ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1470 จากทั้งหมด 6223 หน้า แสดงรายการที่ 29381 - 29400 จากข้อมูลทั้งหมด 124448 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 29381 | แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (จำนวน 4 ราย 1. นางสาวรัชนี ตรีพิพัฒน์กุล ฯลฯ) | คค | 18/12/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยชุดใหม่ เนื่องจากประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิชุดเดิมได้ดำรงตำแหน่งมาครบกำหนดสามปีตามวาระในวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยให้แก้ไขชื่อสกุลของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ราย นายวินัย ให้ถูกต้อง จาก "ดำรงค์มงคลสกุล" เป็น "ดำรงค์มงคลกุล" ดังนี้ ๑.๑ นางสาวรัชนี ตรีพิพัฒน์กุล ประธานกรรมการ ๑.๒ นายพงศธร คุณานุสรณ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๑.๓ นายวินัย ดำรงค์มงคลกุล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๑.๔ นายสุนทร ทรัพย์ตันติกุล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (ผู้แทนองค์กรพัฒนาภาคเอกชนในด้านการคุ้มครองผู้บริโภค) ๒. ให้การแต่งตั้งมีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ยกเว้นนายวินัย ฯ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการอัยการเป็นต้นไป แต่ต้องไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๕)
|
||||||||||||||||||||||||
| 29382 | แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (จำนวน 6 คน 1. นายศิริพล ยอดเมืองเจริญ ฯลฯ) | พณ | 18/12/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ จำนวน ๖ คน เนื่องจากประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิชุดเดิมได้ครบวาระการดำรงตำแหน่ง ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นายศิริพล ยอดเมืองเจริญ ประธานกรรมการ ๒. นายกฤชรัตน์ หิรัณยศิริ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๓. นายสมชัย ทรัพย์เกษม กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๔. นางประพีร์ สรไกรกิติกูล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๕. นายวิบูลย์ หงษ์ศรีจินดา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๖. ผู้ช่วยศาสตราจารย์กฤตินี ณัฏฐวุฒิสิทธิ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
|
||||||||||||||||||||||||
| 29383 | การปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ | กค | 18/12/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ลดอัตราและยกเว้นภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างประกาศฯ มีสาระสำคัญคือ ปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ โดยพิจารณาจากอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ กำหนดให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ ๑ มกราคม ๒๕๕๙ เป็นต้นไป แบ่งตามประเภทรถยนต์ ได้แก่ ๑.๑ รถยนต์นั่ง และรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน ๑๐ คน ที่มีความจุของกระบอกสูบไม่เกิน ๓,๐๐๐ ซีซี ปล่อยก๊าซไม่เกิน ๑๕๐ กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษีร้อยละ ๓๐ ปล่อยก๊าซเกิน ๑๕๐ กรัมต่อกิโลเมตร แต่ไม่เกิน ๒๐๐ กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษีร้อยละ ๓๕ และปล่อยก๊าซเกิน ๒๐๐ กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษีร้อยละ ๔๐ ๑.๒ รถยนต์นั่ง E85 และรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงประเภทก๊าซธรรมชาติที่ติดตั้งในโรงอุตสาหกรรม (NGV-OEM) ที่มีความจุของกระบอกสูบไม่เกิน ๓,๐๐๐ ซีซี ปล่อยก๊าซไม่เกิน ๑๕๐ กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษีร้อยละ ๒๕ ปล่อยก๊าซเกิน ๑๕๐ กรัมต่อกิโลเมตร แต่ไม่เกิน ๒๐๐ กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษีร้อยละ ๓๐ และปล่อยก๊าซเกิน ๒๐๐ กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษีร้อยละ ๓๕ ๑.๓ รถยนต์แบบผสมที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิงและไฟฟ้า (Hybrid Electric Vehicle) ที่มีความจุของกระบอกสูบไม่เกิน ๓,๐๐๐ ซีซี ปล่อยก๊าซไม่เกิน ๑๐๐ กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษีร้อยละ ๑๐ ปล่อยก๊าซเกิน ๑๐๐ กรัมต่อกิโลเมตร แต่ไม่เกิน ๑๕๐ กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษีร้อยละ ๒๐ ปล่อยก๊าซเกิน ๑๕๐ กรัมต่อกิโลเมตร แต่ไม่เกิน ๒๐๐ กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บอัตราภาษีร้อยละ ๒๕ และปล่อยก๊าซเกิน ๒๐๐ กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษีร้อยละ ๓๐ ๑.๔ รถยนต์กระบะที่ไม่มีพื้นที่ใส่สัมภาระด้านหลังที่นั่งคนขับ (No Cab) ที่มีความจุของกระบอกสูบไม่เกิน ๓,๒๕๐ ซีซี ปล่อยก๊าซไม่เกิน ๒๐๐ กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษีร้อยละ ๓ และปล่อยก๊าซเกิน ๒๐๐ กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษีร้อยละ ๕ ๑.๕ รถยนต์กระบะที่มีพื้นที่ใส่สัมภาระด้านหลังที่นั่งคนขับ (Space Cab) ที่มีความจุของกระบอกสูบไม่เกิน ๓,๒๕๐ ซีซี ปล่อยก๊าซไม่เกิน ๒๐๐ กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษีร้อยละ ๕ ปล่อยก๊าซเกิน ๒๐๐ กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษีร้อยละ ๗ ๑.๖ รถยนต์นั่งที่มีกระบะ (Double Cab) ที่มีความจุของกระบอกสูบไม่เกิน ๓,๒๕๐ ซีซี ปล่อยก๊าซไม่เกิน ๒๐๐ กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษีร้อยละ ๑๒ และปล่อยก๊าซเกิน ๒๐๐ กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษีร้อยละ ๑๕ ๑.๗ รถยนต์นั่งกึ่งบรรทุก (Pick-up Passenger Vehicle : PPV) ที่มีความจุของกระบอกสูบไม่เกิน ๓,๒๕๐ ซีซี ปล่อยก๊าซไม่เกิน ๒๐๐ กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษีร้อยละ ๒๕ และปล่อยก๊าซเกิน ๒๐๐ กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษีร้อยละ ๓๐ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมกำหนดแนวทางให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมรถยนต์และผู้นำเข้าจะต้องติดป้ายแสดงการประหยัดพลังงานและปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ๓. ให้กระทรวงคมนาคมศึกษาแนวทางการปรับโครงสร้างภาษีรถยนต์ประจำปีเพื่อให้สอดคล้องกับภาษีสรรพสามิตรถยนต์ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
| 29384 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ ประเภทบริหารระดับสูง (นายสุพจน์ เจิมสวัสดิพงษ์ และนายมโนพัศ หัวเมืองแก้ว) | ทส | 18/12/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๒ ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. นายสุพจน์ เจิมสวัสดิพงษ์ ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมทรัพยากรน้ำบาดาล ๒. นายมโนพัศ หัวเมืองแก้ว ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
|
||||||||||||||||||||||||
| 29385 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (นายสมชาย เทียมบุญประเสริฐ) | วท | 18/12/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายสมชาย เทียมบุญประเสริฐ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
| 29386 | การแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย | ยธ | 18/12/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) รายงานความก้าวหน้าเกี่ยวกับแนวทางในการที่จะทำให้เกิดกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้มากที่สุดและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องว่า ได้หารือกับผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น พรรคร่วมรัฐบาล ประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธานวุฒิสภา และรับฟังความเห็นจากฝ่ายต่าง ๆ รวมทั้งคณะกรรมการการเลือกตั้ง เป็นต้น พบว่ามีความเห็นส่วนใหญ่สรุปว่า ควรให้จัดทำประชามติ ๒. รับทราบตามที่เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีการายงานว่า ในการดำเนินการจะต้องเป็นไปตามมาตรา ๑๖๕(๑) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. ๒๕๕๒ โดยจะต้องมีการมอบหน่วยงานเจ้าของเรื่องในการจัดทำประชามติเพื่อรับผิดชอบการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี เมื่อคณะรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการให้มีการออกเสียงประชามติ นายกรัฐมนตรีอาจปรึกษาประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานวุฒิสภา หลังจากนั้นจะมีการนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งเพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษา ให้มีการออกเสียงประชามติ จากนั้นจะเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้งในการกำหนดวันออกเสียงภายในระยะเวลาไม่น้อยกว่า ๙๐ วัน แต่ไม่เกิน ๑๒๐ วัน นับแต่วันประกาศให้มีการออกเสียงในราชกิจจานุเบกษาและดำเนินการออกเสียงประชามติต่อไป ทั้งนี้ การออกเสียงที่จะถือว่ามีข้อยุติในเรื่องที่จัดทำประชามติต้องมีผู้มาออกเสียงเป็นจำนวนเสียงข้างมากของผู้มีสิทธิออกเสียงและมีจำนวนเสียงเกินกว่ากึ่งหนึ่งของผู้มาออกเสียงในเรื่องที่จัดทำประชามตินั้น ๓. เห็นชอบให้ตั้งคณะทำงาน ประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) และเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ดำเนินการศึกษาวิธีการออกเสียงประชามติและประชาเสวนาว่าจะดำเนินการอย่างไรทั้งในข้อกฎหมายและในทางปฏิบัติแล้วสรุปวิธีการที่เหมาะสมและจัดทำรายละเอียดเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ ให้คณะทำงานดำเนินการชี้แจงเรื่องนี้เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชนด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
| 29387 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2555 | ทส | 11/12/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๕๕ จำนวน ๒ เรื่อง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. ที่ประชุมมีมติเกี่ยวกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวอ่อนส่วนต่อขยาย ช่วงสมุทรปราการ (บางปิ้ง)-บางปู ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ๑.๑ ให้ รฟม. ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวอ่อนส่วนต่อขยาย ช่วงสมุทรปราการ (บางปิ้ง)-บางปู ของ รฟม. ซึ่งผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคมของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ในการประชุมครั้งที่ ๑๓/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๕๔ และตามความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ๑.๒ หาก รฟม. มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการหรือมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างจากที่ได้เสนอไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวอ่อนส่วนต่อขยาย ช่วงสมุทรปราการ (บางปิ้ง)-บางปู ของ รฟม. ตามที่คณะกรรมการผู้ชำนาญการฯ ได้ให้ความเห็นชอบแล้ว ให้แจ้งหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในการอนุมัติหรืออนุญาตเป็นผู้พิจารณา หากหน่วยงานดังกล่าวเห็นว่าการแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการหรือมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมดังกล่าวไม่กระทบต่อสาระสำคัญของการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และเป็นมาตรการที่เกิดผลดีต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า หรือเทียบเท่ามาตรการที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่ผ่านการพิจารณาให้ความเห็นชอบจากคณะกรรมการผู้ชำนาญการฯ แล้ว ให้หน่วยงานที่มีอำนาจอนุมัติหรืออนุญาตรับพิจารณาการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงดังกล่าวให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ และเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในกฎหมายนั้น ๆ พร้อมกับสำเนาเรื่องแจ้งสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อทราบ หากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวอาจกระทบต่อสาระสำคัญของการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ให้จัดส่งรายงานการปรับปรุงแก้ไขรายละเอียดโครงการ หรือมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อเสนอคณะกรรมการผู้ชำนาญการฯ ให้ความเห็นชอบก่อนการเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงแก้ไข ๑.๓ ให้ รฟม. นำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาตามมาตรา ๔๗ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ๑.๔ ให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจรควบคุม กำกับดูแลการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสีเขียวอ่อน ส่วนต่อขยาย ช่วงสมุทรปราการ (บางปิ้ง)-บางปู ของ รฟม. ให้เป็นไปตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด และรายงานเสนอสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทุก ๖ เดือน ๒. ที่ประชุมมีมติเกี่ยวกับโครงการศึกษาและออกแบบรายละเอียดรถไฟฟ้าชานเมืองร่วมกับรถไฟทางไกลเชื่อมต่อระบบขนส่งมวลชนในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล สายตลิ่งชัน-นครปฐม ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ๒.๑ ให้ รฟท. ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ตามที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการศึกษาและออกแบบรายละเอียดระบบรถไฟฟ้าชานเมืองร่วมกับรถไฟทางไกลเชื่อมต่อระบบขนส่งมวลชนในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล สายตลิ่งชัน-นครปฐม ของ รฟท. ซึ่งผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคมของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ในการประชุมครั้งที่ ๑๙/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๔ และตามความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ๒.๒ ให้ รฟท. นำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาตามมาตรา ๔๗ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ต่อไป ๒.๓ ให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร ควบคุม กำกับดูแลการดำเนินโครงการศึกษาและออกแบบรายละเอียดระบบรถไฟฟ้าชานเมืองร่วมกับรถไฟทางไกลเชื่อมต่อระบบขนส่งมวลชนในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล สายตลิ่งชัน-นครปฐม ของ รฟท. ให้เป็นไปตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด และรายงานเสนอสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทุก ๖ เดือน
|
||||||||||||||||||||||||
| 29388 | ขออนุมัติการแต่งตั้ง นายจักริน วังวิวัฒน์ ดำรงตำแหน่งกงสุลกิตติมศักดิ์แคนาดา ประจำจังหวัดเชียงใหม่ | กต | 11/12/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายจักริน วังวิวัฒน์ ดำรงตำแหน่งกงสุลกิตติมศักดิ์แคนาดาประจำจังหวัดเชียงใหม่ สืบแทนนายนิตย์ วังวิวัฒน์ โดยมีเขตกงสุลครอบคลุม ๑๗ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดอุทัยธานี นครสวรรค์ พิษณุโลก กำแพงเพชร อุตรดิตถ์ เพชรบูรณ์ พิจิตร ตาก สุโขทัย พะเยา แพร่ แม่ฮ่องสอน น่าน ลำพูน ลำปาง เชียงใหม่ และเชียงราย ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
| 29389 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติวิชาชีพแพทย์แผนไทย พ.ศ. .... | สผ | 11/12/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติวิชาชีพแพทย์แผนไทย พ.ศ. .... และให้นำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติที่คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ แก้ไข ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบด้วยแล้ว เป็นเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา และมอบให้กระทรวงสาธารณสุขรับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ดังกล่าวไปพิจารณา และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
| 29390 | แจ้งผลคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ในคดีหมายเลขดำที่ อ. 373/2548 คดีหมายเลขแดงที่ อ. 122/2555 ระหว่างนายวิเชียร วิฑูรย์เธียร ฟ้อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กับพวกรวม 3 คน ต่อศาลปกครองกลาง เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งมีคำพิพากษากลับคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้นเป็นยกฟ้อง | อส | 11/12/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคดีปกครอง สำนักงานอัยการสูงสุดแจ้งผลคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ในคดีหมายเลขดำที่ อ. ๓๗๓/๒๕๔๘ คดีหมายเลขแดงที่ อ. ๑๒๒/๒๕๕๕ ระหว่างนายวิเชียร วิฑูรย์เธียร ผู้ฟ้องคดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ ๑ คณะกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทย โดยประธานกรรมการการท่าเรือแห่งประเทศไทย ที่ ๒ คณะรัฐมนตรี ที่ ๓ ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองกลาง เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษากลับคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้นเป็นยกฟ้อง
|
||||||||||||||||||||||||
| 29391 | แนวทางในการจัดทำคำรับรองการปฏิบัติราชการฯ และการกำหนดตัวชี้วัดของกระทรวงที่มีเป้าหมายร่วมกัน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | นร12 | 11/12/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบแนวทางในการจัดทำคำรับรองการปฏิบัติราชการฯ และการกำหนดตัวชี้วัดของกระทรวงที่มีเป้าหมายร่วมกัน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้แต่ละกระทรวงพิจารณาค่าเป้าหมายที่เหมาะสมของตัวชี้วัดด้านประสิทธิผลของการดำเนินงานตามนโยบายสำคัญเร่งด่วนของรัฐบาลและภารกิจหลัก และให้เสนอตัวชี้วัดเพิ่มเติมตามประเด็นที่กำหนด ๑.๒ ให้กระทรวงที่เป็นเจ้าภาพหลักของตัวชี้วัดที่มีเป้าหมายร่วมกันเพิ่มเติมของแต่ละเรื่องนำเสนอแนวทางการบูรณาการการทำงานระหว่างกระทรวงและจัดทำตัวชี้วัดร่วม รวมทั้งกำหนดรายละเอียดของตัวชี้วัด ค่าเป้าหมายที่เหมาะสมด้วย โดยตัวชี้วัดของกระทรวงที่มีเป้าหมายร่วมกันเพิ่มเติม จำนวน ๖ เรื่อง ได้แก่ ๑.๒.๑ การลดต้นทุนในการรักษาพยาบาล (Cost per Head) ๑.๒.๒ ศูนย์ช่วยเหลือเด็กและสตรีในภาวะวิกฤต หรือศูนย์พึ่งได้ (One Stop Crisis Center : OSCC) ๑.๒.๓ การพัฒนาแรงงานเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ๑.๒.๔ การยกระดับภาพลักษณ์ตราสินค้าไทย (Branding) ๑.๒.๕ การส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตรและเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร (Agro Industry) ๑.๒.๖ อุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Industry) ๑.๓ ให้แต่ละกระทรวงนำข้อมูลตามข้อ ๑.๑ และ ๑.๒ เสนอต่อนายกรัฐมนตรีภายใน ๒ สัปดาห์ เพื่อจัดทำคำรับรองการปฏิบัติราชการฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ต่อไป ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการชี้แจงทำความเข้าใจกับส่วนราชการในการปรับเปลี่ยนแนวทางในการจัดทำคำรับรองการปฏิบัติราชการฯ และการกำหนดตัวชี้วัดของกระทรวงที่มีเป้าหมายร่วมกัน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ก่อนมอบหมายให้ส่วนราชการจัดทำรายละเอียดตัวชี้วัดและพิจารณาช่วงระยะเวลาที่เหมาะสมสำหรับการจัดทำข้อมูลเพื่อประกอบการนำเสนอต่อนายกรัฐมนตรี เพื่อให้การจัดทำคำรับรองการปฏิบัติราชการเป็นไปในทิศทางเดียวกันและเกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐมากยิ่งขึ้น การกำหนดตัวชี้วัดตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลและภารกิจหลักของกระทรวงควรเป็นตัวชี้วัดหลัก ๆ ที่สามารถขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลได้อย่างเป็นรูปธรรม และร่วมกำหนดรายละเอียดในการดำเนินงาน/ประเมินผลร่วมกับหน่วยปฏิบัติให้ชัดเจนยิ่งขึ้น และในกรณีตัวชี้วัดของกระทรวงที่มีเป้าหมายร่วมกันระหว่างกระทรวง (Joint KPIs) กระทรวงเจ้าภาพหลักควรจัดตั้งงบประมาณสนับสนุนการดำเนินงานตามตัวชี้วัดดังกล่าวเพื่อจัดสรรให้แก่ส่วนราชการที่ต้องร่วมรับผิดชอบดำเนินการ เพื่อความมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลในการผลักดันตัวชี้วัด การกำหนดรายละเอียดของภารกิจหรือกิจกรรมที่แต่ละหน่วยงานจะต้องรับผิดชอบให้ชัดเจน และนำขอบเขตภารกิจที่รับผิดชอบนี้ไปใช้ประกอบการพิจารณากำหนดสัดส่วนคะแนนที่เหมาะสมในแต่ละส่วนราชการให้สอดคล้องกับความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน รวมทั้งการให้ความสำคัญกับการวางระบบสื่อสารหรือการประสานความเชื่อมโยงในการปฏิบัติงานให้เหมาะสม เพื่อเป็นการกำกับดูแลให้ตัวชี้วัดร่วมสามารถบรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 29392 | ความตกลงว่าด้วยการเดินทางข้ามแดนไทย - มาเลเซีย | มท | 11/12/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้จัดทำร่างความตกลงว่าด้วยการเดินทางข้ามแดนไทย-มาเลเซีย ตามที่ได้รับมอบหมายจากที่ประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือไทย-มาเลเซีย (Joint Commission-JC) ครั้งที่ ๙ ๑.๒ อนุมัติร่างความตกลงว่าด้วยการเดินทางข้ามแดนไทย-มาเลเซีย ซึ่งครอบคลุมสาระสำคัญในด้านการจัดระเบียบบุคคลข้ามแดน เพื่อเป็นการส่งเสริมและอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในด้านเศรษฐกิจการค้าชายแดน และความร่วมมือทางด้านสังคมและวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี และเพื่อให้ประชาชนตามแนวชายแดนสามารถเดินทางไปมาหาสู่กันได้โดยสะดวก โดยใช้ความตกลงฯ ฉบับ พ.ศ. ๒๔๘๓ เป็นพื้นฐานและปรับเปลี่ยนข้อกำหนดต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับสภาพการเดินทางข้ามแดนในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไป โดย ๑.๒.๑ วัตถุประสงค์ของการเดินทาง มีความชัดเจนและครอบคลุมมากขึ้น ได้แก่ เพื่อการเยี่ยมเยือน การท่องเที่ยว การกีฬา การฝึกอบรมระยะสั้นไม่เกิน ๖ เดือน การเข้าร่วมสัมมนาหรือการพบปะหารือ การเข้าร่วมประชุมและกิจกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง และวัตถุประสงค์อื่น ๆ ที่สองประเทศอาจตกลงกันในภายหลัง ๑.๒.๒ อายุการใช้งาน กำหนดให้หนังสือผ่านแดนมีอายุใช้งาน ๑ ปี ๑.๒.๓ ระยะเวลาการพำนัก ๓๐ วัน ๑.๒.๔ พื้นที่ชายแดน ครอบคลุมพื้นที่ ๕ จังหวัดชายแดนของประเทศไทย ได้แก่ จังหวัดสงขลา สตูล ยะลา นราธิวาส และปัตตานี และครอบคลุมพื้นที่ ๔ รัฐของประเทศมาเลเซีย ได้แก่ รัฐเกดาห์ กลันตัน เปรัค (เฉพาะเมืองฮูลูเปรัค) และเปอร์ลิส ๑.๒.๕ ผู้ขอเอกสารข้ามแดน ประชาชนไทยและมาเลเซียที่มีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่ชายแดนเป็นการถาวรที่ระบุในความตกลงฯ ๑.๓ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้ลงนามในความตกลงฯ ๑.๔ อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) เพื่อการลงนามในร่างความตกลงฯ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักข่าวกรองแห่งชาติและสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติที่เห็นควรให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องระมัดระวังไม่ให้การดำเนินการตามความตกลงฯ กระทบต่อความมั่นคงบริเวณชายแดนไทย-มาเลเซีย ด้านการดำเนินการให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในความตกลงฯ อย่างเคร่งครัด และเข้มงวดกวดขันในเชิงป้องกันปัญหามิติด้านความมั่นคง เช่น การลักลอบขนสินค้าหลีกเลี่ยงภาษีหรือผิดกฎหมาย รวมทั้งการเข้าเมืองของผู้กระทำผิดกฎหมายหรือผู้ก่อความไม่สงบในบริเวณชายแดนทั้งสองประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ในการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือไทย-มาเลเซีย (JC) ครั้งต่อไป ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอให้มีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการเชื่อมโยงข้อมูลบัตรประจำตัวประชาชนของไทยกับของมาเลเซียเพื่อตรวจสอบบุคคลที่ประสงค์จะเดินทางข้ามแดนระหว่างประเทศไทยกับประเทศมาเลเซียและป้องกันการเข้าเมืองของผู้กระทำผิดกฎหมายหรือผู้ก่อความไม่สงบในบริเวณชายแดนทั้งสองประเทศ |
||||||||||||||||||||||||
| 29393 | สรุปผลการเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการบริหารของยูเนสโก ครั้งที่ 190 | ศธ | 11/12/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการบริหารของยูเนสโก ครั้งที่ ๑๙๐ ระหว่างวันที่ ๘-๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๕ ณ สำนักงานใหญ่องค์การยูเนสโก กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผู้อำนวยการใหญ่องค์การยูเนสโก (Her Excellency Madame lrina Bokova) รายงานผลการดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมา โดยกล่าวชื่นชมประเทศไทยใน ๒ เรื่อง ได้แก่ การดำเนินงานของศูนย์การเรียนชุมชน (Community Learning Centre : CLC) พร้อมทั้งมีการส่งเสริมฝึกอาชีพ และการที่รัฐบาลไทยมีความตั้งใจจริงในการรณรงค์เรื่องการรู้หนังสือ (Literacy Campaign) ให้กับประชาชนคนไทย ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้กล่าวถ้อยแถลงในการประชุมฯ ๒.๑ ประเทศไทยชื่นชมบทบาทขององค์การยูเนสโกโดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะผู้นำระดับโลกในการขับเคลื่อนและปฏิรูปกลไกการศึกษาเพื่อปวงชนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการศึกษาเพื่อปวงชนในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ และยินดีที่ยูเนสโกจะจัดการประชุมระดับโลกด้านการศึกษาเพื่อปวงชน (Global EFA Meeting) ในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ ซึ่งเน้นผลักดันให้ทุกคนได้เข้าถึงโอกาสทางการศึกษาที่เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น ๒.๒ ประเทศไทยให้การสนับสนุนข้อริเริ่มของ H.E. Bun Ki-moon เลขาธิการสหประชาชาติ ในเรื่อง “การศึกษาต้องมาก่อน” (Education First) ซึ่งสอดคล้องกับการดำเนินงานของประเทศไทยที่ต้องการสร้างสังคมที่ดีและเข้มแข็งสำหรับประชาชนทุกคน และเห็นด้วยกับผู้อำนวยการใหญ่องค์การยูเนสโกที่ให้ความสำคัญใน ๓ ประเด็นหลักในวาระการศึกษาของสหประชาชาติ ได้แก่ การส่งเสริมให้เด็กทุนคนได้มีโอกาสเข้าเรียน การพัฒนาคุณภาพการเรียน และการส่งเสริมความเป็นพลเมืองของโลก ๒.๓ ประเทศไทยขอบคุณยูเนสโกที่ให้ความสำคัญกับการรู้หนังสือ ซึ่งประเทศไทยถือเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จในเรื่องของการส่งเสริมการรู้หนังสือผ่านศูนย์การเรียนชุมชนซึ่งมีเครือข่ายมากกว่า ๗,๐๐๐ แห่งทั่วประเทศ และพร้อมที่จะขยายกิจกรรม ตลอดจนแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของศูนย์การเรียนชุมชนไปยังประเทศเพื่อนบ้านด้วย ๒.๔ ประเทศไทยให้ความสำคัญเรื่องการใช้ ICT ทางการศึกษาอันจะนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพทางการศึกษาตามนโยบายของรัฐบาล โดยได้ดำเนินโครงการแจกคอมพิวเตอร์ Tablet ให้กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ และจะขยายไปยังระดับมัธยมศึกษาตอนต้นต่อไป ๒.๕ ประเทศไทยจะให้ความร่วมมืออย่างใกล้ชิด รวมทั้งกระชับความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและพัฒนาความเป็นหุ้นส่วนระหว่างไทยกับยูเนสโกให้มากยิ่งขึ้น ๓. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้ประชุมหารือกับคณะของผู้อำนวยการใหญ่องค์การยูเนสโก มีความเห็นร่วมกันว่าจะดำเนินโครงการร่วมกัน จำนวน ๗ โครงการ ประกอบด้วย ๓.๑ โครงการที่เป็นการช่วยเหลือสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ตามที่ผู้อำนวยการใหญ่องค์การยูเนสโกได้หารือกับนายกรัฐมนตรีในช่วงที่เดินทางมาเยือนประเทศไทย ระหว่างวันที่ ๘-๑๐ กันยายน ๒๕๕๕ จำนวน ๓ โครงการ ได้แก่ การเสริมสร้างศักยภาพครูการศึกษานอกโรงเรียนในศูนย์การเรียนชุมชน (Community Learning Centre) ของประเทศไทยและสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ การเสริมสร้างภาวะความเป็นผู้นำในโรงเรียนของประเทศไทยและสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ในด้านการใช้ ICT และการเสริมสร้างศักยภาพของโรงเรียนว่าด้วยการนำ ICT มาใช้บูรณาการในการจัดการเรียนการสอนของครู ๓.๒ โครงการด้านการศึกษาที่จะดำเนินการร่วมกับประเทศไทยโดยตรง จำนวน ๔ โครงการ ได้แก่ โครงการความร่วมมือกับองค์การยูเนสโกในการจัดทำการทบทวนแผนยุทธศาสตร์ด้านการศึกษาของประเทศไทย (Policy Review) โครงการ Education First ตามข้อริเริ่มของ H.E. Bun Ki-moon เลขาธิการสหประชาชาติ โครงการ World Education Indicators และโครงการ Mobile Learning
|
||||||||||||||||||||||||
| 29394 | การให้สิทธิพิเศษแก่เจ้าหน้าที่ธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JBIC) | กค | 11/12/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่เลขาธิการคณะกรรรมการกฤษฎีกาเสนอว่า โดยหลักการทั่วไปของการทำหนังสือสัญญา ผู้ลงนามหนังสือสัญญาในนามรัฐบาลไทยหรือราชอาณาจักรไทยจะต้องมีหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ที่ออกโดยกระทรวงการต่างประเทศประกอบการลงนามด้วย ซึ่งในเรื่องการให้สิทธิพิเศษแก่เจ้าหน้าที่ธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (Japan Bank for International Cooperation : JBIC) ประจำสำนักงานในประเทศไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยนตอบหนังสือของรัฐบาลญี่ปุ่นในนามรัฐบาลไทยโดยมิได้มีหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) มาโดยตลอด และรัฐบาลญี่ปุ่นได้ยอมรับการลงนามดังกล่าว จึงถือเป็นกรณียกเว้นที่ไม่ต้องมีหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ๒. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๒.๑ เห็นชอบในหลักการหนังสือแลกเปลี่ยนระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่น และการให้สิทธิพิเศษแก่เจ้าหน้าที่ธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (Japan Bank for International Cooperation : JBIC) ประจำสำนักงานในประเทศไทย ตามนัยหนังสือแลกเปลี่ยนระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่น โดยสาระสำคัญของร่างหนังสือแลกเปลี่ยนฯ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่เจ้าหน้าที่ JBIC ประจำสำนักงานในประเทศไทยให้สามารถปฏิบัติภารกิจในประเทศไทยได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายและปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้งในการติดต่อประสานงาน สนับสนุนการส่งออกการนำเข้า และการลงทุนจากประเทศญี่ปุ่น รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือทางการเงินและสนับสนุนความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนในประเทศไทย ประเทศญี่ปุ่นและประเทศในภูมิภาค ๒.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมอบหมายเป็นผู้ลงนามในนามรัฐบาลไทยในหนังสือแลกเปลี่ยนระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่นดังกล่าว |
||||||||||||||||||||||||
| 29395 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น | ตช | 11/12/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เป็นเงิน ๖๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดหารถบรรทุก (ดีเซล) ขนาด ๑ ตัน แบบดับเบิ้ลแคป ขับเคลื่อน ๔ ล้อ หุ้มเกราะกันกระสุนทั้งคัน จำนวน ๓๓ คัน เพื่อทดแทนรถยนต์หุ้มเกราะกันกระสุนที่มีอายุการใช้งาน ๘ ปีขึ้นไป จำนวน ๒๗ คัน และรถยนต์ที่ได้รับความเสียหายจากการปฏิบัติภารกิจ จำนวน ๖ คัน รวมทั้งสิ้นจำนวน ๓๓ คัน และให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอทำความตกลงรายละเอียดค่าใช้จ่ายกับสำนักงบประมาณโดยตรงต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||
| 29396 | การลงนามในร่างถ้อยแถลงร่วมว่าด้วยการจัดตั้งเวทีหารือด้านพลังงานระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ | พน | 11/12/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการลงนามในร่างถ้อยแถลงร่วมว่าด้วยการจัดตั้งเวทีหารือด้านพลังงานระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้
๑. เมื่อวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๕ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานได้ลงนามในร่างถ้อยแถลงร่วมว่าด้วยการจัดตั้งเวทีหารือด้านพลังงาน (Joint Statement for the Establishment of Energy Forum) ระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาของเมียนมาร์เพียงฉบับเดียวในระหว่างการเยือนไทยของประธานาธิบดีแห่งเมียนมาร์ ส่วนกระทรวงไฟฟ้า ๑ และไฟฟ้า ๒ ของเมียนมาร์ยังมิได้มีการลงนามกับกระทรวงพลังงาน ๒. กระทรวงพลังงานจะได้มีการลงนามในถ้อยแถลงร่วม (Joint Statement) เพื่อจัดตั้งเวทีหารือด้านพลังงานดังกล่าว กับกระทรวงไฟฟ้าของเมียนมาร์ด้วย (หมายเหตุ กระทรวงไฟฟ้า ๑ และไฟฟ้า ๒ ของเมียนมาร์ได้มีการรวมเป็นกระทรวงเดียวกันเมื่อประมาณเดือนกันยายน ๒๕๕๕ ที่ผ่านมา) โดยกำหนดการลงนามในวันที่ ๑๙-๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ที่กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา ในช่วงของการหารือทวิภาคีระหว่างประธานาธิบดีเมียนมาร์กับนายกรัฐมนตรีของไทย
|
||||||||||||||||||||||||
| 29397 | ขออนุมัติกู้เงินตามมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน ระยะที่ 10 ของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 11/12/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ชะลอการกู้เงินเพื่อชดเชยการดำเนินการตามมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทาง ระยะที่ ๑๐ โดยให้ รฟท. โอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จากแผนงานบริหารจัดการหนี้ภาครัฐ โครงการชำระหนี้เงินกู้เพื่อชดเชยรายได้ค่าโดยสารที่ขาดหายไปจากการดำเนินการตามมาตรการลดค่าใช้จ่ายเดินทางโดยรถไฟชั้น ๓ ในวงเงิน ๔๕๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็นแผนงานพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โครงการชดเชยรายได้ค่าโดยสารที่ขาดหายไปจากการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว ในวงเงิน ๔๕๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ รฟท. เร่งรัดการขอบรรจุวงเงินกู้ดังกล่าวให้ทันกับการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ที่สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะจะเสนอขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ รฟท. สามารถดำเนินการกู้เงินได้ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ และมีข้อสังเกตว่าการดำเนินนโยบายกึ่งการคลัง (Quasi-fiscal policy) ในช่วงที่ผ่านมาในส่วนของการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพด้านการเดินทางจะเป็นในลักษณะที่ให้รัฐวิสาหกิจผู้ดำเนินมาตรการเป็นผู้กู้เพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายในการดำเนินมาตรการที่รัฐวิสาหกิจนั้นได้สำรองจ่ายไปก่อนแล้ว ซึ่งคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะมีความเห็นว่าค่าใช้จ่ายตามมาตรการดังกล่าวเป็นวงเงินที่ไม่สูงมากนักและเป็นนโยบายที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง จึงเห็นควรให้รัฐวิสาหกิจที่ดำเนินการขอจัดสรรงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายโดยตรงจากสำนักงบประมาณจะเหมาะสมกว่า ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 29398 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์) (นายชูชาติ ฉุยกลม) | กษ | 11/12/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายชูชาติ ฉุยกลม ให้ดำรงตำแหน่งวิศวกรใหญ่ที่ปรึกษาด้านวิศวกรรมโยธา (ด้านวางแผนและโครงการ) วิศวกรโยธาทรงคุณวุฒิ กรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตั้งแต่วันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ นายชูชาติ ฉุยกลม ได้โอนไปบรรจุเป็นข้าราชการพลเรือนในพระองค์ ตำแหน่ง ที่ปรึกษาโครงการพัฒนาตามพระราชดำริ ตำแหน่งประเภทวิชาการระดับเชี่ยวชาญ สำนักราชเลขาธิการ ตั้งแต่วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
| 29399 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานในเขตโครงการชลประทานตราด เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... จำนวน 3 ฉบับ | กษ | 11/12/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานในเขตโครงการชลประทานตราด เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... จำนวน ๓ ฉบับ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานในเขตโครงการชลประทานตราด เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียบเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ทางน้ำชลประทานในเขตโครงการชลประทานตราดเป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน เพื่อให้เกิดประโยชน์จากการใช้น้ำอย่างเต็มที่ ๒. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองไม้ชี้ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ทางน้ำชลประทานในเขตโครงการชลประทานคลองไม้ชี้เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน เพื่อให้เกิดประโยชน์จากการใช้น้ำอย่างเต็มที่ ๓. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำด่านชุมพล เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ทางน้ำชลประทานในเขตโครงการชลประทานอ่างเก็บน้ำด่านชุมพลเป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน เพื่อให้เกิดประโยชน์จากการใช้น้ำอย่างเต็มที่
|
||||||||||||||||||||||||
| 29400 | ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการแบ่งระดับและการเทียบระดับการศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย (ฉบับที่..) พ.ศ. .... | ศธ | 11/12/2555 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการแบ่งระดับและการเทียบระดับการศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ผู้เรียนที่มีอายุไม่ต่ำกว่ายี่สิบปีบริบูรณ์ มีประสบการณ์ประกอบอาชีพและมีพื้นความรู้ตามที่กำหนด อาจนำผลการเรียน ความรู้ และประสบการณ์มาประเมินเทียบระดับการศึกษาในระดับสูงสุดของการศึกษาขั้นพื้นฐานประเภทสามัญศึกษาตามที่กำหนดไว้ และให้สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (สำนักงาน กศน.) และหน่วยงานกลางทางการศึกษาที่เกี่ยวข้องจัดทำมาตรฐานการเรียนระดับการศึกษา และเครื่องมือวัดผลและประเมินผลตามที่กำหนด และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับข้อสังเกตของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๘) ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ดังนี้ ๒.๑ เพิ่มเติมบทบัญญัติจำกัดสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ เพื่อให้เป็นไปตามแบบการร่างกฎหมายของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๒.๒ กำหนดคุณสมบัติของผู้ขอเทียบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานประเภทสามัญศึกษา โดยกำหนดให้ผู้เรียนต้องมีอายุไม่ต่ำกว่ายี่สิบปีบริบูรณ์ มีประสบการณ์ประกอบอาชีพเป็นหลักแหล่งไม่น้อยกว่าสามปี และมีพื้นความรู้ไม่ต่ำกว่าการศึกษาระดับประถมศึกษา เพื่อให้ชัดเจน เนื่องจากเป็นการเทียบระดับการศึกษาสำหรับกลุ่มบุคคลที่มีประสบการณ์ในการทำงานมาแล้ว ซึ่งมีความแตกต่างจากการเทียบระดับการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ๒.๓ กำหนดหลักเกณฑ์ในการดำเนินการประเมินเทียบระดับการศึกษา โดยกำหนดให้สำนักงาน กศน. และหน่วยงานกลางทางการศึกษาที่เกี่ยวข้องร่วมกันจัดทำมาตรฐานการเรียนรู้ของระดับการศึกษา และเครื่องมือวัดผลและประเมินผล ที่ไม่ต่ำกว่ามาตรฐานการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย เพื่อเสนอแนะต่อรัฐมนตรีในการดำเนินการตามข้อ ๓ แห่งกฎกระทรวงว่าด้วยการแบ่งระดับและการเทียบระดับการศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย พ.ศ. ๒๕๔๖ ทั้งนี้ เพื่อให้ชัดเจนและมีผลผูกพันให้หน่วยงานต้องปฏิบัติต่อไป ๒.๔ กำหนดให้การเทียบระดับสามารถทำได้ในระดับสูงสุดของการศึกษาขั้นพื้นฐานประเภทสามัญศึกษา เนื่องจากผู้แทนสำนักงาน กศน. ชี้แจงว่า กระทรวงศึกษาธิการจะดำเนินการจัดทำเกณฑ์ในการเทียบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานประเภทอาชีวศึกษาในภายหลัง
|
||||||||||||||||||||||||
.....
