ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 624 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 12461 - 12480 จากข้อมูลทั้งหมด 123961 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
12461 | สรุปผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน สมัยพิเศษ เรื่องการเจรจา RCEP ณ กรุงเทพฯ | พณ | 09/07/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน สมัยพิเศษ เพื่อหารือความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Special ASEAN Economic Ministers’ Meeting on RCEP) เมื่อวันที่ ๒๑-๒๒ มิถุนายน ๒๕๖๒ ในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๓๔ ณ กรุงเทพมหานคร โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นางสาวชุติมา บุณยประภัสร) รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เข้าร่วมในฐานะประธานการประชุม ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมเห็นพ้องที่จะเร่งรัดสรุปผลการเจรจา RCEP ให้ได้ภายในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๒ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับการค้าระหว่างประเทศของอาเซียน โดยมีเป้าหมายที่จะสรุปผลการเจรจาเปิดตลาดและจัดทำข้อบทให้ได้ทั้งหมด และหลังจากนั้นแต่ละประเทศจะดำเนินกระบวนการภายในประเทศเพื่อให้มีการลงนามความตกลงฯ ในปี ๒๕๖๓ และเมื่อ RCEP มีผลใช้บังคับแล้ว จึงจะพร้อมเปิดรับสมาชิกใหม่ นอกจากนี้ ที่ประชุมมอบให้ไทยในฐานะประธานอาเซียนร่วมกับสำนักเลขาธิการอาเซียน และอินโดนีเซียในฐานะประเทศผู้ประสานงานการเจรจาความตกลง RCEP รวมเป็นกลุ่มผู้ประสานงานฝ่ายอาเซียน (TROIKA) ร่วมหารือกับอินเดียเพื่อให้การเจรจา RCEP บรรลุเป้าหมายภายในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๒ ๒. ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าการประชุมคณะกรรมการเจรจาจัดทำความตกลง RCEP (RCEP-TNC) ในเรื่องภาคผนวกบริการโทรคมนาคม และภาคผนวกบริการการเงิน โดยคาดว่าจะสามารถหาข้อสรุปได้ในการประชุม RCEP-TNC ครั้งที่ ๒๖ ในวันที่ ๒๕ มิถุนายน-๓ กรกฎาคม ๒๕๖๒ ณ เมืองเมลเบิร์น เครือรัฐออสเตรเลีย ๓. ที่ประชุมมอบนโยบายให้สมาชิกอาเซียนระดับเจ้าหน้าที่ร่วมหารือเกี่ยวกับท่าทีร่วมของอาเซียนในประเด็นสำคัญเพื่อใช้พบหารือกับคู่เจรจา ๖ ประเทศ (ออสเตรเลีย จีน ญี่ปุ่น อินเดีย เกาหลีใต้ และนิวซีแลนด์) อาทิ กฎถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้า (PSRs) และการลงทุน ๔. รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นางสาวชุติมา บุณยประภัสร) ได้หารือทวิภาคีกับรัฐมนตรี ๔ ประเทศ (เวียดนาม สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย) ซึ่งทุกประเทศยังคงยืนยันเจตนารมณ์ที่ต้องการให้สรุปผลการเจรจา RCEP ในปี ๒๕๖๒ โดยอินโดนีเซียขอให้ไทยพิจารณาแก้ไขมาตรการนำเข้ากาแฟที่เป็นอุปสรรคต่อการค้า ซึ่งไทยแจ้งว่าทั้งสองประเทศมีสินค้าพืชสวนหลายชนิดที่ประสบปัญหาการส่งออกไปยังอีกฝ่าย จึงควรตกลงให้มีการจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจ (Taskforce) เพื่อหารือแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกันต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12462 | รายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินของสถาบันการบินพลเรือน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2561 | คค | 09/07/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงินของสถาบันการบินพลเรือน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๑ ซึ่งประกอบด้วย งบแสดงฐานะทางการเงิน งบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จ และงบกระแสเงินสด โดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบแล้วและเห็นว่ารายงานดังกล่าวถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้ ในปีต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงคมนาคม โดยสถาบันการบินพลเรือนเร่งรัดการจัดทำรายงานผลการสอบบัญชีเสนอต่อคณะกรรมการสถาบันการบินพลเรือนให้แล้วเสร็จภายในกรอบระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด (ภายใน ๑๕๐ วัน นับแต่วันสิ้นปีบัญชี) เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12463 | รายงานผลการดำเนินงานประชาสัมพันธ์ของโฆษกกระทรวง โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี และผลการดำเนินงานประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อของกรมประชาสัมพันธ์ ประจำเดือนพฤษภาคม 2562 | นร02 | 02/07/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานประชาสัมพันธ์ของโฆษกกระทรวง โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี และผลการดำเนินงานประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อของกรมประชาสัมพันธ์ ประจำเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๒ และมอบหมายให้โฆษกกระทรวง โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี แถลงข่าวและชี้แจงในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับภารกิจของกระทรวงอย่างรวดเร็วและทันต่อสถานการณ์ ใน ๓ ประเด็น ได้แก่ (๑) การแก้ปัญหาหมอกควันไฟป่า เน้นการประชาสัมพันธ์ในประเด็นการแก้ปัญหาหมอกควันไฟป่า (๒) พระราชพิธีบรมราชาภิเษก เน้นการประชาสัมพันธ์งานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก และ (๓) มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและลดความเหลื่อมล้ำ เน้นการประชาสัมพันธ์ในมาตรการพยุงเศรษฐกิจในช่วงกลางปี ๒๕๖๒ และมาตรการลดภาระค่าธรรมเนียมสำหรับการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม กรณีอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ในฐานะประธานกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12464 | รายงานผลการดำเนินงานของระบบประกันภัยและพัฒนาการที่สำคัญ รอบ 12 เดือน ปี 2561 | กค | 02/07/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินงานของระบบประกันภัยและพัฒนาการที่สำคัญ รอบ ๑๒ เดือน ปี ๒๕๖๑ ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับ (๑) ภาพรวมธุรกิจประกันภัยของไทย รอบ ๑๒ เดือน ปี ๒๕๖๑ (๒) ผลการดำเนินงานที่สำคัญตามนโยบายรัฐบาลของสำนักงาน คปภ. และนโยบายที่กำหนดโดย คปภ. ภายใต้แผนพัฒนาการประกันภัย ฉบับที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๓) ใน ๔ ยุทธศาสตร์หลัก ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ การเพิ่มศักยภาพอุตสาหกรรมประกันภัย ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การเสริมสร้างความรู้และการเข้าถึงการประกันภัย ยุทธศาสตร์ที่ ๓ การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการแข่งขัน และยุทธศาสตร์ที่ ๔ การเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านการประกันภัย (๓) ผลการดำเนินงานตามตัวชี้วัดสำนักงาน คปภ. รอบ ๑๒ เดือน ปี ๒๕๖๑ และ (๔) ผลการสำรวจความพึงพอใจของผู้ใช้บริการกับสำนักงาน คปภ. รอบ ๑๒ เดือน ปี ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังกำกับสำนัก คปภ. เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาภายใต้ตัวชี้วัดระดับความสำเร็จของการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ด้านทรัพยากรบุคคล ระยะ ๓ ปี และระดับความสำเร็จของการดำเนินงานตามแผนพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ฉบับที่ ๒ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม และนำผลการดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวเสนอต่อคณะรัฐมนตรีในรายงานผลการดำเนินงานของระบบประกันภัยและพัฒนาการที่สำคัญ รอบ ๑๒ เดือน ปี ๒๕๖๒ ต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12465 | แจ้งผลคำพิพากษาศาลปกครองกลาง ในคดีหมายเลขดำที่ บ.92/2558 คดีหมายเลขแดงที่ บ.119/2562 ระหว่าง นายกฤต ธนิศราพงศ์ ฟ้องคณะรัฐมนตรี ที่ 3 กับพวกรวม 3 คน ต่อศาลปกครองกลาง เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งศาลปกครองกลางมีคำพิพากษายกฟ้อง | นร05 | 02/07/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำพิพากษาศาลปกครองกลาง ในคดีหมายเลขดำที่ บ. ๙๒/๒๕๕๘ คดีหมายเลขแดงที่ บ.๑๑๙/๒๕๖๒ ระหว่างนายกฤต ธนิศราพงศ์ ผู้ฟ้องคดี คณะรัฐมนตรี ที่ ๓ กับพวกรวม ๓ คน ผู้ถูกฟ้องคดีต่อศาลปกครองกลาง เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งศาลปกครองกลางมีคำพิพากษายกฟ้อง ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12466 | การแต่งตั้งผู้แทนไทยในคณะกรรมาธิการอาเซียนว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิสตรีและสิทธิเด็ก ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิเด็ก | พม | 02/07/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการแต่งตั้ง นายวันชัย รุจนวงศ์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้แทนไทยในคณะกรรมาธิการอาเซียนว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิสตรีและสิทธิเด็ก ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิเด็ก เป็นวาระที่ ๒ ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒ กรกฎาคม ๒๕๖๒) เป็นต้นไป จนถึงวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๖๕ ๒. ในครั้งต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เร่งรัดการดำเนินการเสนอเรื่องแต่งตั้งผู้แทนไทยในคณะกรรมาธิการอาเซียนว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิสตรีและสิทธิเด็ก ให้สอดคล้องกับระยะเวลาการดำรงตำแหน่งในแต่ละวาระ เพื่อให้ผู้ดำรงตำแหน่งสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างต่อเนื่องด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12467 | รายงานผลการดำเนินการตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี เรื่อง ขอความเห็นชอบการปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2560 เรื่อง การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2555 เรื่อง การให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นในสัดส่วนของรัฐบาลไทยในโครงการอาเซียนโปแตช (ประเทศไทย) | กค | 02/07/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงการคลังพิจารณาทบทวนเรื่อง รายงานผลการดำเนินการตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี เรื่อง ขอความเห็นชอบการปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๖๐ เรื่อง การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๕ เรื่อง การให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นในสัดส่วนของรัฐบาลไทยในโครงการอาเซียนโปแตช (ประเทศไทย) อีกครั้งหนึ่ง ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงพาณิชย์และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เช่น การกำหนดนิยามของรัฐบาลประเทศเจ้าของโครงการอาเซียนโปแตช (ประเทศไทย) ตามข้อ ๓ ใน Basic Agreement ให้หมายความรวมถึงบริษัทที่จดทะเบียน (บริษัทเอกชนที่จดทะเบียนในประเทศไทย) และกองทุนที่จัดตั้งตามมติคณะรัฐมนตรีและกฎหมาย เพื่อให้สามารถนำกรอบการเจรจาไปหารือกับประเทศสมาชิกภาคีให้ได้ข้อสรุปการดำเนินการตามข้อ ๑๔ ใน Basic Agreement ที่ชัดเจน และให้กระทรวงการคลังรายงานผลการหารือมารายงานต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป (๒) หาก Contracting State ของแต่ละประเทศสมาชิกภาคี มีความเห็นว่าการถือหุ้นในสัดส่วนของรัฐบาลอาจไม่ครอบคลุมถึงบริษัทที่จดทะเบียน (บริษัทเอกชนที่จดทะเบียนในประเทศไทย) และกองทุนที่จัดตั้งตามมติคณะรัฐมนตรีและกฎหมาย เห็นควรให้หารือประเด็นในการปรับปรุงแก้ไขสัดส่วนการถือครองหุ้นในส่วนของรัฐบาลของประเทศเจ้าของโครงการ ตามข้อ ๓ ใน Basic Agreement และให้กระทรวงการคลังนำผลการหารือดังกล่าวมารายงานต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป และ (๓) ให้กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการหารือตามข้อ ๑๔ ใน Basic Agreement เพื่อกำหนดให้นิยามของรัฐบาลประเทศเจ้าของโครงการ ตามข้อ ๓ ใน Basic Agreement ให้หมายความรวมถึงบริษัทที่จดทะเบียน (บริษัทเอกชนที่จดทะเบียนในประเทศไทย) และกองทุนที่จัดตั้งตามมติคณะรัฐมนตรีและกฎหมาย เพื่อให้สามารถช่วยแก้ไขปัญหาสภาพคล่องและสนับสนุนการดำเนินโครงการ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12468 | การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เรื่อง การต่อต้านการก่อการร้ายที่ 2462 (ค.ศ. 2019) | กต | 02/07/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบและรับรองการดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council : UNSC) เรื่อง การต่อต้านการก่อการร้ายที่ ๒๔๖๒ (ค.ศ. ๒๐๑๙) ที่ได้รับการรับรองเมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๖๒ ซึ่งเป็นข้อมติ UNSC ฉบับที่ ๒๕ เพื่อตอบสนองต่อการก่อการร้ายที่เปลี่ยนแปลงไปและเป็นภัยคุกคามต่อสันติภาพและความมั่นคง เช่น การใช้อินเทอร์เน็ตและเครือข่ายสังคมออนไลน์เป็นเครื่องมือเผยแพร่แนวคิดก่อการร้าย หาสมาชิก ระดมทุน และวางแผนการก่อการร้ายมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยข้อมติฯ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดมาตรการต่าง ๆ เพื่อให้ประเทศไทยในฐานะรัฐสมาชิกจะต้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องภายใต้ขอบเขตของกฎหมายภายในของประเทศไทยและพันธกรณีระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการยกระดับมาตรการป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่ผู้ก่อการร้ายในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การกำหนดความผิดทางอาญาที่รุนแรงสำหรับการดำเนินคดีและลงโทษที่เกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อม การเรียกร้องให้รัฐสมาชิกพิจารณาเปิดเผยบัญชีการอายัดทรัพย์สินระดับชาติหรือระดับภูมิภาคต่อสาธารณะ การผลักดันให้รัฐสมาชิกมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการดำเนินการและปรับปรุงบัญชีมาตรการลงโทษกลุ่ม ISIL (Da’esh) และกลุ่ม Al-Qaida ให้ทันสมัย และการผลักดันให้รัฐสมาชิกจัดตั้งหรือยกระดับกรอบการทำงานระดับชาติที่อนุญาตให้หน่วยงานระดับชาติที่เกี่ยวข้องสามารถรวบรวมหรือแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับการสนับสนุนทางการเงินแก่ผู้ก่อการร้าย เป็นต้น ๒. มอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทย และสำนักงานอัยการสูงสุด ถือปฏิบัติและแจ้งผลการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง หรือข้อขัดข้องหรืออุปสรรคในการปฏิบัติตามข้อมติดังกล่าวให้กระทรวงการต่างประเทศทราบ เพื่อประโยชน์ในการรายงานต่อสหประชาชาติต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12469 | ขออนุมัติงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น และขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายจ่ายประจำปีงบประมาณ เพื่อดำเนินการจ้างที่ปรึกษาเพื่อออกแบบรายละเอียดงานโยธาโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนในการพัฒนาระบบรถไฟฟ้าความเร็วสูงเพื่อการเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร - หนองคาย ระยะที่ 2 (ช่วงนครราชสีมา - หนองคาย) | คค | 02/07/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินการจ้างที่ปรึกษาเพื่อออกแบบรายละเอียดงานโยธาโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการพัฒนาระบบรถไฟฟ้าความเร็วสูงเพื่อการเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย ระยะที่ ๒ (ช่วงนครราชสีมา-หนองคาย) ระยะเวลาดำเนินการ ๑๙ เดือน ในวงเงิน ๗๕๑,๖๒๔,๘๐๐ บาท ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สำหรับงบประมาณที่จะนำมาใช้จ่ายเพื่อการดังกล่าว ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้ขยายระยะเวลาเบิกจ่ายถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนกันยายน ๒๕๖๒ จำนวน ๑๑๒,๗๔๓,๗๐๐ บาท ให้ รฟท. โดยเบิกจ่ายในงบรายจ่ายอื่น ลักษณะงบลงทุน ส่วนที่เหลือ จำนวน ๖๓๘,๘๘๑,๑๐๐ บาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๔ โดยให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป การดำเนินการรายการดังกล่าว ให้ รฟท. ขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบความเหมาะสมของราคาก่อนทำสัญญาก่อหนี้ผูกพันตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรดำเนินการอย่างรอบคอบและรัดกุม และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่จำเป็นเพื่อให้สาธารณชนรับทราบอย่างทั่วถึง และเพื่อแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลดำเนินโครงการด้วยความโปร่งใส เหมาะสม และคุ้มค่า นอกจากนี้ ควรเร่งพิจารณากำหนดขนาดและจำนวนทางรถไฟบนสะพานรถไฟแห่งใหม่ (ไทย-ลาว) รวมทั้งช่วงระยะเวลาที่เหมาะสมในการลงทุนโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนในการพัฒนาระบบรถไฟฟ้าความเร็วสูงเพื่อการเชื่อมโยงภูมิภาค ช่วงกรุงเทพมหานคร-หนองคาย ระยะที่ ๒ (ช่วงนครราชสีมา-หนองคาย) กับโครงการรถไฟทางคู่ ช่วงขอนแก่น-หนองคาย ซึ่งปัจจุบัน รฟท. อยู่ระหว่างเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติโครงการดังกล่าว เพื่อให้การลงทุนพัฒนาระบบรถไฟของประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและก่อให้เกิดผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12470 | ขอความเห็นชอบการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุน ตามพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 รวม 4 ฉบับ | คค | 02/07/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุน ตามพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. ๒๕๖๒ รวม ๔ ฉบับ ระหว่างบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) ผู้ประกอบการเอกชนที่ได้รับสิทธิในการดำเนินโครงการคลังสินค้า โครงการอุปกรณ์บริการภาคพื้นและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการซ่อมบำรุง และโครงการครัวการบิน ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้แก่ บริษัท ดับบลิวเอฟเอสพีจีคาร์โก้ จำกัด (WRS-PG CARGO Co., Ltd. : WFSPG) บริษัท บริการภาคพื้นการบินกรุงเทพเวิลด์ไวด์ไฟลท์เซอร์วิส จำกัด (Worldwide Flight Services Bangkok Air Ground Handling Co., Ltd. : BFS) บริษัท ครัวการบินกรุงเทพ จำกัด (Bangkok Air Catering Co., Ltd : BAC) และบริษัท แอลเอสจี สกายเซฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด [LSG Sky Chefs (Thailand) Ltd. : LSG] มีสาระสำคัญเพื่อเป็นการบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบทางการเมืองภายในประเทศอันนำไปสู่การปิดท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ช่วงระหว่างเดือนเมษายน-ธันวาคม ๒๕๕๓ (ระยะเวลา ๙ เดือน) ตามมติคณะกรรมการ ทอท. ในคราวประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ (เพิ่มเติม) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคม โดย ทอท. รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและข้อสังเกตของกระทรวงการคลังที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการกำหนดกลไกการบริหารสัญญาที่มีความยืดหยุ่นเพียงพอที่จะกำกับให้มูลค่าของกรอบวงเงินความช่วยเหลือตามมาตรการต่าง ๆ ให้อยู่ภายใต้กรอบมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง และควรตรวจสอบมูลค่าความช่วยเหลือที่จำเป็นโดยรอบคอบและเหมาะสมเพื่อรักษาผลประโยชน์ของ ทอท. และดำเนินการตามกฎหมายและมติคณะรัฐมนตรีให้ครบถ้วนด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. ในกรณีที่กระทรวงคมนาคม โดย ทอท. เห็นควรให้มีการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนอื่นที่อาจกระทบต่อรายได้ของ ทอท. ซึ่งเป็นผลประโยชน์ของชาติ ให้กระทรวงคมนาคม โดย ทอท. นำเสนอแนวทาง/มาตรการเรื่องดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อนที่จะดำเนินการตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12471 | ขอความเห็นชอบวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2563 ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพและการรถไฟแห่งประเทศไทย | กค | 02/07/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบกรอบวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๓ ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) จำนวน ๑,๗๗๕.๖๕๓ ล้านบาท และของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จำนวน ๓,๒๓๘.๖๘๒ ล้านบาท ตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ในคราวประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๖๒ ทั้งนี้ ให้ ขสมก. และ รฟท. รายงานให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ทราบในโอกาสแรกด้วย เพื่อสำนักงานเศรษฐกิจการคลังจะได้จัดเก็บข้อมูลยอดคงค้างให้เป็นไปตามข้อเท็จจริงต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคม โดย ขสมก. รับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า ในการดำเนินการดังกล่าวต้องคำนึงถึงประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ ความคุ้มค่า และภาระการเงินการคลังที่เกิดขึ้นอย่างรอบคอบ รวมทั้งเป็นไปอย่างโปร่งใสและตรวจสอบได้ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ อย่างเคร่งครัดด้วย และให้ ขสมก. และ รฟท. ดำเนินงานตามแผนฟื้นฟูกิจการ โดยเฉพาะการปรับโครงสร้างองค์กรและการบริหารจัดการ และการแก้ไขปัญหาหนี้สิน ตลอดจนการลงทุนโครงการต่าง ๆ ให้แล้วเสร็จตามแผน เพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ของการลงทุนและสามารถสร้างรายได้ที่จะช่วยบรรเทาปัญหาฐานะทางการเงินขององค์กรได้อีกทางหนึ่ง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย ขสมก. และ รฟท. เร่งจัดทำต้นทุนมาตรฐานเพื่อใช้ในการกำกับดูแลอัตราค่าโดยสารและคุณภาพการให้บริการให้แล้วเสร็จโดยด่วน เพื่อนำข้อมูลต้นทุนมาตรฐานดังกล่าวมาใช้ประกอบการพิจารณาจัดสรรเงินอุดหนุนบริการสาธารณะของคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๖๑ (เรื่อง ขอความเห็นชอบวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพและการรถไฟแห่งประเทศไทย) ต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ จัดทำคู่มือในการขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะให้กับกระทรวงคมนาคม โดย ขสมก. และ รฟท. เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะในปีต่อ ๆ ไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12472 | สรุปผลการประชุมระดับรัฐมนตรี เรื่อง Oceans Meeting 2019 | คค | 02/07/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมระดับรัฐมนตรีของการประชุมมหาสมุทร (Oceans Meeting 2019) ระหว่างวันที่ ๑๔-๑๙ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ณ กรุงลิสบอน สาธารณรัฐโปรตุเกส ซึ่งที่ประชุมฯ ได้หารือเกี่ยวกับแนวทางและข้อริเริ่มที่เป็นรูปธรรมเพื่อเร่งรัดให้การกำกับดูแลมหาสมุทรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งกระทรวงคมนาคมได้มีข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะเพิ่มเติมในประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ (๑) ท่าทีของไทยในการประชุมรัฐภาคีแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ ๒๕ (The 25th session of the Conference of the Parties to the UNFCCC : COP 25) ณ กรุงซานติอาโก สาธารณรัฐชิลี ซึ่งจะเป็นเวทีผลักดันกติกาและข้อตกลงที่เข้มข้นในประเด็นผลที่เกิดขึ้นจากการดำเนินมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ โดยประเทศไทยควรแสดงท่าทีในการประชุมอย่างเหมาะสมและต้องประเมินผลกระทบของกติกาโลกโดยคำนึงถึงความพร้อมของประเทศเป็นสำคัญ (๒) การประเมินผลเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่ ๑๔ (Sustainable Development Goal : SDG 14) ในด้านต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น ประสิทธิภาพและประสิทธิผลของมาตรการต่าง ๆ ระดับความตระหนักรู้ของภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ผลงานและความก้าวหน้าทางวิชาการหรือนวัตกรรม ระดับของการบูรณาการข้อมูลข่าวสาร รวมถึงความพร้อมในการสนับสนุนทางการเงินและวิชาการ และ (๓) ประเทศไทยควรมีกลไกและกรอบการบูรณาการระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ประโยชน์ทางทะเลในเขตเศรษฐกิจจำเพาะ (Exclusive Economic Zone : EEZ) เช่น กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมเจ้าท่า ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล และการประกาศพื้นที่คุ้มครองทางทะเล (Marine Protected Area : MPA) โดย MPA เป็นมาตรการที่ประเทศต่าง ๆ นำมาใช้อย่างแพร่หลายในการจัดการสภาพแวดล้อมทางทะเลในเชิงพื้นที่ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้กระทรวงกลาโหม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงคมนาคม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12473 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานแม่น้ำน้อย เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ (ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. ....) | กษ | 02/07/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทาน เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานแม่น้ำน้อย เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ทางน้ำชลประทานแม่น้ำน้อย จากกิโลเมตรที่ ๑๒๗.๒๐๐ ประตูระบายน้ำผักไห่ ในท้องที่ตำบลบ้านใหญ่ อำเภอผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ถึงกิโลเมตรที่ ๑๔๔.๑๘๐ ในท้องที่ตำบลเสนา อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน ๒. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ทางน้ำชลประทานแม่น้ำเจ้าพระยา จากกิโลเมตรที่ ๗๙.๐๐๐ ในท้องที่ตำบลโกรกพระ และตำบลยางตาล อำเภอโกรกพระ จังหวัดนครสวรรค์ ถึงกิโลเมตรที่ ๙๘.๐๐๐ ในท้องที่ตำบลปากน้ำโพ อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12474 | แต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นางสุวรีย์ ใจหาญ) | พม | 02/07/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสุวรีย์ ใจหาญ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาวิชาการพัฒนาสังคม (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ตั้งแต่วันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๖๒ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12475 | ขออนุมัติขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและวงเงิน กรณีการต่อสัญญาเช่าอาคารบ้านพักผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานการค้าและเศษฐกิจไทย ณ เมืองไทเป | กต | 02/07/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๓ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๕ รายการค่าเช่าอาคารบ้านพักผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานการค้าและเศรษฐกิจไทย ณ เมืองไทเป วงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาสัญญาเช่าทั้งสิ้น ๒๐,๙๘๘,๐๐๐ บาท หรือไม่เกินวงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาเช่าตามสกุลเงินท้องถิ่นกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน ตามนัยมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ จำนวน ๑,๗๔๙,๐๐๐ บาท เห็นควรให้ใช้จ่ายจากโครงการภารกิจทีมประเทศไทยเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ งบดำเนินงาน รายการค่าเช่าอาคารสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ ๑๙ แห่ง ซึ่งได้ตั้งงบประมาณรองรับไว้แล้ว ส่วนค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป เห็นควรให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม สอดคล้องกับค่าเช่าที่จะต้องจ่ายจริงต่อไป โดยค่าเช่าอาคารที่ขออนุมัติครั้งนี้วงเงินงบประมาณผูกพันข้ามปีส่วนที่เพิ่มขึ้นอยู่ในกรอบสัดส่วนการก่อหนี้ผูกพันเกินกว่าหรือนอกเหนือไปจากที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่ายที่กำหนดไว้ว่าต้องไม่เกินร้อยละแปดของงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามประกาศคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เรื่อง กำหนดสัดส่วนต่าง ๆ เพื่อเป็นกรอบวินัยการเงินการคลังของรัฐ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒ ๒. การเช่าอาคารดังกล่าว กระทรวงการต่างประเทศจะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการเป็นสำคัญ รวมถึงการใช้จ่ายเงินสำหรับการดำเนินธุรกิจดังกล่าวจะต้องเป็นไปอย่างโปร่งใส คุ้มค่า และประหยัด โดยพิจารณาเป้าหมาย ประโยชน์ที่ได้รับ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์ในการบริหารจัดการภาครัฐอย่างยั่งยืน ตามนัยของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12476 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ (นักวิเคราะห์งบประมาณทรงคุณวุฒิ) (นายเสนีย์ ชีพทองคำ) | นร07 | 02/07/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายเสนีย์ ชีพทองคำ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ (นักวิเคราะห์งบประมาณทรงคุณวุฒิ) สำนักงบประมาณ สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๖๒ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12477 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (นายสราวุธ ชีวะประเสริฐ) | นร | 02/07/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายสราวุธ ชีวะประเสริฐ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์น้ำ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๖๒ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12478 | ขออนุมัติการจ่ายเงินทดแทนการประกันชีวิตย้อนหลังแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เสียชีวิตหรือบาดเจ็บทุพพลภาพถึงขั้นปลดออกจากราชการ เพิ่มเติม | นร01 | 02/07/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการจ่ายเงินทดแทนการประกันชีวิตย้อนหลังให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เสียชีวิตหรือบาดเจ็บทุพพลภาพถึงขั้นปลดออกจากราชการ ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๔๗ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๒ เพิ่มเติม จำนวน ๗๙ ราย รายละ ๕๐๐,๐๐๐ บาท เป็นจำนวนเงิน ๓๙,๕๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีดำเนินการประสานงานกับสำนักงบประมาณในการจ่ายเงินทดแทนการประกันชีวิตดังกล่าวต่อไป ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ๒. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติและสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้และสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี รวมทั้งผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบพื้นที่ร่วมกันตรวจสอบความถูกต้อง ครบถ้วนของเอกสาร หลักฐานต่าง ๆ ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด เพื่อป้องกันความซ้ำซ้อนและสร้างความโปร่งใสในการใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐอย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพ รวมถึงตรวจสอบผู้มีสิทธิได้รับเงินทดแทนการประกันชีวิตเพิ่มเติม จำนวน ๗๙ ราย กับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เสียชีวิตหรือบาดเจ็บทุพพลภาพถึงขั้นปลดออกจากราชการตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๔๗ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๒ จำนวน ๑,๒๒๘ ราย ที่ได้เงินทดแทนการประกันชีวิตย้อนหลังไปก่อนหน้านี้เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนโดยคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของทางราชการ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12479 | สรุปผลการประชุมสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ สมัยที่ 4 | ทส | 02/07/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการเข้าร่วมการประชุมสมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ สมัยที่ ๔ (The fourth session of the United Nations Environment Assembly : UNEA 4) ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๕ มีนาคม ๒๕๖๒ โดยมีนายเชิดเกียรติ อัตถากร เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงไนโรบี และผู้แทนถาวรแห่งประเทศไทยประจำโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ ทำหน้าที่หัวหน้าคณะผู้แทนไทย ซึ่งในที่ประชุมฯ ประเทศสมาชิกได้ร่วมกันรับรองข้อมติ (Resolutions) และข้อตัดสินใจ (Decisions) เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติสำหรับประเทศสมาชิก รวมถึงได้ร่วมกันรับรองปฏิญญาระดับรัฐมนตรี (Ministerial Declaration) ซึ่งเป็นแนวทางการจัดการสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน โดยใช้นวัตกรรมการเปลี่ยนรูปแบบการผลิตและการบริโภคให้ยั่งยืน รวมทั้งการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและการลดมลพิษ และมอบหมายส่วนราชการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและข้อสังเกตของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมที่เห็นควร (๑) มีการจัดการประชุมชี้แจงเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการตามข้อมติของการประชุมฯ และมีระบบติดตามผลการดำเนินงาน รวมทั้งปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้น เพื่อให้การดำเนินงานมีความสอดประสานและบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และ (๒) ในข้อมติ L.3 Promoting sustainable practices and innovative solutions for Curbing Food Loss and Waste เกี่ยวกับการวางแนวทางหรือมาตรการแก้ไขปัญหาและการพัฒนานวัตกรรมเพื่อรองรับข้อมตินี้ ควรพิจารณาการกำหนดให้การรวบรวมข้อมูลเชิงวิชาการในประเทศที่เกี่ยวข้อง สิ่งที่ส่งผลต่อการสูญเสียอาหารและขยะที่เกิดจากอาหาร ตลอดจนการส่งเสริมให้มีการวิจัยเพื่อให้ได้ข้อมูลครบถ้วนขึ้นเป็นประเด็นสำคัญอีกประเด็นหนึ่ง เพื่อให้การวางแนวทางต่าง ๆ เหมาะสมกับบริบทของประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
12480 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานแม่น้ำน้อย เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ (ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานแม่น้ำน้อย เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... ) | กษ | 02/07/2562 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทาน เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานแม่น้ำน้อย เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ทางน้ำชลประทานแม่น้ำน้อย จากกิโลเมตรที่ ๑๒๗.๒๐๐ ประตูระบายน้ำผักไห่ ในท้องที่ตำบลบ้านใหญ่ อำเภอผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ถึงกิโลเมตรที่ ๑๔๔.๑๘๐ ในท้องที่ตำบลเสนา อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน ๒. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ทางน้ำชลประทานแม่น้ำเจ้าพระยา จากกิโลเมตรที่ ๗๙.๐๐๐ ในท้องที่ตำบลโกรกพระ และตำบลยางตาล อำเภอโกรกพระ จังหวัดนครสวรรค์ ถึงกิโลเมตรที่ ๙๘.๐๐๐ ในท้องที่ตำบลปากน้ำโพ อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน
|
.....