ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 425 จากทั้งหมด 6201 หน้า แสดงรายการที่ 8481 - 8500 จากข้อมูลทั้งหมด 124009 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
8481 | ร่างพระราชบัญญัติการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อปฏิบัติตามการภาษีอากรระหว่างประเทศ พ.ศ. .... และการเข้าร่วมเป็นภาคีความตกลงพหุภาคีระหว่างเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจในการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางการเงินแบบอัตโนมัติ | กค. | 18/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบผู้ลงนามในร่างความตกลงพหุภาคีเป็นการลงนามระหว่างเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจในการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางการเงินแบบอัตโนมัติ (Multilateral Competent
Authority Agreement on Automatic Exchange
of Financial Account Information : MCAA CRS)
ซึ่งกระทรวงการคลังจะเป็นผู้ประสานงานกับองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา
(Organisation for Economic Cooperation and Development : OECD) เพื่อให้ความตกลงนี้มีผลผูกพันต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. เห็นชอบการเข้าเป็นภาคีความตกลงพหุภาคีระหว่างเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจในการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางการเงินแบบอัตโนมัติ (Multilateral Competent Authority Agreement on
Automatic Exchange of Financial Account Information : MCAA CRS) แบบส่งและรับข้อมูลแบบต่างตอบแทนกับประเทศคู่สัญญา
(Reciprocal) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. เห็นชอบร่างความตกลงพหุภาคีระหว่างเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจในการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางการเงินแบบอัตโนมัติ (Multilateral Competent
Authority Agreement on Automatic Exchange of Financial Account Information : MCAA CRS) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๔.
เห็นชอบให้กระทรวงการคลังมีหนังสือถึงองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา
(Organisation for
Economic Cooperation and Development : OECD)
เพื่อแจ้งความจำนงในการลงนามเข้าเป็นภาคีความตกลงดังกล่าว ๕. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในฐานะเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจตามความตกลงพหุภาคี ว่าด้วยการให้ความช่วยเหลือด้านการบริหารภาษี (Multilateral Convention on Mutual Administrative
Assistance in Tax Matters MAC) ลงนามในความตกลง MCAA CRS และเมื่อลงนามแล้ว
ให้ส่งความตกลงดังกล่าวให้คณกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา
แล้วเสนอรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๗๘ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ก่อนแสดงเจตนาให้มีผลผูกพันเมื่อร่างพระราชบัญญัติการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อปฏิบัติตามการภาษีอากรระหว่างประเทศ พ.ศ. ....
มีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายแล้ว ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างความตกลงฯ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย
ให้กระทรวงการคลังดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๖. อนุมัติหลักร่างพระราชบัญญัติการแลกเปลี่ยนข้อมูลเพื่อปฏิบัติตามการภาษีอากรระหว่างประเทศ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดบทบัญญัติเพื่อให้ประเทศไทยสามารถดำเนินการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างประเทศตามความตกลง
หรืออนุสัญญาเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อน และการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากร
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานศาลยุติธรรม
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
และสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย
ที่เห็นว่าควรเพิ่มเงื่อนไขให้สามารถตรากฎหมายลำดับรองเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์หรือมาตรการในการเปิดเผยข้อมูลที่ได้รับตามร่างพระราชบัญญัตินี้และข้อมูลที่ได้รับจากเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของคู่สัญญา
การกำหนดเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจและบุคคลที่จะต้องมีหน้าที่ตามร่างพระราชบัญญัตินี้ยังไม่มีความชัดเจน
กรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจมีรอบระยะเวลาบัญชีอื่นในลักษณะทำนองเดียวกันกับกรณีตามมาตรา
๑๐ (๒) และควรกำหนดเงื่อนไขว่าการแลกเปลี่ยนข้อมูลจะต้องไม่ขัดต่อกฎหมายไทยในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย
ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา
ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป เมื่อรัฐสภาได้ให้ความเห็นชอบความตกลงฯ
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอแล้ว ๗. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๘.
ให้กระทรวงการคลังแจ้งองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Cooperation and
Development : OECD) เมื่อร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้มีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายแล้ว
เพื่อความตกลงฯ มีผลผูกพันต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8482 | การมอบหมายผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม | คค. | 18/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายวีรศักดิ์
หวังศุภกิจโกศล) เป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมลำดับที่สอง แทน
นายถาวร เสนเนียม ที่พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8483 | แต่งตั้งผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (นายศุภชัย เอกอุ่น) | มท. | 18/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง
นายศุภชัย เอกอุ่น ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค โดยให้ได้รับค่าตอบแทนคงที่ในปีแรกอัตราเดือนละ
๔๖๕,๐๐๐ บาท
(ตามมติคณะกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๑๗
มีนาคม ๒๕๖๔) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๖๔
ส่วนค่าตอบแทนและสิทธิประโยชน์อื่นรวมทั้งเงื่อนไขการจ้างและการประเมินการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามที่กระทรวงการคลัง
(กค.) ให้ความเห็นชอบ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8484 | มาตรการในการแก้ไขกรณีงบประมาณรายจ่ายลงทุน มีจำนวนน้อยกว่าวงเงินส่วนที่ขาดดุลของงบประมาณประจำปี | นร.07 | 18/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบมาตรการในการแก้ไขกรณีงบประมาณรายจ่ายลงทุน
มีจำนวนน้อยกว่าวงเงินส่วนที่ขาดดุลของงบประมาณประจำปี ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ
และที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเสนอเพิ่มเติมว่า
ในการดำเนินมาตรการในการแก้ไขกรณีงบประมาณรายจ่ายลงทุน
มีจำนวนน้อยกว่าวงเงินส่วนที่ขาดดุลของงบประมาณประจำปีตามนัยมาตรา ๒๐ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ ในครั้งนี้เห็นควรเพิ่มมาตรการในการแก้ไขกรณีดังกล่าวอีกมาตรการหนึ่ง
โดยใช้เงินกู้ภายใต้ร่างพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดระลอกใหม่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 พ.ศ. .... ทั้งนี้
ให้สำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย
ที่เห็นว่าให้กระทรวงเจ้าสังกัดกำกับดูแลและเร่งรัดให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ในแผนการจัดทำโครงการร่วมลงทุน
พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๗๐ และแผนการลงทุนภายใต้กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทยด้วย
และในระยะต่อไปเมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ภาครัฐควรพิจารณารักษาระดับรายจ่ายลงทุนมิให้น้อยกว่าวงเงินขาดดุลงบประมาณตามที่กฎหมายกำหนด
เนื่องจากการลงทุนภาครัฐเป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุนการปรับปรุงโครงสร้างเศรษฐกิจในระยะยาว
เพื่อยกระดับเศรษฐกิจไทยให้มีศักยภาพสูงขึ้นได้อย่างยั่งยืนในอนาคต
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้สำนักงบประมาณได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8485 | การจัดทำประมวลจริยธรรมสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐให้ใช้บังคับครอบคลุมถึงคณะกรรมการ | นร.10 | 18/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบการจัดทำประมวลจริยธรรมสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐให้ใช้บังคับครอบคลุมถึงคณะกรรมการ ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
ดังนี้ ๑.๑ เมื่อคณะกรรมการมาตรฐานทางจริยธรรม
(ก.ม.จ.) ซึ่งมีอำนาจตามมาตรา ๑๓ (๖) แห่งพระราชบัญญัติมาตรฐานทางจริยธรรม พ.ศ.
๒๕๖๒ ได้มีมติเห็นชอบในหลักการให้นำประมวลจริยธรรมสำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐประเภทต่าง
ๆ มาใช้บังคับโดยกำหนดให้ครอบคลุมถึงคณะกรรมการ
ซึ่งใช้อำนาจหรือได้รับมอบหมายให้ใช้อำนาจทางปกครองของรัฐในการดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดตามกฎหมาย
ในหน่วยงานของรัฐในกำกับของฝ่ายบริหาร ไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้งขึ้นในส่วนราชการ
รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และหน่วยงานของรัฐรูปแบบใหม่ด้วย ก.ม.จ.
สามารถดำเนินการตามมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติมาตรฐานทางจริยธรรมฯ
และแจ้งให้องค์กรที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขประมวลจริยธรรมของตนต่อไป ๑.๒
คณะรัฐมนตรีอาจรับทราบการดำเนินการของ ก.ม.จ. ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอได้ ๑.๓ ในการแก้ไขประมวลจริยธรรมขององค์กรต่าง
ๆ เพื่อให้เป็นไปตามผลการพิจารณาของ ก.ม.จ. นั้น ควรพิจารณาว่า
คณะกรรมการใดเป็นคณะกรรมการ “ในหน่วยงานของรัฐ” ควรยึดโยงกับมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง หลักการจำแนกประเภทหน่วยงานของรัฐ เพื่อความชัดเจน
เมื่อเพิ่มการกำหนดความหมายของเจ้าหน้าที่ของรัฐให้ครอบคลุมถึงผู้ปฏิบัติงานในลักษณะของคณะกรรมการแล้ว
ต้องมีการพิจารณากำหนดมาตรการที่เหมาะสม เพื่อกำกับดูแลหรือกำหนดสภาพบังคับ (Sanction) ให้ผู้ปฏิบัติงานในลักษณะดังกล่าวปฏิบัติตามประมวลจริยธรรมไปพร้อมกันด้วย ๒. ให้คณะกรรมการมาตรฐานทางจริยธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน
และข้อสังเกตของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ
และสำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดองไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8486 | แผนขับเคลื่อนกิจกรรมปฏิรูปประเทศที่จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ (Big Rock) ภายใต้แผนการปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง) | นร.11 | 18/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแผนขับเคลื่อนกิจกรรมปฏิรูปประเทศที่จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ (Big Rock) ภายใต้แผนการปฏิรูปประเทศ (ฉบับปรับปรุง) ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ในฐานะสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติเสนอ และให้ สศช. ในฐานะสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามแผนขับเคลื่อนกิจกรรม Big Rock อย่างเคร่งครัด โดยให้บูรณาการดำเนินงานระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ในทุกระดับอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน และสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานอย่างใกล้ชิดในการปฏิรูปประเทศในด้านต่าง ๆ ให้บรรลุผลสัมฤทธิ์ตามที่กำหนด ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สศช. สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงาน ป.ย.ป. ที่เห็นควรให้ปรับปรุงระยะเวลาการดำเนินการตามเป้าหมายย่อยของกิจกรรมปฏิรูปประเทศด้านกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับข้อสั่งการของรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) และสำนักงาน ก.พ.ร ที่เห็นด้วย โดยมีข้อสังเกตให้ สศช.ร่วมกับหน่วยงานร่วมดำเนินโครงการเร่งรัดการดำเนินการในกิจกรรม Big Rock ที่สอดคล้องและเชื่อมโยงกับการรองรับและแก้ไขผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เป็นลำดับแรก ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8487 | ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับมาตรการช่วยเหลือเยียวยาของภาครัฐจากสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) พ.ศ. 2564 | ดศ. | 18/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบสรุปผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับมาตรการช่วยเหลือเยียวยาของภาครัฐจากสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (โควิด – ๑๙) พ.ศ. ๒๕๖๔ โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติได้สอบถามประชาชนที่มีอายุตั้งแต่
๑๘ ปี ขึ้นไป จำนวน ๙,๐๐๐ คน ระหว่างวันที่ ๘-๑๕ มีนาคม
๒๕๖๔ ได้แก่ โครงการเราเที่ยวด้วยกัน โครงการคนละครึ่ง โครงการเราชนะ และโครงการ
ม.๓๓ เรารักกัน รวมถึงการดำเนินการเกี่ยวกับการฉีดวัคซีน โควิด-๑๙ ของภาครัฐ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ
สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑
ประชาชนส่วนใหญ่ระบุว่ารับรู้/รับทราบมาตรการช่วยเหลือเยียวยาของภาครัฐ (ร้อยละ
๙๙.๗) และมีเพียง (ร้อยละ ๐.๓) ที่ไม่รับรู้/ไม่รับทราบ โดยให้เหตุผล เช่น ไม่สนใจ
และไม่มีเวลา/ไม่ว่าง ๑.๒ การเข้าร่วมโครงการมาตรการช่วยเหลือเยียวยาของภาครัฐ
มีประชาชนเข้าร่วมโครงการเราชนะมากที่สุด (ร้อยละ ๖๒.๑)
และเข้าร่วมโครงการเราเที่ยวด้วยกันน้อยที่สุด ร้อยละ (๑๐.๑๖)
โดยเหตุผลที่ไม่เข้าร่วมโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เช่น ไม่สนใจ การใช้งานยุ่งยาก
และไม่เข้าใจเงื่อนไขโครงการ ๑.๓
ประชาชนส่วนใหญ่มีความพึงพอใจโดยรวมต่อมาตรการช่วยเหลือเยียวยาของภาครัฐในระดับมาก-มากที่สุด
(ร้อยละ ๘๑.๒) และต้องการให้ภาครัฐดำเนินโครงการเราชนะต่อไปมากที่สุด (ร้อยละ ๖๒.๙)
โดยมีข้อเสนแนะเพิ่มเติม เช่น
ควรให้สิทธิแก่ทุกคนโดยไม่ต้องลงทะเบียน ควรเพิ่มวงเงิน และควรให้เป็นเงินสด ๑.๔
ประชาชนส่วนใหญ่มีความพร้อมที่จะเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-๑๙ (ร้อยละ ๖๐.๗)
และมีความพึงพอใจต่อการจัดหาวัคซีนโควิด-๑๙ ในระดับมาก-มากที่สุด (ร้อยละ ๖๖.๓) ๒. ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐรับข้อเสนอแนะเชิงนโยบายของสำนักงานสถิติแห่งชาติ
ว่าควรเพิ่มมาตรการให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างทั่วถึงและรวดเร็ว
ควรให้ทุกคนได้รับสิทธิในการเยียวยาและควรส่งเสริมให้ประชาชนสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลได้อย่างทั่วถึงและครอบคลุมทุกพื้นที่ในราคาย่อมเยา
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8488 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 16/2564 | นร.11 | 18/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบและอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ในคราวประชุมครั้งที่ ๑๖/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๖๔
เกี่ยวกับผลการดำเนินโครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่โดยภาครัฐและภาคเอกชน
ของกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๔ และอนุมัติให้กรมการจัดหางาน
กระทรวงแรงงาน ปรับปรุงรายละเอียดโครงการส่งเสริมการจ้างงานใหม่สำหรับผู้จบการศึกษาใหม่โดยภาครัฐและเอกชน
โดยปรับลดจำนวนกลุ่มเป้าหมายของโครงการฯ จาก ๒๖๐,๐๐๐ คน เป็น ๕๐,๐๐๐ คน หรือลดลงประมาณ ๒๑๐,๐๐๐ คน และปรับลดกรอบวงเงินของโครงการฯ จากเดิม ๑๙,๔๖๒.๐๐๑๗
ล้านบาท เป็น ๓,๒๐๙.๗๙๘๙ ล้านบาท หรือลดลงประมาณ ๑๖,๒๕๒.๒๐๒๘ ล้านบาท ทั้งนี้ เห็นควรให้กระทรวงแรงงานกำกับการดำเนินโครงการฯ
ให้แล้วเสร็จตามเป้าหมายที่กำหนดไว้และเร่งแก้ไขข้อมูลโครงการ ในระบบ eMENSCR
โดยเร็ว ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ และให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น การเร่งรัดการใช้จ่ายให้เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่าย
การให้ความสำคัญกับระบบการติดตามและประเมินผลให้ทันต่อสถานการณ์
และการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ กฎหมาย
ข้อบังคับ และระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8489 | ผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล ครั้งที่ 1/2564 | สพร. | 18/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. รับทราบตามที่คณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลเสนอผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล
ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๖๔
และสั่งการให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ ๑.๑
ให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องสนับสนุนและเร่งรัดการพัฒนาบริการดิจิทัลภาครัฐ
ตามแผนแม่บทเพื่อการขับเคลื่อนพอร์ทัลกลางเพื่อประชาชน ระยะ ๓ ปี ๑.๒ เมื่อแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลของประเทศไทย
พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๕ ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว
ให้หน่วยงานภาครัฐตามพระราชบัญญัติการบริหารงานและการให้บริการภาครัฐผ่านระบบดิจิทัล
พ.ศ. ๒๕๖๒ จัดทำหรือปรับปรุงแผนปฏิบัติการของหน่วยงานให้สอดคล้องกับแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลฯ
เพื่อรองรับการขับเคลื่อนการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ๑.๓ ให้สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล
(องค์การมหาชน)
ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องขยายผลให้หน่วยงานของภาครัฐรับรู้ในเรื่องการนำเอกสารสำคัญทางการศึกษาในรูปแบบดิจิทัล
(Digital Transcript) ไปใช้ในหน่วยงานและให้ถือเสมือนเอกสารต้นฉบับหรือฉบับจริง ๑.๔ ให้สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล
(องค์การมหาชน)
และคณะอนุกรรมการสถาปัตยกรรมและมาตรฐานการพัฒนารัฐบาลดิจิทัลร่วมกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องผลักดันให้เกิดระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล
(Digital ID) ๑.๕
ให้หน่วยงานภาครัฐเร่งยกระดับทักษะดิจิทัลของบุคลากรให้พร้อมสำหรับการขับเคลื่อนรัฐบาลดิจิทัล
โดยเริ่มจากการพัฒนาทักษะความเข้าใจและการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลขั้นพื้นฐาน (Digital
literacy) ซึ่งเป็นทักษะดิจิทัลที่จำเป็นสำหรับบุคลากรทุกคนในยุคดิจิทัล
และมอบหมายให้สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน)
ดำเนินการร่วมกับสถาบันการศึกษาและหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องในการจัดฝึกอบรมและพัฒนาทักษะดิจิทัลดังกล่าวในรูปแบบออนไลน์
เพื่อให้รองรับการพัฒนาได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึง รวมทั้งเร่งยกระดับทักษะดิจิทัลเพื่อการปฏิบัติงานเฉพาะด้านให้สอดคล้องกับแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลต่อไป
๒.
ให้สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน)
ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็น ข้อคิดเห็น ข้อสังเกต และข้อเสนอแนะของกระทรวงการคลัง
กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม
สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงาน ก.พ.
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน
และธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น ควรให้ความสำคัญกับการกำหนดมาตรฐานกลางข้อมูล (Data
Standard) โดยมีหน่วยงานกลางในการกำหนดมาตรฐานและกำกับดูแลการนำข้อมูลดังกล่าวมาใช้
ควรควบรวม (ร่าง) แผนแม่บทเพื่อการขับเคลื่อนพอร์ทัลกลางฯ และ (ร่าง)
แผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัลฯ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8490 | การพิจารณามีมติให้ข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ หรือผู้ปฏิบัติงานอื่นใดในหน่วยงานของรัฐ มาปฏิบัติงานที่สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ เป็นการชั่วคราว | อื่นๆ | 18/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. อนุมัติให้ข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่
หรือผู้ปฏิบัติงานอื่นใดในหน่วยงานของรัฐ มาปฏิบัติงานที่สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ
(สกมช.) เป็นการชั่วคราว ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติเสนอ
ดังนี้ ๑.๑ กรณีหน่วยงานต้นสังกัดมีหนังสืออนุญาตแล้ว
จำนวน ๔๑ คน จาก ๑๖ หน่วยงาน ให้ข้าราชการฯ เหล่านั้นมาปฏิบัติงานที่สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติเป็นการชั่วคราวภายใน
๑๘๐ วัน นับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเป็นต้นไป ๑.๒ กรณีหน่วยงานต้นสังกัดอยู่ระหว่างพิจารณาอนุญาต
จำนวน ๑๐ คน จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ข้าราชการฯ
เหล่านั้นมาปฏิบัติงานที่สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติเป็นการชั่วคราว
หากหน่วยงานต้นสังกัดมีหนังสืออนุญาตหลังจากคณะรัฐมนตรีมีมติแล้ว ทั้งนี้
ให้ถือว่าข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ หรือผู้ปฏิบัติงานอื่นใดในหน่วยงานของรัฐที่มาปฏิบัติงานที่สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติเป็นการชั่วคราวดังกล่าวนั้น
ไม่ขาดจากสถานภาพเดิมและคงได้รับเงินเดือนหรือค่าจ้างแล้วแต่กรณีจากสังกัดเดิม
ตามนัยมาตรา ๘๑ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ.
๒๕๖๒ ๒.
ให้สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. และสำนักงานอัยการสูงสุด
รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ.ร.
เกี่ยวกับค่าตอบแทนพิเศษสำหรับบุคลากรที่มาปฏิบัติงาน ซี่งจะต้องนำมาคำนวณรวมเป็นค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรของสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติด้วย
และควรกำหนดแนวทางการกำกับดูแล มอบหมายงาน
และติดตามประเมินผลการปฏิบัติงานของข้าราชการ รวมทั้งตัวชี้วัดผลการปฏิบัติงาน
ตลอดจนกรอบระยะเวลาที่จะให้ข้าราชการไปปฏิบัติงานเป็นการชั่วคราวให้มีความชัดเจน
นอกจากนี้ ในระยะยาว
ควรขออัตรากำลังข้าราชการเพื่อปฏิบัติงานในสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติเป็นการเฉพาะ
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8491 | รายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ปี 2563 และรายงานผลการปฏิบัติงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 (รายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ปี 2563) | สนง. กสม. | 18/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
๑. รับทราบรายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย
ปี ๒๕๖๓ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับสถานการณ์ปัญหาและอุปสรรคในด้านต่าง
ๆ ได้แก่ (๑) ด้านสิทธิมนุษยชนในสถานการณ์เฉพาะ (สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙
และสถานการณ์การชุมนุมเรียกร้องทางการเมืองของนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชน)
(๒) ด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (เช่น สิทธิในกระบวนการยุติธรรม
การกระทำทรมาน การบังคับให้สูญหาย และนักปกป้องสิทธิมนุษยชน (๓)
ด้านสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (สิทธิแรงงาน สิทธิด้านสุขภาพ
สิทธิด้านการศึกษา สิทธิชุมชนในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน) และ (๔) ด้านสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของบุคคล (สิทธิเด็ก
สิทธิผู้สูงอายุ สิทธิคนพิการ สิทธิสตรีและความเสมอภาคทางเพศ
และผู้มีปัญหาสถานะและสิทธิ) และรายงานผลการปฏิบัติงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๓ ซึ่งมีภารกิจที่สำคัญ ได้แก่ (๑) การตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน (๒) การเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน (๓)
การชี้แจงและรายงานข้อเท็จจริงที่ถูกต้องในกรณีที่มีรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทยโดยไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นธรรม (๔)
การสร้างเสริมทุกภาคส่วนของสังคมให้ตระหนักถึงความสำคัญของสิทธิมนุษยชน และ (๕)
การบริหารจัดการและการพัฒนาองค์กร ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข
พิจารณาดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติที่ปรากฏในรายงานผลการประเมินสถานการณ์ฯ แล้วแจ้งให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป ๒. ให้ส่งความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงยุติธรรม กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานอัยการสูงสุด
ให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเพื่อพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8492 | การบริหารจัดการการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) | นร. | 18/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีเห็นว่า ตามมติตณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่
๗ เมษายน ๒๕๖๓ และวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๖๔ กำหนดให้การบริหารจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ (COVID-19) เป็นวาระแห่งชาติ
และให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักเร่งบูรณาการการดำเนินการร่วมกับหน่วยงานต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การจัดหา การกระจาย และการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกัน COVID-19 เป็นไปอย่างรวดเร็ว เหมาะสม ทั่วถึง
ตามลำดับความจำเป็นเร่งด่วน
รวมทั้งให้ร่วมกันรณรงค์สร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นและเข้ารับการฉีดวัคซีน
และเพื่อให้การบริหารจัดการการฉีดวัคซีนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันมากยิ่งขึ้น
จึงมีมติให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ ๑. ให้กระทรวงสาธารณสุขปรับปรุงแอปพลิเคชันหมอพร้อมให้สามารถแสดงข้อมูลที่ชัดเจนและรวดเร็ว
(Immediate response) แก่ผู้ใช้งานแอปพลิเคชันดังกล่าว โดยเฉพาะความชัดเจนของข้อมูลในการลงทะเบียนเพื่อขอรับการฉีดวัคซีน
การให้ข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินการในขั้นตอนต่อไป
ทั้งกรณีที่การลงทะเบียนขอรับการฉีดวัคซีนสำเร็จและไม่สำเร็จ เช่น
กำหนดวันและเวลาในการลงทะเบียนใหม่ หรือวันที่จะได้รับการฉีดวัคซีนที่แน่นอน
ทั้งนี้ เมื่อประชาชนได้รับการยืนยันสิทธิในการเข้ารับการฉีดวัคซีนแล้ว
ไม่ควรมีการปรับเปลี่ยนหรือยกเลิก
เว้นแต่กรณีที่มีเหตุจำเป็นที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขจัดทำแผนการบริหารจัดการวัคซีน
แต่ให้สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสมกับปริมาณวัคซีนที่ได้รับจริงและสถานการณ์ที่อาจเปลี่ยนแปลงไป
โดยให้แบ่งเป็น แผนหลัก ที่ใช้ข้อมูลปริมาณวัคซีนที่มีอยู่ ณ ปัจจุบัน และแผนสำรอง
ที่ใช้ข้อมูลปริมาณวัคซีนที่อาจเพิ่มขึ้นหรือลดลงในระยะต่อไป โดยจัดทำในรูปแบบของ Dashboard (การนำเสนอข้อมูลในรูปแบบที่กระชับ
ทันสมัย และเข้าใจง่าย เช่น แผนภาพ แผนภูมิ เป็นต้น) เพื่อให้สามารถกำกับ ติดตาม
และบริหารการจัดหาและจัดสรรวัคซีนให้เป็นไปอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้
การฉีดวัคซีนยึดตามกลุ่มเสี่ยงและประชาชนที่ลงทะเบียนในแอปพลิเคชันหมอพร้อมเป็นหลัก
ในส่วนของการลงทะเบียนขอรับการฉีดวัคซีน ณ จุดบริการ (On-site
registration) จะเป็นกรณีเสริมเท่านั้น
โดยให้มีการจัดระบบและเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ ให้ชัดเจน เช่น
การประชาสัมพันธ์ข้อมูล การจัดเตรียมสถานที่ฉีดวัคซีน
และสถานที่พักคอยที่ต้องเหมาะสมและไม่แออัด ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขและคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค
COVID-19 และการวัคซีนของประชาชนอย่างใกล้ชิด
เพื่อให้กระทรวงศึกษาธิการประเมินความพร้อมในการเปิดภาคการศึกษาของสถานศึกษาต่าง ๆ
ในแต่ละพื้นที่ รวมทั้งกำหนดมาตรการที่จำเป็นในการแก้ไขปัญหาและป้องกันการแพร่ระบาดของโรค
COVID-19 ต่อไป ๔. ให้ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) (ศบค.)
เป็นหน่วยงานหลักในการให้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับวัคซีน
ซึ่งจะต้องเป็นข้อมูลข่าวสารที่ได้ข้อยุติแล้วจาก ศบค. เพื่อลดความสับสนของประชาชน
รวมทั้งให้ปรับปรุงรูปแบบสื่อสารในช่องทางต่าง ๆ
ให้กระชับและเข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้นด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8493 | ขออนุมัติจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากโครงการฝายหัวนา | กษ. | 18/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติจ่ายเงินค่าทดแทนกรณีที่ดินมีเอกสารสิทธิ จำนวน ๘๒ แปลง เนื้อที่ ๔๒๒-๑-๑๕
ไร่ ในอัตราไร่ละ ๑๒๕,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๕๒,๗๘๕,๙๓๗.๕๐ บาท
และกรณีที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ จำนวน ๒๒ แปลง เนื้อที่ ๒๐๖-๒-๐๒ ไร่ ในอัตราไร่ละ
๔๕,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๙,๒๙๒,๗๒๕ บาท ให้แก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากโครงการฝายหัวนา
จังหวัดศรีสะเกษ ที่ผ่านการตรวจสอบและเห็นชอบโดยคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาโครงการฝายหัวนา
จังหวัดศรีสะเกษ และคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาโครงการฝายหัวนา จังหวัดศรีสะเกษ
เฉพาะกลุ่มโนนสัง กลุ่มราษีไศล และกลุ่มกำนันผู้ใหญ่บ้าน รวมทั้งสิ้น ๑๐๔ แปลง
เนื้อที่ ๖๒๘-๓-๑๗ ไร่ เป็นเงิน ๖๒,๐๗๘,๖๖๒.๕๐ บาท โดยกรมชลประทานจะปรับแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ มาดำเนินการในเรื่องดังกล่าว
รวมทั้งอนุมัติการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบและกำกับดูแลการจ่ายเงินค่าทดแทน
จังหวัดศรีสะเกษ จำนวน ๑๙ ราย โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ เป็นประธาน
เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลการจ่ายเงินและจำนวนเงินค่าทดแทนให้ถูกต้องครบถ้วนตรงตามบัญชีรายละเอียดผลการตรวจสอบร่องรอยการทำประโยชน์ที่ดินที่ได้รับผลกระทบจากโครงการฝายหัวนา
อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ ตามที่คณะกรรมการแก้ไขปัญหาโครงการฝายหัวนาเสนอ สำหรับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากการขายหรือแบ่งขายที่ดินที่มีเอกสารสิทธิจะก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมกับผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากการขายอสังหาริมทรัพย์ในกรณีอื่น
ดังนั้น กรณีราษฎรผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการฝายหัวนาตกลงขายที่ดินให้แก่กรมชลประทานต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและต้องถูกหักภาษี
ณ ที่จ่าย ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๒.
ให้คณะกรรมการแก้ไขปัญหาโครงการฝายหัวนาและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) รับความเห็นของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เช่น
การจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากโครงการฝายหัวนาต้องไม่เป็นการจ่ายเงินค่าทดแทนซ้ำซ้อนกับการจ่ายเงินค่าทดแทนโครงการเขื่อนหัวนา
จังหวัดศรีสะเกษ ที่ดำเนินการโดยกรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงาน
กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม (ในขณะนั้น)
การเร่งแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบและเดือดร้อนจากโครงการฝ่ายหัวนาโดยพึงระวังการเทียบเคียงกับหลักเกณฑ์ค่าชดเชยในพื้นที่อื่น
ๆ การติดตามมาตรการต่าง ๆ ทุก ๕ ปี
เพื่อประมวลผลและรายงานความก้าวหน้าเสนอให้คณะรัฐมนตรีทราบ
และการกำหนดแนวทางการชดเชยเยียวยาเพื่อป้องกันมิให้เกิดการแก้ไขปัญหาในลักษณะเดียวกันสำหรับการพัฒนาโครงการอื่น
ๆ ในอนาคต เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓.
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์กลางในการให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโครงการชลประทานของรัฐในกรณีต่าง
ๆ เช่น กรณีที่ดินมีเอกสารสิทธิ กรณีที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ เป็นต้น
รวมทั้งกำหนดประเภทและวิธีการคำนวณอัตราค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง เช่น ค่าเยียวยา
ค่าขนย้ายเป็นต้น ให้ชัดเจน และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ทั้งนี้
เพื่อให้การให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโครงการประทานต่าง ๆ
ของรัฐมีบรรทัดฐานเดียวกันและเกิดความเหมาะสมเป็นธรรมกับทุกฝ่าย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8494 | การดำเนินการเกี่ยวกับการจัดตั้งสถาบันการดับเพลิงและบรรเทาสาธารณภัย | มท. | 18/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบผลการศึกษาแนวทางการจัดตั้งสถาบันการดับเพลิงและบรรเทาสาธารณภัย
โดยผลการศึกษาพบว่า ไทยควรจัดตั้งสถาบันฯ ในลักษณะการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐ
(กำกับดูแล) และภาคเอกชน (ลงทุนจัดตั้งสถาบันฯ) โดยให้นำมาตรฐานความปลอดภัย National
Fire Protection Association (NFPA) มาปรับใช้
(เป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับและนำมาใช้ในกระบวนการก่อสร้างและบริหารจัดการอาคารให้มีความปลอดภัย)
ดังนั้น จึงเห็นควรทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๔๗ (เรื่อง
การขออนุมัติโครงการพัฒนาระบบบริหารและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของกรุงเทพมหานคร)
เพื่อให้สอดคล้องกับผลการศึกษาดังกล่าว โดยเปลี่ยนแปลงทางการจัดตั้งสำนักงานฯ จาก
ให้ดำเนินการโดยใช้งบประมาณของส่วนราชการ เป็น
ให้ดำเนินการด้วยการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน
โดยให้เอกชนลงทุนในการจัดตั้งสถาบันฯ และดำเนินการจัดการเรียนการสอนการฝึกอบรมภายในระยะเวลาที่ได้รับสิทธิดำเนินการ
และให้กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย)
ให้การสนับสนุนการดำเนินการและกำกับมาตรฐานการฝึกอบรม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒. อนุมัติในหลักการให้มีการจัดตั้งสถาบันการดับเพลิงและบรรเทาสาธารณภัย
และให้กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย)
รับไปพิจารณารายละเอียดในประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ร่วมกับกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน
รวมทั้งการดำเนินการตามกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย เช่น
พระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. ๒๕๖๒
พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ พระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เป็นต้น ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทย
(กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม
กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และประธานกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน เช่น
ควรพิจารณาเหตุผลความจำเป็น เร่งด่วน และความซ้ำซ้อนของภารกิจกับหน่วยงานอื่น
ควรคำนึงถึงหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินโครงการร่วมทุนที่กำหนดตามนัยมาตรา ๗
และมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. ๒๕๖๒ และควรนำผลการศึกษาไปศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อประกอบการเสนอขอร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8495 | รายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ปี 2563 และรายงานผลการปฏิบัติงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 (รายงานผลการปฏิบัติงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563) | สนง. กสม. | 18/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
๑. รับทราบรายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย
ปี ๒๕๖๓ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับสถานการณ์ปัญหาและอุปสรรคในด้านต่าง
ๆ ได้แก่ (๑) ด้านสิทธิมนุษยชนในสถานการณ์เฉพาะ (สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-๑๙
และสถานการณ์การชุมนุมเรียกร้องทางการเมืองของนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชน)
(๒) ด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (เช่น สิทธิในกระบวนการยุติธรรม
การกระทำทรมาน การบังคับให้สูญหาย และนักปกป้องสิทธิมนุษยชน (๓)
ด้านสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (สิทธิแรงงาน สิทธิด้านสุขภาพ
สิทธิด้านการศึกษา สิทธิชุมชนในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน) และ (๔) ด้านสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของบุคคล (สิทธิเด็ก
สิทธิผู้สูงอายุ สิทธิคนพิการ สิทธิสตรีและความเสมอภาคทางเพศ
และผู้มีปัญหาสถานะและสิทธิ) และรายงานผลการปฏิบัติงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๓ ซึ่งมีภารกิจที่สำคัญ ได้แก่ (๑) การตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน (๒) การเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน (๓)
การชี้แจงและรายงานข้อเท็จจริงที่ถูกต้องในกรณีที่มีรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทยโดยไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นธรรม (๔)
การสร้างเสริมทุกภาคส่วนของสังคมให้ตระหนักถึงความสำคัญของสิทธิมนุษยชน และ (๕)
การบริหารจัดการและการพัฒนาองค์กร ตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข
พิจารณาดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติที่ปรากฏในรายงานผลการประเมินสถานการณ์ฯ แล้วแจ้งให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบต่อไป ๒. ให้ส่งความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงยุติธรรม กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานอัยการสูงสุด
ให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเพื่อพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8496 | มาตรการการรับมือฤดูฝน ปี 2564 | นร.14 | 18/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. รับทราบมาตรการการรับมือฤดูฝน
ปี ๒๕๖๔
และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติการตามมาตรการดังกล่าวเพื่อดำเนินการต่อไป ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ ทั้งนี้
ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
เกี่ยวกับการจัดทำแผนการใช้พื้นที่ลุ่มต่ำ/แก้มลิง การจัดทำแผนการชดเชยให้แก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการผันน้ำเข้าทุ่ง
และดำเนินการขุดลอกคูคลองและกำจัดวัชพืช ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. การดำเนินการในปีต่อ ๆ ไป
ให้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติและสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเร่งบูรณาการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการกำหนดมาตรการหรือแผนบริหารจัดการน้ำในฤดูแล้งและฤดูฝนให้เหมาะสม
สอดคล้องกับสถานการณ์และแผ่นแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ๒๐ ปี (พ.ศ.
๒๕๖๑-พ.ศ. ๒๕๘๐) โดยให้แล้วเสร็จโดยเร็ว แล้วให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8497 | ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองเชียงใหม่ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองเชียงใหม่ พ.ศ. 2555) | มท. | 18/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย
เรื่อง
การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองเชียงใหม่ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองเชียงใหม่
พ.ศ. ๒๕๕๕ เพื่อแก้ไขเพิ่มเติมข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินบางประเภท
ตลอดจนปรับปรุงบัญชีท้ายกฎกระทรวงเพื่อกำหนดให้การประกอบกิจการโรงงานดำเนินการได้อย่างเหมาะสมกับสภาพการณ์ปัจจุบัน
ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการผังเมือง
พ.ศ. ๒๕๖๒ แล้ว และคณะกรรมการผังเมืองได้มีมติเห็นชอบด้วยแล้ว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
และให้กระทรวงมหาดไทยแก้ไขบทอาศัยอำนาจ เป็น “มาตรา ๕ วรรคหนึ่ง มาตรา ๓๓ วรรคหนึ่ง
และมาตรา ๑๑๑ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. ๒๕๖๒” เพื่อความถูกต้องก่อนประกาศใช้บังคับ
ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
จะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย กฎหรือระเบียบ และความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาล เกิดผลสัมฤทธิ์ หรือประโยชน์ต่อภาครัฐและประชาชนเป็นสำคัญ
และกรมโยธาธิการและผังเมืองควรกำกับดูแลให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของประกาศกระทรวงมหาดไทยดังกล่าวอย่างเข้มงวดต่อไป
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8498 | รัฐบาลสาธารณรัฐบุรุนดีเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐบุรุนดีประจำประเทศไทย (นางสแตลา บูว์ดีรีก็องยา) | กต. | 18/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสแตลา บูว์ดีรีก็องยา) (Mrs. Stella Budiriganya) ให้ดำรงเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐบุรุนดีประจำประเทศไทยคนใหม่
โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย สืบแทน นายเกเบรียล ซาบูชิมิเก (Mr. Gabriel Sabushimike) ซึ่งครบวาระการดำรงตำแหน่ง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8499 | การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (1. นายพสุ โลหารชุน) | กค. | 18/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย
รวม ๔ คน เนื่องจากประธานกรรมการและกรรมการอื่นเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสามปี
โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๘ พฤษภาคม ๒๕๖๔) เป็นต้นไป
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑. นายพสุ โลหารชุน ประธานกรรมการ ๒. นายดามพ์
สุคนธทรัพย์ กรรมการ ๓. นายคณิทธิ์
สว่างวโรรส กรรมการ
๔. นายสุวัฒน์
กมลพนัส กรรมการ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8500 | ขอความเห็นชอบวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2564 ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | กค. | 18/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกรอบวงเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ
ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๔ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย จำนวน ๒,๘๘๖.๖๔๗ ล้านบาท
ตามมติคณะกรรมการเงินอุดหนุนบริการสาธารณะ ในคราวประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๖๓
เมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๖๓ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้
ให้การรถไฟแห่งประเทศไทยรายงานให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลังทราบในโอกาสแรกด้วย
เพื่อสำนักงานเศรษฐกิจการคลังจะได้จัดเก็บข้อมูลยอดคงค้างให้เป็นไปตามข้อเท็จจริงต่อไป
และให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรมอบหมายให้กระทรวงคมนาคม
(การรถไฟแห่งประเทศไทย)
พิจารณาดำเนินการจัดทำต้นทุนการให้บริการที่ถูกต้องและได้มาตรฐานอย่างแท้จริง
เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะได้อย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น
รวมทั้งจัดทำรายงานผลการให้บริการสาธารณะให้เป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนด
เพื่อให้การเบิกจ่ายเงินอุดหนุนบริการสาธารณะเป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
ประจำปีงบประมาณที่กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|