ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 800 จากทั้งหมด 6214 หน้า แสดงรายการที่ 15981 - 16000 จากข้อมูลทั้งหมด 124270 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
15981 | ร่างกฎ ก.พ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินประจำตำแหน่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร10 | 20/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติร่างกฎ ก.พ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินประจำตำแหน่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้สายงานวิศวกรรมรังวัด ระดับเชี่ยวชาญ เป็นสายงานและระดับที่มีสิทธิได้รับเงินประจำตำแหน่งประเภทวิชาการ ในอัตรา ๙,๙๐๐ บาท ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับภาระค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น เห็นควรให้ดำเนินการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณของหน่วยงานเป็นลำดับแรก และเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15982 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษาข้อเสนอแนะและแนวทางการปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ. .... ของคณะกรรมาธิการการพาณิชย์ การอุตสาหกรรม และการแรงงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 20/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการพาณิชย์ การอุตสาหกรรม และการแรงงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เกี่ยวกับแนวทางการปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ. .... ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้จัดประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว โดยได้แก้ไขเพิ่มเติมตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ เช่น การแก้ไขบทนิยามของ “ผลิตภัณฑ์สมุนไพร” การเพิ่มองค์ประกอบของคณะกรรมการสมุนไพรแห่งชาติ โดยเพิ่มองค์กรภาคเอกชนเป็นกรรมการ เป็นต้น และในบางประเด็นได้ยืนยันตามร่างพระราชบัญญัติฯ ที่คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว เช่น บทนิยามคำว่า “ผู้รับอนุญาต” การกำหนดหน่วยงานที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องขออนุญาตตามพระราชบัญญัตินี้ เป็นต้น ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15983 | ขออนุมัติหลักการเช่ารถประจำตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน 2 คัน รถประจำตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน 1 คัน และรถประจำตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน 2 คัน | กษ | 20/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เช่ารถประจำตำแหน่ง จำนวน ๔ คัน ในลักษณะก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๖ วงเงินทั้งสิ้น ๑๓,๔๑๓,๖๐๐ บาท ตามนัยมาตรา ๒๓ วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เป็นกรณีเฉพาะราย ประกอบด้วย (๑) ค่าเช่ารถประจำตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน ๒ คัน วงเงินรวม ๙,๑๘๐,๐๐๐ บาท และ (๒) ค่าเช่ารถประจำตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำนวน ๒ คัน วงเงินรวม ๔,๒๓๓,๖๐๐ บาท ๒. ให้สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ จากแผนงานพื้นฐานด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ผลผลิตอำนวยการและบริหารจัดการด้านการเกษตร จำนวน ๘๒๓,๖๘๐ บาท ส่วนที่เหลืออีก จำนวน ๑๒,๕๘๙,๙๒๐ บาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๖ โดยให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนให้สอดคล้องกับวงเงินตามสัญญาต่อไป ทั้งนี้ ให้สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงความจำเป็นอย่างเหมาะสม อันสอดคล้องกับเงื่อนเวลาของภารกิจดังกล่าว และประโยชน์ที่ทางราชการจะได้รับเป็นสำคัญด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15984 | สรุปภาพรวมดัชนีราคาปี 2560 และแนวโน้มปี 2561 | พณ | 20/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปภาพรวมดัชนีราคาปี ๒๕๖๐ และแนวโน้มปี ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีราคาสำคัญ ปี ๒๕๖๐ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภค (เงินเฟ้อ) สูงขึ้นร้อยละ ๐.๖๖ ดัชนีราคาผู้ผลิต สูงขึ้นร้อยละ ๐.๗ และดัชนีราคาวัสดุก่อสร้าง สูงขึ้นร้อยละ ๑.๙ ๒. ภาวะเศรษฐกิจจากดัชนีราคา ปี ๒๕๖๐ ราคาสินค้าอุปโภคโดยเฉลี่ยสูงขึ้นจากปี ๒๕๕๙ เช่น น้ำมันเชื้อเพลิง และราคาเกี่ยวกับการตรวจรักษา การศึกษา และยานพาหนะ ราคาอาหารสดผันผวนตลอดปี โดยเฉพาะช่วงก่อนและหลังอุทกภัย โดยเฉลี่ยราคาลดลงทั่วประเทศ เนื่องจากอุปทานที่ออกมาจำนวนมาก สะท้อนจากราคาที่ผู้ผลิตขายหน้าฟาร์มลดลง เช่น ปาล์ม ผัก ไก่ และสุกร ราคาอาหารสำเร็จรูป อาหารบริโภคในบ้านและนอกบ้านสูงขึ้น โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานคร และเมืองท่องเที่ยว เนื่องจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น และราคาส่วนประกอบและเครื่องปรุงอาหารที่สูงขึ้น ๓. ดัชนีราคาระดับภูมิภาค และรายจังหวัด เดือนมกราคม-พฤศจิกายน ๒๕๖๐ พบว่าภาคใต้เป็นพื้นที่ที่ราคาสินค้าทุกประเภทเพิ่มสูงขึ้นมากว่าภาคอื่น โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภค เนื่องจากอยู่ในภูมิภาคที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ตามด้วยภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคอื่น ๆ ในขณะที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีราคาอาหารสดที่ลดลงมากกว่าภาคอื่น ๆ เนื่องจากเป็นแหล่งผลิตอาหารที่สำคัญ ๔. สัดส่วนการใช้จ่ายของประชาชน ปี ๒๕๖๐ พบว่าค่าใช้จ่ายครัวเรือนเฉลี่ยทั้งประเทศ คิดเป็น ๒๐,๓๔๗ บาทต่อเดือน ค่าใช้จ่ายของครัวเรือนที่มีรายได้น้อย คิดเป็น ๑๑,๕๐๗ บาทต่อเดือน และค่าใช้จ่ายของครัวเรือนในชนบท คิดเป็น ๑๔,๙๓๖ บาทต่อเดือน ๕. แนวโน้มเงินเฟ้อ ปี ๒๕๖๑ กระทรวงพาณิชย์ประมาณการไว้ที่ร้อยละ ๐.๗-๑.๗ ต่อปี ภายใต้สมมุติฐาน GDP ของไทยขยายตัวร้อยละ ๓.๖-๔.๖ ราคาน้ำมันดิบดูไบ ๕๕-๖๕ ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และอัตราแลกเปลี่ยน ๓๒-๓๔ บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ รวมทั้งได้ปรับตามค่าแรงขั้นต่ำที่จะมีผลในวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๖๑ ที่เพิ่มขึ้น ๑๐.๕ บาททั่วประเทศ ซึ่งส่งผลทำให้ต้นทุนราคาสินค้าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ ๐.๕ อย่างไรก็ตาม สมมุติฐานดังกล่าวอาจมีการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากราคาน้ำมันในตลาดโลกมีแนวโน้มสูงขึ้น และความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนในไตรมาสแรก ๖. จากดัชนีราคาสำคัญในปี ๒๕๖๐ มาตรการช่วยเหลือของภาครัฐในด้านต่าง ๆ ทั้งการดูแลราคาสินค้าและการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการประชารัฐ รวมถึงการส่งเสริมสินค้าอาหารและสินค้าอุปโภคบริโภคของร้านค้าธงฟ้าประชารัฐเป็นการช่วยเหลือกลุ่มผู้มีรายได้น้อยได้อีกทางหนึ่ง และสามารถขยายการดำเนินการ โดยเพิ่มประเภทสินค้าที่เกี่ยวกับอาหารและเร่งกระจายร้านค้าธงฟ้าประชารัฐเคลื่อนที่ (Mobile unit) สำหรับประชาชนทั่วไป อาจต้องหามาตรการลดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเดินทาง ค่าพาหนะ และเคหสถานต่อไปในอนาคต
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15985 | รายงานดัชนีภาวะการค้าภาคบริการของไทยเดือนธันวาคม 2560 | พณ | 20/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานดัชนีภาวะการค้าภาคบริการของไทยเดือนธันวาคม ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีภาวะการค้าภาคบริการของไทยเดือนธันวาคม ๒๕๖๐ อยู่ที่ระดับ ๑๐๖.๖ สูงขึ้นร้อยละ ๕.๘ (YoY) เป็นการขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ ๑๑ ติดต่อกัน และรวมทั้งปี ๒๕๖๐ ดัชนีภาวะการค้าภาคบริการ (Trade in Services Performance and Potential Index : TSPPI) เพิ่มขึ้นร้อยละ ๓.๔ (YoY) ซี่งสะท้อนถึงสถานการณ์การค้าภาคบริการที่ยังอยู่ในระดับดี ๒. ดัชนีภาวะการค้าภาคบริการรายสาขาเกือบทุกสาขาปรับตัวดีขึ้นในเดือนธันวาคม ๒๕๖๐ โดยเฉพาะสาขาอสังหาริมทรัพย์ขยายตัวร้อยละ ๒๔.๑ สาขาการเงินและการประกันภัยขยายตัวร้อยละ ๑๓.๗ สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหารขยายตัวร้อยละ ๑๐.๑ และสาขาการขายส่งและขายปลีกขยายตัวร้อยละ ๙.๓ ที่มีอัตราการขยายตัวดีกว่าดัชนีรวม ๓. แนวโน้มภาวะการค้าภาคบริการในปี ๒๕๖๑ คาดว่าจะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง สำหรับสาขาบริการที่มีศักยภาพ และแนวโน้มการขยายตัวได้ดี ได้แก่ สาขาอสังหาริมทรัพย์ สาขาบริการทางการเงิน สาขาสุขภาพ และสาขาขายส่งและการขายปลีก
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15986 | รายงานผลการประชุมทวิภาคีไทย - ลาว เรื่อง ความร่วมมือด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ครั้งที่ 16 | ยธ | 20/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมทวิภาคีไทย-ลาว เรื่อง ความร่วมมือด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ครั้งที่ ๑๖ จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๐-๒๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ ณ นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งมีพลอากาศเอก ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมฯ โดยประเด็นสำคัญของการประชุมฯ เช่น (๑) การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารผ่านกลไกความร่วมมือต่าง ๆ อาทิ โครงการสกัดกั้นยาเสพติด ณ ท่าอากาศยานสากลอาเซียน ศูนย์ประสานงานแม่น้ำโขงปลอดภัย สำนักงานประสานงานปราบปรามยาเสพติดชายแดน (Border Liaison Offices : BLO) (๒) การสนับสนุนความร่วมมือภายใต้โครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการยุติแหล่งผลิตและทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ (Letter of Agreement : LoA) (๓) การเห็นชอบให้สำนักงาน BLO ไทย-ลาว เพิ่มการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและสถานการณ์ยาเสพติดตามพื้นที่ชายแดน (๔) การส่งผลการวิเคราะห์ยาเสพติดพร้อมด้วยรูปภาพให้ฝ่ายไทยแทนการส่งตัวอย่างยาเสพติด (๖) การฝึกอบรมให้ความรู้เพิ่มขีดความสามารถให้แก่เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานอยู่ในสำนักงาน BLO และ (๗) การสกัดกั้นยาเสพติด เคมีภัณฑ์ และสารตั้งต้น รวมทั้งการจับกุมนักค้ายาเสพติดตามแผนปฏิบัติการแม่น้ำโขงปลอดภัย ๖ ประเทศ ระยะเวลา ๓ ปี (๒๕๕๙-๒๕๖๑) และแผนปฏิบัติการแม่น้ำโขงปลอดภัยตอนล่าง ๓ ประเทศ ระยะเวลา ๒ ปี (๒๕๖๐-๒๕๖๑) เป็นต้น ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15987 | การเปลี่ยนสถานะของมูลนิธิศูนย์เตรียมความพร้อมป้องกันภัยพิบัติแห่งเอเชีย (Asian Disaster Preparedness Center-ADPC) เป็นองค์การระหว่างประเทศ (ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของศูนย์เตรียมความพร้อมป้องกันภัยพิบัติแห่งเอเชีย พ.ศ. ....) | กต | 20/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของศูนย์เตรียมความพร้อมป้องกันภัยพิบัติแห่งเอเชีย พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญเป็นการออกกฎหมายเพื่อรองรับและคุ้มครองการดำเนินงานของศูนย์เตรียมความพร้อมป้องกันภัยพิบัติแห่งเอเชีย ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎบัตรของศูนย์เตรียมความพร้อมป้องกันภัยพิบัติแห่งเอเชีย ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำสัตยาบันสาร เพื่อให้กฎบัตรของศูนย์เตรียมความพร้อมป้องกันภัยพิบัติแห่งเอเชียมีผลผูกพันต่อไป ทั้งนี้ ให้ยื่นสัตยาบันสารเมื่อร่างพระราชบัญญัติฯ ได้ประกาศใช้บังคับเป็นกฎหมายแล้ว ๓. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านภัยพิบัติภาครัฐร่วมมือกับภาคเอกชนและภาคประชาชนดำเนินการเชิงรุกในการเสริมสร้างศักยภาพของประชาชนและเตรียมความพร้อมอย่างมีระบบด้านการบรรเทาและลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ ไปพิจารณาดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15988 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สว | 20/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้แก้ไขเหตุผลของร่างพระราชบัญญัตินี้และมีข้อสังเกตเพิ่มเติมเกี่ยวกับการพิจารณารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและการอนุญาต การกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการมอบหมายให้หน่วยงานของรัฐแห่งอื่นปฏิบัติหน้าที่แทนสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หลักเกณฑ์และวิธีการจัดทำรายงานผลการปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนดไว้ในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม การแก้ไขเพิ่มเติมนิยามหรือกำหนดให้ชัดเจน การให้ผู้มีส่วนได้เสียและประชาชนและชุมชนที่เกี่ยวข้องได้มีส่วนร่วมในทุกขั้นตอน การจัดทำหรือทบทวนกฎหมายลำดับรอง การศึกษาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการตั้งหน่วยงานกลางในการจัดทำการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และการเพิ่มอัตรากำลังของเจ้าหน้าที่ ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ เป็นเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ในการประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักรับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15989 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยนครพนม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ศธ | 20/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยนครพนม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชานิติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยนครพนม ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15990 | การจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐโมซัมบิก ว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางราชการ | กต | 20/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐโมซัมบิกว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางราชการ (Agreement between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the Republic of Mozambique on Visa Exemption for Holders of Diplomatic and Official Passports) มีสาระสำคัญ เช่น การยกเว้นการตรวจลงตราแก่บุคคลที่ถือหนังสือเดินทางทูตและหนังสือเดินทางราชการของแต่ละฝ่าย รวมถึงการยกเว้นการตรวจลงตราแก่บุคคลที่เป็นสมาชิกในคณะผู้แทนทางการทูต หรือทางกงสุล หรือผู้แทนของแต่ละฝ่ายในองค์การระหว่างประเทศที่อยู่ในดินแดนของอีกฝ่ายหนึ่ง รวมทั้งสมาชิกในครอบครัวของบุคคลเหล่านั้นของแต่ละฝ่าย ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงฯ ๓. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนามในร่างความตกลงฯ ๔. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างความตกลงฯ โดยไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหรือให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้ โดยนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15991 | การประสานงานกับองค์การระหว่างประเทศตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 และที่แก้ไขเพิ่มเติม | ดศ | 20/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมมีหนังสือแจ้งไปยังสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ (International Telecommunication Union : ITU) ว่าคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ จะทำหน้าที่เป็นหน่วยงานอำนวยการในนามของรัฐบาลไทยกับสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศต่อไป ตามความในมาตรา ๒๗ (๑๔) แห่งพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๐ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15992 | ท่าทีไทยสำหรับการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (JTC) ไทย - กัมพูชา ครั้งที่ 6 | พณ | 20/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบท่าทีไทยสำหรับการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee : JTC) ไทย-กัมพูชา ครั้งที่ ๖ ซึ่งกัมพูชามีกำหนดเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมในวันที่ ๒๑-๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา โดยท่าทีไทยสำหรับการประชุม JTC ไทย-กัมพูชา ครั้งที่ ๖ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการกำหนดทิศทางความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนระหว่างไทย-กัมพูชา และแนวทางจัดทำความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่ทั้งสองฝ่ายมีศักยภาพร่วมกันหรือเอื้อประโยชน์ต่อกัน เช่น การกำหนดเป้าหมายการค้า การส่งเสริมการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา ความร่วมมือด้านสินค้าเกษตร การอำนวยความสะดวกทางการค้า ความร่วมมือด้านการเชื่อมโยง ความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุน ความร่วมมือเพื่อพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว ความร่วมมือด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การพัฒนา CLMVT Forum 2018 รวมทั้งการพิจารณาหาแนวทางความร่วมมือใหม่ ๆ ระหว่างกัน ๑.๒ หากในการประชุม JTC ไทย-กัมพูชา ครั้งที่ ๖ มีผลให้มีการตกลงเรื่องความร่วมมือด้านเศรษฐกิจการค้าในประเด็นอื่น ๆ อันจะเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้าสองฝ่ายระหว่างไทยกับกัมพูชาโดยไม่มีการจัดทำเป็นความตกลงหรือหนังสือสัญญาขึ้นมา ให้กระทรวงพาณิชย์และผู้แทนไทยที่เข้าร่วมการประชุมดังกล่าวสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๑.๓ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายรับรองผลการประชุม JTC ไทย-กัมพูชา ครั้งที่ ๖ รวมถึงเอกสารอื่น ๆ ที่เป็นผลจากการหารือขยายความร่วมมือเฉพาะด้าน (หากมี) ๑.๔ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในเอกสารยุทธศาสตร์การสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของเมืองหน้าด่านชายแดนไทย-กัมพูชา ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น การจัดตั้งคณะกรรมการการค้าชายแดนร่วมไทย-กัมพูชา ในเบื้องต้นควรมีผู้แทนภาคเอกชนร่วมเป็นองค์ประกอบด้วย เพื่อบูรณาการขับเคลื่อนการดำเนินงานให้ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบพิธีการศุลกากรให้มีมาตรฐานที่ใกล้เคียงกัน เพื่อลดต้นทุนด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของนายกรัฐมนตรีในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๐ ที่เห็นควรให้ใช้การประชุม JTC ไทย-กัมพูชา เป็นเวทีในการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีของทั้งสองประเทศ รวมทั้งส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจให้เกิดผลสัมฤทธิ์เป็นรูปธรรม และควรเพิ่มประเด็นข้อหารือเกี่ยวกับความร่วมมือด้านการจัดการท่องเที่ยวทางทะเลให้เชื่อมโยงกันด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15993 | ขออนุมัติการจัดทำและลงนามความตกลงความร่วมมือระหว่างประเทศระหว่างองค์การวิจัยนิวเคลียร์ยุโรป (เซิร์น) และราชอาณาจักรไทยเกี่ยวกับความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้านฟิสิกส์พลังงานสูง | วท | 20/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติการจัดทำและลงนามความตกลงความร่วมมือระหว่างประเทศระหว่างองค์การวิจัยนิวเคลียร์ยุโรป (เซิร์น) (The European Organization for Nuclear Research : CERN) และราชอาณาจักรไทยเกี่ยวกับความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้านฟิสิกส์พลังงานสูง มีสาระสำคัญเป็นการเปิดโอกาสให้นักวิทยาศาสตร์ วิศวกร และผู้ปฏิบัติงานด้านเทคนิคของไทยได้เข้าร่วมในโครงการวิจัยต่าง ๆ ของเซิร์น โดยไทยจะสนับสนุนให้ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยต่าง ๆ ของไทยได้เข้าร่วมในโครงการวิจัยของเซิร์น โดยเฉพาะสาขาฟิสิกส์เชิงทฤษฎีและฟิสิกส์เชิงทดลอง วิศวกรรมด้านเครื่องเร่งอนุภาคและเครื่องตรวจวัด และการคำนวณ และเซิร์นจะเปิดโอกาสให้ผู้เชี่ยวชาญของไทยสามารถสมัครเข้ารับการพิจารณาเป็น Associate Member ของเซิร์น รวมทั้งอาจพิจารณาให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในระหว่างที่ปฏิบัติงานที่เซิร์นด้วย ๑.๒ อนุมัติให้ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นผู้ลงนามในร่างความตกลงความร่วมมือฯ ๑.๓ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนามในร่างความตกลงความร่วมมือฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงความร่วมมือฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่าข้อ ๕ ของร่างความตกลงความร่วมมือฯ ระบุว่า การดำเนินการตามความตกลงนี้ให้เป็นไปตามพิธีสารที่จัดทำขึ้นระหว่างเซิร์นและไทย และ/หรือสถาบันทางวิทยาศาสตร์และมหาวิทยาลัยของไทย ดังนั้น หากมีกรณีที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมิได้เข้าร่วมจัดทำหรือกำหนดรายละเอียดในการจัดทำพิธีสารดังกล่าวด้วย ก็ควรที่จะต้องมีกลไกในการกำกับดูแลเพื่อตรวจสอบการทำพิธีสารให้อยู่ภายใต้กรอบของความตกลงความร่วมมือฯ ต่อไป และเห็นควรเร่งเตรียมความพร้อมของบุคลากรไทยให้สามารถรองรับการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านฟิสิกส์พลังงานสูง และมีความพร้อมต่อการพัฒนาความร่วมมือกับเซิร์นต่อไปในอนาคต รวมทั้งควรเร่งพัฒนาความเข้มแข็งในการดำเนินงานวิจัยขั้นพื้นฐานของประเทศเพื่อนำสู่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีฟิสิกส์พลังงานสูงในอนาคต โดยให้ความสำคัญกับการทำงานในเชิงบูรณาการระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ กิจกรรมความตกลงความร่วมมือฯ เห็นควรให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๕. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกับมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยต่าง ๆ พิจารณาเสนอหัวข้อของงานวิจัยในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีด้านฟิสิกส์พลังงานสูงที่เป็นประโยชน์และสอดคล้องกับนโยบายที่สำคัญต่าง ๆ ของประเทศ เช่น นโยบายประเทศไทย ๔.๐ โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) และ ๑๐ อุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) เป็นต้น เพื่อให้งานวิจัยตามความตกลงความร่วมมือฯ สามารถนำมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยได้อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15994 | การทบทวนภารกิจการรายงานผลการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร04 | 20/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบการทบทวนภารกิจการรายงานผลการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลและข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องต้องจัดทำรายงานตามห้วงเวลาที่กำหนด จำนวนทั้งสิ้น ๗ เรื่อง ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ เรื่องที่ยุติ/ภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว ได้แก่ (๑) จัดทำรายงานผลการดำเนินการในด้านที่รับผิดชอบเป็นรายสัปดาห์ (๒) การจัดทำแผนปฏิบัติการตามประเด็นการปฏิรูปของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (๓) รายงานผลงาน ๒ ปี และแผนที่นำทางในระยะ ๑ ปี และการส่งผ่านให้รัฐบาลต่อไป และ (๔) รายงานสรุปผลการดำเนินงานที่สำคัญของส่วนราชการในช่วงเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๗-พฤษภาคม ๒๕๖๐ ๑.๒ เรื่องที่อยู่ระหว่างดำเนินการ ได้แก่ (๑) รายงานผลการออกใบอนุญาต โดยมอบหมายให้สำนักงานบริหารนโยบายของนายกรัฐนตรี (PMDU) ติดตามการรายงานแทน (๒) กลไกประชารัฐ โดยมอบหมายสำนักงาน ก.พ.ร. เป็นผู้รวบรวมและสรุปประมวลผลเสนอนายกรัฐมนตรี และ (๓) การติดตามขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ โดยส่งมอบภารกิจให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการปฏิรูปประเทศรวบรวมรายงานและสรุปประมวลผลเสนอคณะรัฐมนตรี ๒. สำหรับการรายงานความก้าวหน้าในเรื่องกลไกประชารัฐที่ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รวบรวมและสรุปประมวลผลนำเสนอนายกรัฐมนตรี นั้น ให้รวมถึงการดำเนินงานเรื่องไทยนิยม ยั่งยืน ด้วย ส่วนการติดตามขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศที่ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการปฏิรูปประเทศรวบรวมและสรุปประมวลผลนำเสนอนายกรัฐมนตรีต่อไป นั้น ให้รวมถึงการขับเคลื่อนตามกรอบยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙) ด้วย ๓. ให้ทุกส่วนราชการทบทวนภารกิจการรายงานผลการดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีและคณะกรรมการให้ทันสมัย แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาดำเนินการก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15995 | ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | อส | 20/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมองค์ประกอบคณะกรรมการอัยการและกำหนดมาตรการในการดำรงตำแหน่งของพนักงานอัยการ เพื่อให้เป็นไปตามบทบัญญัติมาตรา ๒๔๘ ประกอบมาตรา ๒๗๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งกำหนดให้คณะรัฐมนตรีเสนอกฎหมายในเรื่องนี้ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติภายในหนึ่งปีนับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ (ภายในวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๖๑) ตามที่สำนักงานอัยการสูงสุดเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่สำนักงานอัยการสูงสุดเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15996 | ขออนุมัติลงนามในความตกลงว่าด้วยการซื้อขายสะพานเครื่องหนุนมั่น (Modular Fast Bridge) จำนวน 1 ชุด ในฐานะผู้แทนรัฐบาลไทย | กห | 20/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ผู้บัญชาการทหารบก หรือผู้แทน (เจ้ากรมการทหารช่าง) เป็นผู้ลงนามในความตกลงว่าด้วยการซื้อขายสะพานเครื่องหนุนมั่น (Modular Fast Bridge) จำนวน ๑ ชุด ในฐานะผู้แทนรัฐบาลไทย รวมทั้งการลงนามในเอกสารการแก้ไขความตกลงดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ๒. ให้กระทรวงกลาโหมถือปฏิบัติให้เป็นไปตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรสร้างองค์ความรู้และแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์และยุทธภัณฑ์เพื่อใช้ภายในกองทัพ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15997 | แผนงานโครงการขับเคลื่อนการยกระดับการบริการภาครัฐที่จะขอใช้เงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ (Structural Adjustment Loan: SAL) | นร12 | 20/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบให้ยกเลิกการดำเนินโครงการบูรณาการงานบริการภาครัฐให้มีประสิทธิภาพ (Thailand Gateway) ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ๒. เห็นชอบในหลักการให้กันวงเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ (Structural Adjustment Loan : SAL) ที่เหลือ จำนวน ๘๐๐ ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการดำเนินการตามแผนการยกระดับการบริการภาครัฐ ระยะที่ ๒ ตามพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อขับเคลื่อนการยกระดับการบริการภาครัฐใน ๓ เรื่อง ได้แก่ ๑) การพัฒนาระบบการประเมินความพึงพอใจของประชาชนต่อการให้บริการของหน่วยงานภาครัฐ (Citizen Feedback) ๒) การพัฒนาระบบติดตามการให้บริการ (Tracking System) และ ๓) การพัฒนาระบบการจองคิวกลาง (Queue Online) ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ และให้สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นว่า เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนในการดำเนินงาน แผนงานดังกล่าวจะต้องไม่ได้รับจัดสรรเงินจัดสรรเงินงบประมาณและสำนักงาน ก.พ.ร. จะต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณารายละเอียดโครงการและการขอใช้เงินกู้ SAL คงเหลืออีกครั้งก่อนการดำเนินการ และให้เร่งรัดติดตามการดำเนินงานภายใต้แผนการส่งเสริมและพัฒนาธรรมาภิบาลในภาคราชการเพื่อการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีอย่างยั่งยืน ของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพที่ยังไม่ได้รายงานการปิดโครงการให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว และส่งคืนเงินเหลือจ่ายก่อนเริ่มดำเนินการตามแผนดังกล่าว รวมทั้งเห็นควรให้ดำเนินการตามระยะที่ ๑ ก่อน และให้ประเมินผลการดำเนินโครงการ ซึ่งหากเห็นว่าการดำเนินการเกิดความคุ้มค่า เกิดประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม จึงจะดำเนินการในระยะต่อ ๆ ไป โดยให้สำนักงาน ก.พ.ร. ขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรี ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวต้องพิจารณาค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและบำรุงรักษา (Operation and Maintenance : O&M) รวมถึงผู้รับผิดชอบภายหลังจากการดำเนินโครงการ ๓ ปีด้วย ตลอดจนให้สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด และสำหรับกรณีที่ต้องจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐที่มีวงเงินเกิน ๑๐๐ ล้านบาท ขึ้นไป จะต้องปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๔๗ (เรื่อง หลักเกณฑ์และแนวทางการปฏิบัติจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของรัฐ) และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้กระทรวงการคลังจะจัดสรรเงินให้กับสำนักงาน ก.พ.ร. ตามแผนงาน/แผนเงินที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติตามความก้าวหน้าในการดำเนินงานที่เกิดขึ้นจริง และให้สำนักงาน ก.พ.ร. รายงานความก้าวหน้าของโครงการให้กระทรวงการคลังทราบภายในวันที่ ๗ ของทุกเดือน รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า โครงการดังกล่าวจะต้องมีแผนงานโครงการที่ชัดเจนมีความพร้อมในการดำเนินโครงการและอยู่ภายใต้หลักเกณฑ์การจัดสรรเงินกู้ที่ได้กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. นำเงินกู้ SAL คงเหลือ (จากการกันวงเงินไว้) จำนวน ๓๐๒,๔๒๗,๔๕๑.๒๗ บาท รวมถึงเงินที่สำนักงาน ก.พ.ร. ขอกันไว้และไม่มีการใช้จ่ายตามระยะเวลาและตามแผนที่กำหนดในครั้งนี้ ส่งคืนคลังเป็นรายได้แผ่นดินต่อไป ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15998 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2552 เพื่อปรับปรุงมาตรการป้องกัน ควบคุม และกำจัดชนิดพันธุ์ต่างถิ่น | ทส | 20/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการการขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๒ (เรื่อง ร่างมาตรการป้องกัน ควบคุม และกำจัดชนิดพันธุ์ต่างถิ่น) เพื่อปรับปรุงมาตรการป้องกัน ควบคุม และกำจัดชนิดพันธุ์ต่างถิ่น ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ปรับปรุงมาตรการและแนวทางปฏิบัติในการป้องกัน ควบคุม และกำจัดชนิดพันธุ์ต่างถิ่น จากเดิม ๔ มาตรการ ๑๕ แนวทางปฏิบัติ เป็น ๕ มาตรการ ๒๒ แนวทางปฏิบัติ และได้กำหนดให้มีแนวทางปฏิบัติในการควบคุมหรือกำจัดชนิดพันธุ์ต่างถิ่น (ชนิดพันธุ์พืชต่างถิ่นและชนิดพันธุ์สัตว์ต่างถิ่น) ที่มีลำดับความสำคัญสูงของประเทศไทยแยกออกเป็นการเฉพาะ ๑.๒ ปรับปรุงทะเบียนรายการชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่ควรควบคุม ป้องกัน และกำจัด จากทะเบียนรายการเดิมในปี ๒๕๕๒ ที่มีจำนวน ๒๗๓ ชนิด ปรับปรุงเป็นจำนวน ๓๒๓ ชนิด ซี่งได้เพิ่มการจำแนกชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่มีการส่งเสริมการใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจออกมาให้ชัดเจนว่าสามารถขยายพันธุ์ ขยายถิ่นที่เพาะเลี้ยง และแจกจ่ายพันธุ์ได้แต่ต้องมีมาตรการป้องกันเฉพาะที่รัดกุม เพื่อมิให้เกิดการแพร่กระจายเข้าไปในเขตพื้นที่อนุรักษ์ ๒. สำหรับภาระค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินงานมาตรการป้องกัน ควบคุม และกำจัดชนิดพันธุ์ต่างถิ่น ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในลักษณะบูรณาการ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ รวมทั้งข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ เช่น ควรสนับสนุนการสร้างเครือข่ายวิจัยกับสถาบันวิจัยที่อยู่ในประเทศที่มีชนิดพันธุ์ต่างถิ่นทั้งที่เป็นประเทศต้นกำเนิดและประเทศที่พบการระบาด ควรให้ความสำคัญกับการจัดเก็บและรวบรวมข้อมูลชนิดพันธุ์ต่างถิ่นอย่างเป็นระบบ และมีการเผยแพร่ความรู้ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นต่อสาธารณะอย่างถูกต้อง ทั่วถึง และต่อเนื่อง รวมทั้งการสร้างเครือข่ายความร่วมมือในกลุ่มประเทศภูมิภาคอาเซียนเพื่อการเฝ้าระวังและการแจ้งเตือนการรุกรานของชนิดพันธุ์ต่างถิ่น รวมถึงสนับสนุนการวิจัยร่วมกับนักวิจัยในภูมิภาคอาเซียน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับการสร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับมาตรการป้องกัน ควบคุม และกำจัดชนิดพันธุ์ต่างถิ่น ให้แก่สาธารณชนทราบอย่างทั่วถึง โดยเฉพาะการระบุให้ชัดเจนเกี่ยวกับชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่มีผลกระทบต่อระบบนิเวศของไทย หรือที่เป็นพาหะของโรค ก่อให้เกิดอันตราย และมีผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนด้วย ทั้งนี้ ในการสร้างการรับรู้ดังกล่าวให้ดำเนินการในรูปแบบและการใช้ถ้อยคำที่ประชาชนทั่วไปเข้าใจได้ง่ายด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
15999 | รายงานมาตรการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย | นร07 | 20/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่สำนักงบประมาณรายงานมาตรการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น ไตรมาสที่ ๑ (ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๙ ถึงวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๐) จำนวนเงินทั้งสิ้น ๑,๖๙๖.๐๗ ล้านบาท สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ จำแนกตามพื้นที่ หรือจังหวัดที่ดำเนินการ มีการดำเนินการในพื้นที่ ๕๓ จังหวัด เป็นเงินทั้งสิ้น ๑,๖๙๖.๐๗ ล้านบาท ประกอบด้วย ภาคเหนือ รวม ๑๒ จังหวัด จำนวน ๓๘๓.๔๙ ล้านบาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวม ๑๔ จังหวัด จำนวน ๔๖๕.๕๕ ล้านบาท ภาคกลาง รวม ๑๒ จังหวัด จำนวน ๒๐๘.๗๘ ล้านบาท ภาคตะวันออก รวม ๔ จังหวัด จำนวน ๑๑๘.๘๐ ล้านบาท ภาคใต้ รวม ๘ จังหวัด จำนวน ๓๓๒.๑๖ ล้านบาท และภาคใต้ชายแดน รวม ๓ จังหวัด จำนวน ๔๓.๐๑ ล้านบาท และอื่น ๆ (ไม่สามารถจำแนกได้) จำนวน ๑๔๔.๒๘ ล้านบาท ๑.๒ จำแนกตามลักษณะการดำเนินการ โดยเป็นการช่วยเหลือ เยียวยา ฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัยและทรัพย์สินสาธารณประโยชน์ รวม ๕ หน่วยงาน จำนวน ๑,๔๗๐.๒๖ ล้านบาท รายการปรับปรุงซ่อมแซมสถานที่ราชการ จำนวน ๒ หน่วยงาน จำนวน ๘๑.๕๓ ล้านบาท และรายการเพื่อป้องกันเหตุอุทกภัยที่จะเกิดขึ้น จำนวน ๑ หน่วยงาน จำนวน ๑๔๔.๒๘ ล้านบาท ๒. มอบหมายให้สำนักงบประมาณร่วมกับส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเร่งสำรวจสถานการณ์ช่วยเหลือ เยียวยา ฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัยหรือปรับปรุงซ่อมแซมสถานที่ราชการอันเนื่องมาจากเหตุอุทกภัยที่เกิดขึ้นในปี ๒๕๖๐ ว่าได้ดำเนินการครบถ้วนแล้วหรือไม่ ทั้งนี้ หากหน่วยงานใดยังมีความจำเป็นต้องดำเนินการโครงการเพื่อช่วยเหลือ เยียวยา ฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัยหรือปรับปรุงซ่อมแซมสถานที่ราชการอันเนื่องมาจากเหตุอุทกภัยที่เกิดขึ้นในปี ๒๕๖๐ เพิ่มเติมจากที่ได้ขอก่อหนี้ผูกพันงบประมาณไว้ ให้หน่วยงานนั้นพิจารณาปรับแผนงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ และ/หรือโอนเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณรายจ่าย และเสนอสำนักงบประมาณเพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จโดยด่วน และให้สำนักงบประมาณรวบรวมข้อมูลและรายงานผลการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายในเดือนเมษายน ๒๕๖๑ ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
16000 | ความช่วยเหลือให้เปล่าจากรัฐบาลญี่ปุ่น Grant Aid "Economic and Social Development Programme" (Counterterrorism and Public Security) | กต | 20/02/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่าง Exchange of Notes (EN), Agreed Minutes on Procedural Details (AM) และ Record of Discussions (RD) โดยร่าง EN และ AM เป็นเอกสารตามตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่นเกี่ยวกับการรับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลญี่ปุ่น โดยมีเงื่อนไขว่ารัฐบาลไทยจะต้องจัดซื้อสินค้าซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มศักยภาพในการต่อต้านการก่อการร้ายและความมั่นคงแห่งรัฐ รวมถึงสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดจ้าง การขนส่ง การซ่อมบำรุง และการใช้งานอุปกรณ์เท่านั้น และมีพันธกรณีที่รัฐบาลไทยต้องดำเนินการเพื่อรับเงินช่วยเหลือและจัดซื้อสินค้า เช่น การเปิดบัญชีกับธนาคารญี่ปุ่น (Bank of Tokyo-Mitsubishi UFJ, Ltd : BTMU) การทำสัญญาจ้างตัวแทน (Japan international Cooperation Systems : JICS) เพื่อกระทำการแทนรัฐบาลไทยในการจัดซื้อผลิตภัณฑ์/บริการ การยกเว้นภาษี การจัดทำรายงานเกี่ยวกับบัญชี เป็นต้น ส่วนร่าง RD เป็นเอกสารเกี่ยวกับการดำเนินมาตรการที่จำเป็นของฝ่ายไทยเพื่อป้องกันการทุจริตในการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องตามร่าง EN และ AM ๑.๒ อนุมัติให้อธิบดีกรมความร่วมมือระหว่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในเอกสาร EN, AM และ RD ๑.๓ มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่อธิบดีกรมความร่วมมือระหว่างประเทศ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายสำหรับการลงนามในเอกสาร EN และ AM ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดต่อไป โดยให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการภายใต้ความตกลงและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่าง EN, AM และ RD ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๔. ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติติดตามและประเมินผลการใช้ประโยชน์จากการนำเงินให้เปล่าไปซื้อผลิตภัณฑ์และ/หรือบริการที่เกี่ยวกับความมั่นคงแห่งรัฐเพื่อให้เกิดความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศต่อไป
|
.....