ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 628 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 12541 - 12560 จากข้อมูลทั้งหมด 124231 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
12541 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 27/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการด้านเศรษฐกิจ ดังนี้
๑. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) กำกับให้กระทรวงการคลังร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน พิจารณากำหนดมาตรการส่งเสริมการลงทุนและสนับสนุนผู้ประกอบการในการพัฒนาอุตสาหกรรมภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว [Bio-Circular-Green (BCG) Economy] โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น จากอ้อย ยางพารา มันสำปะหลัง มาสร้างมูลค่าเพิ่มขึ้น รวมถึงการบริหารจัดการของเสียและขยะให้เกิดประโยชน์สูงสุด ๒. ให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม สถาบันการศึกษา และภาคเอกชน พิจารณาความเป็นไปได้ในการนำวัสดุเหลือใช้ เช่น พลาสติก ยางพารา เศษวัสดุจากสิ่งก่อสร้าง ฯลฯ มาเป็นส่วนผสมในการสร้างถนน เพื่อเป็นการเพิ่มมูลค่าของวัสดุเหลือใช้และเป็นการลดขยะและของเสียที่เสื่อมสลายได้ยาก ๓. ให้กระทรวงคมนาคมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เร่งดำเนินการเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยในการเดินทางเข้าออกประเทศผ่านท่าอากาศยาน โดยพิจารณานำระบบตรวจพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล (Biometric) มาใช้อย่างเต็มรูปแบบโดยเร็ว รวมทั้งให้เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาอื่น ๆ ของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานดอนเมืองด้วย เช่น การตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโครงการก่อสร้างของเอกชนที่มีข้อพิพาท การพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ การแก้ไขปัญหาการแออัดของนักท่องเที่ยวและรองรับการขยายตัวในอนาคต ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามข้อกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องด้วย ๔. ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการรองรับกรณีที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก ทำให้มีความจำเป็นต้องใช้ระบบสาธารณูปโภคสาธารณูปการร่วมกับประชาชนในพื้นที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เช่น ความต้องการใช้น้ำประปา รถโดยสารสาธารณะ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12542 | รัฐบาลสาธารณรัฐไซปรัสเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐไซปรัสประจำประเทศไทย (นายอะยิส ลุยซู) | กต | 27/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายอะยิส ลุยซู (Mr. Agis Loizou) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐไซปรัสประจำประเทศไทย โดยให้มีถิ่นพำนัก ณ กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย สืบแทน นายดีมีทรีออส เอ. ทีโอฟีลักตู (Mr. Demetrios A. Theophylactou) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12543 | รัฐบาลจาเมกาเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งจาเมกาประจำประเทศไทย (นายแอนโทเนีย ฮิว) | กต | 27/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายแอนโทเนีย ฮิว (Mr. Antonia Hugh) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งจาเมกาประจำประเทศไทย โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน สืบแทน นายเอิร์ล คอร์ตนีย์ แรตทีรย์ (Mr. Earle Courtenay Rattray) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12544 | รายงานประจำปี 2560 ศาลรัฐธรรมนูญ | ศร | 20/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี ๒๕๖๐ ศาลรัฐธรรมนูญ และรายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๐ ประกอบด้วย (๑) ผลการดำเนินงานของศาลรัฐธรรมนูญและสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งแบ่งเป็น ๖ ด้าน ได้แก่ ด้านคดี ด้านการวิจัย ด้านเอกสารสิ่งพิมพ์เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ ด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ด้านการพัฒนาบุคลากรของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ และด้านความร่วมมือและประชาสัมพันธ์กับเครือข่ายทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ (๒) การเข้าร่วมพระราชพิธี รัฐพิธี และกิจกรรมสำคัญของประเทศของศาลรัฐธรรมนูญและสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ระหว่างวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๐-๓๐ กันยายน ๒๕๖๐ และ (๓) รายงานของผู้สอบบัญชีสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๐ ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบงบการเงินของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญแล้วเห็นว่า ถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังประกาศใช้ ตามที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12545 | รัฐบาลสมาพันธรัฐสวิสเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็ม แห่งสมาพันธรัฐสวิสประจำประเทศไทย (นางเฮเลเนอ บุดลีเกอร์ อาร์ทิเอดา) | กต | 20/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางเฮเลเนอ บุดลีเกอร์ อาร์ทิเอดา (Mrs. Helene Budliger Artieda) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสมาพันธรัฐสวิสประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทน นายอีโว ซีเบอร์ (Mr. Ivo Sieber) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12546 | การแต่งตั้งกงสุลใหญ่สหรัฐอเมริกา ณ จังหวัดเชียงใหม่ (นายชอน เค. โอนีลล์) | กต | 20/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายชอน เค โอนีลล์ (Mr. Sean K.O’Neill) ให้ดำรงตำแหน่งกงสุลใหญ่สหรัฐอเมริกา ณ จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย กำแพงเพชร ลำปาง ลำพูน แม่ฮ่องสอน น่าน พะเยา เพชรบูรณ์ พิจิตร พิษณุโลก แพร่ สุโขทัย ตาก และอุตรดิตถ์ สืบแทน นางเจนนิเฟอร์ เอ. ฮาร์ไฮ (Ms. Jennifer A. Harhigh) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12547 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นางพจนีย์ ขจรปรีดานนท์) | มท | 20/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางพจนีย์ ขจรปรีดานนท์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการเมือง (นักผังเมืองทรงคุณวุฒิ) กรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่วันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๖๒ ซึ่งป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12548 | รัฐบาลสาธารณรัฐมาลีเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็ม แห่งสาธารณรัฐมาลีประจำประเทศไทย (นายเซกู กัสเซ) | กต | 20/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายเซกู กัสเซ (Mr. Sekou Kasse) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐมาลีประจำประเทศไทย โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย สืบแทน นางกีเซ มาอีมูนา ดีอาล (Mrs. Guisse Maimouna Dial) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12549 | รัฐบาลสาธารณรัฐนิการากัวเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็ม แห่งสาธารณรัฐนิการากัวประจำประเทศไทย (นายโรดริโก โกโรเนล คินลอก) | กต | 20/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายโรดริโก โกโรเนล คินลอก (Mr. Rodrigo Coronel Kinloch) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐนิการากัวประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น สืบแทน นายซาอูล อารานา กัสเตยอน (Mr. Saul Arana Castellon) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12550 | ร่างพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง พ.ศ. 2562 | นร05 | 20/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง พ.ศ. ๒๕๖๒ มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ปิดประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง ตั้งแต่วันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๖๒ เป็นต้นไป ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12551 | ผลการประชุมเวทีข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง ครั้งที่ 2 | กต | 20/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบผลการประชุมเวทีข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทาง (Belt and Road Forum for International Cooperation : BRF) ครั้งที่ ๒ และกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนเข้าร่วมการประชุมฯ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๕-๒๗ เมษายน ๒๕๖๒ ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยสาระสำคัญของผลการประชุมฯ ประกอบด้วย (๑) การประชุมระดับสูงของ BRF ครั้งที่ ๒ โดยประธานาธิบดีของจีนเป็นประธานพิธีเปิดการประชุมฯ และได้กล่าวต่อที่ประชุมฯ ว่า ข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทางจะสร้างโอกาสความร่วมมือที่เปิดกว้างและนำไปสู่ความมั่งคั่งร่วมกัน (๒) การประชุมผู้นำโต๊ะกลมของ RBF ครั้งที่ ๒ ที่ประชุมฯ ได้รับรองแถลงการณ์ร่วมของการประชุม RBF ครั้งที่ ๒ (๓) การประชุมเวทีกลุ่มย่อย เป็นการประชุมระดับรัฐมนตรีและผู้บริหารระดับสูงขององค์การระหว่างประเทศ เพื่อระดมความเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการส่งเสริมความเชื่อมโยงในมิติต่าง ๆ เช่น ด้านนโยบายการพัฒนา โครงสร้างพื้นฐาน ดิจิทัล เศรษฐกิจ เป็นต้น (๔) การหารือทวิภาคีระหว่างนายกรัฐมนตรีกับประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีของจีนเกี่ยวกับแนวทางส่งเสริมความร่วมมือเชิงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ไทย-จีน อย่างรอบด้าน และ (๕) การหารืออย่างไม่เป็นทางการระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้นำประเทศอื่น ๆ เช่น การหารือกับประธานาธิบดีมองโกเลีย โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องจัดทำแผนงานระยะ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๖) เป็นต้น และมอบหมายหน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวเนื่องกับผลการประชุมฯ และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมภายใต้กรอบ BRF ใน ๕ มิติ ได้แก่ การเสริมสร้างการสอดประสานของนโยบายการพัฒนา การส่งเสริมความเชื่อมโยงด้านโครงสร้างพื้นฐาน การส่งเสริมการพัฒนายั่งยืน การสร้างเสริมความเข้มแข็งของความร่วมมือที่ได้ผลในทางปฏิบัติ และความก้าวหน้าด้านการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชน ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงพาณิชย์ที่เห็นควรให้มีการบรรจุเรื่องการสนับสนุนและส่งเสริมความร่วมมือในการดำเนินการตามพันธกรณีอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลกในการอนุรักษ์ ปกป้อง คุ้มครอง รักษา และส่งเสริมมรดกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติที่มีความสำคัญต่อมวลมนุษยชาติให้คงอยู่ต่อไป ทั้งในด้านการแลกเปลี่ยนทางวิชาการหรือการถ่ายทอดองค์ความรู้ร่วมกัน และควรมีการหยิบยกประเด็นการจัดตั้งกลไกการหารือระดับสูงระหว่างไทยกับผู้บริหารระดับสูงของมณฑลกวางตุ้ง ฮ่องกง และมาเก๊า ในการหารือระดับสูงระหว่างไทยกับจีนในโอกาสต่อไป เพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือทางเศรษฐกิจระดับอนุภูมิภาคกับมณฑลของจีนให้สำเร็จเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12552 | ขออนุมัติงบประมาณเงินอุดหนุนให้แก่เกษตรกรเข้าร่วมโครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ ปี 2561 | กษ | 20/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติงบประมาณเงินอุดหนุนให้แก่เกษตรกรเข้าร่วมโครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ ปี ๒๕๖๑ ของเกษตรกรกลุ่มที่ผ่านการประเมินระยะปรับเปลี่ยน (T2) และเกษตรกรกลุ่มที่ได้รับรองการผลิตข้าวอินทรีย์ (T3) วงเงินทั้งสิ้น ๕๓๖.๔๓๖ ล้านบาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำกับติดตามการดำเนินโครงการส่งเสริมการผลิตข้าวอินทรีย์ให้เป็นไปอย่างโปร่งใสมีประสิทธิภาพและบรรลุตามวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดความยั่งยืนและเป็นประโยชน์สูงสุดแก่เกษตรกร ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า การดำเนินการควรมุ่งเน้นถึงผลสัมฤทธิ์ของโครงการและความคุ้มค่าของเงินงบประมาณ โดยไม่ให้เป็นภาระงบประมาณในระยะยาว รวมทั้งควรมีมาตรการเสริมในการสนับสนุนเกษตรกรให้มีความพร้อมในการดำเนินงานในปีที่ ๒ และปีที่ ๓ เช่น การใช้เครือข่ายความร่วมมือจากศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร และศูนย์ปราชญ์ชาวบ้านที่มีองค์ความรู้ในการทำเกษตรอินทรีย์มาให้คำแนะนำและเป็นพี่เลี้ยงอย่างใกล้ชิด รวมถึงสนับสนุนภาคเอกชนและองค์กรพัฒนาเอกชนในการเชื่อมโยงผลผลิตสู่ตลาด เพื่อสร้างความมั่นใจในการปรับเปลี่ยนระบบการผลิตเข้าสู่มาตรฐานการผลิตข้าวอินทรีย์ และลดปัญหาเกษตรกรไม่ผ่านการตรวจประเมิน ซึ่งจะมีผลต่อประสิทธิภาพการใช้งบประมาณของรัฐ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันขับเคลื่อนโครงการเชื่อมโยงตลาดข้าวอินทรีย์และข้าวที่มีการปฏิบัติตามระบบการเกษตรที่ดี (GAP) ครบวงจร รวมทั้งสนับสนุนการซื้อข้าวอินทรีย์และข้าว GAP ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๖๐ วันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๖๐ และวันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม เพื่อให้เกษตรกรได้รับราคาผลผลิตที่สอดคล้องกับราคาตลาดและคุณภาพของผลผลิต รวมถึงมีตลาดรองรับผลผลิตข้าวคุณภาพที่จะมีปริมาณเพิ่มมากขึ้นด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12553 | ปฏิญญาโดฮาและสรุปรายงานผลการประชุมรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือเอเชีย ครั้งที่ 16 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง | กต | 20/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือเอเชีย (Asia Cooperation Dialogue : ACD) ครั้งที่ ๑๖ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ณ กรุงโดฮา รัฐกาตาร์ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเข้าร่วมการประชุมฯ ซึ่งการประชุมฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเวทีหารือระดับนโยบายระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียเพื่อส่งเสริมความเข้าใจ ความไว้เนื้อเชื่อใจ และผลประโยชน์ร่วมกันจากศักยภาพที่หลากหลายของประเทศสมาชิก โดยที่ประชุมฯ มีการรับรองเอกสารผลลัพธ์ ๑ ฉบับ ได้แก่ ปฏิญญาโดฮา โดยปฏิญญาดังกล่าวเน้นย้ำถึงความสำคัญของ “หุ้นส่วนที่กำลังก้าวหน้า” และการให้ความสำคัญด้านต่าง ๆ เช่น การต่อต้านการก่อการร้ายทุกรูปแบบ การส่งเสริมการค้าเสรี การส่งเสริมการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม การส่งเสริมความปลอดภัยด้านน้ำและอาหาร การวิจัยด้านพลังงานสีเขียวและเทคโนโลยีการเกษตร เป็นต้น นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้หารือทวิภาคีกับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกาตาร์ในประเด็นการส่งเสริมความสัมพันธ์ทวิภาคีในภาพรวมเกี่ยวกับความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและพลังงาน ซึ่งทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องว่า ปัจจุบันมูลค่าการค้าทวิภาคี โดยเฉพาะในสาขาพลังงาน (น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ) อยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดยฝ่ายไทยได้เชิญชวนให้กาตาร์เข้ามาลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และกาตาร์แสดงความสนใจการลงทุนในสาขาการท่องเที่ยวและโทรคมนาคมในไทย รวมทั้งได้หารือสามฝ่ายกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอินโดนีเซียและมาเลเซีย โดยทั้งสามฝ่ายเห็นว่ากรอบความร่วมมือ ACD ในภูมิภาคมีความสำคัญแต่ยังไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร จึงควรผลักดันให้มีพลวัตมากขึ้น และมอบหมายหน่วยงานที่มีภารกิจที่เกี่ยวข้องตามตารางติดตามผลการประชุมฯ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น การขับเคลื่อน ๖ เสาหลักความร่วมมือของ ACD [(๑) ความเชื่อมโยงระหว่างความมั่นคงทางอาหาร น้ำ และพลังงาน (๒) ความเชื่อมโยงของประเทศสมาชิก (๓) วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (๔) การศึกษาและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (๕) วัฒนธรรมและการท่องเที่ยว และ (๖) การส่งเสริมแนวทางสู่การพัฒนาที่ทั่วถึงและยั่งยืน] การค้า การลงทุน การเงินและการธนาคาร ความมั่นคง พลังงาน สาธารณสุข กีฬา การท่องเที่ยว ความเชื่อมโยง และสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เช่น การมอบหมายหน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวข้องตามนัยตารางติดตามผลการประชุมฯ ในเรื่องที่ ๑ การขับเคลื่อนเสาความร่วมมือ ๖ เสา ของ ACD และเรื่องที่ ๑๑ การอนุวัติเป้าหมายเพื่อการพัฒนาข้อ ๖ (สร้างหลักประกันให้ประชาชนมีน้ำใช้ มีการบริหารจัดการน้ำ การสุขาภิบาลอย่างยั่งยืนสำหรับทุกคน) เห็นควรเพิ่มเติมสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ ในฐานะที่เป็นหน่วยงานกำกับนโยบาย และติดตามการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศ เป็นต้น ไปดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12554 | ผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 และรายงานการศึกษาเพื่อจัดทำแผนพัฒนาคุณธรรม และความโปร่งใสในการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | ปช | 20/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยชี้แจงว่า ผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทั่วประเทศ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ พบว่า ในภาพรวมมีค่าคะแนนเฉลี่ย ๖๑.๑๑ คะแนน ซึ่งต่ำกว่าค่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ (๘๕ คะแนนขึ้นไป) ดังนั้น จึงเห็นควรให้มีการเผยแพร่ผลการประเมินดังกล่าวให้ประชาชนรับทราบ เพื่อเป็นการสะท้อนคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานและการบริหารจัดการของ อปท. รวมทั้งให้ผู้บริหารของ อปท. และผู้ที่เกี่ยวข้องปรับปรุงและพัฒนา อปท. ให้สามารถยกระดับผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสให้สูงขึ้นต่อไป ๒. รับทราบผลการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของ อปท. ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ และให้กระทรวงมหาดไทย และ อปท. เผยแพร่ผลการประเมินคุณธรรมฯ และรายงานการศึกษาเพื่อจัดทำแผนพัฒนาคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของ อปท. เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจให้กับประชาชนและผู้ที่เกี่ยวข้องในการสะท้อนปัญหาและผลกระทบจากการบริหารจัดการของ อปท. รวมทั้งเป็นการเฝ้าระวัง ตรวจสอบการบริหารจัดการของ อปท. ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย และ อปท. ประสานในรายละเอียดกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทย และ อปท. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ เช่น (๑) การจัดเก็บภาษีเสริมและจัดสรรรายได้ให้แก่ อปท. ควรคำนึงถึงผลกระทบด้านฐานะการคลังและข้อจำกัดการใช้นโยบายภาษีอากรของรัฐบาลในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ประกอบกอบกับการจัดสรรภาษีเงินได้นิติบุคคลตามพื้นที่จัดตั้ง อาจจะมีปัญหาความเหลื่อมล้ำ ซึ่งอาจส่งผลให้บางพื้นที่ไม่ได้รับการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพ (๒) ตัวชี้วัดเรื่องการใช้งบประมาณ ควรคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ความครอบคลุมทุกแหล่งเงิน และความสามารถในการจัดเก็บรายได้ อันจะนำไปสู่ความสำเร็จของการป้องกันการทุจริตในภาพรวม และการดำเนินงานอย่างโปร่งใส และ (๓) อปท. ควรมีข้อเสนอแนวทางการปรับพฤติกรรมการทำงาน รวมถึงการสร้างวัฒนธรรมองค์กร เพื่อสนับสนุนให้การยกระดับผลการประเมินฯ ของ อปท. บรรลุเป้าหมาย เป็นต้น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย แล้วให้กระทรวงมหาดไทยรายงานผลการดำเนินการในภาพรวมต่อคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12555 | แนวทางการบริหารจัดการการทำงานของแรงงานต่างด้าว ปี 2562-2563 | รง | 20/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบแนวทางการบริหารจัดการการทำงานของแรงงานต่างด้าว ปี ๒๕๖๒-๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ แนวทางการบริหารจัดการการทำงานของแรงงานต่างด้าว ปี ๒๕๖๒-๒๕๖๓ มีสาระสำคัญเป็นการขยายระยะเวลาให้แรงงานต่างด้าว ๓ สัญชาติ (กัมพูชา ลาว และเมียนมา) รวมทั้งผู้ติดตามซึ่งเป็นบุตร ซึ่งแรงงานต่างด้าวดังกล่าวได้ผ่านการพิสูจน์สัญชาติและได้รับเอกสารประจำตัวเรียบร้อยแล้ว และใบอนุญาตทำงานและการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรยังไม่หมดอายุ และมิใช่เป็นแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานในประเทศตามบันทึกความตกลงหรือบันทึกความเข้าใจที่รัฐบาลไทยทำไว้กับรัฐบาลต่างประเทศ (MoU) อนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรไม่เกิน ๒ ปี โดยประทับตราอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร ครั้งละไม่เกิน ๑ ปี และอนุญาตให้ทำงานไม่เกิน ๒ ปี โดยใบอนุญาตทำงานหมดอายุก่อนวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๓ ให้อนุญาตทำงานได้ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๔ และใบอนุญาตทำงานหมดอายุตั้งแต่วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๓ ถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๓ ให้อนุญาตทำงานได้ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๕ ๑.๒ การดำเนินการตามแนวทางการบริหารจัดการดังกล่าวมีกำหนดระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่วันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๖๒ ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๓ หรือภายใน ๑๕ วันนับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการดำเนินการจนถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๓ ซึ่งแรงงานต่างด้าวจะต้องมายื่นคำขอรับใบอนุญาตทำงานภายในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๓ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแนวทางการบริหารจัดการดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๓ โดยมีสถานที่ดำเนินการ ๒ รูปแบบ คือ ที่ตั้งสำนักงานของแต่ละหน่วยงาน และศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) แบ่งเป็น ๒ ส่วน คือ กรุงเทพมหานครให้เป็นไปตามที่อธิบดีกรมการจัดหางานกำหนด และจังหวัดให้เป็นไปตามที่ผู้ว่าราชการจังหวัดกำหนด ๒. ในส่วนค่าใช้จ่ายสำหรับการตรวจสุขภาพของแรงงานต่างด้าวให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง ๓. สำหรับระยะเวลาที่ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ให้เริ่มดำเนินการภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการดำเนินการจนถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๓ ๔. เห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมาเข้ามาทำงานในราชอาณาจักร เป็นกรณีพิเศษ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้คนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมา ซึ่งได้รับการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราวที่เข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อการทำงาน ให้ถือว่าเป็นคนต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาทำงานในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองภายใต้บันทึกความตกลงหรือบันทึกความเข้าใจที่รัฐบาลไทยทำไว้กับรัฐบาลต่างประเทศ เป็นกรณีพิเศษ และร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวที่นำเข้ามาทำงานกับนายจ้างในประเทศตามบันทึกความตกลงหรือบันทึกความเข้าใจที่รัฐบาลไทยทำไว้กับรัฐบาลต่างประเทศได้รับยกเว้นไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๖๐ และที่แก้ไขเพิ่มเติม มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้คนต่างด้าวที่ถือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางหรือหนังสือรับรองสถานะบุคคลที่กระทรวงการต่างประเทศให้การรับรอง และได้รับอนุญาตให้เข้ามาทำงานในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองภายใต้บันทึกความตกลงหรือบันทึกความเข้าใจที่รัฐบาลไทยทำไว้กับรัฐบาลต่างประเทศ เป็นคนต่างประเทศซี่งผู้รับอนุญาตให้นำคนต่างด้าวมาทำงานจะนำมาทำงานกับนายจ้างในประเทศหรือนายจ้างจะนำมาทำงานกับตนในประเทศ โดยได้รับยกเว้นให้ใช้เอกสารดังกล่าวแทนหนังสือเดินทางเพื่อขออนุญาตทำงานได้ และกำหนดให้ผู้รับอนุญาตให้นำคนต่างด้าวมาทำงานหรือนายจ้าง แล้วแต่กรณี แจ้งเลขที่เอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางหรือเลขที่หนังสือรับรองสถานะบุคคลของคนต่างด้าว รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นควรพิจารณาเพิ่มความในคำปรารภของร่างประกาศกระทรวงแรงงานทั้ง ๒ ฉบับดังกล่าว เพื่อแสดงให้เห็นถึงความจำเป็นซึ่งเป็นเงื่อนไขในการออกประกาศในเรื่องนี้ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๔ แห่งพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๖๐ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๑ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๕. ให้กระทรวงแรงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เช่น (๑) ติดตามความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ของแรงงานต่างด้าวอย่างใกล้ชิดและเคร่งครัดกับนายจ้างให้ส่งแรงงานที่ใบอนุญาตหมดอายุแล้วกลับประเทศต้นทาง หรือดำเนินการตามกฎหมาย เพื่อไม่ให้กลายเป็นแรงงานผิดกฎหมายและอาจส่งผลกระทบด้านความมั่นคง (๒) ให้แรงงานต่างด้าวและผู้ติดตามทุกคน ต้องมีหลักฐานการประกันสุขภาพ และผลการตรวจสุขภาพที่ดำเนินการโดยกระทรวงสาธารณสุข หรือสำนักงานประกันสังคม โดยการคุ้มครองไม่น้อยกว่าระยะเวลาที่อนุญาตให้ทำงานและพำนักชั่วคราวอยู่ในประเทศไทย ก่อนออกใบอนุญาตให้ทำงาน และ (๓) การนำเทคโนโลยีมาใช้ทดแทนแรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว และเมียนมาเพื่อแก้ไขปัญหาการลักลอบหลบหนีเข้าเมืองอย่างยั่งยืนต่อไป เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๖. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรดำเนินการผลักดันและเร่งรัดการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวให้อยู่ภายใต้ระบบการนำเข้าภายใต้ข้อตกลง (MoU) หรือบันทึกความเข้าใจเป็นหลัก เพื่อให้การบริหารจัดการเป็นไปอย่างมีเอกภาพ รวมทั้งควรมีระบบการติดตามและประเมินผล เพื่อให้แรงงานต่างด้าวกลุ่มดังกล่าวเข้าสู่ระบบ เพื่อให้ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12556 | ขอความเห็นชอบการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตซอลนักเรียนอายุไม่เกิน 18 ปี ชิงชนะเลิศแห่งเอเชีย ครั้งที่ 1 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ณ กรุงเทพมหานคร ในปี 2562 | กก | 20/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตซอลนักเรียนอายุไม่เกิน ๑๘ ปี ชิงชนะเลิศแห่งเอเชีย ครั้งที่ ๑ และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยกรมพลศึกษา ระหว่างวันที่ ๒๕ สิงหาคม-๒ กันยายน ๒๕๖๒ ณ กรุงเทพมหานคร โดยใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยกรมพลศึกษา จำนวน ๗,๘๖๐,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ ประมาณการรายรับจากการเก็บค่าธรรมเนียมเข้าร่วมการแข่งขัน จำนวน ๔๓๑,๖๔๐ บาท จะส่งคืนคลังเป็นรายได้แผ่นดินต่อไป ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ และให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาจัดทำแผนการพัฒนาการพัฒนาศักยภาพนักกีฬาฟุตซอลในระดับนักเรียนให้สามารถต่อยอดไปสู่การเป็นนักกีฬาเพื่อความเป็นเลิศและนักกีฬาอาชีพในระยะยาว รวมถึงควรมีแนวทางการส่งเสริมให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมสนับสนุนการจัดการแข่งขัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12557 | การดำเนินการแก้ไขและบรรเทาปัญหาภัยแล้งและอุทกภัย | นร | 20/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพหลักรับเรื่อง การดำเนินการแก้ไขและบรรเทาปัญหาภัยแล้วและอุทกภัยไปบูรณาการร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดเตรียมมาตรการ แผนงาน/โครงการต่าง ๆ ที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว เพื่อแก้ไขและบรรเทาปัญหาดังกล่าวในจังหวัดต่าง ๆ โดยให้หารือในรายละเอียดเกี่ยวกับงบประมาณค่าใช้จ่ายกับสำนักงบประมาณ และให้เสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12558 | คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี | นร04 | 20/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๑๙๖/๒๕๖๒ เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๖๒ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12559 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่าย เพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โครงการระบบดาวเทียมสำรวจเพื่อการพัฒนา (THEOS - 2) รายการจัดหาระบบดาวเทียมสำรวจ ระบบภาคพื้นดิน และระบบแอพพลิเคชั่นภูมิสารสนเทศ | อว | 20/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้ขยายเวลาเบิกจ่ายเงินงบประมาณถังวันทำการสุดท้ายของเดือนกันยายน ๒๕๖๒ แล้ว จำนวน ๖๖๓,๔๘๐,๐๐๐.๐๐ บาท เพื่อชำระเงินตามสัญญาจ้างโครงการจัดหาระบบดาวเทียมสำรวจเพื่อการพัฒนา (THEOS-2) รายการค่าจัดหาระบบดาวเทียมสำรวจ ระบบภาคพื้นดิน และระบบแอพพลิเคชันภูมิสารสนเทศ งวดงานที่ ๖ ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงการอุมดศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12560 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สองของปี 2562 และแนวโน้มปี 2562 | นร11 | 20/08/2562 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สองของปี ๒๕๖๒ และแนวโน้มปี ๒๕๖๒ โดยภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สองของปี ๒๕๖๒ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในไตรมาสที่สองของปี ๒๕๖๒ ขยายตัวร้อยละ ๒.๓ เทียบกับการขยายตัวร้อยละ ๒.๘ ในไตรมาสก่อนหน้า และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สองของปี ๒๕๖๒ ขยายตัวจากไตรมาสแรกของปี ๒๕๖๒ ร้อยละ ๐.๖ (QoQ_SA) รวมครึ่งแรกของปี ๒๕๖๒ เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ ๒.๖ สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี ๒๕๖๒ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๒.๗-๓.๒ โดยมีแรงสนับสนุน ประกอบด้วย (๑) แนวโน้มการขยายตัวในเกณฑ์ดีของอุปสงค์ภายในประเทศในช่วงครึ่งหลังของปี ทั้งด้านการใช้จ่ายภาคครัวเรือน และการลงทุนภาคเอกชน (๒) แนวโน้มการปรับตัวดีขึ้นอย่างช้า ๆ ของการส่งออกในช่วงครึ่งปีหลัง ตามการปรับตัวของภาคการผลิตและส่งออกต่อมาตรการกีดกันทางการค้าที่คาดว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้น (๓) การดำเนินมาตรการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภาครัฐ และ (๔) ฐานการขยายตัวที่อยู่ในระดับต่ำซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนเพิ่มเติมให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจเร่งตัวขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
|
.....