ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 429 จากทั้งหมด 6201 หน้า แสดงรายการที่ 8561 - 8580 จากข้อมูลทั้งหมด 124009 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
8561 | ร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. .... | กค. | 05/05/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยเพิ่มข้อความนัยข้อ ๒๗ วรรคหก แห่งระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๐ เป็น “การประชุมของคณะกรรมการตามวรรคหนึ่ง
อาจประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ก็ได้ ทั้งนี้
ให้เป็นไปตามแนวทางที่คณะกรรมการนโยบายกำหนด” ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
โดยให้แก้ไขชื่อและร่างข้อ ๑ โดยระบุเป็น (ฉบับที่ ..)
แก้ไขเพิ่มเติมคำปรารภของร่างระเบียบกระทรวงการคลัง จากเดิมที่กำหนดไว้ว่า
“โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุง...” แก้ไขเป็น “โดยที่สมควรแก้ไขเพิ่มเติม....”
และแก้ไขบทอาศัยอำนาจในการออกระเบียบกระทรวงการคลังให้เป็นไปตามมาตรา ๖๘ มาตรา ๗๘
มาตรา ๙๒ และมาตรา ๑๐๕ ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8562 | การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (นายกมล รอดคล้าย ) | ศธ. | 05/05/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้ง นายกมล รอดคล้าย
เป็นข้าราชการการเมือง ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
(นางกนกวรรณ วิลาวัลย์) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๕
พฤษภาคม ๒๕๖๔) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่ากระทรวงศึกษาธิการเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8563 | การกำหนดหลักเกณฑ์ด้านความประพฤติและมาตรฐานทางจริยธรรมสำหรับการจ้างงานในหน่วยงานของรัฐ | นร. | 05/05/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์และคุณสมบัติในการคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุเข้ารับราชการ
หรือจัดจ้างเป็นพนักงาน พนักงานราชการ ลูกจ้างของส่วนราชการ หรือหน่วยงานของรัฐ
ตามแต่กรณี ให้ครอบคลุมถึงความประพฤติและมาตรฐานทางจริยธรรมที่ถูกต้องดีงาม
เพื่อให้ได้มาซึ่งบุคลากรของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่มีความรู้ความสามารถ
มีความประพฤติเหมาะสม รวมทั้งคุณสมบัติในการเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ดี
ซึ่งจะมีส่วนช่วยแก้ไขปัญหาด้านจริยธรรมในภาคราชการและสังคมไทยในภาพรวมต่อไป
ทั้งนี้ ในการประเมินผลการปฏิบัติงานเพื่อเลื่อนเงินเดือน/ค่าตอบแทน
หรือเพื่อต่อสัญญาจ้าง
ให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐนำหลักเกณฑ์ด้านความประพฤติและมาตรฐานทางจริยธรรมดังกล่าวมาประกอบการพิจารณาด้วยอย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8564 | มาตรการช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) ระลอกใหม่ | กค. | 05/05/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบ อนุมัติ
และรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบมาตรการสินเชื่อสู้ภัย COVID-19 เพื่อเพิ่มสภาพคล่องชั่วคราวในการดำรงชีวิตให้แก่ประชาชนและบรรเทาความเดือดร้อนสำหรับผู้ได้รับผลกระทบจาก
COVID-19 โดยธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรสนับสนุนสินเชื่อวงเงินรวม
๒๐,๐๐๐ ล้านบาท แห่งละ ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ยคงที่ (Flat Rate) ไม่เกินร้อยละ ๐.๓๕ ต่อเดือน ระยะเวลากู้ไม่เกิน ๓ ปี (ปลอดชำระเงินต้นและดอกเบี้ย
๖ งวดแรก) โดยรัฐบาลชดเชยความเสียหายที่เกิดจากหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loans : NPLs)
ร้อยละ ๑๐๐ สำหรับ NPLs ที่ไม่เกินร้อยละ ๕๐
ของสินเชื่อที่อนุมัติ ๑.๒ อนุมัติงบประมาณวงเงินรวม ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท
จากงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อดำเนินมาตรการสินเชื่อสู้ภัย COVID-19 โดยมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๑.๓ รับทราบมาตรการการพักชำระหนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ
(Specialized Financial Institutions : SFIs) และรับทราบรายงานมาตรการการคลัง มาตรการการเงิน และมาตรการอื่น ๆ
ที่ได้ดำเนินการเพื่อดูแลและเยียวยาผู้ได้รับผลกระบจาก COVID-19 ๒.
ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น (๑)
ควรดำเนินการด้วยความรอบคอบ โปร่งใส
และระมัดระวังพิจารณาการดำเนินโครงการว่าอยู่ในขอบเขตที่รัฐสามารถรับภาระได้ทั้งในปัจจุบันและอนาคต
(๒)
ควรบริหารจัดการสินเชื่อให้สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
รวมทั้งเตรียมแนวทางสำหรับการบริหารจัดการสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ที่เกิดจากการดำเนินมาตรการในระยะต่อไป เพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับภาระค่าใช้จ่ายภาครัฐในอนาคต
และ (๓) ควรให้ความสำคัญกับการเตรียมแนวทางการดำเนินมาตรการในระยะต่อไป เพื่อรองรับสถานการณ์การระบาดที่อาจมีความยืดเยื้อมากกว่าที่คาดการณ์ไว้
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8565 | มาตรการบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนและผู้ประกอบการธุรกิจจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในระลอกเดือนเมษายน 2564 | นร.11 | 05/05/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
รับทราบตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอขอแก้ไขข้อความในหนังสือสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ด่วนที่สุด ที่ นร ๑๑๐๖/๒๗๑๓ ลงวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๔ หน้า ๘ ข้อ ๒.๒) จาก
ในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน ๒๕๖๔ และสามารถนำ e-Voucher ไปใช้จ่ายในเดือนสิงหาคมถึงธันวาคม ๒๕๖๔ ทั้งนี้
คาดว่าจะมีประชาชนเข้าร่วมโครงการฯ ประมาณ ๓๑ ล้านคน” เป็น
“...ในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงธันวาคม ๒๕๖๔ ทั้งนี้ คาดว่าจะมีประชาชนเข้าร่วมโครงการฯ
ประมาณ ๔ ล้านคน” ๒.
รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๒.๑
รับทราบการดำเนินมาตรการบรรเทาผลกระทบการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙
ที่ดำเนินการอยู่
โดยเห็นควรมอบหมายให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณาดำเนินการเลื่อนกรอบระยะเวลาการดำเนินโครงการเราเที่ยวด้วยกัน
ระยะที่ ๓ และโครงการทัวร์เที่ยวไทย
ออกไปจนกว่าสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ ในระลอกเดือนเมษายน
๒๕๖๔ จะคลี่คลายลงตามขั้นตอนของระเบียบและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒.๒
เห็นชอบในหลักการของข้อเสนอมาตรการบรรเทาผลกระทบของประชาชนและผู้ประกอบการธุรกิจจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ ในระลอกเดือนเมษายน ๒๕๖๔ และเห็นควรมอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบเร่งดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒.๓ เห็นควรให้การไฟฟ้านครหลวง
การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การประปานครหลวง และการประปาส่วนภูมิภาค
ดำเนินการตามมาตรการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน
(ไฟฟ้าและน้ำประปา)
โดยขอรับสนับสนุนแหล่งเงินเพื่อดำเนินตามมาตรการดังกล่าวภายใต้กรอบวงเงินรวมไม่เกิน
๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ตามขั้นตอนของพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา
และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ ต่อไป ๓.
ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8566 | โครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการยุติแหล่งผลิตยาเสพติดและทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 | ยธ. | 05/05/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
อนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑
โครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการยุติแหล่งผลิตยาเสพติดและทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ เพื่อสนับสนุนงบประมาณให้แก่ประเทศเพื่อนบ้าน จำนวน ๒๐
ล้านบาท ได้แก่ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา (๖.๐๒ ล้านบาท)
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (๘.๕๙ ล้านบาท) ราชอาณาจักรกัมพูชา (๒.๓๔ ล้านบาท)
และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (๓.๐๕ ล้านบาท)
โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
งบเงินอุดหนุนของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด
เพื่อนำไปใช้ในการปฏิบัติงานแก้ไขปัญหายาเสพติด จำนวน ๓ แผนงาน ได้แก่ (๑)
ปฏิบัติการสกัดกั้น ปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้น
และเคมีภัณฑ์ในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง : การจัดหา อุปกรณ์
เครื่องมือและยานพาหนะในการปฏิบัติการ และการจัดตั้งด่านตรวจถาวรในพื้นที่เป้าหมายสำคัญ
(๒) การพัฒนาระบบการประสานงานร่วมกันผ่านศูนย์ประสานงานแม่น้ำโขงปลอดภัย : ค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการศูนย์ประสานงานแม่น้ำโขงปลอดภัย
และ (๓) การเสริมสร้างประสิทธิผลของกลไกหมู่บ้าน/ชุมชนสีขาวปลอดภัยจากยาเสพติด : การสร้างความตระหนักรู้แก่ประชาชน ๑.๒
ให้เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดมีอำนาจอนุมัติโครงการ แผนงาน
และกิจกรรมภายใต้กรอบงบประมาณ งบเงินอุดหนุน
รายการโครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการยุติแหล่งผลิตยาเสพติดและทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
และสามารถจ่ายเงินงบประมาณสนับสนุนหน่วยงานกลางด้านยาเสพติดของประเทศเพื่อนบ้านแต่ละประเทศ
เพื่อให้มีการดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ตามที่ได้รับจัดสรร ๒.
ให้กระทรวงยุติธรรม (สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด)
รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เช่น (๑) การดำเนินโครงการฯ
จำเป็นต้องมีความร่วมมืออย่างต่อเนื่องและจริงจังเพื่อให้สามารถทำลายแหล่งผลิตได้ทั้งระบบและไม่เกิดแหล่งผลิตใหม่ในระยะยาว
(๒)
การดำเนินการเสริมสร้างประสิทธิผลของกลไกหมู่บ้าน/ชุมชนสีขาวปลอดภัยจากยาเสพติดที่มุ่งเน้นการเสริมสร้างความเข้มแข็งของหมู่บ้าน/ชุมชนตามแนวชายแดน
โดยเฉพาะในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวและราชอาณาจักรกัมพูชา เห็นควรขยายพื้นที่ดำเนินการในเมียนมาและเวียดนาม
เพื่อให้การดำเนินงานมีความครอบคลุมมากขึ้น เกิดประสิทธิภาพและมีความยั่งยืน
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓.
ให้กระทรวงยุติธรรม (สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด) กำกับ ติดตาม
และประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการยุติแหล่งผลิตยาเสพติดและทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ อย่างต่อเนื่อง
รวมทั้งกำหนดแนวทางในการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในเชิงรุก
เพื่อให้สามารถลดปริมาณการผลิตยาเสพติดในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำและการลักลอบนำยาเสพติดเข้ามาภายในประเทศได้มากยิ่งขึ้น |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8567 | ผลการประชุมหารือแนวทางความร่วมมือการจัดหาวัคซีนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน | นร.11 | 05/05/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบผลการประชุมหารือแนวทางความร่วมมือการจัดหาวัคซีนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน
เมื่อวันพุธที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๖๔ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และมีผู้เข้าร่วมการประชุม
ประกอบด้วย รองนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน ชาญวีรกูล และนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์)
ผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งเห็นชอบตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี
และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุม โดยที่ประชุมเห็นชอบแนวทางความร่วมมือการจัดหาวัคซีนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน
๔ ด้าน ประกอบด้วย (๑) ด้านการกระจายและฉีดวัคซีน
โดยใช้กลไกการทำงานของภาคเอกชนในการจัดสถานที่ฉีดวัคซีนและกระจายวัคซีนในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
และสำหรับพื้นที่ต่างจังหวัดจะดำเนินการผ่านกลไกคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน
(กรอ.) จังหวัดและกลุ่มจังหวัด พร้อมร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงมหาดไทยสำหรับการจัดเตรียมสถานที่และกระจายวัคซีน
รวมถึงอุปกรณ์และบุคลากรที่จะเข้ามาช่วยปฏิบัติงานในจุดต่าง ๆ (๒) ด้านการสร้างความเชื่อมั่นและประชาสัมพันธ์
โดยภาคเอกชนจะมีส่วนช่วยในการประชาสัมพันธ์เรื่องการจัดหาและบริหารวัคซีน
และสร้างความรับรู้แก่ประชาชนเรื่องการฉีดวัคซีนเพื่อให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น (๓)
ด้านการสนับสนุนระบบอำนวยความสะดวกระบบงานต่าง ๆ
โดยแอปพลิเคชันลงทะเบียนการฉีดวัคซีน “หมอพร้อม”
ภาคเอกชนจะมีส่วนในการสนับสนุนระบบเพิ่มเติมระหว่างการลงทะเบียนและการฉีดวัคซีน
และ (๔) ด้านการจัดหาวัดซีนเพิ่มเติม ให้กระทรวงสาธารณสุข
โดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
และองค์การเภสัชกรรมพิจารณาแนวทางการผ่อนคลายกระบวนการพิจารณาอนุญาตให้ใช้วัคซีนสำหรับกลุ่มเป้าหมาย
ที่อยู่ระหว่างประเมินข้อมูลประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวัคซีนเป็นกรณีฉุกเฉิน (Emergency Use Authority : EVA) เพื่อให้เกิดความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒.
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8568 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 งบกลาง ค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระยะการระบาดระลอกเมษายน 2564 | สธ. | 05/05/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
รับทราบและอนุมัติตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้ ๑.๑
รับทราบโครงการเตรียมความพร้อมรับมือและแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่ :
กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระยะการระบาดระลอกเมษายน ๒๕๖๔ ประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดการติดเชื้อใหม่ให้ไม่เกินศักยภาพที่ระบบสาธารณสุขรองรับได้
(Low Level transmission) และเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับประชากรในประเทศไทยไม่น้อยกว่าร้อยละ
๗๐ ของประชากรทั้งหมด โดยเฉพาะกลุ่มประชากรผู้สูงอายุ ผู้มีโรคร่วม
และกลุ่มเปราะบาง/ด้อยโอกาส ระยะเวลาดำเนินการเดือนเมษายน ๒๕๖๔ ถึงเดือนกันยายน
๒๕๖๔ งบดำเนินงานทั้งสิ้น ๑๒,๕๗๖,๖๒๙,๓๒๒ บาท ๑.๒ อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ งบกลาง ค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา
และเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙
ระยะการระบาดระลอกเมษายน ๒๕๖๔ จำนวนเงินทั้งสิ้น ๑๒,๕๗๖,๖๒๙,๓๒๒ บาท ๒.
ให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑
บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาคเอกชนเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (COVID-19) ให้อยู่ในวงจำกัดโดยเร็วที่สุด
และเพิ่มประสิทธิภาพในการคัดกรองระดับ/แยกประเภทผู้ป่วย
รวมทั้งการนำผู้ป่วยเข้าสู่ระบบการรักษาพยาบาลให้ทั่วถึงและรวดเร็วยิ่งขึ้น ๒.๒ ประเมินสถานการณ์ ตรวจสอบ และแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในขั้นตอนต่าง
ๆ เช่น การเฝ้าระวังโรค การเข้าตรวจโรค และการรักษาพยาบาล เป็นต้น
รวมทั้งให้จัดเตรียมแผนรองรับความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
เพื่อให้การบริหารจัดการวิกฤติในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
(COVID-19) เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน ๒.๓ เร่งรัดการดำเนินการกระจายวัคซีนไปยังกลุ่มเป้าหมายอย่างเป็นระบบ
รวดเร็ว ทั่วถึง และเป็นธรรม รวมทั้งให้สร้างความเข้าใจแก่ประชาชนให้มีความพร้อมในการเข้ารับการฉีดวัคซีนและการป้องกันโรคในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 (COVID-19) ที่ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้
ให้เผยแพร่ข้อมูลผลการดำเนินงานดังกล่าวสู่สาธารณชนเพื่อให้เกิดความโปร่งใสด้วย
๓.
ให้กระทรวงสาธารณสุขได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8569 | การยื่นขอเจรจาเพื่อจัดทำความตกลงเพื่อระงับการใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-Dumping: AD) และการอุดหนุน (Countervailing : CVD) สินค้าน้ำตาลที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศไทย ในรูปแบบการกำหนดราคาขั้นต่ำและ/หรือโควตาภาษี (Undertaking Agreement) | อก. | 05/05/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบการยื่นขอเจรจาเพื่อจัดทำความตกลงเพื่อระงับการใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด
(Anti-Dumping : AD) และการอุดหนุน (Countervailing
: CVD) สินค้าน้ำตาลที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศไทย
ในรูปแบบการกำหนดราคาขั้นต่ำและ/หรือโควตาภาษี (Undertaking Agreement) ตามร่างกรอบเจรจาจัดทำความตกลงเพื่อระงับการใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนสินค้าน้ำตาลที่มีแหล่งกำเนิดจากประเทศไทยกับสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม
ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ
และให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงพาณิชย์รับไปดำเนินการประสานผู้ประกอบการน้ำตาลในประเทศไทยที่ส่งออกน้ำตาลทรายไปยังสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม
จัดทำข้อมูลสนับสนุนเพื่อชี้แจงข้อกล่าวหารัฐบาลไทยให้การอุดหนุนสินค้าน้ำตาลที่ส่งออกไปสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม
ให้กรมคุ้มครองการค้าแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (TRAV) กระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าแห่งสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามรับไปพิจารณาโดยด่วน
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8570 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำห้วยสงสัย เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... | กษ. | 05/05/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำห้วยสงสัย
เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำห้วยสงสัย
ในท้องที่ตำบลเขากระปุก อำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี
เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทานจากผู้ใช้น้ำที่นำน้ำไปใช้เพื่อกิจการโรงงาน
การประปา หรือกิจการอื่นนอกจากภาคเกษตรกรรม เพื่อประโยชน์ในการควบคุมดูแลปริมาณน้ำ
และให้การใช้น้ำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
โดยเห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ตรวจสอบและแก้ไขชื่อผู้มีอำนาจลงนามแผนที่ท้ายกฎกระทรวงให้เป็นไปตามปัจจุบันด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8571 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการจ้างงานผู้พ้นโทษ) | กค. | 05/05/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการจ้างงานผู้พ้นโทษ)
มีสาระสำคัญเป็นการขยายระยะเวลาการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
เป็นจำนวนร้อยละห้าสิบของรายจ่ายที่ได้จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างงานผู้พ้นโทษที่ได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำเป็นระยะเวลาไม่เกิน
๓ ปี นับแต่วันที่ได้รับการปล่อยตัวเข้าทำงาน เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน ๑๕,๐๐๐
บาทต่อคนต่อเดือน โดยขอขยายระยะเวลาออกไปอีก ๑ ปี
ในรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๔ ถึงวันที่ ๓๑
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๔ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
รวมทั้งควรมีหน่วยงานทำหน้าที่คัดกรองและให้ใบรับรองผู้พ้นโทษที่มีความประพฤติดี เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ประกอบการ
และสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชน นอกจากนี้ ควรจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน
และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศตามนัยแห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ ต่อไป ตลอดจนติดตาม ประเมินผลสัมฤทธิ์
และรายงานผลการดำเนินงานตามมาตรการภาษีดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการในโอกาสแรกด้วย
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓.
ให้กระทรวงแรงงานร่วมกับกระทรวงยุติธรรมและกระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาดำเนินการจัดหาตำแหน่งว่างไว้เพื่อรองรับเพื่อให้ผู้พ้นโทษสามารถประกอบอาชีพได้หลังจากพ้นโทษแล้ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8572 | รายงานเหตุผลที่ไม่อาจดำเนินการออกระเบียบและประกาศตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 และการเสนอร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานและกิจการที่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 พ.ศ. .... | ดศ. | 05/05/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบรายงานเหตุผลที่ไม่อาจดำเนินการออกระเบียบและประกาศตามความในพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
พ.ศ. ๒๕๖๒ ได้ภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.
๒๕๖๒ ใช้บังคับ โดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรายงานว่า
เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล จึงทำให้ไม่สามารถดำเนินการออกประกาศหรือระเบียบเพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตามพระราชบัญญัติดังกล่าวได้
แต่อย่างไรก็ตาม
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้มีการจัดทำกฎหมายลำดับรองดังกล่าวแล้ว
โดยได้มีการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องด้วยแล้ว ทั้งนี้
เมื่อมีคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวแล้ว
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมจะได้เสนอร่างกฎหมายต่อไป
ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ๒.
เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานและกิจการที่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
พ.ศ. ๒๕๖๒ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการขยายระยะเวลาการใช้บังคับพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานและกิจการที่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
พ.ศ. ๒๕๖๒ พ.ศ. ๒๕๖๓ ออกไปอีก ๑ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๖๔ จนถึงวันที่ ๓๑
พฤษภาคม ๒๕๖๕
เพื่อเป็นการช่วยเหลือผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลซึ่งเป็นหน่วยงานและกิจการต่าง ๆ
ทั้งภาครัฐและเอกชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ
ซี่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๓.
ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเร่งรัดการดำเนินการเพื่อจัดทำกฎหมายลำดับรอง
หลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะเรื่องที่จำเป็นต้องมี
เมื่อกฎหมายมีผลบังคับใช้
และให้รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมกำกับสำนักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมทำหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลให้เร่งจัดทำกฎหมายลำดับรอง
หลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งเร่งสื่อสารทำความเข้าใจกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องและเตรียมความพร้อมรองรับ
เพื่อให้สามารถปฏิบัติได้ทันทีเมื่อกฎหมายมีผลบังคับใช้
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8573 | ขอความเห็นชอบให้การประปาส่วนภูมิภาคปรับขยายเพดานอัตราเงินเดือนขั้นสูงสุด ตามบัญชีโครงสร้างอัตราเงินเดือนระบบ 53 ขั้น | มท. | 05/05/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้การประปาส่วนภูมิภาคปรับขยายเพดานอัตราเงินเดือนขั้นสูงสุดของพนักงาน
จากเดิมขั้นที่ ๔๖.๕ อัตรา ๑๑๓,๕๒๐ บาท เป็นขั้นที่ ๕๓ อัตรา ๑๔๒,๘๓๐ บาท
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
และให้กระทรวงมหาดไทย (การประปาส่วนภูมิภาค) รับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
การปรับขยายเพดานอัตราเงินเดือนขั้นสูงสุด ตามบัญชีโครงสร้างอัตราเงินเดือนระบบ ๕๓
ขั้น ของการประปาส่วนภูมิภาค
ควรพิจารณาค่าใช้จ่ายบุคลากรให้มีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐ
โดยคำนึงถึงสถานะการเงิน ผลการดำเนินงานของกิจการ
มีการจัดทำแผนเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานหรือเพิ่มรายได้อย่างต่อเนื่อง
รวมทั้งแผนบริหารความเสี่ยงเพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นและไม่ก่อให้เกิดภาระแก่ประชาชน
ตลอดจนเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อภาระงบประมาณและเงินนำส่งรายได้แผ่นดิน รวมถึงฐานะทางการเงินในอนาคต
โดยคำนึงถึงหลักความคุ้มค่าและประหยัดในการใช้จ่ายงบประมาณ นอกจากนี้ การประปาส่วนภูมิภาคควรบริหารจัดการสภาพคล่องทางการเงินด้วยความรอบคอบและเตรียมความพร้อมขององค์กรเพื่อให้สามารถรองรับการดำเนินการตามมาตรการต่าง
ๆ ของรัฐบาลในการบรรเทาผลกระทบต่อประชาชน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8574 | แนวทางการเสนอร่างกฎกระทรวงต่อคณะรัฐมนตรีตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (ห้ามไม่ให้มีบทบัญญัติที่มีลักษณะเป็นการมอบอำนาจช่วงโดยกฎหมายแม่บทมิได้ให้อำนาจไว้) (ร่างกฎกระทรวงกำหนดการรับน้ำหนัก ความต้านทาน และความคงทนของอาคาร ตลอดจนลักษณะและคุณสมบัติของวัสดุที่ใช้ตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร พ.ศ. ....) | มท. | 05/05/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดการรับน้ำหนัก ความต้านทาน และความคงทนของอาคาร
ตลอดจนลักษณะและคุณสมบัติของวัสดุที่ใช้ตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกกฎกระทรวงฉบับที่ ๖ (พ.ศ. ๒๕๒๗) กฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๘
(พ.ศ. ๒๕๔๐) และกฎกระทรวง ฉบับที่ ๖๐ (พ.ศ. ๒๕๔๙)
ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ โดยกำหนดหลักเกณฑ์การรับน้ำหนัก
ความต้านทาน และความคงทนของอาคาร
ตลอดจนลักษณะและคุณสมบัติของวัสดุที่ใช้ให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีการก่อสร้างอาคารในปัจจุบัน
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงคมนาคมที่เห็นควรปรับปรุงการกำหนด ข้อ ๒๔ (๔) (ข)
ในร่างกฎกระทรวงฯ เป็น “ข้อ ๒๔ (๔) (ข) โครงหลังคาของอาคารตามวรรคหนี่งที่เป็นอาคารชั้นเดียวต้องมีอัตราการทนไฟไม่น้อยกว่าหนึ่งชั่วโมง
และหากเป็นอาคารตั้งแต่สองชั้นขึ้นไป ต้องมีอัตราการทนไฟไม่น้อยกว่าสองชั่วโมง
และโครงสร้างเสาที่รับน้ำหนักโครงหลังคาเพียงอย่างเดียวต้องมีอัตราการทนไฟไม่น้อยกว่าสองชั่วโมง
เว้นแต่โครงสร้างหลังคาในกรณีใดกรณีหนึ่งดังต่อไปนี้ ที่ไม่ต้องมีอัตราการทนไฟ”
ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
กระทรวงมหาดไทย (กรมโยธาธิการและผังเมือง) ควรเร่งประชาสัมพันธ์สร้างความรู้ความเข้าใจให้กับภาคส่วนต่าง
ๆ อาทิ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนด้านวิศวกรรม
และสภาผู้ประกอบวิชาชีพที่เกี่ยวข้องทราบ
เพื่อใช้ประกอบการออกแบบทางวิศวกรรมภายหลังจากกฎกระทรวงดังกล่าวใช้บังคับ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓.
ให้หน่วยงานของรัฐผู้เสนอร่างกฎกระทรวงถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเกี่ยวกับการเสนอร่างกฎกระทรวงจะต้องไม่มีบทบัญญัติที่มีลักษณะเป็นการมอบอำนาจช่วงโดยกฎหมายแม่บทมิได้ให้อำนาจไว้
ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8575 | (ร่าง) แผนปฏิบัติการด้านคนหาย คนนิรนามและศพนิรนาม ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2563 - 2565) | ยธ. | 05/05/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. อนุมัติ (ร่าง)
แผนปฏิบัติการด้านคนหาย คนนิรนามและศพนิรนาม ระยะที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๖๓-๒๕๖๕)
และเห็นชอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามที่ได้กำหนดไว้ใน (ร่าง) แผนปฏิบัติการฯ
แปลงแผนไปสู่การปฏิบัติงานของหน่วยงาน
เพื่อขับเคลื่อนและปฏิบัติตามภารกิจการปฏิบัติงานด้านคนหาย คนนิรนามและศพนิรนาม
ตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ใน (ร่าง) แผนปฏิบัติการฯ โดยให้รายงานผลการปฏิบัติตาม
(ร่าง) แผนปฏิบัติการฯ เมื่อสิ้นปีงบประมาณ ปีละ ๑ ครั้ง
(ระหว่างเดือนตุลาคม-ธันวาคม ของทุกปี) และมอบหมายให้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์
กระทรวงยุติธรรม รับผิดชอบกำหนดแนวทาง วิธีการรายงานผล
และกำหนดแบบรายงานผลการดำเนินงาน
พร้อมแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับทราบและถือปฏิบัติ ซึ่ง (ร่าง) แผนปฏิบัติการฯ
จัดทำขึ้นเพื่อใช้เป็นกรอบทิศทางในการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านคนหาย
คนนิรนามและศพนิรนาม โดยมีการกำหนดแผนปฏิบัติราชการ และโครงการต่าง ๆ
เพื่อขับเคลื่อน (ร่าง) แผนปฏิบัติการฯ ให้บรรลุตามวัตถุประสงค์
และเกิดผลสัมฤทธิ์ตามที่ได้กำหนดไว้ ได้แก่ (๑) พัฒนามาตรฐานและระบบงานที่มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับในระดับสากล
: โครงการพัฒนามาตรการจัดเก็บข้อมูลการตรวจพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลด้านคนหาย
คนนิรนามและศพนิรนาม (๒)
เสริมสร้างความเข้มแข็งของภาคีเครือข่ายความร่วมมือในการปฏิบัติงาน : โครงการบูรณาการความร่วมมือในการตรวจพิสูจน์คนหาย
คนนิรนามและศพนิรนาม (๓) พัฒนาและเชื่อมโยงฐานข้อมูลขนาดใหญ่ :
โครงการจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีด้านการจัดการข้อมูลคนหาย คนนิรนามและศพนิรนาม และ
(๔) พัฒนากฎหมายให้รองรับกับการเปลี่ยนแปลง : โครงการพัฒนากฎหมายด้านคนหาย
คนนิรนามและศพนิรนาม โดยมีกรอบวงเงินในการดำเนินการรวมทั้งสิ้น ๒๖๗.๘๙ ล้านบาท
ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้กระทรวงยุติธรรม สถาบันนิติวิทยาศาสตร์
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข สำนักนายกรัฐมนตรี
(สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี) สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และข้อเสนอแนะของสำนักข่าวกรองแห่งชาติ เช่น
ควรมีหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบในกรณีการติดตามคนหาย
โดยเฉพาะในกรณีเด็กและเยาวชนสูญหายโดยตรง
และควรมีแผนการดำเนินงานบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วย
และควรเปิดช่องทางให้ความรู้ ขั้นตอนการแจ้งเหตุ การติดต่อสื่อสาร
และการติดตามความคืบหน้าให้ประชาชนสามารถเข้าถึงโดยง่าย สะดวก รวดเร็ว เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ในส่วนของค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นเพื่อขับเคลื่อน
(ร่าง) แผนปฏิบัติการฯ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ให้กระทรวงยุติธรรม
สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
โอนงบประมาณรายจ่าย โอนเงินจัดสรร หรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร แล้วแต่กรณี
สำหรับค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป
ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีของหน่วยงานตามความจำเป็นและเหมาะสม
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8576 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยงานสารบรรณ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ร่างภาคผนวก 6 หลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติในการรับส่งและเก็บรักษาข้อมูลข่าวสารและหนังสือราชการด้วยระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ และร่างภาคผนวก 7 หลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติในการรับส่งและเก็บรักษาข้อมูลข่าวสารและหนังสือราชการโดยไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ | นร.01 | 05/05/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
ว่าด้วยงานสารบรรณ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ร่างภาคผนวก ๖
หลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติในการรับส่งและเก็บรักษาข้อมูลข่าวสารและหนังสือราชการด้วยระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์
และร่างภาคผนวก ๗
หลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติในการรับส่งและเก็บรักษาข้อมูลข่าวสารและหนังสือราชการโดยไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์
ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยงานสารบรรณ
พ.ศ. ๒๕๒๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
โดยกำหนดให้ส่วนราชการต้องปฏิบัติงานสารบรรณด้วยระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์เป็นหลัก
และกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการสำหรับการปฏิบัติงานสารบรรณด้วยระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์และโดยไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์
เพื่อรองรับและสนับสนุนการปฏิบัติงานสารบรรณทางอิเล็กทรอนิกส์ให้มีมาตรฐานที่ชัดเจนและสอดคล้องกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป
เพิ่มประสิทธิภาพ ความรวดเร็ว และความมั่นคงปลอดภัยในการดำเนินงานของภาครัฐ
รวมทั้งเพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวกในการติดต่อกับส่วนราชการ
ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8577 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุม ครั้งที่ 13/2564 และครั้งที่ 14/2564 | นร.11 | 05/05/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบและอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ในคราวประชุมครั้งที่ ๑๓/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๖๔ และครั้งมที่ ๑๔/๒๕๖๔
เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๔ ซึ่งได้พิจารณาอนุมัติโครงการส่งเสริมอาชีพและการสร้างงาน
สร้างรายได้แก่ผู้พิการ ผู้ดูแลคนพิการหรือครอบครัว ทั้ง ๗ ประเภท
และมอบหมายให้กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
เป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการ อนุมัติให้กรมการท่องเที่ยว
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดน่าน กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัย และนวัตกรรม ปรับปรุงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการ และอนุมัติให้จังหวัดภูเก็ตยกเลิกการดำเนินกิจกรรมที่
๓ การก่อสร้างแหล่งน้ำในไร่นาเกษตรแบบมีส่วนร่วม
ภายใต้โครงการส่งเสริมเพิ่มประสิทธิภาพการเกษตรผสมผสานโดยจัดระบบอนุรักษ์ดินและน้ำตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง
และให้จังหวัดยโสธรยกเลิกการดำเนินโครงการย่อยที่ ๓ ปลูกพืชหลังนา ภายใต้
โครงการส่งเสริมกลุ่มเกษตรกรในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและพัฒนาตลาดสินค้าเกษตร
และยุติการดำเนินโครงการการจัดการอาหารสัตว์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเลี้ยงโคเนื้อ
รวมทั้งรับทราบรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานของโครงการภายใต้แผนงานสร้างความเข้มแข็งแก่เศรษฐกิจฐานราก
ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ
และให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น การเร่งรัดการใช้จ่ายให้เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่าย
การให้ความสำคัญกับระบบการติดตามและประเมินผลให้ทันต่อสถานการณ์
และการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ กฎหมาย
ข้อบังคับ และระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒.
ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8578 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการบริจาคเพื่อจัดหาวัคซีน) | กค. | 05/05/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการบริจาคเพื่อจัดหาวัคซีน)
มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้และภาษีมูลค่าเพิ่ม
ให้แก่บุคคลธรรมดาและบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
สำหรับการบริจาคเงินหรือทรัพย์สินให้แก่สถาบันวัคซีนแห่งชาติ
เพื่อสนับสนุนการวิจัย การพัฒนา การผลิต
และการกระจายวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙
และโรคติดต่ออื่นให้มีคุณภาพและปริมาณเพียงพอทั้งในภาวะปกติและภาวะฉุกเฉิน
ที่ได้กระทำตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๔ ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๖
เพื่อจูงใจให้มีการบริจาคเงินหรือทรัพย์สินเพื่อนำไปใช้ในการปฏิบัติภารกิจของสถาบันวัคซีนแห่งชาติ
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว
และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าว
รวมถึงสถานการณ์ ความจำเป็นและประโยชน์ที่จะได้รับให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
รวมทั้งควรจัดทำรายงาน
เปรียบเทียบประโยชน์ที่ได้รับจากการดำเนินกิจกรรมหรือมาตรการที่ก่อให้เกิดภาระทางการคลังในอนาคตที่มีการดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน
และการสูญเสียรายได้ที่เกิดขึ้นจริง และรายงานต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาปรับเปลี่ยนการดำเนินกิจกรรมหรือมาตรการให้มีความสอดคล้องกับเงื่อนไขและสภาพแวดล้อมทางการคลังที่เริ่มมีข้อจำกัดมากขึ้น
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓.
ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8579 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (1. นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ 2. นายวิทยากร มณีเนตร) | พณ. | 05/05/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ
สังกัดกระทรวงพาณิชย์ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๒ ราย
เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ทั้งนี้
ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า
ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒.
นายวิทยากร มณีเนตร
รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง
สำนักงานปลัดกระทรวง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
8580 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (1. นายยุทธนา สาโยชนกร) | นร.07 | 05/05/2564 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ
สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน ๓ ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์
ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.
นายยุทธนา สาโยชนกร ผู้อำนวยการกอง
(ผู้อำนวยการระดับสูง) กองจัดทำงบประมาณด้านเศรษฐกิจ ๒ สำนักงบประมาณ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ
(นักวิเคราะห์งบประมาณทรงคุณวุฒิ) สำนักงบประมาณ
ตั้งแต่วันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๓ ๒.
นายพยุงศักดิ์ ครเจริญ ที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ
(นักวิเคราะห์งบประมาณเชี่ยวชาญ) สำนักงบประมาณ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ
(นักวิเคราะห์งบประมาณทรงคุณวุฒิ) สำนักงบประมาณ ตั้งแต่วันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๖๓ ๓.
นายบุญชู ประสพกิจถาวร
ที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ (นักวิเคราะห์งบประมาณเชี่ยวชาญ) สำนักงบประมาณ ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ
(นักวิเคราะห์งบประมาณทรงคุณวุฒิ) สำนักงบประมาณ ตั้งแต่วันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๖๓
|