซัคสถานว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางพิเศษ/หนังสือเดินทางราชการ (Agreement between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the Republic of Kazakhstan on Exemption from Visa Requirements for Holders of Diplomatic and Service/Official Passports) เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทางของเจ้าหน้าที่การทูตและข้าราชการของทั้งสองฝ่าย ส่งเสริมปฏิสัมพันธ์ การแลกเปลี่ยนการเยือนและการประสานราชการระหว่างกัน โดยจะเป็นการช่วยยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศในด้านอื่น ๆ อาทิ ด้านการเมือง เศรษฐกิจ การท่องเที่ยว วิชาการ และวัฒนธรรมต่อไป ทั้งนี้ จะมีการลงนามในการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อความร่วมมือทวิภาคี (Joint Commission on Bilateral Cooperation : JC) ไทย-คาซัคสถาน ครั้งที่ ๓ ระหว่างวันที่ ๒๑-๒๒ มิถุนายน ๒๕๖๐ ณ กรุงอัสตานา สาธารณรัฐคาซัคสถาน ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงฯ ๑.๓ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนามเพื่อให้ความตกลงฯ ๑.๔ อนุมัติในหลักการให้กระทรวงการต่างประเทศมีหนังสือแจ้งสาธารณรัฐคาซัคสถานเพื่อให้ความตกลงฯ มีผลบังคับต่อไป ๑.๕ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างความตกลงฯ โดยไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหรือให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศและคณะผู้แทนไทยที่เข้าร่วมประชุมดังกล่าวสามารถดำเนินการได้ โดยนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17523 | โครงการสำรวจข้อมูลผู้มีรายได้น้อย | ดศ | 13/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการสำรวจข้อมูลผู้มีรายได้น้อย มีวัตถุประสงค์เพื่อให้มีข้อมูลในการกำหนดนโยบายจัดสวัสดิการช่วยเหลือของรัฐที่มีประสิทธิภาพ เหมาะสม และยั่งยืน ยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้มีรายได้น้อยให้ดีขึ้น ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม มีข้อมูลที่สำคัญและจำเป็นในการติดตาม ประเมินผลในระยะยาวในการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำของประเทศ และส่่งเสริมให้นักศึกษา/นักเรียนได้เรียนรู้สภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่แท้จริงของประชาน และมีส่วนร่วมช่วยเหลือสังคมได้ต่อไปในอนาคต ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ทั้งนี้ ในการดำเนินการจัดทำแบบสำรวจข้อมูลผู้มีรายได้น้อยให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดหัวข้อการสำรวจให้ครอบคลุมถึงประเด็นอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน ครบถ้วน เช่น สภาพความเป็นอยู่ สภาพปัญหาและความต้องการพื้นฐานของผู้มีรายได้น้อย เป็นต้น เพื่อให้ภาครัฐได้ข้อมูลที่จะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการวิเคราะห์และกำหนดนโยบายด้านสวัสดิการของรัฐได้อย่างเหมาะสม สอดคล้องกับความต้องการของผู้มีรายได้น้อยอย่างแท้จริง ๒. สำหรับงบประมาณที่ใช้ในการดำเนินโครงการดังกล่าว ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายส่งเสริมและสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจภายในประเทศ ภายในกรอบวงเงิน ๙๒๑,๑๖๘,๗๐๐ บาท ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากนายกรัฐมนตรีประธานกรรมการพิจารณาการจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการเชิงยุทธศาสตร์ แผนงานบูรณาการเสริมสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ แล้ว ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17524 | สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ครั้งที่ 1/2560 | กษ | 13/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐ เมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๖๐ ที่ให้ความเห็นชอบ (๑) การขยายระยะเวลาดำเนินโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่สถาบันเกษตรกรเพื่อรวบรวมยางพารา (๒) การดำเนินโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง (เพิ่มเติม) (๓) การขยายระยะเวลาชำระคืนเงินกู้โครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายางและโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง และ (๔) การดำเนินโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการยาง ๒. เห็นชอบและอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๒.๑ เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาดำเนินโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่สถาบันเกษตรกรเพื่อรวบรวมยางพาราเป็นระยะเวลา ๓ ปี (วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๐-๓๑ มีนาคม ๒๕๖๓) โดยดำเนินโครงการภายใต้กรอบวงเงินสินเชื่อเดิม ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท และให้การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) รับผิดชอบโครงการแทนกรมส่งเสริมสหกรณ์ โดยภาครัฐจะชดเชยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๓ ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราเดียวกับเงื่อนไขโครงการเดิม โดยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามรายจ่ายจริงที่จะเกิดขึ้น โดยไม่รวมรายจ่ายชำระต้นเงินกู้และไม่รวมถึงการชดเชยความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต สำหรับค่าใช้จ่ายเบี้ยประกันภัยในอัตราร้อยละ ๐.๓๖ ต่อปี จำนวน ๓๖ ล้านบาท นั้น เห็นควรให้ กยท. นำเงินกองทุนพัฒนายางพารา ตามนัยมาตรา ๔๙ (๓) แห่งพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘ มาสนับสนุนค่าใช้จ่ายเบี้ยประกันดังกล่าวในโอกาสแรกก่อน ๒.๒ เห็นชอบให้ดำเนินโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง (เพิ่มเติม) เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยาง จำนวน ๑๑,๔๖๐ ครัวเรือน ซึ่งอยู่ภายในกรอบวงเงินการช่วยเหลือเดิมตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ โดยเห็นควรให้ดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายใน ๙๐ วันนับจากวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ ๒.๓ เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาชำระคืนเงินกู้โครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง และโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง ซึ่งคงเหลือ ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๐ จำนวน ๒๘,๑๗๔.๘๖๙ ล้านบาท ให้กับ ธ.ก.ส. ออกไปอีก ๓ ปี จากเดิมสิ้นสุดวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๐ เป็นสิ้นสุดวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๓ และยกเว้นค่าธรรมเนียมในการค้ำประกันเงินกู้ โดยให้กระทรวงการคลังขยายระยะเวลาการค้ำประกันเงินกู้กับ ธ.ก.ส. ออกไปตามระยะเวลาการขยายชำระเงินกู้ให้กับ ธ.ก.ส. พร้อมชดเชยต้นทุนเงินในอัตราดอกเบี้ย FDR+1 ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควรเร่งรัดดำเนินโครงการให้เป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนด ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๙ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการและภาระค่าชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้ ๒.๔ อนุมัติให้ดำเนินโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบกิจการยาง วงเงินสินเชื่อ ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ๒๕๖๐ จนถึงเดือนเมษายน ๒๕๖๒ โดยภาครัฐจะชดเชยดอกเบี้ยในอัตราตามที่จ่ายจริงไม่เกินร้อยละ ๓ ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราเดียวกับโครงการสนับสนุนสินเชื่อผู้ประกอบการผลิตผลิตภัณฑ์ยาง ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย กยท. หารือกับกระทรวงการคลังเพื่อมอบหมายธนาคารของรัฐทำหน้าที่เป็นหน่วยรับจัดสรรงบประมาณเพื่อชดเชยดอกเบี้ยแทนธนาคารพาณิชย์อื่น ๆ และให้กระทรวงการคลังขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นต่อไป โดยไม่รวมรายจ่ายชำระต้นเงินกู้และไม่รวมถึงการชดเชยความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ๒.๕ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์นำผลการติดตามและประเมินผลโครงการรายงานต่อคณะรัฐมนตรีเป็นระยะ ๆ ด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งระบายสต็อกและส่งมอบยางพาราตามโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายางและโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายางตามความเหมาะสม โดยคำนึงถึงภาระงบประมาณที่เกี่ยวข้อง และเร่งปิดบัญชีโครงการพัฒนาศักยภาพสถาบันเกษตรกรเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายางและโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรราคายางเพื่อขอจัดสรรงบประมาณเพื่อชดเชยผลขาดทุนภายใต้โครงการทั้งสอง รวมทั้งควรมีการติดตามและสนับสนุนให้สถาบันเกษตรกรสามารถแปรรูปและระบายผลิตภัณฑ์ยาง เพื่อเร่งชำระหนี้คืนให้เสร็จสิ้นภายใน ๓ ปี เพื่อมิให้ภาครัฐต้องมีภาระการชดเชยดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น และมีการติดตามผลการรับซื้อยางของผู้ประกอบการยางอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการและปรับปรุงแนวทางการดูดซับอุปทานส่วนเกินในตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับกรณีเกษตรกรชาวสวนยางที่ไม่ได้มาแจ้งเข้าร่วมโครงการภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ ให้ได้รับโอกาสเช่นเดียวกับเกษตรกรชาวสวนยางและแรงงานกรีดยางในช่วงที่ผ่านมา นั้น ควรยึดหลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติตามที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัดเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับเกษตรกรทุกกลุ่ม นอกจากนี้ ควรเร่งหาตลาดหรือมาตรการเสริมอื่น ๆ เพื่อให้สามารถระบายสต็อกยางทั้งหมดในช่วงเวลาที่เหมาะสมให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17525 | ปรับปรุงอัตราการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการส่งยางออกนอกราชอาณาจักรเป็นอัตราคงที่ 2 บาทต่อกิโลกรัม | กษ | 13/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกำหนดอัตราจัดเก็บค่าธรรมเนียมส่งยางออกนอกราชอาณาจักร ในอัตราคงที่ ๒ บาทต่อกิโลกรัม โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ติดตาม กำกับดูแล และประเมินผลการปรับปรุงอัตราการจัดเก็บค่าธรรมเนียมดังกล่าวอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง เพื่อมิให้เกิดปัญหาหรือผลกระทบต่อราคาจำหน่ายยางของเกษตรกร ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่เกษตรกรจะได้รับจากค่าธรรมเนียมฯ ตามที่กำหนดไว้อย่างเคร่งครัดด้วย และโดยที่การกำหนดค่าธรรมเนียมฯ ดังกล่าว อาจส่งผลกระทบต่อเกษตรกรชาวสวนยาง ผู้ประกอบกิจการยางและผู้ส่งออกยาง ตลอดจนอุตสาหกรรมยางในภาพรวม ทั้งในเชิงบวกและลบ โดยเฉพาะหากราคายางมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง จึงควรพิจารณาผลกระทบในกรณีต่าง ๆ เพื่อหามาตรการรองรับที่เหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17526 | ขอความเห็นชอบต่อร่างบันทึกผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อความร่วมมือทวิภาคีไทย - คาซัคสถาน ครั้งที่ 3 | กต | 13/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อความร่วมมือทวิภาคีไทย-คาซัคสถาน ครั้งที่ ๓ (Draft Agreed Minutes of the 3rd Meeting of the Joint Commission for Bilateral Cooperation between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the Republic of Kazakhstan) ซึ่งเป็นเอกสารผลลัพธ์สำคัญของการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมฯ ครั้งที่ ๓ ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๑-๒๒ มิถุนายน ๒๕๖๐ ณ กรุงอัสตานา สาธารณรัฐคาซัคสถาน มีสาระสำคัญครอบคลุมประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ (๑) ความร่วมมือด้านการเมือง (๒) ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ (๓) ความร่วมมือด้านสุขภาพและการพัฒนาสังคม (๔) ความร่วมมือด้านวัฒนธรรมและการกีฬา (๕) ความร่วมมือทางวิชาการ (๖) ความร่วมมือด้านข้าราชการพลเรือน และ (๗) ความร่วมมือด้านกฎหมาย ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมฯ ครั้งที่ ๓ ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างบันทึกผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมฯ ครั้งที่ ๓ โดยไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหรือให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศและคณะผู้แทนไทยที่เข้าร่วมการประชุมดังกล่าวสามารถดำเนินการได้ โดยนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลังพร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17527 | การกำหนดแนวทางการจัดทำงบประมาณและปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 | นร07 | 13/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการกำหนดแนวทางการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ และการกำหนดปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ทั้งนี้ ให้สำนักงบประมาณได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17528 | ผลการเยือนญี่ปุ่นของรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) | นร04 | 13/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการเยือนญี่ปุ่นของรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ระหว่างวันที่ ๔-๘ มิถุนายน ๒๕๖๐ ของกระทรวงการต่างประเทศ โดยมีประเด็นที่มีความคืบหน้าที่เป็นรูปธรรมหลายประการ ซึ่งถือเป็นการฉลองการครบรอบ ๑๓๐ ปี ของความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-ญี่ปุ่น โดยญี่ปุ่นได้ตอบรับที่จะเป็นหุ้นส่วนสำคัญในการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) ระบบราง โดยเฉพาะเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economic : EWEC) การพัฒนาอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ รวมทั้งให้คำมั่นที่จะผลักดันให้มีการเยือนไทยของคณะภาคเอกชนญี่ปุ่นในปีนี้ โดยมีการลงนามเอกสารความร่วมมือในระดับรัฐมนตรี และระดับหน่วยงาน ซึ่งรัฐมนตรีและผู้แทนด้านเศรษฐกิจของไทยได้หารือในรายละเอียดกับรัฐมนตรีและผู้แทนที่เกี่ยวข้องของญี่ปุ่นในห้วงการเยือนครั้งนี้ด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการปฏิบัติตามผลการเยือนดังกล่าวให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ๓. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับการลงทุน หรือเป็นที่ตั้งของสถานประกอบกิจการแต่ละประเภทไว้ให้ชัดเจน เพื่อให้พร้อมสำหรับนักลงทุนจากต่างประเทศที่จะพิจารณาตัดสินใจลงทุนในประเทศไทยได้ตรงกับความต้องการของตน เช่น พื้นที่ในเขตนิคมอุตสาหกรรม พื้นที่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษ เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17529 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ (กระทรวงการต่างประเทศ) (นายชาตรี อรรจนานันท์ และนางลินนา ตังธสิริ) | กต | 13/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. นายชาตรี อรรจนานันท์ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการกงสุล ๒. นางลินนา ตังธสิริ ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17530 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงคมนาคม) (จำนวน 3 ราย 1. นายอานนท์ เหลืองบริบูรณ์ ฯลฯ) | คค | 13/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงคมนาคม ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง จำนวน ๓ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
๑. นายอานนท์ เหลืองบริบูรณ์ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นายสราวุธ ทรงศิวิไล ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. นางอัมพวัน วรรณโก ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17531 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงศึกษาธิการ) (นายสินเธาว์ ชัยสวัสดิ์) | ศธ | 13/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายสินเธาว์ ชัยสวัสดิ์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งศึกษาธิการภาค สำนักงานศึกษาธิการภาค ๑๗ (พิษณุโลก) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17532 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดเชียงราย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดเชียงราย พ.ศ. 2556) | มท | 06/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดเชียงราย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดเชียงราย พ.ศ. ๒๕๕๖) โดยแก้ไขข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทชุมน ที่ดินประเภทอุตสาหกรรมและคลังสินค้า ที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม ที่ดินประเภทปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ที่ดินประเภทอนุรักษ์สภาพแวดล้อมเพื่อการท่องเที่ยว และที่ดินประเภทอนุรักษ์เพื่อส่งเสริมเอกลักษณ์ศิลปวัฒนธรรมไทย ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการประกอบกิจการโรงงานตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน การอยู่อาศัยหรือประกอบพาณิชยกรรมประเภทอาคารสูงหรืออาคารขนาดใหญ่ การกำหนดที่ว่างริมแหล่งน้ำหรือแปลงที่ดิน ตลอดจนปรับปรุงบัญชีท้ายกฎกระทรวง เพื่อกำหนดให้การประกอบกิจการโรงงานดำเนินการได้อย่างเหมาะสมกับสภาวการณ์ในปัจจุบัน ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่าผู้ที่เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญกับการควบคุมการวางผังเมืองให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของร่างกฎกระทรวงฯ โดยคำนึงถึงปริมาณน้ำต้นทุนและปริมาณการใช้น้ำ รวมทั้งการควบคุมการก่อสร้างต่าง ๆ เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคกับการระบายน้ำในพื้นที่ และในการกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทต่าง ๆ ให้พิจารณามิให้เป็นอุปสรรคต่อการจัดสร้างระบบรวบรวมหรือระบบบำบัด/กำจัดมลพิษของพื้นที่ นอกจากนี้ กรมโยธาธิการและผังเมืองควรพิจารณาสนับสนุนให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลและควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดิน และการรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำสายสำคัญที่ประชาชนใช้ประโยชน์เพื่อการเกษตรกรรม การอุปโภคบริโภค และการท่องเที่ยว เพื่อรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17533 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดหนองบัวลำภู พ.ศ. .... | มท | 06/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่จังหวัดหนองบัวลำภู พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท เพื่อประโยชน์ในการป้องกันอัคคีภัย การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม การผังเมือง การสถาปัตยกรรม และการอำนวยความสะดวกแก่การจราจร ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า เพื่อให้การบังคับใช้ร่างกฎกระทรวงฉบับนี้มีผลในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม เมื่อร่างกฎกระทรวงฯ ประกาศใช้ กรมโยธาธิการและผังเมืองควรกำกับดูแลให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นควบคุมการขออนุญาตและการก่อสร้างอาคารพาณิชยกรรมประเภทค้าปลีกค้าส่งให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของร่างกฎกระทรวงฯ อย่างเข้มงวด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17534 | ข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายและข้อเสนอแนะนโยบายการแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการทรัพยากรพลังงานของไทย | สม | 06/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาและผลการดำเนินการตามข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายและข้อเสนอแนะนโยบายการแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการทรัพยากรพลังงานของไทยของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โดยผลการพิจารณาให้ความเห็นและข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในเรื่องกระบวนการจัดทำโครงการด้านปิโตรเลียมของประเทศไทยพบว่า กฎหมายปิโตรเลียมในปัจจุบันมีการดำเนินการที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วมด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม รวมทั้งตระหนักถึงสิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารโดยมีการเร่งสร้างความเข้าใจที่ตรงกันให้แก่ประชาชนทุกภาคส่วนอย่างทั่วถึงแล้ว ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติปิโตรเลียม พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. .... ได้ผ่านความเห็นชอบของสภานิติบัญญัติแห่งชาติแล้ว ซึ่งกระทรวงพลังงานจะนำข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติไปประกอบการพิจารณาในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป สำหรับข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่เสนอให้นำหลักปฏิบัติที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ อาทิ หลักปฏิบัติของโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน มาปรับใช้ในการกำกับดูแลภาคธุรกิจที่ได้รับสัมปทานปิโตรเลียมนั้น ในกระบวนการของกฎหมายปิโตรเลียมได้คำนึงถึงประเด็นต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับหลักปฏิบัติระดับนานาชาติดังกล่าวอยู่แล้ว และสามารถนำหลักปฏิบัติดังกล่าวไปประยุกต์ใช้ในทางปฏิบัติที่เกี่ยวข้องต่อไป เพื่อสร้างความมั่นใจได้ว่ากระบวนการกำกับดูแลกิจการปิโตรเลียมจะส่งผลให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติสูงสุดอย่างแท้จริง ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17535 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. .... | สว | 06/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. .... โดยกระทรวงยุติธรรมได้ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งในภาพรวมเห็นด้วยตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความเห็นเพิ่มเติมในประเด็นการกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมโดยไม่มีหลักประกัน ในอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าร้อยละ ๑๕ ต่อปีได้ โดยจัดให้มีการขึ้นทะเบียน อาทิ กระทรวงการคลังเห็นว่าควรที่จะใช้สินเชื่อพิโคไฟแนนซ์ไปก่อน ซึ่งถ้าประสบความสำเร็จจะทดแทนหนี้นอกระบบไปได้ในระดับหนึ่ง ส่วนเรื่องการกู้ยืมเงินระหว่างบุคคลธรรมดาที่จะให้มาจดทะเบียนตามข้อสังเกตดังกล่าวนั้น กระทรวงการคลังจะนำไปพิจารณาในระยะต่อไป และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเห็นว่าเรื่องการเข้ามาจดทะเบียนของเจ้าหนี้เงินกู้นอกระบบ หากเป็นเจ้าหนี้เงินกู้ที่ปฏิบัติไม่ชอบด้วยกฎหมายเข้ามาจดทะเบียนกับภาครัฐจะเป็นการนำเงินที่ได้จากการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเข้ามาอยู่ในรูปแบบของการกระทำที่ถูกกฎหมาย ซึ่งถือเป็นการฟอกเงินในรูปแบบหนึ่ง รวมทั้งมีความเห็นเพิ่มเติมในประเด็นกรณีที่มีการกระทำความผิดที่เข้าองค์ประกอบความผิดฐานอั้งยี่ตามประมวลกฎหมาย ตามมาตรา ๒๐๙ ควรที่จะต้องดำเนินคดีในความผิดฐานอั่งยี่นั้น เห็นว่าความผิดฐานเป็นอั้งยี่มีคดีขึ้นสู่กระบวนการพิจารณาของศาลค่อนข้างน้อย หน่วยงานต่าง ๆ ควรจะทำงานเสริมร่วมกัน เช่น กรมสอบสวนคดีพิเศษที่ดำเนินการในเรื่องของการกู้ยืมเงิน หรือกรมสรรพากรก็จะทำให้มาตรการปราบปรามมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17536 | ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงคมนาคม พ.ศ. .... | นร09 | 06/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงคมนาคม พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงคมนาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยปรับปรุงการแบ่งส่วนราชการและอำนาจหน้าที่ของสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงคมนาคม เพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจที่เพิ่มขึ้นและเหมาะสมกับสภาพของงานที่เปลี่ยนแปลงไป อันจะทำให้การปฏิบัติภารกิจตามอำนาจหน้าที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17537 | รายงานตามมาตรา 36 แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ พ.ศ. 2544 ประจำปี 2559 | สสส. | 06/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานประจำปี ๒๕๕๙ ของกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ผลงานเด่นในปี ๒๕๕๙ ประกอบด้วย ๑๔ ผลงานซึ่งมีส่วนช่วยในการสร้างเสริมสุขภาพของประชาชน เช่น การรณรงค์ลด ละ เลิกบุหรี่และสุรา การสร้างสุขภาวะให้แก่แรงงานนอกระบบ และการสร้างศูนย์การเรียนรู้ต้นแบบด้านสุขภาวะที่มีชีวิต ส่งผลให้สถานการณ์สุขภาพของประชาชนไทยดีขึ้นตามลำดับ โดยแนวโน้มการสูบบุหรี่ลดลงจากร้อยละ ๓๒.๐๐ ในปี ๒๕๓๔ เหลือร้อยละ ๑๙.๙๐ ในปี ๒๕๔๘ สัดส่วนของผู้ดื่มแอลกอฮอล์ในระดับอันตรายลดลงจากร้อยละ ๙.๑๐ ในปี ๒๕๔๗ เหลือร้อยละ ๓.๔๐ ในปี ๒๕๕๗ และอัตราการมีกิจกรรมทางกายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี จากร้อยละ ๖๖.๓๐ ในปี ๒๕๕๕ เป็นร้อยละ ๗๑.๖๐ ในปี ๒๕๕๘ หรือเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ ๗ ในช่วง ๔ ปีที่ผ่านมา ๑.๒ การบริหารงบประมาณของ สสส. ปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ได้มีการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพรวม ๔,๓๐๒ ล้านบาท จำแนกการใช้จ่ายงบประมาณเป็น ๒ ส่วน ได้แก่ เบิกจ่ายทุนสนับสนุนโครงการสร้างเสริมสุขภาพรวมค่าใช้จ่ายบริหารโครงการ จำนวน ๓,๘๗๖ โครงการ งบประมาณ ๓,๙๑๑ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๙๑ ของงบประมาณรายจ่ายทั้งหมด และค่าใช้จ่ายในการบริหารสำนักงาน ๓๙๑ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๙ ของงบประมาณรายจ่ายทั้งหมด ๒. มอบหมายให้ สสส. รับข้อเสนอแนะของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐที่เห็นควรปรับปรุงบางประการในส่วนของการติดตามและแก้ไขเรื่องร้องเรียน การสร้างการรับรู้ถึงวัฒนธรรมคุณธรรมในองค์กร และการวางระบบก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่อย่างชัดเจน โดยให้ศึกษาวิเคราะห์ถึงปัญหาเพื่อนำสาเหตุมาพิจารณาปรับปรุงอย่างเร่งด่วน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17538 | การแต่งตั้งโฆษกและรองโฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ | กษ | 06/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการแต่งตั้งโฆษกและรองโฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีการเปลี่ยนแปลงโฆษกและรองโฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เพื่อให้ข้อมูลข่าวสารการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการดำเนินงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ตามคำสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ ๑๑๐๑/๒๕๕๙ ลงวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๙ เรื่อง แต่งตั้งโฆษกและรองโฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้
๑. เปลี่ยนแปลงโฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จากเดิม นายสุรพล จารุพงศ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็น นายปริญญา เพ็งสมบัติ ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ๒. เปลี่ยนแปลงรองโฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จากเดิม นายรัตนะ สวามีชัย ผู้ช่วยปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็น นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนายรัตนะ สวามีชัย ผู้ช่วยปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ปัจจุบันได้มีคำสั่งแต่งตั้งให้ นายรัตนะ สวามีชัย ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17539 | สรุปการเยือนสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะประธานสภารัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (สภาซีเมค) | ศธ | 06/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปการเยือนสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะประธานสภารัฐมนตรีศึกษาแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (สภาซีเมค) ระหว่างวันที่ ๒๗-๒๘ เมษายน ๒๕๖๐ ตามคำเชิญของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของเมียนมา ซึ่งเป็นการเยือนครั้งสุดท้ายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะประธานสภาซีเมค ก่อนส่งมอบตำแหน่งให้กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการและวัฒนธรรมอินโดนีเซีย ในเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๐ ณ สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยมีประเด็นสำคัญ ดังนี้
๑. การเยี่ยมคารวะและหารือข้อราชการกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการของเมียนมา ซึ่งฝ่ายเมียนมาได้กล่าวถึงจุดเน้นการพัฒนาการศึกษาในระดับชาติที่ให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างโอกาสในการเข้าถึงการศึกษา การพัฒนาคุณภาพการศึกษา การจัดการศึกษาทางเลือก และการจัดทำกฎหมายการศึกษา รวมทั้งจะร่วมมือกับไทยในการพัฒนาการศึกษาด้านต่าง ๆ เช่น การอาชีวศึกษา การศึกษาขั้นพื้นฐาน การพัฒนาครู การพัฒนาหลักสูตรในระดับอุดมศึกษา การศึกษาแนวทางการจัดตั้งสมาพันธ์สหภาพนักเรียน/นักศึกษาจากไทย เป็นต้น ส่วนไทยมีแนวคิดในการจัดตั้งศูนย์ระดับภูมิภาคของซีมีโอด้านสะเต็มศึกษา และศูนย์ระดับภูมิภาคด้านปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อความยั่งยืนของซีมีโอ โดยจะนำเรื่องเสนอต่อที่ประชุมสภาซีเมค ครั้งที่ ๔๙ ต่อไป ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะกระชับความร่วมมือกันให้แน่นแฟ้น โดยเฉพาะการสนับสนุนภาคเอกชนให้มีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา การพัฒนาสื่อการเรียนการสอนให้ทันสมัย การสนับสนุนการเรียนรู้อย่างคิดวิเคราะห์ และการสนับสนุนการเข้าถึงทางการศึกษาผ่านดาวเทียม และได้เข้าตรวจเยี่ยมศูนย์ระดับภูมิภาคว่าด้วยการศึกษาประวัติศาสตร์และประเพณีของซีมีโอ ๒. ข้อสังเกตเพื่อปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อกระทรวงศึกษาธิการของไทย ได้แก่ (๑) การปฏิรูปเพื่อการพัฒนาการศึกษาที่มีคุณภาพ (๒) การสนับสนุนการมีส่วนร่วมของภาครัฐ-เอกชน-ประชาสังคมในการจัดการศึกษา (๓) การสนับสนุนภาคเอกชนในการจัดการศึกษา และ (๔) การให้ความสำคัญและการส่งเสริมความเข้าใจร่วมกันด้านประวัติศาสตร์และความรู้พื้นเมือง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
17540 | แผนการดำเนินงาน (Roadmap) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 - 2563 [สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน)] | นร04 | 06/06/2560 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบแผนการดำเนินงาน (Roadmap) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๓ ของสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) (สมศ.) มีเป้าหมาย คือ สถานศึกษาได้รับการประเมินคุณภาพภายนอกรอบสี่ครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ แบ่งเป็น (๑) แผนเร่งด่วนภายในระยะเวลา ๑ ปี (เดือนมกราคม-ธันวาคม ๒๕๖๐) และ (๒) แผนประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๓ ทั้งนี้ จะเริ่มดำเนินการประเมินระยะที่ ๑ ในไตรมาสที่ ๔/๒๕๖๐ (เดือนกรกฎาคม-กันยายน ๒๕๖๐) โดยมีเป้าหมาย คือ สถานศึกษาระดับปฐมวัยขั้นพื้นฐาน อาชีวศึกษา และอุดมศึกษา ทั่วประเทศ ๓๕๓ แห่ง ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) เสนอ และให้ สมศ. เร่งรัดการดำเนินการให้เป็นไปตามแผนการดำเนินงานฯ ต่อไป ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง) กำกับให้ สมศ. ดำเนินการประเมินผลสัมฤทธิ์ของระบบการศึกษาในปัจจุบันตามแนวทางการปฏิรูปการศึกษา โดยเน้นผลที่เกิดกับนักเรียน ครู และผลการเรียน เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการปรับปรุงพัฒนาระบบการศึกษาและการจัดการเรียนการสอนของสถานศึกษาให้เหมาะสมต่อไป
|
.....