ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1461 จากทั้งหมด 6223 หน้า แสดงรายการที่ 29201 - 29220 จากข้อมูลทั้งหมด 124448 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 29201 | การให้การดูแลทางการแพทย์และสาธารณสุขแก่คนต่างด้าวที่ไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคม | สธ | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักในการที่ให้การดูแลทางด้านการแพทย์และสาธารณสุขแก่คนต่างด้าวทั้งหมดที่ไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคม โดยคนต่างด้าวกลุ่มนี้จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเอง ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามกฎระเบียบหรือข้อบังคับที่กระทรวงสาธารณสุขจะได้กำหนดร่วมกับกระทรวงแรงงานและกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ในการที่ให้การดูแลการบริการด้านการส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค และอนามัยเจริญพันธุ์ในแรงงานต่างด้าว ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรศึกษาแนวทางการสร้างแรงจูงใจให้แก่กลุ่มที่ไม่มีหลักประกันสุขภาพเข้ามาสู่ระบบประกันสุขภาพเพิ่มขึ้น และพิจารณาแนวทางการพัฒนารูปแบบการติดตามคนต่างด้าวที่อยู่ในระบบการจ้างงานที่ไม่เป็นทางการและผู้ติดตามให้เข้าสู่ระบบหลักประกันสุขภาพเพิ่มขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 29202 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรี 6 ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ 18 | นร11 | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรี ๖ ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๑๘ ณ นครหนานหนิง มณฑลกวางสี สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๕ โดยมีผลการประชุมสรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแถลงการณ์ร่วมระดับรัฐมนตรี (Joint Ministerial Statement : JMS) มีสาระสำคัญในการผลักดันการดำเนินงานตามกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาแผนงานการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ๖ ประเทศ (Greater Mekong Subregion : GMS) ฉบับใหม่ ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๖๕ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการจัดทำกรอบการลงทุนระดับภูมิภาคที่ได้มีการวิเคราะห์และประเมินผลการดำเนินงานรายสาขาและรายประเทศแล้วเสร็จ พร้อมทั้งได้ให้แนวทางในการจัดทำแผนงานโครงการลงทุน GMS และการนำกรอบการลงทุนฯ ไปสู่การปฏิบัติ ๑.๒ เห็นชอบผลการดำเนินงานสำคัญของสาขาความร่วมมือภายใต้แผนงาน GMS ประกอบด้วย ยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการสาขาการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ปี พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๐ แผนปฏิบัติการเพื่อดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจสำหรับการดำเนินงานร่วมกันเพื่อลดจำนวนผู้ติดเชื้อเอดส์ที่มีการเคลื่อนย้ายในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗ การขยายระยะเวลาการดำเนินงานของแผนงานสนับสนุนด้านการเกษตร ระยะที่ ๒ ให้สิ้นสุดในปี พ.ศ. ๒๕๖๓ แนวคิดการจัดตั้งสมาคมการรถไฟของประเทศลุ่มแม่น้ำโขงให้เป็นองค์กรที่ไม่มีสถานะเป็นนิติบุคคลในระยะเริ่มแรก และบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลต่อการจัดตั้งศูนย์ประสานงานการซื้อขายไฟฟ้าระหว่างประเทศสมาชิกในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ๑.๓ รับทราบความก้าวหน้าการจัดทำกรอบการลงทุนของอนุภูมิภาคที่ได้จัดทำการประเมินผลการพัฒนารายสาขา และผลการประเมินรายประเทศแล้วเสร็จ โดยมีหลักการสำคัญคือ การลงทุนเพื่อพัฒนาระบบระเบียงเศรษฐกิจควรสอดคล้องและสนับสนุนความต้องการในการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ (Demand-driven) การสร้างสมดุลระหว่างการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานกับการค้า รวมถึงการเชื่อมโยงระหว่างแผนพัฒนาของประเทศสมาชิกกับโครงการในระดับภูมิภาค การใช้แนวทางการพัฒนาหลากหลายสาขา การกำหนดสาขาการพัฒนาที่เกิดขึ้นใหม่ที่มีลำดับความสำคัญสูง และการจัดลำดับความสำคัญเชิงพื้นที่ในการพัฒนาตามหลักการพิจารณาที่เหมาะสม ๑.๔ รับทราบผลการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสกับภาคีการพัฒนา อาทิ สำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศแห่งออสเตรเลีย (Australian Agency for International Development : AusAID) องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (Japan International Cooperation Agency : JICA) ความริเริ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่าง (Lower Mekong Initiative : LMI) คณะกรรมาธิการลุ่มแม่น้ำโขง (Mekong River Commission : MRC) เป็นต้น ๒. เห็นชอบข้อเสนอแผนการดำเนินงานระยะเร่งด่วน เพื่อสนับสนุนแผนงาน GMS ได้แก่ การเร่งรัดกระบวนการลงนามบันทึกความเข้าใจเพื่อจัดตั้งศูนย์ประสานงานการซื้อขายไฟฟ้าระหว่างประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงให้แล้วเสร็จภายในไตรมาสแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๖ การเร่งรัดติดตามความก้าวหน้าการจัดทำบันทึกความเข้าใจเพื่อจัดตั้งสมาคมการรถไฟของประเทศลุ่มแม่น้ำโขง และการดำเนินงาน ๙ สาขาความร่วมมือและการพัฒนาเมือง (คมนาคม โทรคมนาคม พลังงาน การอำนวยความสะดวกการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เกษตร และสิ่งแวดล้อม) เพื่อคัดเลือกแผนงานโครงการที่มีศักยภาพในส่วนของไทย และเสนอให้ธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank : ADB) รวบรวมเป็นแผนงานโครงการภายใต้กรอบการลงทุนของภูมิภาค และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ โดยประสานกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 29203 | การกู้เงินปีงบประมาณ 2556 ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย | พน | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการกู้เงินในประเทศปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ วงเงินรวม ๑๓,๐๐๐ ล้านบาท ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ประกอบด้วย การกู้เงินเพื่อลงทุนในโครงการ จำนวน ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท และการกู้เงินเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ Roll-over จำนวน ๓,๐๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง และ กฟผ. รับความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณากู้เงินตามความจำเป็นเพื่อลดผลกระทบต่อฐานะการเงินขององค์กรในระยะยาว และให้กระทรวงการคลังหารือร่วมกับรัฐวิสาหกิจเพื่อพิจารณาหาแนวทางในการอนุมัติเงินกู้ โดยคำนึงถึงข้อกฎหมายในการดำเนินการจัดหาเงินกู้ของสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ และกฎหมายจัดตั้งของรัฐวิสาหกิจ ซึ่งจะช่วยให้รัฐวิสาหกิจสามารถจัดหาเงินกู้สำหรับการดำเนินงานตามภารกิจได้ทันต่อสถานการณ์และมีความต่อเนื่องในการดำเนินการ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 29204 | ผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานร่วมระหว่างไทย - เมียนมาร์ เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง ครั้งที่ 2/2555 | นร11 | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานร่วมระหว่างไทย-เมียนมาร์ เพื่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและพื้นที่โครงการที่เกี่ยวข้อง ครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๕ ณ เนปิดอว์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ฝ่ายไทยรับทราบข้อมูลการจัดทำกรอบความตกลง (Framework Agreement) ฉบับใหม่ และบทบาทของ บมจ. อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ โดยเห็นว่า สถานะของ บมจ. อิตาเลียนไทยฯ จะยังต้องมีอยู่ในฐานะนักลงทุน/นักพัฒนารายหนึ่งในกลุ่มใหม่ ๒. เมียนมาร์อยู่ระหว่างการจัดทำกฎหมายเขตเศรษฐกิจพิเศษ (Special Economic Zone : SEZ) ฉบับใหม่ ซึ่งจะมีผลบังคับใช้สำหรับเขตเศรษฐกิจพิเศษทุกแห่งและจะใช้แทนกฎหมายเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย โดยกฎหมายเขตเศรษฐกิจพิเศษฉบับใหม่จะระบุสิทธิพิเศษสำหรับผู้พัฒนาโครงการ (Developer) นอกเหนือจากนักลงทุน (Investor) ที่มีระบุแต่เดิม และจะแบ่งพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษออกเป็น ๒ ส่วน คือ เขตปลอดอากร (Free Zone) สำหรับธุรกิจเพื่อการส่งออก และ Promotion Zone สำหรับธุรกิจการผลิตเพื่อใช้ในประเทศ รวมทั้งจะอนุญาตให้มีการลงทุนของต่างชาติแบบ ๑๐๐% และมีศูนย์ One-stop Service ในทุกเขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยจะมีการให้สิทธิประโยชน์ต่างๆ เช่น การยกเว้นและลดหย่อนภาษีสำหรับผู้พัฒนาโครงการใน ๘ ปีแรก และนักลงทุนในเขตปลอดอากร ๗ ปีแรก ในเขต Promotion Zone ๕ ปีแรก รวมทั้งสิทธิพิเศษด้านภาษีศุลกากร ภาษีการค้า ภาษีมูลค่าเพิ่ม และรับประกันว่าจะไม่มีการยึดกิจการ นอกจากนี้ ยังอนุญาตให้ใช้พื้นที่เป็นเวลา ๕๐ ปี และต่ออายุได้ถึง ๒๕ ปี ๓. การประชุมฯ ครั้งต่อไป จะจัดขึ้นในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ที่ประเทศไทย ๔. ที่ประชุมรับทราบรายงานสรุปผลการประชุมคณะอนุกรรมการร่วม ๖ สาขา ได้แก่ คณะอนุกรรมการร่วมด้านการเงินและคณะอนุกรรมการด้านกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง คณะอนุกรรมการด้านโครงสร้างพื้นฐานและการก่อสร้าง คณะอนุกรรมการร่วมด้านอุตสาหกรรมเฉพาะและการพัฒนาธุรกิจ คณะอนุกรรมการร่วมด้านพลังงาน และคณะอนุกรรมการร่วมด้านการพัฒนาชุมชน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 29205 | การกำกับดูแลราคาสินค้าจากการดำเนินนโยบายการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ | พณ | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการกำกับดูแลราคาสินค้าจากการดำเนินนโยบายการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. แนวทางการกำกับดูแล ๑.๑ ด้านราคาสินค้า ตรึงหรือชะลอการปรับราคาสินค้า โดยการกำกับดูแลราคาเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและป้องกันไม่ให้มีการฉวยโอกาสปรับราคาสินค้าสูงขึ้นเพื่อเอาเปรียบผู้บริโภค ได้แก่ ๑.๑.๑ การดูแลราคาสินค้า ณ โรงงาน (ต้นน้ำ) โดยแบ่งการกำกับดูแลเป็น ๔ กลุ่ม คือ กลุ่มที่ ๑ สินค้าที่ต้องใช้วัตถุดิบนำเข้า กลุ่มที่ ๒ สินค้าที่ใช้วัตถุดิบในประเทศเป็นหลัก กลุ่มที่ ๓ สินค้าที่ใช้วัตถุดิบทั้งในประเทศและนำเข้า และกลุ่มที่ ๔ หมวดอาหารสด ซึ่งหากจำเป็นต้องปรับราคาจะพิจารณาให้ปรับราคาตามภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจริง สำหรับหมวดอาหารสด เนื่องจากราคาขึ้นลงตามฤดูกาล จะมีการตรวจสอบราคาและเข้มงวดในการปิดป้ายราคา รวมทั้งการประกาศราคาแนะนำ ๑.๑.๒ การดูแลราคาจำหน่ายของตัวแทนจำหน่ายและผู้ค้าส่ง (กลางน้ำ) ดูแลราคาจำหน่ายส่งให้มีการเปลี่ยนแปลงสอดคล้องกับราคา ณ โรงงาน (ต้นน้ำ) เพื่อมิให้มีการฉวยโอกาสเอารัดเอาเปรียบทั้งด้านราคาจำหน่ายและปริมาณ ๑.๑.๓ การดูแลราคาจำหน่ายปลีก (ปลายน้ำ) ติดตามราคาจำหน่ายปลีกให้สอดคล้องกับต้นทุนการผลิต โดยกำหนดสินค้าที่ต้องติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด ๓ ระดับ คือ Watch List (WL) ระดับปกติ ติดตามภาวะและสถานการณ์ใกล้ชิดเป็นประจำทุกสัปดาห์ Priority Watch List (PWL) ระดับที่เริ่มไม่ปกติ ติดตามภาวะและสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเป็นพิเศษ สัปดาห์ละ ๒ ครั้ง และ Sensitive List (SL) ระดับที่ส่อเค้าว่าจะมีปัญหา ติดตามราคา และภาวะเป็นประจำทุกวัน ๑.๒ ด้านปริมาณ ดูแลให้สินค้าเพียงพอกับความต้องการไม่มีการกักตุนสินค้า ๒. มาตรการกำกับดูแล ๒.๑ มาตรการทางกฎหมาย ได้แก่ การกำหนดราคาจำหน่ายสูงสุด การปรับราคาสูงขึ้นต้องได้รับอนุญาต การให้แจ้งปริมาณสถานที่เก็บต้นทุน ค่าใช้จ่าย และห้ามมิให้มีการกักตุน ปฏิเสธการจำหน่าย และประวิงการจำหน่ายสินค้าควบคุม ๒.๒ มาตรการบริหาร ได้แก่ ขอความร่วมมือผู้ประกอบการตรึงราคาสินค้า และการประกาศราคาแนะนำสินค้า ๒.๓ การกำกับดูแลราคาสินค้าให้เป็นธรรม คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการได้กำหนดให้มีคณะอนุกรรมการพิจารณาราคาสินค้า จำนวน ๙ คณะ ได้แก่ สินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป น้ำมันพืชบริโภค ปุ๋ยเคมี อาหารสัตว์ ผลิตภัณฑ์นม เหล็กเส้นและเหล็กโครงสร้างรูปพรรณ อาหารปรุงสำเร็จ ยารักษาโรคแผนปัจจุบัน และกลั่นกรองการกำหนดสินค้าและบริการควบคุมและมาตรการกำกับดูแล เพื่อพิจารณาราคาจำหน่ายสินค้าที่เหมาะสมในกรณีที่มีผู้ประกอบการแจ้งขอปรับราคาจำหน่ายสินค้าเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้บริโภค
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 29206 | คณะกรรมการชุดต่างๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (จำนวน 6 คณะ) | กห | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะกรรมการที่มีความสำคัญและจำเป็นในการปฏิบัติหน้าที่ เพิ่มเติม จำนวน ๖ คณะ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ดังนี้
๑. คณะกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ๒. คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาคไทย-กัมพูชา ๓. คณะกรรมการระดับสูง ไทย-มาเลเซีย ๔. คณะกรรมการระดับสูง ไทย-อินโดนีเซีย ๕. คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค ไทย-พม่า ๖. คณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น ไทย-พม่า
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 29207 | โครงการที่ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเป็นกรณีพิเศษ | นร | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติในหลักการให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติดำเนินโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วน จำนวน ๖ โครงการ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๘๐๔,๙๐๐,๐๐๐ บาท โดยจำแนกเป็นงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กรมบัญชีกลางได้อนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี จำนวน ๕๙๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท และเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ จำนวน ๒๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท รวมทั้งให้ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๑๑,๙๐๐,๐๐๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ สำหรับโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วน จำนวน ๖ โครงการ ประกอบด้วย ๑.๑ โครงการก่อสร้างวัดนวมินทรราชูทิศเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ นครบอสตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา ๑.๒ โครงการก่อสร้างอาคาร ๑๐๐ ปี สมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศวิหาร ๑.๓ โครงการข่วงหลวงเวียงแก้ว พุทธมณฑลแห่งเชียงใหม่ ๑.๔ โครงการอุดหนุนสมทบการบูรณะ ปรับปรุงเสนาสนะ วัดไทยพุทธคยา ประเทศอินเดีย ๑.๕ โครงการบูรณะพระวิหารเสาอินทขีล เสาหลักเมืองเชียงใหม่ ๑.๖ โครงการบูรณะบริเวณลานวัดแก้วมงคล จังหวัดสมุทรสาคร ๒. ในส่วนของโครงการก่อสร้างวัดนวมินทรราชูทิศเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ นครบอสตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) กำกับดูแลเรื่องงบประมาณ โดยให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติทำความตกลงกับสำนักงบประมาณให้เบิกจ่ายเป็นงวดๆ ตามความจำเป็นและเหมาะสม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 29208 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ศธ | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดปริญญาในสาขาวิชาและอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาและสีประจำสาขาวิชาของสาขาวิชาบัญชีและสาขาวิชาสถาปัตยกรรมศาสตร์เพิ่มขึ้น ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 29209 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การบริหารจัดการระบบการรักษาความปลอดภัยข้อมูลสารสนเทศของรัฐ | สสป | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การบริหารจัดการระบบการรักษาความปลอดภัยข้อมูลสารสนเทศของรัฐ และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงยุติธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงาน ก.พ. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ มีความเห็นว่ารัฐบาลควรดำเนินการ สรุปได้ ดังนี้
๑. ด้านเทคโนโลยีการรักษาความปลอดภัยข้อมูลสารสนเทศของประเทศไทย เช่น พัฒนาเทคโนโลยีของหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านการรักษาความปลอดภัยข้อมูลสารสนเทศให้มีเทคโนโลยีทัดเทียมต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มอาเซียน พัฒนาระบบการจัดเก็บและสำรองข้อมูล และให้มีการทดสอบระบบอย่างน้อยปีละ ๑ ครั้ง ให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทุกหน่วยงาน ควรมีศูนย์จัดเก็บข้อมูลและสำรองข้อมูลกลางที่มีมาตรฐานความปลอดภัยเพื่อจัดเก็บข้อมูล ติดตั้งระบบและอุปกรณ์ป้องกันให้มีประสิทธิภาพและทันสมัย เป็นต้น ๒. ด้านข้อกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับ เช่น กำหนดนโยบายให้สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ และสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอเล็กทรอนิกส์เป็นศูนย์กลางในการรักษาความปลอดภัยข้อมูลสารสนเทศของรัฐ สนับสนุนงบประมาณ เพิ่มบุคลากรการพัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินการ ปรับโครงสร้างการบริหารงานให้เหมาะสมกับภารกิจในด้านการรักษาความปลอดภัยข้อมูลสารสนเทศ โดยให้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลอย่างเป็นเอกภาพของคณะกรรมการรักษาความปลอดภัยข้อมูลสารสนเทศแห่งชาติ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ปรับปรุงบทบัญญัติ กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับอื่นใด รวมถึง การตรากฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับใหม่ ให้มีความสอดคล้องเหมาะสมกับการดำเนินกิจการของศูนย์กลางในการรักษาความปลอดภัยข้อมูลสารสนเทศของรัฐ มีมาตรการเพิ่มบทลงโทษกับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่กระทำความผิด เกี่ยวกับกฎหมาย การรักษาข้อมูลสารสนเทศของรัฐ เป็นต้น ๓. ด้านการบริการจัดการระบบการรักษาความปลอดภัยข้อมูลสารสนเทศของรัฐ เช่น ฝึกอบรมผู้เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมให้มีความรู้ความเข้าใจ เตรียมพร้อมกับกฎหมายการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ให้มีนโยบายการเข้าถึงและป้องกันแหล่งข้อมูลสารสนเทศเป็นระดับชั้น กำหนดให้หน่วยงานของรัฐมีแผนในการบริหารจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศและการรักษาความปลอดภัยข้อมูลสารสนเทศ พัฒนาระบบการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลสารสนเทศของรัฐตามชั้นความลับ กำหนดแผนยุทธศาสตร์ด้านความปลอดภัยระบบสารสนเทศในระยะยาวให้ชัดเจน ตลอดจนแผนระยะกลางและแผนระยะสั้น จัดสรรงบประมาณและเพิ่มจำนวนอัตราบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีระบบสารสนเทศให้เพียงพอต่อความต้องการของหน่วยงาน เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 29210 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเพื่อเตรียมการเปิดทำการศาลจังหวัดเวียงสระและศาลจังหวัดหัวหิน รวม 5 ฉบับ | ศย | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา รวม ๕ ฉบับ ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดวันเปิดทำการศาลจังหวัดเวียงสระ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดวันเปิดทำการศาลจังหวัดเวียงสระ ๒. ร่างพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจศาลแขวงสุราษฎร์ธานี พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ เปลี่ยนแปลงเขตอำนาจศาลแขวงสุราษฎร์ธานี ๓. ร่างพระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. ๒๕๒๐ บังคับสำหรับคดีที่เกิดขึ้นในบางท้องที่ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมบัญชีท้ายพระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. ๒๕๒๐ บังคับสำหรับคดีที่เกิดขึ้นในบางท้องที่ พ.ศ. ๒๕๒๐ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. ๒๕๒๐ บังคับสำหรับคดีที่เกิดขึ้นในบางท้องที่ (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๓๒ และพระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. ๒๕๒๐ บังคับสำหรับคดีที่เกิดขึ้นในท้องที่ (ฉบับที่ ๒๒) พ.ศ. ๒๕๕๓ เพื่อให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัดเวียงสระ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ๔. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดวันเปิดทำการศาลจังหวัดหัวหิน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดวันเปิดทำการศาลจังหวัดหัวหิน ๕. ร่างพระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. ๒๕๒๐ บังคับสำหรับคดีที่เกิดขึ้นในบางท้องที่ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมบัญชีท้ายพระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. ๒๕๒๐ บังคับสำหรับคดีที่เกิดขึ้นในบางท้องที่ พ.ศ. ๒๕๒๐ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาให้ใช้บทบัญญัติมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. ๒๕๒๐ บังคับสำหรับคดีที่เกิดขึ้นในบางท้องที่ (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๓๒ เพื่อให้ศาลจังหวัดซึ่งตั้งอยู่ที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัดสำหรับคดีอาญาที่อยู่ในอำนาจศาลแขวง ซึ่งเกิดขึ้นในท้องที่ทุกอำเภอของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 29211 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดสมุทรสาคร พ.ศ. .... | มท | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดสมุทรสาคร พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่จังหวัดสมุทรสาคร เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 29212 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดตราด พ.ศ. .... | มท | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดตราด พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่จังหวัดตราด เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 29213 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนนาน้อย จังหวัดน่าน พ.ศ. .... | มท | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนนาน้อย จังหวัดน่าน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลศรีษะเกษ ตำบลนาน้อย ตำบลเชียงของ และตำบลสถาน อำเภอนาน้อย จังหวัดน่าน เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 29214 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดเชียงราย พ.ศ. .... | มท | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดเชียงราย พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่จังหวัดเชียงราย เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 29215 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร พ.ศ. .... | มท | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลเกษตรพัฒนา ตำบลเจ็ดริ้ว ตำบลบ้านแพ้ว ตำบลคลองตัน ตำบลหนองบัว ตำบลหลักสอง ตำบลสวนส้ม ตำบลหนองสองห้อง ตำบลอำแพง ตำบลหลักสาม ตำบลยกกระบัตร และตำบลโรงเข้ อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 29216 | ผลการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 21 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง | นร04 | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๒๑ และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ ๑๘-๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา ของกระทรวงการต่างประเทศ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามผลการประชุมที่กระทรวงการต่างประเทศจัดทำต่อไป ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ โดยในส่วนของผลการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๒๑ สรุปได้ ดังนี้
๑. การลงนาม/รับรองเอกสารผลลัพธ์ โดยผู้นำอาเซียนลงนาม/รับรองเอกสารผลลัพธ์ จำนวน ๓ ฉบับ ได้แก่ รับรอง SAEAN Human Rights Declaration และลงนาม ASEAN Leaders’ Statement on the Adoption of the ASEAN Human Rights รับรอง ASEAN Leaders’ Joint Statement on the Establishment of an ASEAN Regional Mine Action Center และรับรอง Bali Declaration on ASEAN Community in a Global Community of Nations (Bali Concord III) Plan of Action (2013-2017) ๒. การสร้างประชาคมอาเซียน โดยที่ประชุมเห็นควรเร่งรัดการดำเนินงานตามแผนงานสำหรับการจัดตั้งประชาคมอาเซียนทั้ง ๓ เสาหลัก (เศรษฐกิจ การเมืองและความมั่นคง สังคมและวัฒนธรรม) โดยให้กำหนดประเด็นที่มีความสำคัญลำดับต้นในทั้ง ๓ เสา เช่น การรักษาสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค การปรับกฎระเบียบให้สอดคล้องกัน และอนุวัติความตกลงทางเศรษฐกิจสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) การกำจัดอุปสรรคทางการค้าที่มิใช่ภาษี การบริหารจัดการภัยพิบัติ ๓. การเสริมสร้างความเชื่อมโยง โดยที่ประชุมเห็นพ้องที่จะเร่งรัดการดำเนินการตามแผนแม่บทว่าด้วยความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน (Master Plan on ASEAN Connectivity) ทั้งด้านกายภาพ กฎระเบียบ และระหว่างประชาชน รวมทั้งสร้างความเชื่อมโยงกับประเทศนอกอาเซียน และเห็นพ้องว่าควรระดมทุนสนับสนุนกองทุนโครงสร้างพื้นฐานอาเซียน (ASEAN Infrastructure Fund-AIF) เพื่อใช้ดำเนินการตามแผนบทฯ โดยจำเป็นต้องหาแนวทางระดมทุนต่างๆ จากประเทศนอกภูมิภาคและภาคเอกชน ๔. ความตกลงพันธมิตรทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP) โดยที่ประชุมยินดีกับการประกาศเริ่มเจรจา RCEP ซึ่งไทยสนับสนุนให้มีการเจรจารอบแรกในช่วงต้นปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ๕. ยาเสพติด โดยที่ประชุมได้เน้นย้ำเป้าหมายอาเซียนปลอดยาเสพติดปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ซึ่งไทยได้เสนอให้มีความร่วมมือข้ามพรมแดนระหว่างหน่วยงานด้านยาเสพติดเพื่อส่งเสริมการสร้างอาเซียนปลอดยาเสพติด ๖. การค้ามนุษย์ โดยไทยได้ผลักดันการเร่งรัดการพิจารณาอนุสัญญาเรื่องการต่อต้านการค้ามนุษย์ในอาเซียน รวมทั้งผลักดันการจัดทำแผนปฏิบัติการในเรื่องนี้เพื่อปูทางไปสู่การจัดทำอนุสัญญาที่มีผลผูกพันทางกฎหมาย ๗. การบริหารจัดการภัยพิบัติ โดยที่ประชุมได้ให้ความสำคัญต่อประเด็นการบริหารจัดการภัยพิบัติ โดยเฉพาะการสร้างศักยภาพแก่ศูนย์ประสานงานอาเซียนด้านการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการจัดการภัยพิบัติ (ASEAN Humanitarian Assistance and Coordination Centre : AHA Centre) ให้ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ โดยไทยได้แสดงความพร้อมในการเป็นสถานที่เก็บสำรองข้าวในการบรรเทาภัยพิบัติ และแจ้งที่ประชุมเกี่ยวกับการเป็นเจ้าภาพจัดการซ้อมแผนรับมือภัยพิบัติภายใต้กรอบ ASEAN Regional Forum : ARF หรือ ARF DiREx ร่วมกับเกาหลีใต้ในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ ๘. การลดช่องว่างด้านการพัฒนา โดยที่ประชุมเห็นพ้องที่จะเร่งรัดการดำเนินการด้านการลดช่องว่างด้านการพัฒนาระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน โดยเฉพาะการระดมทุนจากประเทศนอกภูมิภาคและภาคเอกชน ตลอดจนองค์การระหว่างประเทศเพื่อส่งเสริมการพัฒนาภายในภูมิภาค
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 29217 | การผ่อนผันแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองเป็นกรณีพิเศษเพื่อดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย | รง | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการบริหารแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๕ เกี่ยวกับการผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองสัญชาติพม่า ลาว และกัมพูชา อยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ เพื่อดำเนินการให้ได้รับหนังสือเดินทางชั่วคราว (Temporary Passport) หรือเอกสารรับรองบุคคล (Certificate of Identity) จากประเทศต้นทาง และได้รับอนุญาตให้เป็นผู้เดินทางเข้าประเทศอย่างถูกต้องตามกฎหมาย พร้อมกับได้รับอนุญาตทำงานเฉพาะกับนายจ้างเดิมต่อไป ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ยกเว้นในส่วนการขยายระยะเวลาการผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองสัญชาติพม่า ลาว และกัมพูชา ที่ลักลอบทำงานอยู่กับนายจ้างในประเทศไทยอยู่แล้ว รวมทั้งบุตรของแรงงานต่างด้าวดังกล่าวที่อายุไม่เกิน ๑๕ ปี อยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษเป็นเวลา ๓ เดือน นั้น ให้ขยายเป็น ๑๒๐ วัน นับตั้งแต่วันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินการเกี่ยวกับบุตรของแรงงานต่างด้าวควรพิจารณาอย่างรอบคอบและครบวงจรโดยเฉพาะในเมื่อเด็กเหล่านี้จะหมดสภาพการเป็นผู้ติดตามเมื่ออายุเกิน ๑๕ ปี และจะต้องเดินทางกลับประเทศต้นทาง ในขณะที่ตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก บุคคลที่อายุต่ำกว่า ๑๘ ปียังถือเป็นเด็ก ควรมีมาตรการเตรียมพร้อมและกำหนดแนวทางการดำเนินการที่ชัดเจนสำหรับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยคำนึงถึงผลกระทบที่อาจตามมา และมิติด้านมนุษยธรรมและพันธกรณีภายใต้ตราสารระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนที่ไทยเป็นภาคี เพื่อป้องกันการถูกร้องเรียนและปัญหาในการบริหารจัดการในอนาคต รวมทั้งควรศึกษาแนวทางการกำหนดสัดส่วนความต้องการแรงงานต่างด้าวทั้งแรงงานมีฝีมือและแรงงานไร้ฝีมือในประเทศไทยต่อจำนวนแรงงานไทย (เป็นรายปี) เพื่อเป็นแนวทางในการกำหนดโควตาการนำเข้าแรงงานต่างด้าวและการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินตามมติคณะกรรมการบริหารแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง ครั้งที่ ๓/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๕ และเร่งรัดการพิสูจน์สัญชาติให้แก่แรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองสัญชาติพม่า ลาว และกัมพูชา ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๔. ให้กระทรวงแรงงานและกระทรวงอุตสาหกรรมประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ รวมทั้งอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการโรงงานต่างๆ ในการพิสูจน์สัญชาติแรงงานต่างด้าว เพื่อให้การดำเนินการแล้วเสร็จโดยเร็ว |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 29218 | ขออนุมัติงบกลางเพื่อเป็นค่าธรรมเนียมศาลในชั้นอุทธรณ์ คดีปกครอง คดีหมายเลขดำที่ 791/2554, 809/2554 คดีหมายเลขแดงที่ 18/2555, 2090/2555 | ทส | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมควบคุมมลพิษ) เบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อนำไปชำระเป็นค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ ในคดีปกครอง คดีหมายเลขดำที่ ๗๙๑/๒๕๕๔, ๘๐๙/๒๕๕๔ คดีหมายเลขแดงที่ ๑๘/๒๕๕๕, ๒๐๙๐/๒๕๕๕ จำนวน ๑๐,๘๑๖,๔๓๐ บาท ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 29219 | สรุปผลการดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2556 | มท | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๖ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ประธานกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาพรวมสถิติอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๖ เกิดอุบัติเหตุทางถนน ๓,๑๗๖ ครั้ง เปรียบเทียบกับช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๕ เกิดอุบัติเหตุทางถนน ๓,๐๙๓ ครั้ง เพิ่มขึ้น ๘๓ ครั้ง คิดเป็นร้อยละ ๒.๖๘ มีผู้เสียชีวิต ๓๖๕ ราย เปรียบเทียบกับช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๕ มีผู้เสียชีวิต ๓๓๖ ราย เพิ่มขึ้น ๒๙ ราย คิดเป็นร้อยละ ๘.๖๓ และผู้ได้รับบาดเจ็บ ๓,๓๒๙ คน เปรียบเทียบกับช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๕ มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ๓,๓๗๕ คน ลดลง ๔๖ คน คิดเป็นร้อยละ ๑.๓๖ ๒. การวิเคราะห์ข้อมูลสถิติอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๖ พบว่า การเมาสุราเป็นสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุสูงสุด รองลงมาคือ ขับรถเร็วเกินกำหนด รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด การไม่สวมหมวกนิรภัยเป็นพฤติกรรมเสี่ยงสูงสุด ถนนนอกเขตทางหลวงแผ่นดิน ได้แก่ ถนนชุมชน/หมู่บ้าน และเทศบาล เป็นถนนที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ช่วงเวลา ๑๖.๐๑-๒๐.๐๐ น. เป็นช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด กลุ่มวัยแรงงานเป็นกลุ่มที่บาดเจ็บและเสียชีวิตมากที่สุด และผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บส่วนใหญ่เป็นคนในพื้นที่ ๓. การเตรียมความพร้อมในการดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุช่วงเทศกาลสงกรานต์ ๒๕๕๖ ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนจะเร่งดำเนินการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการมาตรการพิเศษที่สำคัญ ได้แก่ ๓.๑ ผลักดันให้มีการขยายผลการดำเนินโครงการ “หนึ่งตำบลหนึ่งทีมกู้ชีพกู้ภัย” ของกระทรวงมหาดไทยให้ครอบคลุมทั่วประเทศ รวมทั้งสนับสนุนให้มีความพร้อมด้านบุคลากร และเครื่องมืออุปกรณ์ด้านการกู้ชีพกู้ภัยในการปฏิบัติงาน ๓.๒ ประสานกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งขับเคลื่อนให้มีการจัดทำหลักสูตรเกี่ยวกับความปลอดภัยทางถนนและความปลอดภัยจากสาธารณภัยประเภทต่าง ๆ เพื่อให้ความรู้แก่นักเรียน นักศึกษา ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อเป็นการสร้าง “วัฒนธรรมความปลอดภัยและความเอื้ออาทร” ๓.๓ ประสานสำนักงานตำรวจแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการรณรงค์การบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง เพื่อเป็นการป้องปรามการกระทำความผิดกฎหมายจราจร และการขับขี่ยานพาหนะที่เสี่ยงอันตรายบนท้องถนน ๓.๔ ส่งเสริมขวัญกำลังใจให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกระดับ รวมทั้งสนับสนุนให้จังหวัด และอำเภอ กำหนดเป้าหมายการลดอุบัติเหตุในพื้นที่ ตลอดจนให้รางวัลชมเชยแก่พื้นที่และเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานดีเด่น เข้มแข็ง จนสามารถลดอุบัติเหตุลงได้ ๓.๕ เร่งรณรงค์ประชาสัมพันธ์ตลอดทั้งปีอย่างเข้มข้น เพื่อให้เกิดวัฒนธรรมความปลอดภัยบนท้องถนน ทั้งในช่วงเวลาปกติและเทศกาลสำคัญต่าง ๆ เพื่อให้เกิด “วัฒนธรรมความปลอดภัยและความเอื้ออาทร” กับสังคมไทย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| 29220 | ขออนุมัติขยายกรอบระยะเวลาดำเนินมาตรการอำนวยความสะดวกให้แก่บุคคลต่างชาติที่เดินทางเข้ามาช่วยเหลือฟื้นฟูโรงงานและสถานประกอบการที่ประสบอุทกภัย | กต | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
๑. อนุมัติการขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การยกเว้นค่าธรรมเนียมการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราว (Non-Immigrant) และค่าธรรมเนียมคำขออนุญาตเพื่ออยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวต่อไปให้แก่คนต่างด้าวที่เดินทางเข้ามาช่วยเหลือฟื้นฟูโรงงานและสถานประกอบการที่ประสบอุทกภัย โดยมีผลบังคับใช้นับตั้งแต่วันันถัดจากวันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไปจนถึงวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๕ ต่อไปจนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ ๒. อนุมัติการขยายระยะเวลายกเว้นใบอนุญาตทำงานของกระทรวงแรงงานสำหรับคนต่างด้าวที่เดินทางมาช่วยเหลือฟื้นฟูโรงงานและสถานประกอบการที่ประสบอุทกภัยต่อไปจนถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
