ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 639 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 12761 - 12780 จากข้อมูลทั้งหมด 124231 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
12761 | รายงานการขับเคลื่อนการดำเนินงานของศูนย์บริหารแรงงานเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC Labour Administration Centre) | รง | 25/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการขับเคลื่อนการดำเนินงานของศูนย์บริหารแรงงานเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC Labour Administration Centre) ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ศูนย์บริหารแรงงานเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๖๒ เพื่อให้บริการข้อมูลแรงงานในพื้นที่ รวมทั้งวางแผนการผลิตและพัฒนากำลังแรงงาน ๒. ความต้องการแรงงานของกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกในช่วง ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๖) คณะทำงานประสานงานด้านการพัฒนาบุคลากรในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกได้ศึกษาความต้องการแรงงานแล้ว พบว่า มีความต้องการแรงงาน จำนวน ๔๗๕,๖๖๗ อัตรา จำแนกเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย (๗ อุตสาหกรรม) จำนวน ๓๒๖,๘๘๑ อัตรา และโครงสร้างพื้นฐาน (๓ อุตสาหกรรม) จำนวน ๑๔๘,๗๘๖ อัตรา แบ่งเป็นแรงงานฝีมือ จำนวน ๒๒๒,๕๕๒ อัตรา และแรงงานกึ่งฝีมือ จำนวน ๒๕๓,๑๑๕ อัตรา ๓. ผลการดำเนินงานในรอบ ๖ เดือน (ตุลาคม ๒๕๖๑-มีนาคม ๒๕๖๒) และแผนการดำเนินงาน ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๖) เช่น จัดหางานให้กลุ่มอุตสาหกรรมปัจจุบัน จำนวน ๑๖,๑๖๔ อัตรา และส่งเสริมสถานประกอบการยกระดับทักษะแรงงาน จำนวน ๕๓๕,๕๕๖ อัตรา เป็นต้น นอกจากนี้ จะมีการวิเคราะห์ความต้องการแรงงานและกำลังแรงงาน และประชาสัมพันธ์ แนะแนว สร้างการรับรู้ผ่านสื่อรูปแบบต่าง ๆ โดยแผนการดำเนินงาน ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๖) จะสามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ จำนวน ๑๘,๖๓๐,๐๐๐ คน และสถานประกอบการ จำนวน ๑๙,๙๒๕ แห่ง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12762 | รายงานผลการกู้เงินโดยการออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ระยะสั้นก่อนครบกำหนดเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2562 | กค | 25/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการกู้เงินโดยการออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ระยะสั้นก่อนครบกำหนดเมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๒ จำนวน ๒๕,๐๐๐ ล้านบาท โดยกระทรวงการคลังดำเนินการกู้เงินโดยการออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้เงินกู้ระยะสั้นโดยการออกตั๋วสัญญาใช้เงิน (PN) วงเงินที่ ๒ จำนวน ๒๕,๐๐๐ ล้านบาท ที่ออกภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่สอง พ.ศ. ๒๕๔๕ (พ.ร.ก. FIDF 3) ก่อนครบกำหนดเมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๒ โดยการออกพันธบัตรรัฐบาลเพื่อการปรับโครงสร้างหนี้ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ครั้งที่ ๒ (LB28DA) อายุ ๙.๕๙ ปี จำนวน ๒๕,๐๐๐ ล้านบาท ประมูลในวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ด้วยวิธีการเสนอประมูลอัตราผลตอบแทน (Competitive Bidding) จำนวน ๒๔,๕๕๐ ล้านบาท ได้แก่ ธนาคารพาณิชย์ บริษัทหลักทรัพย์ และกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ และวิธีเสนอซื้อ (Non Competitive Bidding) จำนวน ๔๕๐ ล้านบาท ให้แก่สหกรณ์ โดยมีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยร้อยละ ๒.๔๒๙๔ ต่อปี ชำระปีละสองครั้ง ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้ดำเนินการจัดส่งประกาศกระทรวงการคลังเกี่ยวกับผลการจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลดังกล่าว จำนวน ๑ ฉบับ เพื่อนำลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12763 | รายงานผลการประชุมคณะกรรมการระดับสูง (High Level Committee : HLC) ไทย - อินโดนีเซีย ครั้งที่ 10 | กห | 25/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการระดับสูง (High Level Committee : HLC) ไทย-อินโดนีเซีย ครั้งที่ ๑๐ ระหว่างวันที่ ๒๓-๒๕ เมษายน ๒๕๖๒ ณ กรุงจาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย โดยมีผู้บัญชาการทหารสูงสุด และพลอากาศเอก ฮาดี้ จะห์ยันโต้ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดอินโดนีเซีย เป็นประธานร่วม ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ด้านการข่าว ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบให้เพิ่มความร่วมมือระหว่างศูนย์รักษาความปลอดภัย กองบัญชาการกองทัพไทย และหน่วยข่าวกรองทางยุทธศาสตร์ กองทัพอินโดนีเซีย โดยฝ่ายไทยจะเชิญผู้แทนจากศูนย์รักษาความปลอดภัย กองบัญชาการกองทัพไทย เข้าร่วมประชุมระดับนักวิเคราะห์ครั้งต่อไป ๒. ด้านยุทธการและการฝึก มีการกำหนดแผนงานที่สำคัญของความร่วมมือระหว่างเหล่าทัพ รวมทั้งส่งเสริมความร่วมมือด้านการต่อต้านการก่อการร้ายสากล การรักษาสันติภาพ การแพทย์ทหาร การประชาสัมพันธ์ การให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และการบรรเทาภัยพิบัติ พร้อมกันนี้ทั้งสองฝ่ายได้จัดทำร่างบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding : MOU) สำหรับการฝึกคอบร้าโกลด์ เพื่อให้กองทัพอินโดนีเซียเข้าร่วมการฝึกโดยสมบูรณ์ ๓. ด้านการศึกษาและฝึกอบรม ทั้งสองฝ่ายร่วมกันจัดทำร่างข้อกำหนดสำหรับคณะอนุกรรมการร่วมด้านการศึกษาและฝึกอบรม ซึ่งเป็นการกำหนดคำนิยาม วัตถุประสงค์ กรอบอำนาจหน้าที่ ความรับผิดชอบ องค์ประกอบ และโครงสร้างความร่วมมือด้านการศึกษาและฝึกอบรมข้อกำหนดดังกล่าวจะได้รับการลงนามในการประชุมคณะอนุกรรมการร่วมด้านการศึกษาและฝึกอบรมครั้งต่อไป ๔. ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบให้ตั้งคณะอนุกรรมการร่วมด้านการส่งกำลังบำรุงเพิ่มเข้ามาในกลไกความร่วมมือ โดยให้อยู่ภายใต้คณะกรรมการระดับสูง ไทย-อินโดนีเซีย เพื่อสนับสนุนงานด้านยุทธการและการฝึก โดยให้กรมส่งกำลังบำรุงทหารทั้งสองฝ่ายร่วมกันพิจารณาเกี่ยวกับการจัดโครงสร้าง ขอบเขต อำนาจหน้าที่ และจัดทำแผนการปฏิบัติงานให้ชัดเจน ก่อนนำเสนอที่ประชุมคณะกรรมการระดับสูง ไทย-อินโดนีเซีย ครั้งต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12764 | งบดุลและรายงานการรับจ่ายเงินกองทุนความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2560 | รง | 25/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบงบดุลและรายงานการรับจ่ายเงินกองทุนความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๐ ซึ่งประกอบด้วย งบแสดงฐานะการเงิน และงบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบงบการเงินและรายงานดังกล่าวแล้วเห็นว่า ถูกต้องตามที่สมควรในสาระสำคัญตามมาตฐานและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังได้ประกาศใช้ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12765 | รายงานผลการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานเขตสุขภาพเพื่อประชาชน พ.ศ. 2560 - 2561 | สช | 25/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานเขตสุขภาพเพื่อประชาชน พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๑ ซี่งประกอบด้วย (๑) การนำนโยบายเขตสุขภาพเพื่อประชาชนสู่การปฏิบัติ (Policy implementation) (๒) ปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จของการดำเนินงานของเขตสุขภาพเพื่อประชาชน (๓) ปัญหาอุปสรรค (๔) จุดแข็งของเขตสุขภาพเพื่อประชาชน (๕) ข้อท้าทายของเขตสุขภาพเพื่อประชาชน และ (๖) ข้อเสนอแนะสำหรับพัฒนา ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ประธานกรรมการสุขภาพแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12766 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นางชุลีพร บุณยมาลิก) | นร11 | 25/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางชุลีพร บุณยมาลิก ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผน (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๖๒ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12767 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ครั้งที่ 1/2562 | นร11 | 25/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (กนพ.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๒ โดยมีผลการพิจารณาและมติที่สำคัญ เช่น การพัฒนาพื้นที่ราชพัสดุในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษนครพนม การสรรหาผู้ลงทุนในที่ราชพัสดุในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษมุกดาหาร และหนองคาย และการสนับสนุนการลงทุนของภาคเอกชนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ เป็นต้น ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติที่ประชุม กนพ. โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่เห็นควรเร่งรัดการดำเนินการเกี่ยวกับการพัฒนาที่ราชพัสดุในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษนครพนม การสรรหาผู้ลงทุนในที่ราชพัสดุในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษมุกดาหารและหนองคาย รวมทั้งการสนับสนุนการลงทุนของภาคเอกชนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของประเทศเป็นสำคัญ สำหรับแนวทางสนับสนุนด้านการให้สิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุนและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อจูงใจภาคเอกชน โดยเฉพาะวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ให้ลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน ควรดำเนินงานควบคู่กับการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่ SMEs เช่น การเสริมสร้างศักยภาพด้านการตลาด การยกระดับมาตรฐานคุณภาพสินค้าและบริการ การบริหารจัดการความเสี่ยง การสนับสนุนการรวมกลุ่มของผู้ประกอบการ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12768 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดส่งแรงงานไทยไปสาธารณรัฐเกาหลีภายใต้ระบบการจ้างแรงงานต่างชาติ | รง | 25/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดส่งแรงงานไทยไปสาธารณรัฐเกาหลีภายใต้ระบบการจ้างแรงงานต่างชาติ (Employment Permit System : EPS) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการส่งเสริมความร่วมมือด้านแรงงานและการส่งแรงงานไทยไปทำงานในสาธารณรัฐเกาหลีอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นประโยชน์ต่อทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายเกาหลี ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ โดยกระทรวงการต่างประเทศไม่ต้องออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม ตามความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงแรงงานดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12769 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ชำระหนี้ค่าวัสดุอาหาร ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 | ยธ | 25/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กรมราชทัณฑ์จ่ายเงินหรือก่อหนี้ผูกพันงบประมาณรายจ่ายก่อนได้รับเงินจัดสรร และอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ให้กระทรวงยุติธรรม โดยกรมราชทัณฑ์ชำระหนี้ค่าวัสดุ อาหารผู้ต้องขัง ผู้ต้องกักขัง และผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ จำนวน ๖๕๓.๗๑ ล้านบาท ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงยุติธรรม โดยกรมราชทัณฑ์พิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินการเพื่อลดภาระงบประมาณที่ต้องจัดสรรเป็นค่าวัสดุอาหารของเรือนจำ/ทัณฑสถาน/สถานกักขังต่าง ๆ ทั่วประเทศ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๖๑ (เรื่อง ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ชำระหนี้ค่าวัสดุอาหาร ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๐) อย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้กรมราชทัณฑ์ติดตามประเมินผลการดำเนินการดังกล่าวเพื่อประกอบการพิจารณาจัดสรรงงประมาณในปีต่อ ๆ ไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12770 | การขอเพิ่มกรอบวงเงินสนับสนุนโครงการบ้านมั่นคง | พม | 25/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการของการขอเพิ่มกรอบวงเงินสนับสนุนโครงการบ้านมั่นคง จากเดิม ๘๐,๐๐๐ บาท/ครัวเรือน เป็น ๘๙,๘๐๐ บาท/ครัวเรือน โดยให้เริ่มมีผลในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณที่เห็นควรดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง และคำนึงถึงการใช้จ่ายงบประมาณที่จำเป็นและเหมาะสม เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งปรับแนวทางการอุดหนุนและการสนับสนุนค่าใช้จ่ายให้มีความเหมาะสม โดยให้ความสำคัญกับกิจกรรมที่เกิดประโยชน์โดยตรงต่อกลุ่มเป้าหมายเป็นลำดับแรก ควบคู่กับการเร่งรัดผลักดันการกำหนดกลไกและมาตรการให้จังหวัด/กลุ่มจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และชุมชนให้มีส่วนร่วมในการดำเนินโครงการมากยิ่งขึ้น ไปดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12771 | ขอความเห็นชอบแผนฟื้นฟูกิจการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | คค | 25/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการของแผนฟื้นฟูกิจการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ ขสมก. ใช้เป็นแนวทางในการปรับปรุงระบบการทำงานขององค์กรให้มีประสิทธิภาพ และเพิ่มความสามารถในการหารายได้และการบริหารจัดการหนี้สิน ซึ่งจะนำไปสู่การบริหารองค์กรที่ยั่งยืนและลดภาระกับภาครัฐ สำหรับการดำเนินการตามกลยุทธ์และแนวทางต่าง ๆ ภายใต้แผนฟื้นฟูกิจการฯ ให้กระทรวงคมนาคม และ ขสมก. เร่งรัดจัดทำรายละเอียดและดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไปอย่างเคร่งครัด ๒. ให้กระทรวงคมนาคม ขสมก. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น (๑) การดำเนินงานในแต่ละโครงการต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง สำหรับการจัดหารถโดยสารใหม่ ขสมก. ควรปรับปรุงรายงานผลการศึกษา ความเหมาะสมการดำเนินโครงการ โดยศึกษาผลตอบแทนทางเศรษฐศาสตร์ตามข้อเสนอทบทวนการจัดหารถโดยสารให้ครบทุกประเภท และเสนอสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณารายละเอียดและความเหมาะสม โดย ขสมก. อาจจะพิจารณาแบ่งการดำเนินการจัดหาเป็นระยะให้เหมาะสมกับเส้นทางที่มีความชัดเจนแล้วว่า จะได้รับการจัดสรรจากกรมการขนส่งทางบก และ (๒) กระทรวงคมนาคม ขสมก. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเร่งดำเนินการจัดทำแผนการบริหารหนี้ (ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๑) เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาการบริหารหนี้ของ ขสมก. ในระยะยาว และเป็นรูปธรรมโดยเร็ว เป็นต้น ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12772 | การเปิดโครงข่ายเน็ตประชารัฐตามหลักการโครงข่ายแบบเปิด (Open Access Network) | ดศ | 25/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเปิดโครงข่ายเน็ตประชารัฐที่ครอบคลุมหมู่บ้านเป้าหมาย จำนวน ๒๔,๗๐๐ หมู่บ้าน ตามหลักเกณฑ์การให้บริการโครงข่ายเน็ตประชารัฐแบบเปิด (Open Access Network) ตามแนวทางที่คณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเห็นชอบเพื่อให้มีการเชื่อมต่อโครงข่ายเน็ตประชารัฐไปให้บริการปลายทาง (Last Mile Access) ไปยังทุกภาคส่วน ซึ่งเป็นการใช้โครงข่ายเน็ตประชารัฐให้เกิดประโยชน์และมีประสิทธิภาพสูงสุด ลดความซ้ำซ้อนในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมและลดต้นทุนในการคิดอัตราค่าบริการอินเทอร์เน็ต ซึ่งจะทำให้ประชาชนเข้าถึงบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงด้วยราคาที่เหมาะสมอีกทั้งยังเป็นการช่วยแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม ๑.๒ ให้หน่วยราชการต่าง ๆ สนับสนุนให้เกิดการใช้ประโยชน์จากเน็ตประชารัฐเพื่อต่อยอดการพัฒนาบริการภาครัฐที่เกี่ยวข้อง อาทิ e-Health e-Learning e-Agriculture e-Commence และ e-Government เป็นต้น เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการต่าง ๆ ของภาครัฐได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน รวมทั้งหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ สามารถสร้างการรับรู้สู่ชุมชน โดยการเผยแพร่ข้อมูล ข่าวสาร และรับทราบปัญหา อุปสรรค ความต้องการผ่านเครือข่ายอาสาสมัครที่มีอยู่ในพื้นที่ เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้อย่างถูกต้องตรงตามเป้าประสงค์ของนโยบายรัฐบาลได้อย่างทันเหตุการณ์ รวดเร็ว ในรูปแบบประชารัฐ ๒. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานอัยการสูงสุด เช่น ควรกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการที่เหมาะสมเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการสามารถขอเชื่อมต่อโครงข่ายได้จำนวนมากราย เพื่อให้สามารถแข่งขันกันทั้งในด้านราคาและด้านสุขภาพการบริการ ควรป้องกันปัญหาการผูกขาดการเชื่อมต่อโครงข่ายเน็ตประชารัฐในการนำไปให้บริการปลายทางและกำกับดูแลให้ผู้ประกอบการเอกชนควบคุมคุณภาพการให้บริการ ควรกำหนดราคาให้บริการให้เหมาะสมและเป็นธรรม ควรมีการกำหนดมาตรฐานความปลอดภัย การควบคุม กำกับการเข้าถึงสื่อที่ไม่เหมาะสมสำหรับผู้ใช้บริการโดยเฉพาะโรงเรียน สถานศึกษา ให้ชัดเจน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. การดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการให้เอกชนเข้าร่วมให้บริการโครงข่ายเน็ตประชารัฐตามหลักการโครงข่ายแบบเปิดนั้น ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12773 | การแต่งตั้งกงสุลกิตติมศักดิ์จอร์เจียประจำประเทศไทย (นายวิกร ศรีวิกรม์) | กต | 25/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายวิกร ศรีวิกรม์ ให้ดำรงตำแหน่งกงสุลกิตติมศักดิ์จอเจียประจำประเทศไทย สืบแทน นายทะสึยะ นิชิมุระ (Mr. Tatsuya Nishimura) ซึ่งครบวาระการดำรงตำแหน่งตั้งแต่ปี ๒๕๔๙ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12774 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นายสมภพ ปราบณรงค์) | รง | 25/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายสมภพ ปราบณรงค์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษากฎหมาย (นิติกรทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงแรงงาน ตั้งแต่วันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12775 | การปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ประจำจังหวัดเชียงใหม่ และการพ้นจากตำแหน่งกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ประจำจังหวัดเชียงใหม่ของ นายอัครจิต พนมวัน ณ อยุธยา | กต | 25/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ประจำจังหวัดเชียงใหม่ และการพ้นจากตำแหน่งกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ประจำจังหวัดเชียงใหม่ของ นายอัครจิต พนมวัน ณ อยุธยา เนื่องจากขอลาออกจากตำแหน่ง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12776 | รัฐบาลสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกาเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกาประจำประเทศไทย (นางสมันตา เค. ชยสุริยะ) | กต | 25/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสมันตา เค. ชยสุริยะ (Mrs. Samantha K. Jayasuriya) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมประชาธิปไตยศรีลังกาประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทน นางกเษณุกา ธิเรนี เสเนวิรัตนะ (Mrs. Kshenuka Dhireni Senewiratne) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12777 | รัฐบาลสหรัฐเม็กซิโกเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสหรัฐเม็กซิโกประจำประเทศไทย (นายเบร์นาโด กอร์โดบา เตโย) | กต | 25/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมติแต่งตั้ง นายเบร์นาโด กอร์โดบา เตโย (Mr. Bernardo Cordova Tello) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสหรัฐเม็กซิโกประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทน นายไฆเม บีร์กิลิโอ นัวลาร์ต ซานเชซ (Mr. Jaime Virgilio Nualart Sanchez) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12778 | เกณฑ์ชี้วัดความเสี่ยงต่อการทุจริตเชิงนโยบายและคู่มือการใช้เกณฑ์ชี้วัดความเสี่ยงต่อการทุจริตเชิงนโยบาย | ปช | 25/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบเกณฑ์ชี้วัดความเสี่ยงต่อการทุจริตเชิงนโยบายและคู่มือการใช้เกณฑ์ชี้วัดความเสี่ยงต่อการทุจริตเชิงนโยบาย ซึ่งการจัดทำเกณฑ์ชี้วัดความเสี่ยงฯ เป็นการดำเนินการตามประเด็นยุทธศาสตร์ “สกัดกั้นการทุจริตเชิงนโยบาย” ของยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔) โดยเกณฑ์ชี้วัดความเสี่ยงฯ นั้น จะมีลักษณะเป็นแบบรายงานที่กำหนดประเด็นคำถามต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันการทุจริต และให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเป็นผู้จัดทำข้อมูลตามแบบรายงานดังกล่าว ซึ่งเกณฑ์ชี้วัดความเสี่ยงฯ แบ่งออกเป็น ๒ ส่วน ได้แก่ ขั้นตอนการพัฒนานโยบาย และขั้นตอนการนำนโยบายสู่การปฏิบัติ ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ ๒. ให้ส่งความเห็น ข้อเสนอแนะ และข้อสังเกตของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การสนับสนุนงบประมาณบุคลากร และองค์ความรู้ การปรับปรุงคู่มือการใช้เกณฑ์ชี้วัดความเสี่ยงฯ ให้ชัดเจนและเข้าใจง่าย การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพ การลดความซ้ำซ้อน การบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และความเหมาะสมหรือจำเป็นในการนำเกณฑ์ชี้วัดความเสี่ยงฯ ไปใช้ ให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับสำนักงาน ก.พ.ร. กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องประชุมหารือร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบหรามการทุจริตแห่งชาติ เพื่อพิจารณาการกำหนดเกณฑ์ชี้วัดความเสี่ยงฯ ให้มีความเหมาะสมหรือสอดคล้องกับหลักเกณฑ์หรือแนวทางการประเมินอื่น ๆ ที่มีอยู่แล้ว เพื่อให้สามารถนำเกณฑ์ดังกล่าวไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม คุ้มค่า และเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ โดยไม่เป็นการสร้างภาระหรืองบประมาณให้กับภาครัฐ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12779 | ร่างพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะของที่ราชพัสดุ ในท้องที่แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต และแขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... | กค | 25/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะของที่ราชพัสดุ ในท้องที่แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต และแขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะซึ่งอยู่ในความครอบครองดูแลและใช้ในราชการกองทัพบก โดยเป็นที่ตั้งของมณฑลทหารบกที่ ๑๑ และกรมทหารราบที่ ๑ รักษาพระองค์ ในท้องที่แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต และแขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร เนื่องจากกองทัพบกได้เลิกใช้ประโยชน์และไม่ประสงค์จะใช้ประโยชน์อีกต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12780 | ร่างกฎกระทรวงเพื่อรองรับการใช้บังคับพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2561 รวม 3 ฉบับ | รง | 25/06/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงเพื่อรองรับการใช้บังคับพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๑ รวม ๓ ฉบับ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการขออนุญาตทำงาน การออกใบอนุญาตทำงาน และการจ้างการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขออนุญาตทำงาน การออกใบอนุญาตทำงาน การขอต่ออายุใบอนุญาตทำงาน การต่ออายุใบอนุญาตทำงาน การแจ้งและการจดแจ้งการขยายระยะเวลา และการแจ้งและการออกหนังสือรับแจ้งการทำงานของคนต่างด้าว ๒. ร่างกฎกระทรวงกำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของคนต่างด้าวที่จะขอรับใบอนุญาตทำงาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของคนต่างด้าวที่จะขอรับใบอนุญาตการทำงาน ๓. ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว
|
.....