ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1520 จากทั้งหมด 6223 หน้า แสดงรายการที่ 30381 - 30400 จากข้อมูลทั้งหมด 124459 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 30381 | รายงานผลการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 ณ วันที่ 30 กันยายน 2554 | นร | 07/08/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงบประมาณรายงานผลการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ (๑ ตุลาคม ๒๕๕๓ ถึง ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔) ซึ่งจากการติดตามผลการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณฯ มีข้อค้นพบปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะในภาพรวม ทำให้ผลการดำเนินงานไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ในแผนการปฏิบัติงานที่สำคัญ ดังนี้
๑. การกำหนดผลผลิต/โครงการ กิจกรรม และตัวชี้วัดในระดับหน่วยงาน ยังไม่สามารถสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมโยงสอดคล้องไปถึงเป้าหมายและผลลัพธ์ในระดับกระทรวงและระดับยุทธศาสตร์ชาติ หน่วยงานที่มีปัญหาควรทบทวนการกำหนดผลผลิต/โครงการ กิจกรรม และตัวชี้วัดในแต่ละระดับให้ชัดเจนและเป็นรูปธรรม สามารถวัดถึงผลสำเร็จของการดำเนินงานได้อย่างแท้จริง ๒. การจัดซื้อจัดจ้างด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Auction) มีขั้นตอนที่ต้องดำเนินการให้ครบถ้วน ใช้ระยะเวลานาน รวมทั้งบางครั้งไม่สามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในครั้งเดียว ทำให้ต้องเริ่มกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างล่าช้า หน่วยงานที่มีปัญหาควรเตรียมความพร้อมของงานก่อนที่จะดำเนินการและวางแผนการจัดซื้อจัดจ้างล่วงหน้าให้ชัดเจน เป็นรูปธรรม และสามารถปฏิบัติได้ ๓. ช่วงระยะเวลาในการก่อสร้างไม่เหมาะสม อยู่ในช่วงฤดูฝนหรือฤดูกาลเพาะปลูก รวมทั้งสภาพแวดล้อมและภูมิอากาศที่ไม่เอื้อต่อการก่อสร้าง มีการแก้ไขแบบรูปรายการ แก้ไขสัญญาจ้าง ผู้รับจ้างขาดสภาพคล่อง/ละทิ้งงาน/บอกเลิกสัญญา ต้องหาผู้รับจ้างใหม่ และการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินมีความล่าช้า หน่วยงานที่มีปัญหาควรกำหนดแผนการปฏิบัติงานในแต่ละช่วงเวลาให้สอดคล้องกับการดำเนินงานจริงและควรตรวจสอบผลการปฏิบัติงานในแต่ละช่วงเวลาเป็นระยะ ๆ เพื่อเป็นเครื่องมือในการติดตาม/เร่งรัดการปฏิบัติงาน ๔. การจัดซื้อวัสดุ อุปกรณ์ และครุภัณฑ์ที่มีความจำเป็นต้องสั่งจากต่างประเทศต้องใช้ระยะเวลาในการสั่งซื้อและการรับมอบของนานกว่าการจัดซื้อจัดจ้างโดยทั่วไป หน่วยงานที่มีปัญหาควรติดตามเร่งรัดการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด ๕. การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลใหม่ มีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ ๒๓ - ๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๔ และกำหนดมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้สอดคล้องกับแผนการบริหารราชการแผ่นดินฉบับใหม่และวิกฤตการณ์มหาอุทกภัย ส่งผลกระทบต่อแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณของหน่วยงาน ๖. หน่วยงานส่วนใหญ่มีผลการปฏิบัติงานสูงกว่าแผนการปฏิบัติงานที่กำหนดค่อนข้างมาก เห็นควรให้หน่วยงานนำผลการปฏิบัติงานในปีงบประมาณที่ผ่านมาใช้ในการกำหนดค่าเป้าหมายของแผนปฏิบัติงานในปีต่อไป เพื่อให้ใกล้เคียงและสอดคล้องกับข้อเท็จจริงตามผลการปฏิบัติงานที่เกิดขึ้นจริง รวมทั้งขอตั้งงบประมาณให้สอดคล้องกับเป้าหมายในการดำเนินงาน
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 30382 | การขอรับบำนาญปกติและบำเหน็จดำรงชีพของ พลตรี สุริโย อินทร์บำรุง | กห | 07/08/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงการคลังสั่งจ่ายบำนาญปกติและบำเหน็จดำรงชีพให้แก่ พลตรี สุริโย อินทร์บำรุง ต่อไปได้ โดยจ่ายบำนาญรายเดือน เดือนละ ๔๘,๓๙๒.๒๐ บาท ตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๐ (วันที่ลาออกจากราชการ) เป็นต้นไป และจ่ายบำเหน็จดำรงชีพ จำนวน ๔๐๐,๐๐ บาท ภายใน ๒๑ วัน (ตามมาตรา ๕๑ แห่งพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. ๒๔๙๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม)
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 30383 | การให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของผู้ประกอบการก่อสร้างในภาคใต้ อันเนื่องมาจากเหตุอุทกภัย | กค | 07/08/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมผู้ประกอบการก่อสร้างในภาคใต้ อันเนื่องมาจากเหตุอุทกภัย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยมีหลักเกณฑ์และเงื่อนไขประกอบการพิจารณาให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติม สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ เป็นการให้ความช่วยเหลือในพื้นที่ภาคใต้ ๑๐ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง ตรัง สงขลา กระบี่ ชุมพร พังงา นราธิวาส และสตูล ๑.๒ เป็นการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างเท่านั้น ๑.๓ ผู้ประกอบการก่อสร้างที่มีสิทธิได้รับการพิจารณาขยายระยะเวลาก่อสร้างเพิ่มเติม จะต้องเป็นผู้รับจ้างที่ได้ลงนามในสัญญาจ้างก่อสร้างกับส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐ โดยบังคับใช้กับสัญญาจ้างก่อสร้างที่ได้ลงนามไว้กับทางราชการก่อนวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๔ หรือสัญญาจ้างก่อสร้างได้ลงนามไว้กับทางราชการตั้งแต่วันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๔ จนถึงวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๕๔ ซึ่งสัญญาจ้างดังกล่าว ณ วันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๕ ยังมีนิติสัมพันธ์อยู่และยังมิได้มีการส่งมอบงานงวดสุดท้าย หรือสัญญาดังกล่าวยังมีนิติสัมพันธ์อยู่ แต่ได้มีการส่งมอบงานงวดสุดท้ายในช่วงวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นช่วงระยะเวลาที่เกิดเหตุอุทกภัย ยกเว้นสัญญาที่หน่วยงานได้พิจารณาก่อนวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๕ แล้วว่า จะบอกเลิกสัญญาเนื่องจากคู่สัญญาไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาได้ กรณีดังกล่าวไม่เข้าเกณฑ์ที่จะได้รับความช่วยเหลือ ๑.๔ หากสัญญาจ้างก่อสร้างอยู่ในหลักเกณฑ์ตามข้อ ๑.๑ - ๑.๒ ให้หน่วยงานขยายระยะเวลาออกไปอีก จำนวน ๖๐ วัน ต่อเนื่องจากที่ได้รับความช่วยเหลือตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง มาตรการการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัย) โดยกรณีสัญญาจ้างก่อสร้างที่ยังอยู่ภายในระยะเวลาตามสัญญา ให้ขยายระยะเวลาโดยนับถัดจากวันสิ้นสุดระยะเวลาที่ขยายตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวไว้เดิม ๑.๕ ผู้ประกอบการที่ประสงค์จะขอรับความช่วยเหลือฯ จะต้องยื่นคำร้องขอต่อหน่วยงานคู่สัญญาภายใน ๖๐ วัน นับถัดจากวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.๖ สำหรับเงื่อนไขอื่นที่กำหนดไว้ตามมาตรการการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างภาคใต้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัย ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๕๕ ได้แก่ กรณีการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างและผู้ประกอบการอื่นที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัยที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๔ - ๑๖ มกราคม ๒๕๕๕ และกรณีที่หน่วยงานได้ลงนามในสัญญาจ้างก่อสร้างกับผู้รับจ้าง และได้ส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างให้แก่ผู้รับจ้างก่อนเกิดเหตุอุทกภัย และสัญญานั้นยังมีนิติสัมพันธ์อยู่ในช่วงเกิดอุทกภัย หากผู้รับจ้างไม่ปฏิบัติตามสัญญา และยังไม่เคยเข้ามาทำงานในสถานที่ก่อสร้างดังกล่าว โดยไม่มีเหตุอันสมควร จนกระทั่งเกิดเหตุอุทกภัย ผู้รับจ้างไม่อาจขอรับความช่วยเหลือฯ ได้ ยังคงให้ถือปฏิบัติตามเดิม ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องควรมีแผนการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามแผนงาน/โครงการเดิม เพื่อไม่ให้การเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้าออกไปมากจนเกินไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 30384 | รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย - ลักเซมเบิร์ก | คค | 07/08/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดย
๑. เห็นชอบในหลักการของบันทึกความเข้าใจลับระหว่างราชอาณาจักรไทยและราชรัฐลักเซมเบิร์ก และร่างหนังสือแลกเปลี่ยนทางการทูตของประเทศไทยและลักเซมเบิร์ก โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ สาระสำคัญของบันทึกความเข้าใจฯ ๑.๑.๑ การกำหนดสายการบิน การให้อนุญาตและเพิกถอนใบอนุญาต ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงปรับปรุงหลักการคุณสมบัติของสายการบินที่กำหนดของลักเซมเบิร์ก อันเป็นประเทศสมาชิกของประชาคมยุโรป พร้อมทั้งข้อกำหนดเงื่อนไขการปฏิเสธ เพิกถอน ระงับใช้หรือจำกัดการอนุญาตการทำการบินของสายการบิน เพื่อให้สอดคล้องตามที่ฝ่ายไทยได้ตกลงไว้ในคราวเจรจากับประชาคมยุโรป ขณะที่คุณสมบัติของสายการบินที่กำหนดของฝ่ายไทยและเงื่อนไขการเพิกถอนฯ ดังกล่าว ยังคงเป็นไปตามหลักการเดิมที่ตกลงไว้ ๑.๑.๒ ข้อบทความปลอดภัยและการรักษาความปลอดภัยการบิน ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงเพิ่มเติมข้อบทความปลอดภัยการบินและการรักษาความปลอดภัยการบินไว้ในความตกลงฯ โดยเนื้อหาของข้อบทดังกล่าวเป็นไปตามร่างแนะนำขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศและร่างมาตรฐานของไทย รวมทั้งระบุสิทธิการกำกับดูแลด้านความปลอดภัยการบินให้สอดคล้องตามกฎหมายประชาคมยุโรป อันเป็นไปตามที่ฝ่ายไทยได้ตกลงไว้ในคราวเจรจากับประชาคมยุโรป ๑.๑.๓ ความจุความถี่ ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงให้สายการบินที่กำหนดของภาคีผู้ทำความตกลงแต่ละฝ่ายสามารถทำการบินได้ฝ่ายละ ๑๔ เที่ยวต่อสัปดาห์ จากเดิมฝ่ายละ ๙ เที่ยวต่อสัปดาห์ เพื่อเป็นการเตรียมการให้สายการบินสามารถเพิ่มเที่ยวบินรองรับการเติบโตของตลาดได้ตามแผนที่ต้องการ ๑.๑.๔ เรื่องอื่น ๆ คณะผู้แทนลักเซมเบิร์กได้เสนอให้เพิ่มวรรค (๗) ของข้อ ๘ ของความตกลงว่าด้วยบริการเดินอากาศในเรื่องข้อบทพิกัดอัตราค่าขนส่ง ซึ่งคณะผู้แทนไทยรับทราบและได้เสนอให้นำเรื่องดังกล่าวไปพิจารณาในการหารือครั้งต่อไป และลักเซมเบิร์กได้ตกลงตามข้อเสนอนี้ ๑.๑.๕ การมีผลบังคับใช้ ระหว่างรอการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตตามวรรค (๑) ของข้อ ๑๒ และวรรค (๔) ของข้อ ๖ สำหรับการแก้ไขข้อกำหนดใด ๆ ของความตกลงปัจจุบันและสำหรับการเปลี่ยนแปลงความจุตามลำดับ คณะผู้แทนทั้งสองฝ่ายได้ตกลงให้ข้อความทั้งหมดของบันทึกความเข้าใจลับฉบับนี้สามารถนำไปใช้เป็นการชั่วคราวนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ๑.๒ สาระสำคัญของร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ได้แก่ การแต่งตั้งสายการบินที่กำหนด การให้อนุญาต และการเพิกถอนใบอนุญาต ความปลอดภัยและการรักษาความปลอดภัยการบิน ความจุความถี่ และเรื่องอื่น ๆ ๒. ให้นำเสนอรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนมอบให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการแลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตยืนยันการมีผลใช้บังคับของบันทึกความเข้าใจลับฯ โดยในร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถปรับถ้อยคำตามความเหมาะสมที่ไม่กระทบกับสาระสำคัญ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 30385 | รายงานผลการประชุมใหญ่ประจำปีองค์การแรงงานระหว่างประเทศ สมัยที่ 101 | รง | 07/08/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมใหญ่ประจำปีองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization : ILO) สมัยที่ ๑๐๑ ระหว่างวันที่ ๓๐ พฤษภาคม-๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๕ ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมใหญ่ ILO ได้ลงมติและรับรองรายงานที่สำคัญ ๆ ได้แก่ ๑.๑ มติยกเลิกข้อมติของ ILO จำนวน ๒ ฉบับ ที่เป็นมาตรการลงโทษเมียนมาร์ เนื่องจากละเมิดอนุสัญญา ฉบับที่ ๒๙ ว่าด้วยแรงงานบังคับที่ให้สัตยาบันไว้โดยปล่อยให้กองทัพและหน่วยงานราชการบังคับใช้แรงงานทั้งผู้ใหญ่และเด็กอย่างแพร่หลายทั่วประเทศ ที่ประชุมใหญ่ ILO จึงมีข้อมติ ฉบับที่ ๑ ปี พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่ไม่ให้เมียนมาร์เข้าร่วมกิจกรรมกับ ILO ทั้งความช่วยเหลือทางวิชาการและการเชิญเข้าร่วมการประชุมใด ๆ ที่ ILO จัดขึ้น ยกเว้นความช่วยเหลือจาก ILO ในการแก้ไขปัญหาการใช้แรงงานบังคับในเมียนมาร์ และฉบับที่ ๒ ปี พ.ศ. ๒๕๔๓ ที่ให้ประเทศสมาชิกทบทวนการดำเนินความสัมพันธ์ใด ๆ กับเมียนมาร์ที่เอื้อต่อการใช้แรงงานบังคับในเมียนมาร์ ต่อมาหลังจากรัฐบาลเมียนมาร์ได้ร่วมมือกับ ILO ปรับปรุงแก้ไขจนสถานการณ์ดีขึ้น ที่ประชุมใหญ่ ILO สมัยที่ ๑๐๑ จึงมีมติยกเลิกข้อมติทั้ง ๒ ฉบับดังกล่าว ๑.๒ มติรับรองร่างข้อแนะว่าด้วยพื้นฐานการคุ้มครองทางสังคม ด้วยคะแนนเสียงเอกฉันท์ ด้วยเสียงเห็นชอบ ๔๕๓ เสียง งดออกเสียง ๑ เสียง และไม่เห็นชอบ ๐ เสียง นับเป็นข้อแนะฉบับที่ ๒๐๒ ของ ILO มีวัตถุประสงค์เพื่อเรียกร้องให้ประเทศสมาชิกจัดทำพื้นฐานการคุ้มครองทางสังคมในฐานะปัจจัยพื้นฐานของระบบความมั่นคงทางสังคมของชาติ โดยครอบคลุมมาตรการต่าง ๆ ตลอดวงจรชีวิต อาทิ การให้บริการ การรักษาพยาบาลที่จำเป็น ความมั่นคงด้านรายได้พื้นฐาน การลดความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำ และลดการเจ็บป่วยและการตายก่อนวัยอันควร โดยครอบคลุมทั่วถึงแรงงานทุกกลุ่มทั้งในและนอกระบบ ข้อแนะมีสถานะเป็นมาตรฐานแรงงานระหว่างประเทศที่ให้สมาชิกนำไปใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาการบริหารแรงงาน แต่ไม่ต้องให้สัตยาบันและไม่มีสถานะผูกพันตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศดังเช่นอนุสัญญา ๑.๓ มติรับรองข้อมติว่าด้วยวิกฤตการมีงานทำของเยาวชน : เรียกร้องให้มีการปฏิบัติการที่มีเนื้อหาระบุว่า ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ มีเยาวชนทั่วโลก จำนวนประมาณ ๗๕ ล้านคน ประสบปัญหาการว่างงาน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี พ.ศ. ๒๕๕๐ จำนวนประมาณ ๔ ล้านคน และเยาวชนจำนวนกว่า ๒๐๐ ล้านคน ที่ทำงานโดยได้รับค่าจ้างต่ำกว่าวันละ ๒ ดอลลาร์สหรัฐ หากไม่มีการแก้ไขอย่างแข็งขัน โลกจะเผชิญกับภาวะสูญเสียกำลังแรงงานในรุ่นต่อไป รัฐบาลต้องดำเนินมาตรการต่าง ๆ โดยร่วมมือกับนายจ้างและลูกจ้าง อาทิ การฝึกฝีมือแรงงานให้ตรงกับอุปสงค์ของตลาดแรงงาน ปรับปรุงระบบการฝึกงาน และส่งเสริมการเป็นผู้ประกอบการของเยาวชน ๒. ที่ประชุมคณะประศาสน์การสมัยที่ ๓๑๔ เมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ILO ได้จัดการเลือกตั้งผู้อำนวยการใหญ่ ILO คนใหม่ สืบเนื่องจากนายฮวน โซมาเวีย ผู้อำนวยการใหญ่ ILO คนปัจจุบัน ซึ่งขอลาออกจากตำแหน่งก่อนครบวาระ โดยมีผลในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ ผลปรากฏว่า นายกาย ไรเดอร์ (Mr. Guy Ryder) จากสหราชอาณาจักรชนะการเลือกตั้ง และจะเริ่มปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ โดยนายไรเดอร์นับเป็นผู้อำนวยการใหญ่ ILO คนที่ ๑๐ วาระดำรงตำแหน่ง ๕ ปี
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 30386 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง แนวนโยบายในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง | วธ | 07/08/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงวัฒนธรรม โดยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง แนวนโยบายในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง โดยกำหนดมาตรการในการฟื้นฟูและช่วยเหลือเป็น ๒ มาตรการ ได้แก่ มาตรการระยะสั้น ระยะเวลา ๖-๑๒ เดือน และมาตรการระยะยาว ระยะเวลา ๑-๓ ปี เน้นประเด็นเรื่อง อัตลักษณ์ ชาติพันธุ์และวัฒนธรรม การจัดการทรัพยากร สิทธิในสัญชาติ การสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรม และการศึกษา ดังนี้
๑. ผลการดำเนินการตามมาตรการระยะสั้น ๑.๑ ประเด็นอัตลักษณ์ ชาติพันธุ์และวัฒนธรรม การดำเนินการในระดับพื้นที่มีโครงการที่หลากหลาย ได้แก่ ด้านการส่งเสริมอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมประเพณีกะเหรี่ยง เช่น การแสดงดนตรีพื้นบ้าน ด้านการรวบรวมองค์ความรู้ เช่น จัดทำข้อมูลภูมิปัญญาท้องถิ่นชาวกะเหรี่ยง และด้านการเพิ่มพูนทักษะชีวิตและความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เช่น ฝึกอบรมการทำอิฐ ๑.๒ ประเด็นการจัดการทรัพยากร การดำเนินการในระดับพื้นที่มีกิจกรรมที่ขับเคลื่อนเรื่องการจัดการทรัพยากร ได้แก่ กิจกรรมด้านการแก้ไขปัญหาที่ดินและการสำรวจการถือครองที่ดิน เช่น โครงการจัดทำโฉนดชุมชน กิจกรรมด้านการยุติการจับกุมและให้ความคุ้มครองกับชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงท้องถิ่นดั้งเดิม เช่น นโยบายยุติการจับกุมและให้ความคุ้มครองกับชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง และกิจกรรมการส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพในชุมชนบนพื้นที่สูง เช่น การให้ความรู้ทางการเกษตรชีวภาพ ๑.๓ ประเด็นสิทธิในสัญชาติ ได้ดำเนินการออกบัตรประจำตัวประชาชนและการให้สิทธิขั้นพื้นฐาน เช่น ทำบัตรประจำตัวให้กับชาวกะเหรี่ยง ประชาสัมพันธ์ให้ชาวกะเหรี่ยงนำเอกสารหลักฐานมาขอลงทะเบียนผู้มีสิทธิประกันสุขภาพ รวมถึงสำรวจและทำทะเบียนประวัติบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิ ๑.๔ ประเด็นการสืบทอดมรดกวัฒนธรรม การดำเนินงานในระดับพื้นที่ ได้แก่ กิจกรรมการจัดตั้งศูนย์วัฒนธรรมชุมชนชาวกะเหรี่ยง เช่น จัดตั้งศูนย์วัฒนธรรมไทยสายใยชุมชนกะเหรี่ยง กิจกรรมส่งเสริมและสืบทอดศิลปวัฒนธรรม เช่น ส่งเสริมเวทีลานวัฒนธรรมชาวกะเหรี่ยงในวันสำคัญ และกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้และเพิ่มพูนทักษะชีวิต เช่น ส่งเสริมการเรียนรู้การประกอบอาชีพตามแนวพระราชดำริ ๑.๕ ประเด็นการศึกษา มีการดำเนินกิจกรรม ได้แก่ การพัฒนาศักยภาพชาวกะเหรี่ยง/บุคลากร/ครู/คณะกรรมการสถานศึกษา และการสนับสนุนทุนการศึกษา เช่น อบรมเผยแพร่องค์ความรู้ด้านวัฒนธรรมและด้านอาชีพ การพัฒนาหลักสูตรที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมกะเหรี่ยง เช่น พัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นโดยปรับสาระการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง ๒. ปัญหาและอุปสรรค ได้แก่ การไม่มีเป้าหมายและแผนการดำเนินการอย่างชัดเจน ความไม่เข้าใจของหน่วยงานและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในมาตรการการฟื้นฟู การไม่มีงบประมาณดำเนินงาน เนื่องจากไม่ได้เสนอไว้ล่วงหน้า และบางหน่วยงานไม่สามารถเจียดจ่ายเงินจากงบปกติได้ การยึดถือกฎระเบียบของหน่วยงานของตนที่มีอยู่แล้วและไม่สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรี รวมทั้งการขาดแนวคิดและทักษะในการทำงานร่วมกับชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานราชการในระดับต่าง ๆ ๓. ข้อเสนอแนะต่อแนวทางการทำงานฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง ๓.๑ ควรตั้งหน่วยงานสำหรับการผลักดันเรื่องนี้โดยเฉพาะ พร้อมทั้งการจัดสรรงบประมาณพิเศษ โดยหน่วยงานนี้มีบทบาทในการทำงานเชิงบูรณาการ โดยมีการวางแผนปฏิบัติการหลัก (Master plan) ที่มีเป้าหมาย แผนการดำเนินการและการประเมินผลอย่างชัดเจนที่ทุกหน่วยงานสามารถปฏิบัติการได้ และมีงบประมาณสนับสนุน เพื่อประกันว่ามติคณะรัฐมนตรีจะได้ผลในระยะ ๓ ปีภายหน้า ๓.๒ การดำเนินงานของคณะกรรมการระดับจังหวัดควรมีทิศทางที่สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีมากขึ้น มีการกำหนดแผนงานการดำเนินงาน ติดตามแก้ปัญหาในพื้นที่ โดยวางแผนให้มีความสอดคล้องกับแผนระดับชาติ และได้รับงบประมาณสนับสนุน ๓.๓ ดำเนินแผนการประชาสัมพันธ์ การสื่อสารกับสังคม รวมทั้งการอบรม และการสร้างความเข้าใจในรูปแบบอื่น ๆ ทั้งกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ชุมชน นักเรียนนักศึกษา และบุคคลทั่วไปในประเด็นสำคัญที่เกี่ยวกับการฟื้นฟูวิถีชีวิตของกะเหรี่ยง เช่น ประเด็นอัตลักษณ์ ชาติพันธุ์ มรดกทางวัฒนธรรม ความหลากหลายทางชีวภาพ การจัดการทรัพยากร ระบบไร่หมุนเวียน การจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับภูมิปัญญาและวัฒนธรรม ๓.๔ การเพิ่มพื้นที่และโอกาสการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐ เอกชน และชุมชน เพื่อทำให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดอคติที่มีต่อกันทั้งในรูปแบบของการวิจัยเชิงปฏิบัติการ การวางแผนการทำกิจกรรม และการติดตามประเมินผลร่วมกัน
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 30387 | รายงานผลการช่วยเหลือเยียวยาด้านการเงินผู้ได้รับผลกระทบทางการเมือง (พ.ศ. 2548 - 2553) | พม | 07/08/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการช่วยเหลือเยียวยาด้านการเงินผู้ได้รับผลกระทบทางการเมือง (พ.ศ. ๒๕๔๘-๒๕๕๓) ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ในฐานะหน่วยเบิกจ่ายได้ดำเนินการตามกรอบหลักเกณฑ์และวิธีการให้ความช่วยเหลือเยียวยาด้านการเงินตามหลักมนุษยธรรมสำหรับผู้เสียหายกลุ่มที่ ๑ จากเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมือง (พ.ศ. ๒๕๔๘- ๒๕๕๓) สรุปได้ ดังนี้
๑. เปิดศูนย์เยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบทางการเมือง (พ.ศ. ๒๕๔๘-๒๕๕๓) เพื่อรับคำร้องลงทะเบียนเยียวยา ระหว่างวันที่ ๘ มีนาคม- ๑๒ เมษายน ๒๕๕๕ มีผู้ลงทะเบียนรวม ๕,๘๘๕ ราย ประกอบด้วยผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับชีวิตและร่างกาย จำนวน ๑,๐๐๓ ราย ตรวจสอบและประกาศรายชื่อเอกสารสมบูรณ์ จำนวน ๑,๕๗๑ ราย ตัดผู้ลงทะเบียนซ้ำซ้อน จำนวน ๙๔๕ ราย คงเหลือที่ต้องตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของเอกสาร จำนวน ๒,๓๖๖ ราย ๒. รายชื่อผู้ที่มีเอกสารครบถ้วนสมบูรณ์ที่ประกาศรายชื่อแล้ว จำนวน ๑,๕๗๑ ราย ได้มีการขออนุมัติจัดสรรเงินจากสำนักงบประมาณ ๕ ครั้ง รวมทั้งสิ้น ๑,๒๙๓ ราย ประกอบด้วยผู้รับเงินเยียวยาไปแล้ว จำนวน ๑,๒๔๘ ราย ติดต่อขอรับภายหลัง จำนวน ๒๙ ราย ขออุทธรณ์ให้พิจารณาสิทธิใหม่ จำนวน ๗ ราย และคืนสำนักงบประมาณ จำนวน ๙ ราย (เนื่องจากตรวจพบว่ามีคดีความ ๕ ราย เสียชีวิตและสูญหายก่อนรับเงิน ๓ ราย และขอปรับสิทธิ์ ๑ ราย) ส่วนรายชื่อที่ยังไม่ได้ขออนุมัติจัดสรรเงิน จำนวน ๒๗๘ ราย แยกเป็น รายชื่อที่ต้องนำเข้าคณะทำงานช่วยเหลือเยียวยาด้านการเงินตามหลักมนุษยธรรมพิจารณาในครั้งต่อไป จำนวน ๑๙๒ ราย และรายชื่อที่ต้องนำเสนอคณะอนุกรรมการเยียวยาทางแพ่งและการฟื้นฟูด้วยวิธีการอื่น จำนวน ๘๖ ราย เพื่อวินิจฉัยเกี่ยวกับประเด็นในเรื่องคดีความ สถานที่เกิดเหตุ และความเหมาะสมต่อไป ๓. ผู้ที่ยังไม่ได้ประกาศรายชื่อ จำนวน ๒,๓๖๖ ราย ได้ทำการตรวจสอบเอกสารหลักฐานเพียงพอที่จะนำเข้าคณะทำงานช่วยเหลือเยียวยาด้านการเงินตามหลักมนุษยธรรมพิจารณา จำนวน ๑,๒๕๑ ราย ส่วนรายชื่อ จำนวน ๑,๑๑๕ ราย เอกสารหลักฐานไม่ครบถ้วน จึงได้มีหนังสือแจ้งให้บุคคลดังกล่าวส่งเอกสารเพิ่มเติม และมีผู้ส่งเอกสารกลับมาแล้ว จำนวน ๓๖๓ ราย ๔. ผลการใช้จ่ายงบประมาณ จำนวน ๒,๐๐๐ ล้านบาท ที่ได้รับอนุมัติตามมติคณะรัฐมนตรี (๖ มีนาคม ๒๕๕๕) จนถึงวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ได้มีการใช้จ่ายให้แก่ผู้เสียหายไปแล้ว จำนวน ๑,๒๙๓ ราย (ประกอบด้วยผู้เสียชีวิต ๗๙ ราย ทุพพลภาพ ๑๕ ราย สูญเสียอวัยวะและบาดเจ็บ ๑,๑๙๙ ราย) เป็นเงิน ๑,๑๘๑,๔๓๓,๒๑๗.๙๖ บาท คงเหลือวงเงินใช้จ่ายเป็นเงิน ๘๑๘,๕๖๖,๗๘๒.๐๔ บาท แต่ยังมีผู้เสียหายที่ต้องพิจารณาจัดสรรเงินเยียวยาให้อีก จำนวน ๒,๓๖๖ ราย ประมาณการวงเงินค่าใช้จ่ายตามกรอบอัตราความเสียหายตามมติคณะรัฐมนตรี (๑๐ มกราคม และ ๖ มีนาคม ๒๕๕๕) เป็นเงิน ๒,๐๐๕,๕๒๕,๐๐๐ บาท ซึ่งกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการจะได้นำเสนอคณะอนุกรรมการด้านการเยียวยาทางแพ่งและการฟื้นฟูด้วยวิธีอื่นพิจารณาต่อไป ๕. ปัญหาที่ปรากฏระหว่างกระบวนการให้บริการ อาทิ ความไม่เข้าใจกระบวนการทำงานของภาครัฐซึ่งต้องมีขั้นตอนการตรวจสอบเอกสารที่ต้องรอบคอบ เอกสารทางการแพทย์ไม่ชัดเจนตามหลักเกณฑ์ฯ ใหม่ ไม่มีเอกสารหลักฐานประกอบเหตุการณ์ เอกสารทางการแพทย์ และใบแจ้งความ การศึกษาคัดแยกจัดกลุ่มคำร้องไม่สามารถกระทำได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากเจ้าหน้าที่ประจำที่มีความรู้เกี่ยวกับหลักเกณฑ์ฯ มีจำนวนจำกัด ผู้มีสิทธิรับเงินเยียวยากรณีเสียชีวิตไม่สามารถตกลงกันได้ในสัดส่วนการรับเงินตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 30388 | แผนเตรียมรับสถานการณ์ภัยพิบัติด้านการเกษตร ประจำปีงบประมาณ 2555 ระยะที่ 2 (ช่วงเดือนพฤษภาคม - กันยายน 2555) | กษ | 07/08/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบแผนเตรียมรับสถานการณ์ภัยพิบัติด้านการเกษตร ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ระยะที่ ๒ (ช่วงเดือนพฤษภาคม-กันยายน ๒๕๕๕) ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยสาระสำคัญของแผนเตรียมรับสถานการณ์ฯ มีดังนี้
๑. การเตรียมรับสถานการณ์ภัยพิบัติด้านการเกษตร ระยะที่ ๒ ช่วงเดือนพฤษภาคม-กันยายน ๒๕๕๕ โดยกำหนดมาตรการในการป้องกันแก้ไขปัญหาภัยพิบัติด้านการเกษตร ดังนี้ ๑.๑ มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝนทิ้งช่วง มีจังหวัดที่ต้องเฝ้าระวัง จำนวน ๕๒ จังหวัด คิดเป็นเนื้อที่ จำนวน ๒.๖๙ ล้านไร่ โดยช่วงเวลาในการเฝ้าระวังภัยคือ เดือนมิถุนายน-กันยายน ๒๕๕๕ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ปรับแผนการปฏิบัติการฝนหลวง โดยจัดตั้งหน่วยปฏิบัติการฝนหลวงและฐานเติมสารฝนหลวงเพิ่มเติม รวมทั้งวางแผนการจัดสรรน้ำเพื่อบรรเทาปัญหาการขาดแคลนน้ำเพื่อการเกษตร ๑.๒ มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัย มีพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดอุทกภัย จำนวน ๕๙ จังหวัด คิดเป็นเนื้อที่ จำนวน ๖.๗๕ ล้านไร่ มีพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดดินถล่ม จำนวน ๕๒ จังหวัด คิดเป็นเนื้อที่รวม ๔.๓๔ ล้านไร่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ปรับแผนการดำเนินการภายใต้มาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายการบริหารจัดการน้ำของรัฐบาลและแผนปฏิบัติการเพื่อป้องกันและบรรเทาอุทกภัย ทั้งในระยะเร่งด่วนและระยะยั่งยืน รวมทั้งวางแผนเพื่อการเตรียมความพร้อมด้านอาหารในสถานการณ์ฉุกเฉิน (Food Emergency) ๑.๓ มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาศัตรูพืชระบาด ได้จัดทำปฏิทินการระบาดของศัตรูพืช ได้แก่ ข้าว มันสำปะหลัง และมะพร้าว ๒. แผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติด้านการเกษตร ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ได้แก่ แผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยและฝนทิ้งช่วง (ภัยแล้ง) และแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาศัตรูพืชระบาด
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 30389 | การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ | นร | 30/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ยุทธศักดิ์ ศศิประภา) รับไปพิจารณาร่วมกับรองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) เลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อศึกษาวิเคราะห์สถานการณ์ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ รวมทั้งแนวทางการยุติความขัดแย้งอย่างสันติวิธี โดยเน้นการสื่อสารและทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่อย่างถูกต้องทั่วถึง แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๒. ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) รับไปประสานงานกับกระทรวงกลาโหม ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) กรมประชาสัมพันธ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาเพิ่มเวลาการออกอากาศทางสถานีวิทยุและโทรทัศน์ต่าง ๆ เป็นภาษายาวีเพื่อขยายโอกาสในการสื่อสารทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีรายการวิทยุโทรทัศน์ที่ใช้ภาษายาวีทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ช่อง ๑๑ และสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง ๕ อยู่บ้างแล้ว แต่ไม่เพียงพอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 30390 | ร่างพระราชกฤษฎีกาโอนที่ธรณีสงฆ์ วัดป่าหนองโกเจริญธรรม ตำบลอ่างหิน อำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี ให้แก่กรมชลประทาน พ.ศ. .... | พศ | 30/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาโอนที่ธรณีสงฆ์ วัดป่าหนองโกเจริญธรรม ตำบลอ่างหิน อำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี ให้แก่กรมชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ โอนที่ธรณีสงฆ์ วัดป่าหนองโกเจริญธรรม ตำบลอ่างหิน อำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี เนื้อที่ ๖ ไร่ ๑ งาน ๔๐ ตารางวา ให้แก่กรมชลประทาน เพื่อประโยชน์แก่การชลประทานตามโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยสำนักไม้เต็ง ที่ตำบลอ่างหิน อำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 30391 | ผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) ไทย - เมียนมาร์ ครั้งที่ 26 | กห | 30/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการต่างประเทศรายงานผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee : RBC) ไทย - เมียนมาร์ ครั้งที่ ๒๖ ระหว่างวันที่ ๖ - ๘ มิถุนายน ๒๕๕๕ ณ จังหวัดตองยี รัฐฉาน สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ โดยมีพลโท ชาญชัยณรงค์ ธนารุณ แม่ทัพภาคที่ ๓ และพลโท เท็ดไหน่วิน ผู้บัญชาการสำนักปฏิบัติการพิเศษที่ ๔ เป็นประธานร่วม สำหรับการประชุมครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายได้มีการดำเนินการอยู่บนพื้นฐานของการประสานประโยชน์ร่วมกัน ส่งผลให้การประชุมประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีในทุก ๆ ด้าน โดยเฉพาะการสนับสนุนให้ความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพของทั้งสองประเทศแน่นแฟ้นกันมากขึ้น ซึ่งประเด็นที่ได้มีการหารือ ได้แก่ กลไกของคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น (Township Border Committee : TBC) การยกระดับจุดผ่านแดน บ.พระเจดีย์สามองค์/พญาตองซู การส่งเสริมให้มีการติดต่อสื่อสารระหว่างเรือ ทร. เมียนมาร์ และเรือ ทร. ไทย การแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างผู้นำทางทหารของกองทัพทั้งสองประเทศ การป้องกันอาชญากรรมบริเวณพื้นที่ชายแดน การปราบปรามการลักลอบการค้าอาวุธและกระสุน การป้องกันการค้ามนุษย์และลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย การป้องกันไฟป่าและหมอกควัน การป้องกันการค้าสัตว์ป่าและไม้ข้ามแดนผิดกฎหมาย การเปิดจุดผ่านแดนแห่งใหม่ การจัดตั้งหมู่บ้านคู่ขนานบริเวณพื้นที่ชายแดนเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดระหว่างประชาชน และส่งเสริมความร่วมมือในระดับท้องถิ่นของทั้งสองประเทศ การจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนในพื้นที่ชายแดน การตั้งจุดตรวจทางทหารบริเวณพื้นที่ดอยลาง และการตั้งจุดตรวจบริเวณพิกัด NR 092354 ของไทย การกำหนดมาตรการที่มีประสิทธิภาพต่อกลุ่มก่อความไม่สงบ/กลุ่มต่อต้าน และความร่วมมือในการส่งผู้ร้ายข้ามแดน นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือในประเด็นการล้ำน่านฟ้าของไทย - เมียนมาร์ การทำประมงผิดกฎหมาย และการลักลอบระเบิดปลาในน่านน้ำเมียนมาร์และน่านน้ำไทย รวมทั้งประเด็นที่เกี่ยวกับเส้นเขตแดน การปราบปรามยาเสพติด การหาประโยชน์จากชาวเขาเผ่าปะด่อง และการกำหนดการประชุม RBC - 27 จะจัดขึ้นที่ประเทศไทย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 30392 | ร่างพระราชกฤษฎีกาโอนกรรมสิทธิ์ที่ธรณีสงฆ์ ในท้องที่ตำบลหนองปลาหมอ อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ของวัดบ้านโป่ง ตำบลบ้านโป่ง อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ให้แก่กรมชลประทาน พ.ศ. .... | พศ | 30/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาโอนกรรมสิทธิ์ที่ธรณีสงฆ์ ในท้องที่ตำบลหนองปลาหมอ อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ของวัดบ้านโป่ง ตำบลบ้านโป่ง อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ให้แก่กรมชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ โอนกรรมสิทธิ์ที่ธรณีสงฆ์ในท้องที่ตำบลหนองปลาหมอ อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ของวัดบ้านโป่ง ตำบลบ้านโป่ง อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี เนื้อที่ ๓ งาน ๕ ตารางวา ให้แก่กรมชลประทาน เพื่อประโยชน์แก่การชลประทาน ตามโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาท่ามะกา ที่ตำบลหนองปลาหมอ อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 30393 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) (นางวไลพร เอื้อนนทัช) | สธ | 30/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางวไลพร เอื้อนนทัช ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขากุมารเวชกรรม) กลุ่มงานกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครศรีธรรมราช สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 30394 | ร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการกำหนดเครื่องแบบพิเศษสำหรับข้าราชการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พ.ศ. .... | ยธ | 30/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการกำหนดเครื่องแบบพิเศษสำหรับข้าราชการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดลักษณะ ชนิด และประเภทของเครื่องแบบพิเศษของข้าราชการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดให้เป็นไปตามที่กำหนดในร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรีนี้ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 30395 | รายงานการพัฒนาเด็กและเยาวชน ประจำปี 2553 | พม | 30/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอรายงานการพัฒนาเด็กและเยาวชน ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ซึ่งผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติแล้ว โดยสาระสำคัญของรายงาน ประกอบด้วย วัตถุประสงค์และขอบเขตรายงาน เนื้อหารายงาน และข้อเสนอเชิงนโยบายต่อการพัฒนาเด็กและเยาวชน โดยในส่วนของข้อเสนอเชิงนโยบายฯ มีดังนี้
๑. ส่งเสริมสถาบันครอบครัวและวัฒนธรรม ด้วยการพัฒนาความรู้ ทักษะ และทัศนคติที่ถูกต้องให้กับพ่อแม่และผู้ปกครองในการเลี้ยงดู เด็กและเยาวชนอย่างเหมาะสม โดยปลูกฝังให้เด็กและเยาวชนมีคุณธรรม จริยธรรม ยึดมั่นในหลักคำสอนทางศาสนา มีความพอเพียง มีสำนึกความเป็นพลเมือง มีวิถีประชาธิปไตย เคารพสิทธิผู้อื่น รู้จักคิดอย่างมีเหตุผล มีจิตสาธารณะ รักสิ่งแวดล้อม สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปลอดภัย และสนับสนุนให้ชุมชน สังคม ภาคีเครือข่ายเข้าใจปัญหาและความต้องการของเด็กและเยาวชน จัดบริการสวัสดิการให้สอดคล้องกับความต้องการของเด็กและเยาวชน ๒. ส่งเสริมสุขภาพกายและสุขภาพจิตเด็กและเยาวชน ด้านโภชนาการที่เหมาะสมตามวัยให้หญิงมีครรภ์และเด็กเล็กได้รับสารไอโอดีนอย่างทั่วถึง ให้ความรู้กับเด็กและเยาวชนในการป้องกันตนเองจากโรคและสิ่งเสพติด หมั่นออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ป้องกันปัญหาโรคอ้วน รวมทั้งดูแลสุขภาพจิตของเด็กและเยาวชนไม่ให้เกิดความเครียด ปรับปรุงคุณภาพศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและบุคลากรผู้ดูแลเด็ก รวมถึงการดูแลเด็กเล็กในโรงเรียน โรงงาน สถานประกอบการ และให้ความรู้และทักษะการใช้ชีวิตเรื่องเพศศึกษาเมื่อถึงวัยอันควร ๓. ด้านการศึกษา ควรสนับสนุนภาคีอื่นเข้าร่วมจัดการศึกษากับกระทรวงศึกษาธิการ อาทิ สื่อมวลชน องค์กรพัฒนาเอกชน องค์กรระหว่างประเทศที่ทำงานด้านการศึกษา หรือชุมชน ฯลฯ เพื่อให้การจัดการศึกษาเป็นไปอย่างมีคุณภาพและสอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียนแต่ละกลุ่ม รวมทั้งเตรียมความพร้อมเด็กและเยาวชนเมื่อไทยเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน และต้องเพิ่มโอกาสทางการศึกษาของเด็กและเยาวชนที่ยากจนหรือด้อยโอกาสรุนแรงด้วยมาตรการที่หลากหลาย ดูแลเรื่องคุณภาพการศึกษาอย่างจริงจัง รวมทั้งสร้างความหลากหลายของแนวทางและช่องทางการศึกษา โดยสนับสนุนให้มีการจัดการศึกษาทางเลือกทุกระดับ ๔. ดูแลเด็กและเยาวชนด้อยโอกาส ทั้งในด้านโภชนาการ การศึกษาที่พอเพียงและมีคุณภาพ การมีงานทำ ครอบครัวที่อบอุ่น รวมทั้งสร้างทุนทางสังคมให้กับเด็กและเยาวชนที่ด้อยโอกาสที่จะมีส่วนช่วยการพัฒนาตัวเองให้หลุดพ้นสภาพด้อยโอกาส ภาครัฐควรสร้างฐานข้อมูลเด็กและเยาวชนด้อยโอกาส ซึ่งปัจจุบันยังมีความคลุมเครือและไม่สมบูรณ์ โดยเชื่อมโยงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับผู้ด้อยโอกาส ระหว่างเครือข่ายพันธมิตรและชุมชน และทำการปรับแก้หรือบังคับใช้กฎหมายที่เอื้อต่อการพัฒนา คุ้มครองและพิทักษ์สิทธิของเด็กและเยาวชนผู้ด้อยโอกาส ๕. ปรับปรุงการดำเนินงานของสภาเด็กและเยาวชน ด้วยการสร้างความเข้าใจถึงบทบาทและความสำคัญของสภาเด็กและเยาวชนในทุกระดับ เพื่อให้มีความต่อเนื่องของการดูแลเป็นพี่เลี้ยงให้ผู้บริหารสภาเด็กและเยาวชน พร้อมกับที่ต้องส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของสภาเด็กและเยาวชนไปในตัวด้วย ในขณะที่ผู้บริหารสภาเด็กและเยาวชนควรทำการปรึกษาอย่างกว้างขวางกับเด็กและเยาวชนในพื้นที่ในการจัดกิจกรรมที่ตรงกับความต้องการในพื้นที่ อันจะนำไปสู่การสนับสนุนทรัพยากรทางการเงินจากภาครัฐได้มากขึ้น ๖. ส่งเสริมบทบาทของเครือข่ายเพื่อมีส่วนร่วมพัฒนาเด็กและเยาวชน การพัฒนาเด็กและเยาวชนเป็นหน้าที่ของทุกภาคส่วนในสังคมไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ธุรกิจเอกชน ชุมชน หรือครอบครัว จึงควรมีมาตรการส่งเสริมให้ภาคส่วนเหล่านี้ตระหนักและมีการเพิ่มบทบาทของตนเองในเรื่องนี้มากขึ้น มาตรการที่อาจทำได้ เช่น การสนับสนุนการดำเนินงานของธุรกิจเพื่อสังคม (Corporate Social Responsibility) เพิ่มอัตราจ้างเด็กและเยาวชนในการทำงาน สนับสนุนให้อาสาสมัครมีบทบาทต่อการพัฒนาเด็กและเยาวชนในพื้นที่ ส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีฝ่ายงานด้านเด็กและครอบครัว ๗. ติดตามและประเมินผลการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในทุกด้าน
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 30396 | ตั้งคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการบุกรุกพื้นที่อุทยานแห่งชาติ อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา | นร | 30/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ได้รับข้อร้องเรียนจากราษฎรและผู้ประกอบกิจการที่พักแก่นักท่องเที่ยวในพื้นที่อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา กรณีที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะดำเนินการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำพื้นที่อุทยานแห่งชาติ อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปด้วยความถูกต้องและเป็นธรรมแก่ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย จึงมอบหมายให้ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรับไปจัดตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าวให้ชัดเจน แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 30397 | ร่างพระราชบัญญัติกำหนดวิทยฐานะผู้สำเร็จวิชาการทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กห | 30/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติกำหนดวิทยฐานะผู้สำเร็จวิชาการทหาร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดปริญญาในโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า โรงเรียนนายเรือ โรงเรียนนายเรืออากาศ และโรงเรียนแผนที่ ให้มีปริญญาสามชั้น คือ ปริญญาเอก ปริญญาโท และปริญญาตรี ๑.๒ แก้ไขชื่อสังกัดของโรงเรียนแผนที่ให้สอดคล้องกับกฎหมายว่าด้วยการจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม ๑.๓ กำหนดให้สภาการศึกษาวิชาการทหารอาจออกข้อบังคับกำหนดให้มีประกาศนียบัตรบัณฑิตชั้นสูง ประกาศนียบัตรบัณฑิต หรือประกาศนียบัตรได้ ๑.๔ เพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของสภาการศึกษาวิชาการทหารเพื่อให้มีอำนาจกำหนดมาตรฐานการศึกษาวิชาการทหาร รวมทั้งแก้ไขเพิ่มเติมองค์ประกอบของสภาการศึกษาวิชาการทหารโดยให้มีกรรมการสภาการศึกษาวิชาการทหารผู้ทรงคุณวุฒิ ๑.๕ กำหนดวาระการดำรงตำแหน่งและการพ้นจากตำแหน่งของกรรมการสภาการศึกษาวิชาการทหารผู้ทรงคุณวุฒิ ๑.๖ กำหนดให้มีตำแหน่งทางวิชาการของคณาจารย์ประจำของสถาบันการศึกษาและให้มีสิทธิใช้เป็นคำนำหน้านามเพื่อแสดงวิทยฐานะได้ตลอดไป ๑.๗ แก้ไขเพิ่มเติมบทกำหนดโทษแก่ผู้ใช้ปริญญา อักษรย่อปริญญา ประกาศนียบัตรบัณฑิตชั้นสูง ประกาศนียบัตรบัณฑิต หรือประกาศนียบัตรโดยไม่มีสิทธิที่จะใช้ ๒. ให้กระทรวงกลาโหมรับความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการเกี่ยวกับมาตรา ๕ วรรคสอง ที่กำหนดให้สภาการศึกษาวิชาการทหารต้องคำนึงถึงมาตรฐานโดยทั่วไปที่สอดคล้องกับมาตรฐานที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด ซึ่งหมายความว่า สภาการศึกษาวิชาการทหารจะต้องนำเกณฑ์มาตรฐานหลักสูตรระดับอุดมศึกษาไปใช้ในการพิจารณากำหนดมาตรฐานและอนุมัติหลักสูตร และในมาตรา ๑๐/๑ วรรคสาม ที่กำหนดให้คุณสมบัติ หลักเกณฑ์ และวิธีการแต่งตั้งและถอดถอนคณาจารย์ประจำของสถาบันการศึกษาวิชาการทหารให้เป็นไปตามข้อบังคับของสภาการศึกษาวิชาการทหาร และสอดคล้องกับมาตรฐานที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 30398 | การขอชดเชยราคาการนำเข้าน้ำมันปาล์ม | พณ | 30/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการให้ใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในวงเงิน ๒๒.๒๐ ล้านบาท เพื่อชดเชยผลการขาดทุนขององค์การคลังสินค้าจากส่วนต่างของต้นทุนการนำเข้าน้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์กับราคาจำหน่ายให้แก่โรงกลั่นน้ำมันปาล์ม ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกับการแก้ไขปัญหาปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๕๕ (เรื่อง การแก้ไขปัญหาปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม) และวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี การแก้ไขปัญหาปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม) ในปริมาณไม่เกิน ๓๐,๐๐๐ ตัน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณานำเข้าน้ำมันปาล์มในปริมาณและระยะเวลาที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อเกษตรกรและราคาผลปาล์มในประเทศและให้ตรวจสอบยืนยันข้อมูลผลการขาดทุนจากการนำเข้าน้ำมันปาล์มที่เกิดขึ้นจริง ก่อนขอทำความตกลงในรายละเอียดงบประมาณกับสำนักงบประมาณเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการติดตามและประเมินสถานการณ์ความเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันปาล์มตลาดโลกอย่างใกล้ชิด เพื่อมิให้การนำเข้าน้ำมันปาล์มส่งผลกระทบต่อราคาผลปาล์มน้ำมันที่เกษตรกรขายได้ภายในประเทศ รวมทั้งติดตามสถานการณ์การผลิตและภาวะเงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด เพื่อให้การนำเข้าน้ำมันปาล์มกึ่งบริสุทธิ์สามารถดำเนินการได้สอดคล้องและเหมาะสมกับช่วงเวลาที่ผลผลิตปาล์มออกสู่ตลาด โดยไม่ส่งผลกระทบต่อราคาผลปาล์มดิบและราคาน้ำมันพืชปาล์ม และพิจารณาปริมาณนำเข้าน้ำมันปาล์มตามความจำเป็นที่แท้จริง เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรชาวสวนปาล์ม ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 30399 | ร่างพระราชบัญญัติราชบัณฑิตยสถาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร | 30/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติราชบัณฑิตยสถาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. แก้ไขเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของราชบัณฑิตยสถานให้สามารถจัดการศึกษาอบรมและพัฒนาทางวิชาการ และมีอำนาจในการจัดสวัสดิการและการสงเคราะห์อื่นแก่สมาชิกราชบัณฑิตยสถาน ๒. แก้ไขเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของนายกราชบัณฑิตยสถานโดยให้เป็นผู้แทนของราชบัณฑิตยสถานในการดำเนินงานทางวิชาการ ๓. แก้ไขเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของสภาราชบัณฑิตโดยให้มีอำนาจในการออกข้อบังคับเพื่อเรียกเก็บค่าใช้จ่าย ค่าธรรมเนียม และค่าบริการที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของราชบัณฑิตยสถาน และให้นำไปใช้จ่ายในการดำเนินงานได้ ๔. ปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการส่งเสริมกิจการราชบัณฑิตยสถาน และกำหนดให้เลขาธิการราชบัณฑิตยสถานปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามนโยบาย ข้อบังคับ ระเบียบ มติ หรือคำสั่งของสภาราชบัณฑิต นายกราชบัณฑิตยสถาน และคณะกรรมการส่งเสริมกิจการราชบัณฑิตยสถาน
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 30400 | การส่งเสริมและสนับสนุนให้สหกรณ์เป็นวาระแห่งชาติในโอกาสทศวรรษครบ 100 ปี ของการสหกรณ์ไทย | กษ | 30/07/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการประกาศให้สหกรณ์เป็นวาระแห่งชาติในโอกาสทศวรรษครบ ๑๐๐ ปี ของการสหกรณ์ไทย ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยมีแนวทางดำเนินการหลังการประกาศ “สหกรณ์เป็นวาระแห่งชาติ” โดยคาดหวังว่า หากสหกรณ์ได้รับการพิจารณาเป็นวาระแห่งชาติ จะมีผลในทางปฏิบัติในเรื่องที่สำคัญ ดังนี้ ๑.๑ เป็นเครื่องมือสำคัญในการรองรับนโยบายทางด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลได้อย่างเต็มที่ เช่น นโยบายประกันรายได้เกษตรกร ปัญหาจากผลของ AFTA สหกรณ์สามารถรองรับการตลาดผลผลิตการเกษตรได้ นโยบายส่งเสริมการออมภาคประชาชน การแก้ปัญหาหนี้สินนอกระบบ โดยสหกรณ์เป็นแหล่งการออมที่สำคัญของภาคประชาชน เป็นต้น ๑.๒ เป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับมหภาคโดยการขับเคลื่อนและพัฒนาการรวมกลุ่มเศรษฐกิจและสังคมในชนบทที่มีความหลากหลายให้สามารถบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยใช้วิธีการสหกรณ์ เพื่อลดความซ้ำซ้อน สร้างความชัดเจน และความเป็นเอกภาพแก่ระบบการส่งเสริมกลุ่มของรัฐ รวมถึงเป็นการปฏิรูประบบการออมของประเทศที่ประชาชนสามารถพึ่งตนเองได้ในระยะยาว ๑.๓ เป็นกลไกสร้างการเรียนรู้ วิถีแห่งประชาธิปไตยในระยะยาว โดยปลูกฝังประชาธิปไตยตั้งแต่ระดับเยาวชน ผ่านกิจกรรมสหกรณ์ได้อย่างเป็นรูปธรรม อันจะทำให้เกิดการซึมซับวิธีการประชาธิปไตยที่ถูกต้อง ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปบูรณาการร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดทำยุทธศาสตร์และรายละเอียดต่าง ๆ ที่จะดำเนินการส่งเสริมและสนับสนุนการสหกรณ์ รวมทั้งการบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ๓. ให้รับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการกำหนดวัตถุประสงค์ เป้าหมายในข้อเสนอระเบียบวาระแห่งชาติด้านการสหกรณ์ให้ชัดเจนเพื่อจะได้มีขอบเขตทิศทางและจุดมุ่งหมายร่วมของทุกภาคส่วนที่จะนำไปดำเนินการ การศึกษาโครงสร้างหน่วยงาน อำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ผลกระทบ รวมทั้งผลดีผลเสีย ที่ผู้รับบริการจะได้รับ และรับฟังความคิดเห็นของหน่วยงานที่จะต้องดำเนินงานตามข้อเสนอวาระแห่งชาติด้านการสหกรณ์มาประกอบการพิจารณา การกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดการดำเนินงานตามข้อเสนอยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติด้านการสหกรณ์ให้ชัดเจน การปลูกฝังและวางรากฐานการสหกรณ์ให้กับเยาวชน โดยเฉพาะการให้มีหลักสูตรการสหกรณ์เป็นวิชาบังคับในโรงเรียน และนำระบบการสหกรณ์มาใช้ในโรงเรียน การทำงานร่วมกันระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยราชการในพื้นที่ และสหกรณ์ในระดับพื้นที่ในการขับเคลื่อนการพัฒนาสหกรณ์ในพื้นที่อย่างเป็นเอกภาพ การเชื่อมโยงสหกรณ์เครือข่ายการผลิต และการตลาด ที่มีอยู่หลากหลายประเภทในทุกระดับตั้งแต่ระดับท้องถิ่นจนถึงระดับชาติ และการปรับปรุงโครงสร้างภายในกรมส่งเสริมสหกรณ์และกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ เพื่อให้เป็นหน่วยงานหลักในการสนับสนุนทางวิชาการและให้บริการที่เกี่ยวข้องแก่สหกรณ์ทุกประเภท ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
.....
