ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 626 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 12501 - 12520 จากข้อมูลทั้งหมด 124231 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
12501 | ร่างระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการได้มาซึ่งกรรมการสภานโยบายผู้ทรงคุณวุฒิในสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ พ.ศ. .... | อว | 27/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการได้มาซึ่งกรรมการสภานโยบายผู้ทรงคุณวุฒิในสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการได้มาซึ่งกรรมการสภานโยบายผู้ทรงคุณวุฒิในสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงบประมาณ เช่น ควรแก้ไขนิยามคำว่า “รัฐมนตรี” โดยตัดคำว่า “แห่งชาติ” ออก ส่วนบทเฉพาะกาล มาตรา ๖๗ แห่งพระราชบัญญัติสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๒ ที่กำหนดให้แต่งตั้งกรรมการนโยบายผู้ทรงคุณวุฒิ ตามมาตรา ๖ (๕) และ (๖) ภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับนั้น การดำเนินการสรรหาในครั้งแรกควรดำเนินการให้แล้วเสร็จตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ รวมทั้งการกำหนดเบี้ยประชุมคณะกรรมการสรรหา เห็นควรให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบของทางราชการ โดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง และการกำหนดระยะเวลา และการดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งกรรมการสภานโยบายผู้ทรงคุณวุฒิ ควรเร่งดำเนินการให้สอดคล้องตามบทบัญญัติในมาตรา ๖๗ แห่งพระราชบัญญัติสภานโยบายการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๒ ที่กำหนดระยะเวลาไว้ไม่เกิน ๑๘๐ วัน นับแต่พระราชบัญญัติฉบับนี้ใช้บังคับด้วย เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. แลสำนักงบประมาณ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12502 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 2/2562 | กค | 27/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมของคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ประกอบด้วย การแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจ ๕ แห่ง ได้แก่ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และการรถไฟแห่งประเทศไทย การจัดตั้งบริษัทลูกของการรถไฟแห่งประเทศไทย และการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับบริษัทบริหารสินทรัพย์ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย จำกัด และมอบหมายให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคนาคม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และสำนักงบประมาณที่เห็นว่า รัฐวิสาหกิจควรกำหนดแผนปฏิบัติการ และเป้าหมาย/ตัวชี้วัดของการดำเนินงาน รวมทั้งควรมีการกำกับ ติดตาม และประเมินผลการปฏิบัติงานของรัฐวิสาหกิจอย่างเป็นระบบ เพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลสูงสุด และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจให้เป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนดอย่างเคร่งครัด รวมถึงการแก้ไขปัญหารัฐวิสาหกิจที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติไปแล้ว ตลอดจนมอบหมายให้กระทรวงที่กำกับการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องติดตาม เร่งรัดการดำเนินการแก้ไขปัญหาของรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งให้เป็นไปตามแผนขับเคลื่อนองค์กรในระยะเวลาที่กำหนด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12503 | ผลการประชุมระดับผู้นำของการประชุมว่าด้วยการส่งเสริมปฏิสัมพันธ์และมาตรการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชีย ครั้งที่ 5 | กต | 27/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมระดับผู้นำของการประชุมว่าด้วยการส่งเสริมปฏิสัมพันธ์และมาตรการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชีย (Conference on Interaction and Confidence Building Measures in Asia : CICA) ครั้งที่ ๕ ซึ่งขึ้นระหว่างวันที่ ๑๔-๑๕ มิถุนายน ๒๕๖๒ ณ กรุงซานเบ สาธารณรัฐทาจิกิสถาน โดยมีที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศ (นายวิชาวัฒน์ อิศรภักดี) ในฐานะผู้แทนพิเศษของนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมฯ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผู้แทนพิเศษของนายกรัฐมนตรีได้กล่าวต่อที่ประชุมฯ ถึงบทบาทที่สำคัญของไทยในฐานะผู้ประสานงานมาตรการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจของสมาชิก CICA ในสาขาการพัฒนาที่ยั่งยืนพร้อมแบ่งปันประสบการณ์การดำเนินการตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและการทำหน้าที่ประธานอาเซียนของไทย ภายใต้แนวคิดหลัก “ร่วมมือ ร่วมใจ ก้าวไกล ยั่งยืน” (Advancing Partnership for Sustainability) รวมถึงเสนอให้สมาชิก CICA พิจารณาส่งเสริมความร่วมมือกับองค์การระดับภูมิภาคอื่น ๆ เช่น อาเซียน กรอบความร่วมมือเอเชีย (ACD) องค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ เป็นต้น ๒. ที่ประชุมฯ ได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในประเด็นต่าง ๆ เช่น สถานการณ์ความมั่นคงในภูมิภาค สถานการณ์ในตะวันออกกลาง อัฟกานิสถาน สถานการณ์นิวเคลียร์อิหร่าน การต่อต้านการก่อการร้ายและลัทธิสุดโต่ง ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ พลังงาน การพัฒนาที่ยั่งยืน ตลอดจนทิศทางของความร่วมมือในกรอบ CICA และการต้อนรับศรีลังกาเข้าเป็นประเทศสมาชิกล่าสุดของ CICA เป็นต้น นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ได้รับรองปฏิญญาการประชุมระดับผู้นำ CICA ครั้งที่ ๕ ซี่งมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการเสริมสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างประเทศสมาชิก ๒๗ ประเทศ ผ่านกรอบความร่วมมือทั้ง ๕ มิติ ได้แก่ การเมืองและการทหาร เศรษฐกิจ ภัยคุกคามและความท้าทายรูปแบบใหม่ สิ่งแวดล้อม และทรัพยากรมนุษย์
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12504 | ผลการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ 12 แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย - มาเลเซีย - ไทย (The 12th IMT - GT Summit) | นร11 | 27/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๑๒ แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle : IMT-GT) เมื่อวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๒ ณ กรุงเทพมหานคร โดยมีนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเข้าร่วมประชุมฯ โดยที่ประชุมฯ ได้ให้ความเห็นชอบรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานตามแผนงาน IMT-GT ระหว่างปี ๒๕๖๑-๒๕๖๒ ได้แก่ ผลสำเร็จด้านการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ความก้าวหน้าในการขับเคลื่อนวิสัยทัศน์ในปี ๒๕๗๙ และความก้าวหน้าของแผน IMT-GT ในรอบปี ๒๕๖๑-๒๕๖๒ ได้แก่ ด้านคมนาคม ด้านการท่องเที่ยว ด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ด้านการพัฒนาเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้านการพัฒนาความร่วมมือกับสภาธุรกิจ IMT-GT ด้านความร่วมมือกับสำนักเลขาธิการ IMT-GT และหุ้นส่วนการพัฒนา รวมทั้งเห็นชอบการปรับปรุงแก้ไขแถลงการณ์ร่วมการประชุมผู้นำครั้งที่ ๑๒ นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ได้มีข้อเสนอแนะเพื่อสนับสนุนการดำเนินแผนงาน IMT-GT ได้แก่ (๑) การศึกษาทบทวนระเบียงเศรษฐกิจ IMT-GT และจัดทำการบูรณาการห่วงโซ่คุณค่าข้ามแดนระหว่างเขตเศรษฐกิจพิเศษในประเทศ IMT-GT ในผลิตภัณฑ์ที่มีศักยภาพ อาทิ ยาง ปาล์มน้ำมัน อาหารฮาลาล (๒) การทบทวนแผนดำเนินงานระยะห้าปี ปี ๒๕๖๐-๒๕๖๔ โดยพิจารณาปัจจัยการเปลี่ยนแปลงในโลกและภูมิภาค (๓) การเร่งรัดโครงการที่เป็นผลประโยชน์อย่างสูงต่อไทย (๔) การปรับปรุงด้านตัวชี้วัดความก้าวหน้าและความสำเร็จในการขับเคลื่อนแผนงานที่ชี้ให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำอย่างแท้จริง และ (๕) การเสริมสร้างความร่วมมือกับภาคีการพัฒนาเดิม ได้แก่ สำนักเลขาธิการอาเซียน และธนาคารพัฒนาเอเชีย พร้อมทั้งแสวงหาความร่วมมือกับหุ้นส่วนการพัฒนาใหม่ที่มีศักยภาพ ๑.๒ เห็นชอบการมอบหมายภารกิจหน่วยงานเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยรับทราบผลการประชุมที่สำคัญ แผนดำเนินการระยะต่อไป และพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติซึ่งมีความเห็นเพิ่มเติมในประเด็นด้านความมั่นคง เช่น การดำเนินโครงการสะพานถนนเชื่อมโยงจังหวัดสตูล-รัฐเปอร์ลิส โดยเน้นพื้นฐานบนผลประโยชน์ของไทยเป็นสำคัญ และการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการดำเนินกิจกรรมตามบริเวณชายแดน เพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อสันปันน้ำและหลักเขตแดน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12505 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง พ.ศ. .... | อว | 27/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาของสาขาวิชารัฐศาสตร์และสาขาวิชานิเทศศาสตร์ กำหนดสีประจำสาขาวิชาดังกล่าว แก้ไขครุยวิทยฐานะและเข็มวิทยฐานะของมหาวิทยาลัย รวมทั้งแก้ไขครุยประจำตำแหน่งและเครื่องหมายประกอบครุยประจำตำแหน่งของนายกสภามหาวิทยาลัย กรรมการสภามหาวิทยาลัย อธิการบดีของมหาวิทยาลัย ผู้บริหารของมหาวิทยาลัยและคณาจารย์ของมหาวิทยาลัย ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12506 | ผลการเข้าร่วมการประชุมผู้นำ G20 ประจำปี 2562 ของนายกรัฐมนตรี | กต | 27/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมผู้นำ G20 ประจำปี ๒๕๖๒ ของนายกรัฐมนตรี ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๘-๒๙ มิถุนายน ๒๕๖๒ ณ นครโอซากา ประเทศญี่ปุ่น ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ที่ประชุมผู้นำ G20 ได้มีการหารือใน ๔ วาระสำคัญ ได้แก่ (๑) เศรษฐกิจโลก การค้า และการลงทุน (๒) นวัตกรรม เศรษฐกิจดิจิทัล และปัญญาประดิษฐ์ (๓) การแก้ไขปัญหาความไม่เท่าเทียมและการสร้างโลกที่ยั่งยืนและทุกคนมีส่วนร่วม และ (๔) การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สิ่งแวดล้อม และพลังงาน โดยที่ประชุมได้มีการรับรองเอกสารผลลัพธ์ ๒ ฉบับ คือ แถลงการณ์ผู้นำ G20 ณ นครโอซากา (G20 Osaka Leaders’ Declaration) และถ้อยแถลงผู้นำ G20 เรื่อง การป้องกันการใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อการก่อการร้ายและลัทธิหัวรุนแรงที่จะนำไปสู่การก่อการร้าย (G20 Osaka Leaders’ Statement on Preventing Exploitation of the Internet for Terrorism and Violent Extremism Conducive to Terrorism) ๑.๒ นายกรัฐมนตรีได้หารือทวิภาคีกับนายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย เช่น การหารือในประเด็นความร่วมมือภายใต้กรอบอาเซียน และยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง และการร่วมผลักดันการเจรจาความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจระดับภูมิภาค เป็นต้น การหารือทวิภาคีกับนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นในประเด็นต่าง ๆ เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เป็นต้น และการพบหารือกับผู้นำและบุคคลสำคัญอื่น ๆ เช่น การหารือกับนายกรัฐมนตรีเนเธอร์แลนด์ในเรื่องการบริหารจัดการน้ำ เป็นต้น ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามประเด็นที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็วต่อไป ซึ่งได้แก่ การอนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรทางธรรมชาติ โดยเฉพาะทรัพยากรทางทะเลผ่านการแก้ไขปัญหาประมง IUU และขยะทะเล เครือข่ายเมืองอัจฉริยะของอาเซียน (ASEAN Smart Cities Network) การเข้าถึงบริการทางการเงิน (Financial Inclusion) ความร่วมมือตามเอกสารมุมมองของอาเซียนต่ออินโด-แปซิฟิก (ASEAN Outlook on the Indo-Pacific) ผ่านความร่วมมือ ๔ มิติ คือ ความร่วมมือทางทะเล เศรษฐกิจ ความเชื่อมโยง และการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมทั้งศูนย์อาเซียนเพื่อการศึกษาและการหารือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน และศูนย์อาเซียนเพื่อผู้สูงวัยอย่างมีศักยภาพและมีนวัตกรรม ๓. ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมรับไปหารือในรายละเอียดร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการจัดตั้งสถาบันโคเซ็นในไทยให้เหมาะสมและชัดเจนเพื่อดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ให้สถาบันโคเซ็นดังกล่าวอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ๔. ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาความเป็นไปได้ในการสร้างความร่วมมือด้านระบบรางกับสาธารณรัฐเกาหลี
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12507 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติและศูนย์พลังงานอาเซียน (Memorandum of Understanding on Education, Research, and Community Development between National Science and Technology Development Agency and ASEAN Center for Energy) | พน | 27/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติและศูนย์พลังงานอาเซียน (Memorandum of Understanding on Education, Research, and Community Development between National Science and Technology Development Agency and ASEAN Center for Energy) โดยให้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นหน่วยงานระดับภูมิภาคอาเซียนด้านการวิจัยเทคโนโลยีเชื้อเพลิงชีวภาพ และอนุมัติการลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ โดยผู้อำนวยการ สวทช. และผู้บริหารระดับสูงของศูนย์พลังงานอาเซียน (ASEAN Center for Energy) เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ซึ่งจะมีการลงนามในการประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน ครั้งที่ ๓๗ และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๒-๖ กันยายน ๒๕๖๒ ณ กรุงเทพมหานคร โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเป็นการริเริ่มให้เกิดความร่วมมือระหว่าง สวทช. และศูนย์พลังงานอาเซียน เพื่อเป็นหน่วยงานระดับภูมิภาคอาเซียนด้านศูนย์กลางการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีเชื้อเพลิงชีวภาพ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนในภูมิภาคอาเซียนให้ได้ร้อยละ ๒๓ ภายในปี ค.ศ. ๒๐๒๕ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงพลังงานดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๒. ให้กระทรวงพลังงาน สวทช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นว่า ร่างบันทึกความเข้าใจฯ เป็นเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือที่เกี่ยวกับองค์การระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันรัฐบาลไทยที่จะต้องเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามมาตรา ๔ (๗) แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12508 | ขอความเห็นชอบคณะรัฐมนตรีต่อร่างปฏิญญาการประชุมรัฐมนตรีแรงงานและการจ้างงาน G20 ค.ศ. 2019 | รง | 27/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างปฏิญญาการประชุมรัฐมนตรีแรงงานและการจ้างงาน G20 ค.ศ. ๒๐๑๙ และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายรับรองร่างปฏิญญาฯ โดยร่างปฏิญญาฯ มีสาระสำคัญประกอบด้วยประเด็นหลัก ๕ ด้าน ได้แก่ (๑) การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร เป็นการเปลี่ยนแปลงกลุ่มประชากรสูงอายุในกลุ่มประเทศ G20 ซึ่งมีพัฒนาการที่แตกต่างกัน โดยประชากรสูงอายุจะนำมาซึ่งโอกาสการจ้างงานใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ “เศรษฐกิจสีเงิน” (๒) ระยะเวลาการทำงานที่ยาวนานขึ้นในสังคมผู้สูงอายุ เป็นการเปลี่ยนแปลงในลักษณะของงานที่จะต้องเอื้อให้ผู้สูงอายุมีเวลาเพียงพอสำหรับการทำกิจกรรมส่วนตัวเพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างยั่งยืน (๓) โอกาสการจ้างงานใหม่ในสังคมผู้สูงอายุ เป็นการเน้นย้ำการจ้างงานผู้สูงอายุผ่านการมีส่วนร่วมกับหุ้นส่วนทางสังคมในการปรับตัวกับการมีอายุเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น (๔) ความเสมอภาคทางเพศ เป็นการกระตุ้นให้นายจ้างเพิ่มความโปร่งใสเกี่ยวกับการคำนึงผลการปฏิบัติงานที่เท่าเทียมของหญิงและชาย และ (๕) การจ้างงานรูปแบบใหม่ โดยนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ในการขับเคลื่อนงานรูปแบบใหม่ ซึ่งจะสามารถขจัดอุปสรรคในการทำงานได้ ทั้งนี้ ร่างปฏิญญาฯ มีกำหนดจะต้องได้รับการรับรองโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ระหว่างวันที่ ๑-๒ กันยายน ๒๕๖๒ ณ เมือง Matsuyama ประเทศญี่ปุ่น ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงแรงงานดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12509 | การขอขยายระยะเวลาบันทึกความตกลงการขยายการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์การพัฒนาอย่างยั่งยืนในทะเลเอเชียตะวันออกในประเทศไทย (พ.ศ. 2558-2562) | ทส | 27/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบเอกสารการขอขยายระยะเวลาบันทึกความตกลงการขยายการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์การพัฒนาอย่างยั่งยืนในทะเลเอเชียตะวันออกในประเทศไทย (พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๒) โดยขยายวันสิ้นผลใช้บังคับบันทึกความตกลงฯ จากวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๒ เป็นวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๓ และเห็นชอบให้ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นผู้ลงนามในเอกสารการขอขยายระยะเวลาบันทึกความตกลงฯ ร่วมกับหุ้นส่วนเพื่อการจัดการสิ่งแวดล้อมทางทะเลในเอเชียตะวันออก (Partnerships in Environmental Management for the Seas of East Asia : PEMSEA) ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเอกสารการขอขยายระยะเวลาบันทึกความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าว ตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งรัดการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12510 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในสาขาการพัฒนาเมืองอัจฉริยะระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมของไทย และ The Ministry of Land, Infrastructure and Transport ของสาธารณรัฐเกาหลี | ดศ | 27/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติให้มีการลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในสาขาการพัฒนาเมืองอัจฉริยะระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมของไทยและ The Ministry of Land, Infrastructure and Transport ของสาธารณรัฐเกาหลี (Memorandum of Understanding on Cooperation in the field of Smart City Development between the Ministry of Digital Economy and Society of the Kingdom of Thailand and the Ministry of Land, Infrastructure and transport of the republic of Korea) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนการแลกเปลี่ยนนโยบาย เทคโนโลยี ข้อมูล และทรัพยากรมนุษย์ รวมทั้งส่งเสริมอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนาเมืองอัจฉริยะ โดยจะมีการลงนามระหว่างการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี ในวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๒. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณที่เห็นว่า ร่างบันทึกความเข้าใจฯ ยังมิได้มีการระบุถึงรายละเอียดเกี่ยวกับงบประมาณในการดำเนินกิจกรรม หากในอนาคตมีความชัดเจนในเรื่องดังกล่าว กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมต้องคำนึงถึงการดำเนินการตามบทบัญญัติในมาตรา ๒๗ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ด้วย นอกจากนี้ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมควรพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ได้รับจัดสรรไว้แล้ว หรือจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12511 | ร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐเกาหลี ว่าด้วยการคุ้มครองข่าวสารทางทหารที่มีชั้นความลับร่วมกัน | กห | 27/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้กระทรวงกลาโหมจัดทำความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐเกาหลี ว่าด้วยการคุ้มครองข่าวสารทางทหารที่มีชั้นความลับร่วมกัน (Agreement between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the Republic of Korea on Mutual Protection of Classified Military Information) และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย ทั้งนี้ ในกรณีมอบหมายผู้แทน ขอให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้ผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ร่วมลงนามในร่างความตกลงฯ ต่อไป โดยร่างความตกลงฯ มีสาระสำคัญ เช่น กรอบและสาขาความร่วมมือได้ระบุว่าคู่ภาคีจะส่งเสริมและสนับสนุนความร่วมมือทางการทหารในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และข้อมูลข่าวสารทางทหาร และการป้องกันข่าวสารทางทหารได้ระบุเกี่ยวกับการกำหนดชั้นความลับในข่าวสารทางทหารที่ได้รับการถ่ายทอด แลกเปลี่ยน หรือเกิดขึ้นภายใต้กรอบความตกลงฯ โดยจะมีการลงนามระหว่างการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี ในวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างความตกลงฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงกลาโหมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12512 | การปรับปรุงคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 | ปช | 27/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ จำนวน ๓,๔๙๔,๓๕๔,๖๐๐ บาท และงบประมาณกองทุนป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ จำนวน ๒๖๙,๔๙๓,๒๐๐ บาท ทั้งนี้ ให้ถือว่าการเสนอคำของบประมาณรายจ่ายดังกล่าวเป็นการยื่นคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายต่อคณะรัฐมนตรีภายในระยะเวลาที่คณะรัฐมนตรีกำหนด โดยแสดงวัตถุประสงค์ แผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ตามนัยมาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เพื่อให้สำนักงบประมาณจัดทำงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป และให้ได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๒ (เรื่อง การปรับปรุงปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ และหลักเกณฑ์การปรับปรุงคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓) ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12513 | ร่างบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างกระทรวงการค้า อุตสาหกรรมและพลังงานแห่งสาธารณรัฐเกาหลี และกระทรวงอุตสาหกรรมแห่งราชอาณาจักรไทย ด้านความร่วมมืออุตสาหกรรมเพื่อตอบสนองต่ออุตสาหกรรม 4.0 | อก | 27/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างกระทรวงการค้า อุตสาหกรรม และพลังงานแห่งสาธารณรัฐเกาหลี และกระทรวงอุตสาหกรรมแห่งราชอาณาจักรไทย ด้านความร่วมมืออุตสาหกรรมเพื่อตอบสนองต่ออุตสาหกรรม ๔.๐ และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ของฝ่ายไทย โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อกระชับ ส่งเสริม และพัฒนาความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมระหว่างสองฝ่าย เพื่อตอบสนองต่ออุตสาหกรรม ๔.๐ โดยคาดว่าจะมีการลงนามระหว่างการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีสาธารณรัฐเกาหลี ระหว่างวันที่ ๑-๓ กันยายน ๒๕๖๒ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ) ด้วย ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการติดตามและประเมินผลการดำเนินการตามร่างบันทึกความเข้าใจฯ เป็นระยะ เพื่อให้สามารถขยายผลไปสู่ความร่วมมือในมิติอื่น ๆ ในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12514 | สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2562 | กษ | 27/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ประธานกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้เปิดตลาดน้ำมันปาล์มและน้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์ม และบริหารการนำเข้าคราวละ ๓ ปี (ปี ๒๕๖๓-๒๕๖๕) โดยให้เป็นไปตามข้อผูกพันของทุกกรอบการค้า และมีการบริหารการนำเข้าเช่นเดียวกับกรอบองค์การการค้าโลก (WTO) คือ ให้องค์การคลังสินค้าเป็นผู้มีสิทธินำเข้าและกระจายให้ผู้ผลิตภายในประเทศตามที่สมาคมโรงกลั่นน้ำมันปาล์มเป็นผู้จัดสรร ๑.๒ รับทราบสรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ ๔/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๖๒ เกี่ยวกับผลการพิจารณาการเปิดตลาดน้ำมันปาล์มและน้ำมันเนื้อเมล็ดในปาล์ม ภายในกรอบการค้าระหว่างประเทศ ปี ๒๕๖๓-๒๕๖๕ โครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ปี ๒๕๖๒-๒๕๖๓ และแนวทางการบริหารปาล์มน้ำมันทั้งระบบ ๒. ในส่วนของภาระส่วนต่างระหว่างต้นทุนการผลิตที่ใช้น้ำมันปาล์มดิบเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้ากับรายได้จากการขายกระแสไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจากการซื้อน้ำมันปาล์มดิบเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าที่โรงงานไฟฟ้าบางปะกง ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๖๒ (เรื่อง สรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ ๒/๒๕๖๒) นั้น ให้กระทรวงพลังงานเร่งหารือกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ได้ข้อยุติในประเด็นการบันทึกเป็นรายจ่ายเพื่อสังคม (Public Service Account : PSA) เพื่อลดภาระงบประมาณคงค้างของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และให้สามารถดำเนินการรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบได้ตามเป้าหมายที่กำหนด ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณในการดำเนินการ ให้กระทรวงพลังงานเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12515 | โครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี 2562/63 รอบที่ 1 | พณ | 27/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี ๒๕๖๒/๖๓ รอบที่ ๑ ภายในกรอบวงเงิน ๒๑,๔๙๕.๗๔ ล้านบาท และให้กระทรวงพาณิชย์หารือในรายละเอียดกับกระทรวงการคลัง [ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)] สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับค่าชดเชยต้นทุนเงินและค่าบริหารจัดการของ ธ.ก.ส. ให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจนก่อน โดยพิจารณาให้อยู่ในขอบเขตที่รัฐสามารถรับภาระได้ทั้งในปัจจุบันและอนาคต รวมทั้งอยู่ภายในกรอบสัดส่วนวงเงินตามประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ มาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ แล้วให้ดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ เช่น (๑) ควรมีการพิจารณาแนวทางการกำหนด ราคาต่อไร่ จำนวนไร่ต่อครัวเรือน การจัดทำประมาณการต้นทุนทางการเงินของ ธ.ก.ส. ให้อยู่ในขอบเขตที่รัฐสามารถรับภาระได้ทั้งในปัจจุบันและอนาคต รวมทั้งอยู่ภายในกรอบสัดส่วนวงเงินตามประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ มาตรา ๒๘ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ (๒) ควรมีระบบหรือกลไกในการตรวจสอบที่มีมาตรฐานเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วนอย่างชัดเจน ทั้งในเรื่องการลงทะเบียน จำนวนเกษตรกร ผลผลิตต่อไร่ ตลอดจนจัดให้มีระบบการประเมินผลสัมฤทธิ์ที่ได้จากการดำเนินการต่าง ๆ และ (๓) การดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลสำหรับการช่วยเหลือในมาตรการต่าง ๆ ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นมาตรการทางเศรษฐกิจหรือมาตรการทางสังคม ให้ถือว่าโครงการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการให้ความช่วยเหลือด้วย โดยเฉพาะการดำเนินการนโยบายมาตรการที่เป็นกลุ่มเป้าหมายเดียวกัน รวมทั้งการสร้างความรับรู้และความเข้าใจให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนเร่งดำเนินโครงการให้ทันต่อสถานการณ์อย่างเหมาะสมและรอบคอบเพื่อประโยชน์สูงสุดของทางราชการและเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี ๒๕๖๒/๖๓ รอบที่ ๑ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ในการดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปี ๒๕๖๒/๖๓ รอบที่ ๑ ให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรงการคลัง โดย ธ.ก.ส. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องวางแผนการดำเนินงานและกำหนดมาตรการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ให้รอบคอบ รัดกุม และโปร่งใส เพื่อป้องกันปัญหาต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น เช่น การควบคุมราคารับซื้อข้าวของโรงสี/ผู้ประกอบการให้เป็นไปตามราคาตลาด ไม่ให้มีการกดราคารับซื้อข้าวจนนำไปการผลักภาระส่วนต่างระหว่างราคาประกันกับราคาอ้างอิงให้เป็นภาระงบประมาณของรัฐ และการกำหนดมาตรการตรวจสอบการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่เหมาะสมและรัดกุม เพื่อป้องกันการสวมสิทธิและการแจ้งข้อมูลเท็จ เช่น ข้อมูลจำนวนพื้นที่ปลูก ชนิดของข้าว รวมทั้งควรกำหนดมาตรการอื่น ๆ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรควบคู่ไปด้วย เช่น มาตรการสนับสนุนปัจจัยการผลิตเพื่อให้สามารถช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวได้อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12516 | การแก้ไขและบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่อันเนื่องมาจากปัญหาภัยแล้งและอุทกภัยในจังหวัด | มท | 27/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการกรอบวงเงินงบประมาณในการดำเนินแผนงาน/โครงการเพื่อแก้ไขและบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่อันเนื่องมาจากปัญหาภัยแล้งและอุทกภัยในจังหวัดทั่วประเทศ วงเงิน ๑๕,๘๐๐ ล้านบาท แยกเป็นสำหรับ ๗๔ จังหวัด จังหวัดละ ๒๐๐ ล้านบาท และสำหรับจังหวัดสุรินทร์และจังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดละ ๕๐๐ ล้านบาท จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยมีกรอบแนวทางปฏิบัติในการเสนอของบประมาณเพื่อแก้ไขและบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ อันเนื่องมาจากปัญหาภัยแล้งและอุทกภัยในจังหวัด ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งการดำเนินการจะต้องเป็นไปอย่างโปร่งใส คุ้มค่าและประหยัด โดยพิจารณาเป้าหมาย ประโยชน์ที่จะได้รับ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์กับประชาชน ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ นอกจากนี้ ควรมีการติดตามและควบคุมการดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบที่กำหนดไว้ เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการดำเนินแผนงาน/โครงการอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12517 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (พลเอก สมศักดิ์ รุ่งสิตา) | นร08 | 27/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติรับโอน พลเอก สมศักดิ์ รุ่งสิตา ข้าราชการทหาร ตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงกลาโหม มาบรรจุเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๒ เป็นต้นไป เพื่อทดแทนผู้ที่จะเกษียณอายุราชการ ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12518 | การแต่งตั้งข้าราชการ (นายเศกสรรค์ เรืองโวหาร) | นร13 | 27/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายเศกสรรค์ เรืองโวหาร ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๒ เป็นต้นไป เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ผู้ครองตำแหน่งอยู่เดิมจะเกษียณอายุราชการ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12519 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ (นางสาวนิธิวดี มานิตกุล และ นายชัยรัตน์ พรทิพย์วรเวทย์) | กต | 27/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๒ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๒ เป็นต้นไป เพื่อทดแทนผู้ที่จะเกษียณอายุราชการ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. นางสาวนิธิวดี มานิตกุล ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบราซิเลีย สหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล ๒. นายชัยรัตน์ พรทิพย์วรเวทย์ ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูต สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบูคาเรสต์ ราชอาณาจักรโรมาเนีย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12520 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นายวราวุธ ชูธรรมธัช และคณะ) | กษ | 27/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๗ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๒ เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นายวราวุธ ชูธรรมรัช ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นางอุมาพร พิมลบุตร ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. นายพิศาล พงศาพิชณ์ ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๔. นายสำราญ สาราบรรณ์ ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๕. นายสุดสาคร ภัทรกุลนิษฐ์ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการข้าว ๖. นายมีศักดิ์ ภักดีคง ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมประมง ๗. นายเข้มแข็ง ยุติธรรมดำรง ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร
|
.....