ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 426 จากทั้งหมด 6224 หน้า แสดงรายการที่ 8501 - 8520 จากข้อมูลทั้งหมด 124475 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 8501 | แต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (นายจุลพันธ์ ทับทิม) | กษ. | 03/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายจุลพันธ์ ทับทิม เป็นกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร แทนกรรมการอื่นเดิมที่ลาออก
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๓ สิงหาคม ๒๕๖๔) เป็นต้นไป
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 8502 | การประชุมรัฐมนตรีกลุ่มเคร์นสอย่างไม่เป็นทางการ (Informal Gathering of Cairns Group Ministers) | พณ. | 03/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบ (๑)
การเปลี่ยนแปลงชื่อการประชุมจากการประชุมรัฐมนตรีกลุ่มเคร์นส์ ครั้งที่ ๔๒ เป็นการประชุมรัฐมนตรีกลุ่มเคร์นส์อย่างไม่เป็นทางการ
(๒) ผลการประชุมรัฐมนตรีกลุ่มเคร์นส์อย่างไม่เป็นทางการ และ (๓) แถลงการณ์ของรัฐมนตรีกลุ่มเคร์นส์
วันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๖๔ ซึ่งมีผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ (นายสรรเสริญ สมะลาภา)
เป็นหัวหน้าผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุม ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้
ดังนี้ ๑. ที่ประชุมเห็นพ้องว่าการลดการอุดหนุนสินค้าเกษตรที่บิดเบือนการค้า
ควรเป็นผลลัพธ์ด้านการเจรจาสินค้าเกษตรที่ยอมรับได้ในการประชุมรัฐมนตรีองค์การการค้าโลก
ครั้งที่ ๑๒
โดยกรอบการเจรจาเรื่องการอุดหนุนภายในสินค้าเกษตรที่จัดทำโดยกลุ่มเคร์นส์สามารถนำไปเป็นพื้นฐานสำหรับการเจรจาเพื่อลดการอุดหนุนที่บิดเบือนการค้าสำหรับประเทศสมาชิกองค์การการค้าโลกได้
รวมทั้งการให้ความสำคัญกับการปฏิรูปทุกสาขาของการเจรจาสินค้าเกษตรอย่างเท่าเทียม ๒. ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์
(นายสรรเสริญ สมะลาภา) ได้กล่าวถ้อยแถลงเพื่อแสดงเจตนารมณ์ของไทยในการผลักดันให้เกิดการปฏิรูปสินค้าเกษตรภายใต้องค์การการค้าโลก
เช่น การสนับสนุนให้การค้าสินค้าเกษตรเป็นไปอย่างเสรีและเป็นธรรม
ลดการบิดเบือนทางการค้า และการลดอุปสรรคทางการค้า
โดยเฉพาะในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ เป็นต้น และได้เสนอให้สร้างพันธมิตร
“เพื่อนกลุ่มเคร์นส์” เพื่อผลักดันข้อเสนอของกลุ่มให้ได้รับการสนับสนุนมากยิ่งขึ้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 8503 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองโพล้ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... | กษ. | 03/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองโพล้ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองโพล้ ในตำบลท้องที่ควายกิน
อำเภอแกลง จังหวัดระยอง เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทานจากผู้ใช้น้ำที่นำน้ำไปใช้ เพื่อกิจการโรงงาน การประปา
หรือกิจการอื่นนอกจากภาคเกษตรกรรม เพื่อประโยชน์ในการควบคุมดูแลปริมาณน้ำ
และให้การใช้น้ำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ตรวจสอบความถูกต้องของชื่อท้องที่การปกครอง
และแนวเขตการปกครองท้องที่ ตลอดจนตรวจสอบพื้นที่และจุดยึดโยงต่าง ๆให้ถูกต้อง
รวมทั้งแก้ไขชื่อผู้มีอำนาจลงนามให้เป็นปัจจุบันก่อนประกาศใช้บังคับเป็นกฎหมายต่อไปด้วย
และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 8504 | รายงานผลการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทย ประจำปี 2563 | พม. | 03/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทย
ประจำปี ๒๕๖๓ มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ยังคงเป็นหนึ่งในวาระแห่งชาติ
และรัฐบาลไทยเดินหน้าการปฏิรูปการทำงานเพื่อขจัดปัญหาการค้ามนุษย์ทั้งระบบ ประกอบด้วย
การจัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ทั้งระบบเพิ่มขึ้นร้อยละ
๕.๘๕ รวม ๔,๐๒๙.๓๕ ล้านบาท จากปี ๒๕๖๒
ที่มีจำนวน ๓,๘๐๖.๘๒ ล้านบาท และสถิติคดีค้ามนุษย์ลดลง ในปี
๒๕๖๓ มีคดีค้ามนุษย์ จำนวน ๑๓๒ คดี ลดลงต่ำสุดเมื่อเทียบกับในช่วง ๔ ปีที่ผ่านมา
โดยรูปแบบที่พบมากที่สุด คือการแสวงหาประโยชน์ทางเพศ (ค้าประเวณี สื่อลามก
และทางเพศอย่างอื่น) การคุ้มครองช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์และผู้เสียหายจากการบังคับใช้แรงงานหรือบริการอย่างเท่าเทียมตามกฎหมาย
การเตรียมการรับรองดูแลผู้เสียหายที่มีความหลากหลายทางเพศ
การออกกฎหมายลำดับรองตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานในงานประมง พ.ศ. ๒๕๖๒
แนวทางการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว ๓ สัญชาติ (กัมพูชา ลาว เมียนมา)
ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
และกำหนดให้นายจ้างเป็นผู้จ่ายเงินค่าธรรมเนียมการจัดหางานให้กับแรงงานต่างด้าวและห้ามนายจ้างเรียกรับเงินเกี่ยวกับการนำคนต่างด้าวมาทำงานจากคนต่างด้าว
ซึ่งเป็นไปตามพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๖๐
และที่แก้ไขเพิ่มเติม เป็นต้น ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 8505 | รายงานผลการดำเนินงานของระบบประกันภัยและพัฒนาการที่สำคัญ รอบ 12 เดือน ปี 2563 | กค. | 03/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของระบบประกันภัยและพัฒนาการที่สำคัญ
รอบ ๑๒ เดือน ปี ๒๕๖๓ มีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้ ๑)
ภาพรวมธุรกิจประกันภัยเดือนมกราคม-ธันวาคม ปี ๒๕๖๓ มีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรง
รวมทั้งสิ้น ๘๕๒,๗๒๙ ล้านบาท หดตัวร้อยละ ๐.๒๒
เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ๒)
รายงานผลการดำเนินงานที่สำคัญตามนโยบายรัฐบาลของสำนักงาน คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย
(คปภ.) และนโยบายที่กำหนดโดย คปภ. ภายใต้แผนพัฒนาการประกันภัย ฉบับที่ ๓ (พ.ศ.
๒๕๕๙-๒๕๖๓) ประกอบด้วย ๔ ยุทธศาสตร์ชาติ ได้แก่
การเพิ่มศักยภาพอุตสาหกรรมประกันภัย การเสริมสร้างความรู้และการเข้าถึงประกันภัย
การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการแข่งขัน
การเสริมสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านประกันภัย ๓) รายงานผลการดำเนินงานตามตัวชี้วัดของสำนักงาน
คปภ. รอบ ๑๒ เดือน ปี ๒๕๖๓ เป็นการประเมินผลการดำเนินงานตามมาตรการและแผนการดำเนินงานในปี
๒๕๖๓ ของสำนักงาน คปภ. ประกอบด้วย ๑๖ ตัวชี้วัด มีค่าคะแนนเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักรวมอยู่ที่
๔.๖๒๕ จากคะแนนเต็ม ๕ และ ๕)
รายงานผลการสำรวจความพึงพอใจของผู้ใช้บริการกับสำนักงาน คปภ. รวม ๑๒ เดือน ปี ๒๕๖๓
มีระดับความพึงพอใจภาพรวมอยู่ที่พึงพอใจมากที่สุด คือ อยู่ที่ร้อยละ ๙๒.๒๐
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 8506 | ข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 29) | นร.05 | 03/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อกำหนดออกตามความในมาตรา ๙ แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน
พ.ศ. ๒๕๔๘ (ฉบับที่ ๒๙) มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดมาตรการห้ามผู้ใดเสนอข่าว
จำหน่าย หรือทำให้แพร่หลายซึ่งหนังสือ สิ่งพิมพ์ หรือสื่ออื่นใดที่มีข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว
หรือเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร
ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉินจนกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ
หรือความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนในเขตพื้นที่ที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน
และในกรณีที่มีการฝ่าฝืนในอินเทอร์เน็ต ให้สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง
กิจการโทรทัศน์
และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติแจ้งผู้รับใบอนุญาตการให้บริการอินเทอร์เน็ตเพื่อตรวจสอบและระงับการให้บริการอินเทอร์เน็ตแก่เลขที่อยู่ไอพี
(IP address) นั้นทันที
และส่งรายละเอียดดังกล่าวให้แก่สำนักงานตำรวจแห่งชาติโดยเร็วเพื่อดำเนินคดีต่อไป
โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๔ เป็นต้นไป ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ฉบับประกาศและงานทั่วไป เล่ม ๑๓๘ ตอนพิเศษ ๑๗๐ ง วันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๖๔
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 8507 | ข้อกำหนดและคำสั่งที่ออกตามความในมาตรา 7 และมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 รวม 3 ฉบับ | นร.05 | 03/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อกำหนดออกตามความในมาตรา ๗ และมาตรา ๙ แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ รวม ๓ ฉบับ ดังนี้ ๑. ข้อกำหนดออกตามความในมาตรา
๙ แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ (ฉบับที่ ๓๐) มีสาระสำคัญเป็นการปรับการบังคับใช้มาตรการต่อกลุ่มบุคคล
สถานที่ และกิจการที่เกี่ยวข้อง เพื่อลดผลกระทบต่อประชาชนทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม
ได้แก่ การปรับปรุงเขตพื้นที่จังหวัดตามพื้นที่สถานการณ์
การขยายเวลาการบังคับใช้มาตรการสำหรับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด
การปรับมาตรการควบคุมแบบบูรณาการเร่งด่วนสำหรับสถานที่ กิจการ หรือ
กิจกรรมที่มีความเสี่ยง เช่น การเปิดร้านจำหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่มที่ตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้า
ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์
หรือสถานประกอบกิจการอื่นที่มีลักษณะคล้ายกันเฉพาะในเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดได้จนถึงเวลา
๒๐.๐๐ น. ผ่านการบริการขนส่งอาหาร (Food Delivery Service) เท่านั้น
การกำหนดให้กลุ่มแรงงานก่อสร้างในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร
และปริมณฑลสามารถเปิดหรือดำเนินการได้ภายใต้หลักเกณฑ์ มาตรการ
และแนวทางการกำกับติดตามประเมินผลที่กระทรวงสาธารณสุขหรือทางราชการกำหนด เป็นต้น ๒. คำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (โควิด-19) ที่ ๑๑/๒๕๖๔ เรื่อง พื้นที่สถานการณ์ที่กำหนดเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด
พื้นที่ควบคุมสูงสุดและพื้นที่ควบคุม ตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา ๙ แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน
พ.ศ. ๒๕๔๘
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดระดับของพื้นที่สถานการณ์เพื่อการบังคับใช้มาตรการควบคุมแบบบูรณาการ
ได้แก่ พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด รวมทั้งสิ้น ๒๙ จังหวัด พื้นที่ควบคุมสูงสุด
รวมทั้งสิ้น ๓๗ จังหวัด และพื้นที่ควบคุม รวมทั้งสิ้น ๑๑ จังหวัด ๓. คำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ ๑๓/๒๕๖๔
เรื่องการจัดโครงสร้างศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (โควิด-19) เพิ่มเติม (ฉบับที่ ๖)
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ศูนย์ปฏิบัติการด้านการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับการสื่อสารในอินเทอร์เน็ตเป็นโครงสร้างภายในของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19
โดยมีเลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์
และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เป็นหัวหน้าศูนย์ และผู้ปฏิบัติงานในศูนย์ดังกล่าวเป็นผู้ปฏิบัติงานในศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ฉบับประกาศและงานทั่วไป เล่ม ๑๓๘ ตอนพิเศษ ๑๗๓ ง วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๔
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 8508 | รายงานกิจการประจำปี งบดุล บัญชีกำไรและขาดทุนของบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย สำหรับงวดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 ถึงวันที่ 23 กันยายน 2563 (วันยุบเลิกบรรษัท) | กค. | 03/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานกิจการประจำปี งบดุล บัญชีกำไรและขาดทุนของบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย
สำหรับงวดตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๓ ถึงวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๓ (วันยุบเลิกบรรษัท) ประกอบด้วย รายงานผลการดำเนินงานปีบัญชี ๒๕๖๓
เปรียบเทียบกับปีบัญชี ๒๕๖๒ ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้รับรองแล้ว และเป็นไปตามพระราชกำหนดบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย
พ.ศ. ๒๕๔๐ มาตรา ๒๖ ทั้งนี้ พระราชบัญญัติยุบเลิกบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย
พ.ศ. ๒๕๖๓ ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว เมื่อวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๓ ซึ่งมีผลให้บรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัยควบรวมกิจการเข้ากับธนาคารอาคารสงเคราะห์แล้ว นับแต่วันที่พระราชบัญญัติดังกล่าวใช้บังคับ
และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ถือเอาวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๓ เป็นวันยุบเลิกบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย
และปิดงบการเงิน ประจำปี ๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้เสนอรัฐสภาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 8509 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) (ศบค.) ครั้งที่ 11/2564 | นร.04 | 03/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด- 19) (ศบค.) ครั้งที่ ๑๑/๒๕๖๔ เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๔ ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) สรุปได้ดังนี้ ๑) รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดและผู้ติดเชื้อโรคโควิด-19 ๒) ผลการประเมินมาตรการควบคุมแบบบูรณาการ (ล็อคดาวน์) ตามข้อกำหนดในห้วงระยะเวลา ๑๔ วันที่ผ่านมา ๓) แผนการจัดสรรวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เดือนสิงหาคม ๒๕๖๔ จำนวน ๑๐,๐๐๐,๐๐๐ โดส (AstraZeneca จำนวน ๖,๐๐๐,๐๐๐ โดส และ Sinovac จำนวน ๔,๐๐๐,๐๐๐ โดส ) แผนการบริหารจัดการวัคซีน Pfizer บริจาค จำนวน ๑,๕๐๓,๔๕๐ โดส ๔) การยกระดับของพื้นที่สถานการณ์ย่อยในพื้นที่ทั่วราชอาณาจักรและปรับมาตรการป้องกันควบคุมโรคโควิด-19 ๕) ให้กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อนุโลมผ่อนผันให้รถขนส่งของบริษัทเอกชนที่สนับสนุนการขนส่งถังบรรจุก๊าซออกซิเจนและก๊าซทางการแพทย์สามารถเดินทางได้ในพื้นที่ต่าง ๆ และทุกห้วงเวลา ๖) ให้สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เป็นศูนย์ปฏิบัติการภายในโครงสร้างศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา ๙ แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ (ฉบับที่ ๒๙) ๗) ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นที่ประชุมไปพิจารณาหารือเกี่ยวกับแนวปฏิบัติเพื่อลดและจำกัดการเคลื่อนย้ายการเดินทาง (Mobility) ของประชาชนในระยะต่อไป และให้กระทรวงมหาดไทยจัดทำข้อมูลภาพรวมของการติดเชื้อในระดับพื้นที่เพื่อประโยชน์ในการประเมินสถานการณ์และประกอบการพิจารณาเพื่อกำหนดมาตรการที่เหมาะสม รวมทั้ง ขับเคลื่อนโครงการหมู่บ้าน/ชุมชนที่มีความเข้มแข็ง สามารถป้องกันตนเองได้เป็นอย่างดี เพื่อให้เป็นพื้นที่ปลอดภัย ตามที่สำนักงานเลขาธิการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 8510 | โครงการทุนอุดหนุนนักเรียนเรียนดีมีความสามารถในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ | ศธ. | 03/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติโครงการทุนอุดหนุนนักเรียนเรียนดีมีความสามารถในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
และงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๗๒ ในกรอบวงเงินงบประมาณ ๑๘๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการทุนอุดหนุนนักเรียนเรียนดีมีความสามารถในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ ให้สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาใช้จ่ายจากงบประมาณที่ได้เสนอตั้งรองรับไว้แล้วเป็นลำดับแรก
และหากไม่เพียงพอให้พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสม
สำหรับค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป ให้สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณพร้อมรายละเอียดค่าใช้จ่ายให้ชัดเจน
เพื่อเสนอขอตั้งบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็น เหมาะสม และสอดคล้องกับข้อเท็จจริงตามขั้นตอนต่อไป
และติดตามผลการดำเนินงานและประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการในทุกปีการศึกษา
เพื่อนำผลการติดตามและประเมินผลดังกล่าวมาใช้เป็นแนวทางในการเสนอขอตั้งงบประมาณและการดำเนินงานโครงการในระยะต่อไปด้วย
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงศึกษาธิการ
(สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานและสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา)
รับความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ที่เห็นว่าควรมีการประเมินคุณภาพของผู้สำเร็จการศึกษาในแต่ละปี
ให้ความสำคัญในการควบคุม กำกับ ดูแล โครงการดังกล่าว ให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง สนับสนุนให้เกิดโครงการในลักษณะศูนย์เพาะกล้าคุณธรรมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อให้โอกาสทางการศึกษากับนักเรียนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่
และควรสนับสนุนทุนแก่นักเรียนที่ครอบครัวได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่
โดยเน้นการสร้าง “คนดี” นำ “คนเก่ง”
ควรมีการกำหนดแนวทางการประเมินผลอย่างมีส่วนร่วมเป็นระยะ และกำหนดตัวชี้วัด และให้กระทรวงศึกษาธิการประสานความร่วมมือกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
โดยเฉพาะภาคเอกชนและสถานประกอบการในพื้นที่ เพื่อเพิ่มโอกาสในการต่อยอดและมีอาชีพรองรับภายหลังจากจบการศึกษาต่อไป
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 8511 | ร่างกฎกระทรวงยกเลิกกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเครื่องเสียง วีดิทัศน์ และเครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์ที่คล้ายกัน : คุณลักษณะที่ต้องการด้านความปลอดภัย ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. 2564 พ.ศ. .... | อก. | 03/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงยกเลิกกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเครื่องเสียง
วีดิทัศน์ และเครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์ที่คล้ายกัน :
คุณลักษณะที่ต้องการด้านความปลอดภัย ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. ๒๕๖๔ พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเครื่องเสียง
วีดิทัศน์ และเครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์ที่คล้ายกัน :
คุณลักษณะที่ต้องการด้านความปลอดภัย ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. ๒๕๖๔
โดยกำหนดให้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวต้องเป็นไปตามมาตรฐาน เลขที่ มอก. ๑๑๙๕-๒๕๖๑
ซึ่งเป็นการรับมาตรฐานระหว่างประเทศ IEC 60065
Edition 7.2 (2011-02)
มาใช้โดยวิธีแปลในระดับเหมือนกันทุกประการ แต่ปัจจุบันมีการพัฒนา IEC 62368
ขึ้นใช้แทนแล้ว IEC 60065 จึงไม่มีความทันสมัย
ไม่ทันต่อการพัฒนาเทคโนโลยีและไม่สอดคล้องกับมาตรฐานระหว่างประเทศ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 8512 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ภายใต้พระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุม ครั้งที่ 3/2564 | นร.11 สศช | 03/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๔ ในคราวประชุม ครั้งที่ ๓/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๖๔ ประกอบด้วย (๑)
โครงการให้ความช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙
ของสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ตามมาตรการที่ ๑
โดยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา จำนวน ๒,๐๐๐ บาทต่อคน ในภาคการศึกษาที่ ๑/๒๕๖๔ กรอบวงเงิน ๒๑,๙๐๕.๙๒๐๐ ล้านบาท (๒)
ให้หน่วยงานต้นสังกัดของสถานศึกษาเป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการ
ดำเนินการจัดทำความต้องการใช้จ่ายเป็นรายสัปดาห์ (๓) ให้สถานศึกษาของรัฐ
เบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการจัดการเรียนการสอนและการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙
ตามระเบียบของทางราชการ (๔) โครงการตามมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของนิสิต
นักศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาในภาครัฐและเอกชน ของสำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กรอบวงเงิน
๑๐,๐๐๐ ล้านบาท (๕) ให้สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการ
ดำเนินการจัดทำความต้องการใช้จ่ายเป็นรายสัปดาห์ ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ และให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นว่าให้หน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการควรเตรียมความพร้อมให้ทันต่อสถานการณ์และปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ให้ถูกต้องครบถ้วนอย่างเคร่งครัด
และเร่งประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความรู้และความเข้าใจในมาตรการที่ถูกต้องให้กับหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องและภาคประชาชน
รวมทั้งการพิจารณาแนวทางการติดตามประเมินผลการดำเนินโครงการในภาพรวม
โดยรวบรวมข้อมูลจากหน่วยงานต้นสังกัด เพื่อให้ภาครัฐมีข้อมูลประกอบการกำหนดนโยบายหรือแนวทางที่เกี่ยวข้องในลักษณะมุ่งเป้า
ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการใช้จ่ายงบประมาณของภาครัฐในภาพรวมต่อไป
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 8513 | ร่างถ้อยแถลงร่วมกลุ่มมิตรประเทศลุ่มน้ำโขง | กต. | 03/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้เ ๑.
เห็นชอบต่อร่างถ้อยแถลงร่วมกลุ่มมิตรประเทศลุ่มน้ำโขง ซึ่งร่างถ้อยแถลงร่วมฯ มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองของประเทศในกลุ่มมิตรประเทศลุ่มน้ำโขงที่จะส่งเสริมความร่วมมือในด้านต่าง
ๆ เกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ
การฟื้นฟูหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙ และการพัฒนาที่ยั่งยืน
โดยไม่มีถ้อยคำหรือบริบทใดที่มุ่งจะก่อให้เกิดพันธกรณีภายใต้บังคับของกฎหมายระหว่างประเทศ
จึงไม่เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศและไม่เป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา ๑๗๘
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมให้การรับรอง
โดยไม่มีการลงนามร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงร่วมกลุ่มมิตรประเทศลุ่มน้ำโขง
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 8514 | ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 27 แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย - มาเลเซีย - ไทย (IMT-GT) | นร.11 สศช | 03/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมระดับรัฐมนตรี
ครั้งที่ ๒๗ แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle : IMT-GT) ซึ่งสรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑) ตระหนักถึงความท้าทายระดับโลกในการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
(โควิด-๑๙) โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือระดับอนุภูมิภาคเพื่อรับมือผลกระทบดังกล่าว
๒) ยินดีต่อผลการดำเนินงานของคณะทำงานแต่ละสาขาในปี ๒๕๖๔
และความสำเร็จของการประชุมคณะทำงานด้านสิ่งแวดล้อมครั้งแรก ๓)
แนวทางของแต่ละสาขาความร่วมมือขับเคลื่อนการดำเนินงานของ IMT-GT ในระยะต่อไป
โดยส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสมัยใหม่มาประยุกต์ในการดำเนินงาน ๔)
รับทราบถึงการดำเนินงานระยะสุดท้ายของเครือข่ายมหาวิทยาลัย IMT-GT (UNITED) ตามแผนงานยุทธศาสตร์ชาติระยะ ๕ ปี พ.ศ.
๒๕๖๐-๒๕๖๕ ๕)
ตระหนักถึงความสำคัญของบทบาทของสภาธุรกิจในฐานะกลไกขับเคลื่อนสำคัญของ IMT-GT ๖)
ยืนยันที่จะพัฒนาความร่วมมือกับหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาต่อไป
รวมทั้งยินดีสร้างความร่วมมือกับหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาใหม่ ๆ
เพื่อขยายขอบเขตสาขาความร่วมมือกับ IMT-GT
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๒๗
แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (IMT-GT)
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒.
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 8515 | มาตรการบรรเทาผลกระทบของประชาชนในการติดต่อราชการเพื่อขออนุญาตกับหน่วยงานของรัฐจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 | นร.12 | 03/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบมาตรการบรรเทาผลกระทบของประชาชนในการติดต่อราชการเพื่อขออนุญาตกับหน่วยงานของรัฐจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019
เพื่อเป็นการสนับสนุนการดำเนินการตามข้อกำหนดและข้อปฏิบัติต่าง ๆ
รวมถึงผลกระทบของประชาชนจากการติดต่อหน่วยงานของรัฐ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ
โดยในส่วนของการขยายเวลาการต่ออายุใบอนุญาต การแจ้ง
การชำระภาษีหรือเงินอื่นใดที่บุคคลต้องชำระให้แก่หน่วยงานของรัฐ
ให้เป็นดุลยพินิจของแต่ละหน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่ที่จะพิจารณากำหนดระยะเวลาได้เองภายในกรอบของกฎหมายตามความจำเป็นเหมาะสม
แล้วให้หน่วยงานของรัฐแจ้งผลการพิจารณาขยายเวลาดังกล่าว ไปยังสำนักงาน ก.พ.ร.
โดยด่วน เพื่อรวบรวมนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ทั้งนี้ ให้สำนักงาน ก.พ.ร.
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นว่าควรให้หน่วยงานที่มีหน้าที่ออกใบอนุญาตหรือรับแจ้งรับไปพิจารณากฎหมายที่มีอยู่ในความรับผิดชอบ
โดยเฉพาะกฎหมายลำดับรอง และเร่งดำเนินการแก้ไขให้สอดคล้องกับข้อเสนอสำนักงาน
ก.พ.ร. ด้วย และแจ้งหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการดังกล่าว
เร่งสื่อสารประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางต่าง ๆ ที่มีประสิทธิภาพ
ให้ประชาชนได้รับทราบมาตรการที่เสนอ
เพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติได้อย่างรวดเร็วและสอดคล้องกับสถานการณ์ต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร.
ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 8516 | มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 | กค. | 03/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ ซึ่งมีแนวทางการช่วยเหลือ ๔
แนวทาง ประกอบด้วย มาตรการช่วยเหลือโดยการหักกลบจำนวนค่าปรับ
ให้คณะรัฐมนตรีเป็นผู้มีอำนาจที่จะพิจารณาการงด หรือลดค่าปรับให้แก่คู่สัญญาหรือการขยายเวลาการทำสัญญา
ตามพระราชบัญญัติฯ มาตรา ๑๐๒ วรรคหนึ่ง การนำเงินงบประมาณหรือเงินอื่นมาจ่ายเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ
การกำหนดอัตราค่าปรับเป็นอัตราร้อยละ ๐ ทั้งนี้ การคิดค่าปรับในอัตราร้อยละ ๐
ให้คิดตั้งแต่วันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๖๓
จนถึงก่อนวันที่มีประกาศยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงทั่วราชอาณาจักรอันเนื่องมาจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ และกรณีที่หน่วยงานของรัฐได้พิจารณางดหรือลดปรับให้แก่คู่สัญญา
หรือการขยายระยะเวลาทำการตามสัญญาหรือข้อตกลง
ก็ให้นำจำนวนวันดังกล่าวมาหักออกจากจำนวนวันตามมาตรการนี้ และจำนวนที่เหลือ
ให้คิดค่าปรับในอัตราร้อยละ ๐ สำหรับค่าปรับส่วนที่เกินจำนวนวันตามมาตรการนี้
ให้คิดในอัตราที่กำหนดในสัญญาหรือข้อตกลงตามปกติ โดยให้หน่วยงานของรัฐดำเนินการตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๐ ข้อ ๑๘๓ ต่อไป ตามที่
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 8517 | บันทึกความร่วมมือระหว่างกระทรวงสาธารณสุขแห่งราชอาณาจักรไทย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงอุตสาหกรรมแห่งราชอาณาจักรไทย และสำนักงานนโยบายด้านการดูแลสุขภาพ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแห่งญี่ปุ่น กระทรวงกิจการภายใน และการสื่อสารแห่งญี่ปุ่น กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการแห่งญี่ปุ่น และกระทรวงเศรษฐกิจการค้า และอุตสาหกรรมแห่งญี่ปุ่น สาขาการดูแลสุขภาพ | สธ. | 03/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบบันทึกความร่วมมือระหว่างกระทรวงสาธารณสุขแห่งราชอาณาจักรไทย
กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงอุตสาหกรรมแห่งราชอาณาจักรไทย
และสำนักงานนโยบายด้านการดูแลสุขภาพ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแห่งญี่ปุ่น
กระทรวงกิจการภายในและการสื่อสารแห่งญี่ปุ่น กระทรวงสาธารณสุข
แรงงานและสวัสดิการแห่งญี่ปุ่น และกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า
และอุตสาหกรรมแห่งญี่ปุ่น สาขาการดูแลสุขภาพ และอนุมัติให้เอกอัครราชทูต ณ
กรุงโตเกียว หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย เป็นผู้ลงนามในบันทึกความร่วมมือฯ โดยบันทึกความร่วมมือฯ
จะลงนามในรูปแบบทางไกล โดยเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว
และเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ในวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๖๔ ในระหว่างการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมระดับสูงไทย-ญี่ปุ่น
(High Level Joint Commission : HLJC ครั้งที่ ๕ มีสาระสำคัญในการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างไทยกับญี่ปุ่นในด้านการดูแลสุขภาพ
ได้แก่ การให้บริการด้านการแพทย์ การฟื้นฟูสมรรถภาพ การดูแลผู้สูงอายุ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุข
วัคซีน และอุปกรณ์การแพทย์และผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ การประกันสุขภาพถ้วนหน้า
และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ รวมทั้งการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของทั้งสองประเทศ
ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความร่วมมือฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
ด้วย ๒.
ให้กระทรวงสาธารณสุขได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 8518 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินงานโครงการอบรมและส่งเสริมการพัฒนายกระดับทักษะอาชีพในภาคเกษตรกรรม | อว. | 03/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการอบรมและส่งเสริมการพัฒนายกระดับทักษะอาชีพในภาคเกษตรกรรม
(โครงการอบรมฯ) ภายในกรอบวงเงิน ๔๐๗,๒๒๙,๕๘๕ บาท ซึ่งมีวัตถุประสงค์ ดังนี้ (๑)
เพื่ออบรมและส่งเสริมการพัฒนายกระดับทักษะอาชีพในภาคเกษตรกรรม ด้านปศุสัตว์
ด้านประมง สินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) พืชและเห็ดเศรษฐกิจ
หมอดิน New Normal และพืชสมุนไพร (๒) เพื่อรองรับแรงงานคืนถิ่น พลิกฟื้นอาชีพด้านเกษตรกรรมด้วยศาสตร์พระราชา
เพื่อเป็นแนวทางในการแก้ไขเยียวยาแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ
รวมถึงวิกฤตของโรคโควิด 19 เพื่อเป็นทางรอดและสร้างภูมิคุ้มกันให้กับชุมชน (๓)
เพื่อสร้างต้นแบบเรียนรู้และถ่ายทอดเทคโนโลยี และส่งเสริมการพัฒนายกระดับทักษะอาชีพในภาคเกษตรกรรม
กลุ่มเป้าหมาย เครือข่ายหมู่บ้านวิสาหกิจชุมชนท้องถิ่นทั่วทุกภาคของประเทศ จำนวน ๒,๕๗๔ กลุ่ม ประมาณ ๒๕,๗๔๐
ราย ดำเนินการโดยจัดกิจกรรมฝึกอบรมและส่งเสริมการพัฒนาอาชีพด้านต่าง ๆ
ตามวัตุประสงค์ และระยะเวลาดำเนินโครงการฯ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๕
(เริ่มเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๔) ตามที่กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมเสนอ และให้กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
โดยให้หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนจัดการอบรม สัมมนา
หรือการประชุมโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์เป็นหลัก
รวมถึงการปฏิบัติตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด
และควรร่วมมือกับหน่วยงานในระดับพื้นที่ โดยเฉพาะกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่เป็นหน่วยงานที่กำกับดูแลด้านการเกษตร
รวมถึงการพัฒนาเกษตรกรและวิสาหกิจชุมชนอยู่แล้ว
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 8519 | ขยายขอบเขตมาตรการบรรเทาผลกระทบอันเนื่องมาจากข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 30) | นร.11 สศช | 03/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบการขยายขอบเขตมาตรการบรรเทาผลกระทบและให้ความช่วยเหลือแก่กลุ่มแรงงานและผู้ประกอบการที่อยู่ในพื้นที่สถานการณ์ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๔ และมอบหมายให้สำนักงานประกันสังคม
กระทรวงแรงงานดำเนินการจัดทำรายละเอียด โดยมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาจัดทำข้อเสนอโครงการเพื่อให้ความช่วยเหลือกลุ่มอาชีพผู้ขับรถยนต์รับจ้าง
(รถแท็กซี่) และรถจักรยานยนต์สาธารณะที่มีอายุเกิน ๖๕ ปี
ที่ไม่สามารถสมัครเป็นผู้ประกันตน มาตรา ๔๐ ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓
ฉบับแก้ไข โดยพิจารณาจากฐานข้อมูลการจดทะเบียนอนุญาตผู้ขับรถยนต์รับจ้าง
(รถแท็กซี่) และรถจักรยานยนต์สาธารณะ เพื่อให้ความช่วยเหลือเป็นไปอย่างเหมาะสม
และสามารถยืนยันตัวตน ตรวจสอบได้
และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
โดยให้กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ เพื่อให้การดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ
ควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการเพื่อให้ทันต่อสถานการณ์
รวมถึงปฏิบัติให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน
ตลอดจนการสร้างความรับรู้และความเข้าใจ และคำนึงถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างครอบคลุม
เป็นธรรม อย่างโปร่งใส และตรวจสอบได้ในทุกมิติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒.
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย
และสำนักงานประกันสังคม ติดตามและประเมินผลการดำเนินมาตรการบรรเทาผลกระทบดังกล่าวอย่างใกล้ชิดและเผยแพร่ผลการดำเนินการฯ
ให้ประชาชนรับทราบอย่างถูกต้อง ทั่วถึง เป็นระยะ ๆ ด้วย ๓. ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 8520 | รายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ในประเด็นสนับสนุนการแก้ไขปัญหาสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 ของรัฐบาล ของ อ.ค.ต.ป. คณะต่าง ๆ และ ค.ต.ป. ประจำกระทรวง และรายงานผลการประเมินตนเองของคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการคณะต่าง ๆ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 | นร.12 | 03/08/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบรายงานผลการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ในประเด็นสนับสนุนการแก้ไขปัญหาสถานการณ์วิกฤตโควิด-๑๙ ของรัฐบาล
ของคณะอนุกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ (อ.ค.ต.ป.) คณะต่าง ๆ และคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ
(ค.ต.ป.) ประจำกระทรวง และรายงานผลการประเมินตนเองของคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการคณะต่าง
ๆ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ ครั้งที่ ๑ และครั้งที่ ๒ และเห็นชอบข้อเสนอแนะของคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ โดยให้รัฐมนตรี
หัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง กรม จังหวัด ที่มีประเด็นสมควรปรับปรุงแก้ไขรับข้อเสนอแนะไปพิจารณาดำเนินการ
พร้อมทั้งรายงานผลความก้าวหน้าในการดำเนินการต่อคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการต่าง
ๆ ต่อไป ตามที่คณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการเสนอ
และให้สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
ควรมีการพัฒนาฐานข้อมูลโครงการในพื้นที่
และเปิดให้หน่วยงานภาครัฐเข้าถึงได้โดยสะดวก
ลดความซ้ำซ้อนและส่งเสริมให้เกิดการต่อยอดโครงการ สามารถใช้ทรัพยากรได้อย่างคุ้มค่า
และใช้โครงสร้างพื้นฐานในเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเป็นเครื่องมือดึงดูดนักลงทุน
โดยเฉพาะการลงทุนด้านวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม สร้างการรับรู้
ความเข้าใจในการดำเนินงานของ ค.ต.ป. ผ่านช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ ควรเร่งดำเนินการและให้ความสำคัญกับเรื่องการแก้ไขปัญหาสถานการณ์วิกฤตโควิด-19
เป็นเรื่องเร่งด่วนที่ส่งผลกระทบต่อประชาชน
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
