ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1471 จากทั้งหมด 6223 หน้า แสดงรายการที่ 29401 - 29420 จากข้อมูลทั้งหมด 124448 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 29401 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การดำเนินคดีแบบกลุ่ม) | นร09 | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดบทนิยามคำว่า “การดำเนินคดีแบบกลุ่ม” หมายความว่า การดำเนินคดีที่ศาลอนุญาตให้เสนอคำฟ้องต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาแสดงสิทธิของโจทก์และสมาชิกกลุ่ม ๒. คดีแบบกลุ่ม ได้แก่ คดีละเมิด คดีผิดสัญญา และคดีเรียกร้องสิทธิตามกฎหมายต่าง ๆ และเป็นคดีที่มีสมาชิกกลุ่มจำนวนมาก ๓. กำหนดให้คำฟ้องของโจทก์และกลุ่มบุคคลต้องมีสภาพแห่งข้อหาและคำบังคับที่มีลักษณะเดียวกัน ๔. คำสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้มีการดำเนินคดีแบบกลุ่มอาจอุทธรณ์ไปยังศาลฎีกาได้ ๕. กำหนดให้โจทก์ต้องมีส่วนได้เสีย รวมตลอดทั้งมีการได้มาซึ่งสิทธิการเป็นสมาชิกกลุ่ม ตามข้อกำหนดของประธานศาลฎีกา ๖. ให้ศาลส่งคำบอกกล่าวคำสั่งอนุญาตให้มีการดำเนินคดีแบบกลุ่มให้สมาชิกกลุ่มทราบ และประกาศทางหนังสือพิมพ์รายวันที่แพร่หลายเป็นเวลา ๓ วันติดต่อกัน ๗. สมาชิกกลุ่มมีสิทธิออกจากการเป็นสมาชิกกลุ่มได้โดยแจ้งความประสงค์เป็นหนังสือยื่นต่อศาล ๘. กำหนดให้สมาชิกกลุ่มมีสิทธิเข้าฟังการพิจารณาคดี ขอตรวจเอกสาร และคัดสำเนาเอกสาร จัดหาทนายความคนใหม่ และร้องขอเข้าแทนที่โจทก์ ๙. กำหนดให้ศาลมีอำนาจยกเลิกคำสั่งการดำเนินคดีแบบกลุ่ม ในกรณีที่การดำเนินคดีแบบกลุ่มจะไม่คุ้มครองหรือเป็นประโยชน์ต่อสมาชิกกลุ่มอย่างเพียงพอ หรือไม่มีความจำเป็นที่จะดำเนินคดีแบบกลุ่มอีกต่อไป ๑๐. กำหนดให้ในกรณีที่จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การหรือขาดนัดพิจารณา ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดให้โจทก์ชนะคดีโดยจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การหรือขาดนัดพิจารณามิได้ แต่ให้ศาลสืบพยานหลักฐานโจทก์ไปฝ่ายเดียว และศาลอาจเรียกพยานหลักฐานอื่นมาสืบได้เองตามที่เห็นว่าจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ๑๑. กำหนดให้ศาลมีอำนาจเชิญผู้ทรงคุณวุฒิหรือผู้เชี่ยวชาญมาให้ความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาคดีได้ ๑๒. กำหนดให้คู่ความอาจเสนอบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นของผู้ที่ตนประสงค์จะอ้างเป็นพยานแทนการซักถามต่อหน้าศาลได้ ๑๓. กำหนดให้คำพิพากษาของศาลผูกพันคู่ความและสมาชิกกลุ่ม และโจทก์มีอำนาจดำเนินการบังคับคดีแทนสมาชิกกลุ่ม ๑๔. กำหนดให้คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลในการดำเนินคดีแบบกลุ่มให้อุทธรณ์ไปยังศาลฎีกาภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น |
|||||||||||||||||||||
| 29402 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน 120,000 ล้านบาท) | นร07 | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท) ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจัดสรร/การเบิกจ่าย/ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเอง สำนักงบประมาณจัดสรรสุทธิ เป็นเงิน ๑๑๙,๕๙๓.๐๖๖๔ ล้านบาท ลงนามในสัญญาหรือดำเนินการเองแล้ว เป็นเงิน ๑๑๔,๑๔๔.๗๔๗๒ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๙๕.๒๒๔๔ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๐.๐๘ และผลการเบิกจ่ายจากระบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) ณ วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๕ เป็นเงิน ๑๐๕,๑๖๔.๘๗๓๘ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๘๗.๙๔ จากยอดจัดสรรสุทธิ ๒. ผลการดำเนินงาน มิติส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๑๓ กระทรวง ต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๕ กระทรวง และมิติจังหวัดที่มีผลการดำเนินงานสูงกว่าร้อยละ ๘๐ มีจำนวน ๕๕ จังหวัด ต่ำกว่าร้อยละ ๘๐ จำนวน ๒๐ จังหวัด ๓. การส่งคืนเงินงบประมาณและการใช้จ่ายจากเงินที่แจ้งส่งคืน ส่วนราชการฯ ส่งคืนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง ฯ ในระบบ GFMIS เป็นเงิน ๖,๐๑๐.๔๕๐๓ ล้านบาท และวงเงินคงเหลือจากการพิจารณาจัดสรรอีกจำนวน ๒๕๙.๙๔๐๐ ล้านบาท รวมเป็นเงินที่จะนำไปใช้จ่ายได้ทั้งสิ้นจำนวน ๖,๒๗๐.๓๙๐๓ ล้านบาท คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติโครงการโดยให้ใช้จ่ายจากเงินส่งคืนทั้งสิ้น ๖,๒๗๐.๒๓๖๖ ล้านบาท คงเหลือวงเงินที่คณะรัฐมนตรีจะอนุมัติเพิ่มเติมได้เพียง ๐.๑๕๓๗ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||
| 29403 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) พ.ศ. .... | นร09 | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้มีการจัดตั้งสำนักงานพัฒนาพิงคนครขึ้นเป็นองค์การมหาชนตามกฎหมายว่าด้วยองค์การมหาชน ๑.๒ กำหนดการจัดตั้ง วัตถุประสงค์ และอำนาจหน้าที่ของสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) ๑.๓ กำหนดลักษณะของทุน รายได้และทรัพย์สินในการดำเนินกิจการ ๑.๔ กำหนดให้มีคณะกรรมการบริหารพัฒนาพิงคนครเพื่อบริหารและดำเนินกิจการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ ๑.๕ กำหนดผู้ปฏิบัติงานของสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) ๑.๖ กำหนดลักษณะการจัดทำการบัญชี การตรวจสอบ และการประเมินผลงาน ๑.๗ กำหนดให้รัฐมนตรีมีอำนาจหน้าที่กำกับดูแลการดำเนินกิจการของสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) ให้เป็นไปตามกฎหมาย ๒. เห็นชอบให้เพิ่มเติมหน้าที่ในด้านการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ ที่เกี่ยวกับการพัฒนาชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชน ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โครงการหลวง และเกษตรทฤษฎีใหม่ในวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ ๓. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) ดำเนินการเกี่ยวกับการจัดตั้งสำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) เมื่อพระราชกฤษฎีกาฯ มีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายแล้ว |
|||||||||||||||||||||
| 29404 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การส่งเสริมวัฒนธรรมประชาธิปไตย เพื่อสู่ประชาธิปไตยโดยการมีส่วนร่วมของประชาชน" | สสป | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การส่งเสริมวัฒนธรรมประชาธิปไตย เพื่อสู่ประชาธิปไตยโดยการมีส่วนร่วมของประชาชน" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานสภาพัฒนาการเมือง สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ เห็นว่ารัฐบาลควรส่งเสริมและปลูกฝังในด้านต่าง ๆ สรุปได้ ดังนี้
๑. ส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนในสังคมโดยเฉพาะภาครัฐบาล ภาคการเมือง ภาคประชาสังคม และภาคประชาชนควรร่วมมือและผนึกกำลังกันในการส่งเสริมวัฒนธรรมประชาธิปไตย ๒. ส่งเสริมวัฒนธรรมประชาธิปไตย โดยการปลูกฝังจิตใจที่เป็นประชาธิปไตย รับฟังความเห็นของคนอื่น ยึดหลักการ หลักวิชา หลักเหตุผล และหลักธรรม ใช้สิทธิและปฏิบัติหน้าที่อย่างถูกต้อง เป็นประโยชน์ และเป็นธรรม ๓. ปลูกฝังวัฒนธรรมประชาธิปไตย โดยเริ่มต้นที่บ้านตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ครอบครัวมีบทบาทที่สำคัญในการปลูกฝังวัฒนธรรมประชาธิปไตย ๔. ส่งเสริมให้การศึกษาจะต้องให้วัตถุประสงค์ประการหนึ่ง คือ การปลูกฝังวัฒนธรรมประชาธิปไตยให้มีจิตใจเป็นประชาธิปไตย รับฟังความเห็นของผู้อื่น คำนึงถึงประโยชน์ของส่วนร่วมและประเทศชาติเหนือกว่าประโยชน์ส่วนตน ๕. ส่งเสริมศาสนาให้มีบทบาทที่สำคัญในการปลูกฝังวัฒนธรรมประชาธิปไตยสถาบันทางศาสนา เช่น พระภิกษุ และวัด ควรถือเป็นหน้าที่ในการอบรมสั่งสอนให้พุทธศาสนิกชนปฏิบัติตามหลักธรรมของศาสนา พระบรมราโขวาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นต้น ๖. ส่งเสริมชุมชนให้มีบทบาทที่สำคัญในการปลูกฝังวัฒนธรรมประชาธิปไตยแก่สมาชิกของชุมชน ผู้นำชุมชนจะต้องพัฒนาชุมชนให้มีความเข้มแข็ง ทั้งในด้านจิตใจ สังคม และเศรษฐกิจ ๗. ส่งเสริมสื่อมวลชนให้มีบทบาทที่สำคัญในการส่งเสริมและปลูกฝังวัฒนธรรมประชาธิปไตย โดยการเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับวัฒนธรรมประชาธิปไตย เป็นต้น ๘. ส่งเสริมนักการเมืองให้มีอุดมการณ์ประชาธิปไตยและวัฒนธรรมประชาธิปไตย ประชาชนควรจะติดตามพฤติกรรมของนักการเมืองว่ามีวัฒนธรรมประชาธิปไตยมากน้อยเพียงใด เป็นนักการเมืองที่มีจริยธรรมทางการเมืองและพึงประสงค์มากน้อยเพียงใด ๙. ส่งเสริมรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย นักการเมืองที่เป็นประชาธิปไตย ข้าราชการที่เป็นประชาธิปไตย และประชาชนที่เป็นประชาธิปไตย เห็นแก่ประโยชน์สุขประชาชนและประเทศชาติเป็นสำคัญ เหนือกว่าประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง ๑๐. ส่งเสริมการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์และเที่ยงธรรม อย่างจริงใจ โดยส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนใช้สิทธิในการเลือกตั้งด้วยความรอบคอบ มีเหตุผล ไม่เลือกเพราะเห็นแก่อามิสสินจ้างหรือการเป็นพรรคพวก จะต้องเลือกคนที่ดี ๑๑. ส่งเสริมการปฏิบัติตามหลักธรรมของศาสนา พระบรมราโชวาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และวัฒนธรรมประชาธิปไตยเพื่อนำประเทศไทยพ้นจากภาวะวิกฤติต่าง ๆ
|
|||||||||||||||||||||
| 29405 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินและขอขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณค่าก่อสร้างอาคารเรียนโรงเรียนอ่าวกะพ้อ | ศธ | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานดำเนินการก่อสร้างอาคารเรียนแบบ สพฐ. ๑ โรงเรียนอ่าวกะพ้อ จังหวัดพังงา จำนวน ๑ หลัง ภายในวงเงิน ๑๖,๕๔๒,๐๐๐ บาท เพื่อประโยชน์ของทางราชการและเป็นการแก้ไขปัญหาความขาดแคลนอาคารเรียนในการจัดการเรียนการสอนให้แก่โรงเรียนอ่าวกะพ้อ จังหวัดพังงา เป็นกรณีเฉพาะราย ในลักษณะของการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕-พ.ศ.๒๕๕๗ โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๒,๑๙๘,๐๐๐ บาท งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๑๒,๔๕๖,๐๐๐ บาท และให้ตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ อีกจำนวน ๑,๘๘๘,๐๐๐ บาท ตามความจำเป็นต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||
| 29406 | แนวทางการจัดอัตรากำลังและการบริหารจัดการในภารกิจบริการด้านสุขภาพ | นร | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบข้อเสนอการจัดอัตรากำลังและการบริหารจัดการในภารกิจบริการด้านสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุข ตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๕๕ โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จัดสรรอัตราข้าราชการเพิ่มใหม่ซึ่งรวมถึงพยาบาล และบุคลากรทางสาธารณสุขให้แก่กระทรวงสาธารณสุข จำนวน ๕,๔๙๙ อัตรา โดยรวมกับอัตราว่างที่มีอยู่ในปัจจุบัน จำนวน ๒,๐๔๘ อัตรา เป็นจำนวนทั้งสิ้นสำหรับกระทรวงสาธารณสุข ๗,๕๔๗ อัตรา และเพิ่มเติมอัตราที่จะใช้บรรจุนักศึกษาวิชาแพทยศาสตร์ ทันตแพทยศาสตร์ และเภสัชศาสตร์ ที่จะสำเร็จการศึกษาในเดือนเมษายน ๒๕๕๖ อีกจำนวน ๒,๙๔๗ อัตรา รวมเป็นการบรรจุทั้งสิ้น ๑๐,๔๙๔ อัตรา โดยให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการบรรจุบุคคลเข้ารับราชการให้ดำรงตำแหน่งในอัตราที่ได้รับอนุมัติ โดยยึดหลักคุณธรรมและเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่ ก.พ. กำหนด ทั้งนี้ ให้ยกเลิกการยุบเลิกตำแหน่งเกษียณอายุราชการในสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ และ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง โครงการผลิตพยาบาลวิชาชีพเพิ่มเพื่อแก้ปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้) และวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๕ (เรื่อง อนุมัติกำหนดตำแหน่งเพิ่มใหม่) ตามที่ประธานกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐเสนอ ๒. ส่วนงบประมาณในการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยงบประมาณที่จะใช้ในการรองรับการบรรจุข้าราชการเพิ่มใหม่ จำนวน ๘,๔๔๖ อัตรา โดยการบรรจุข้าราชการเพิ่มใหม่ จำนวน ๕,๔๙๙ อัตรา เริ่มตั้งแต่เดือนมกราคม ๒๕๕๖ (ระยะเวลา ๙ เดือน) และอัตราที่จะใช้บรรจุนักศึกษาวิชาแพทยศาสตร์ ทันตแพทยศาสตร์ และเภสัชศาสตร์ ที่จะสำเร็จการศึกษาในเดือนเมษายน ๒๕๕๖ จำนวน ๒,๙๔๗ อัตรา เริ่มตั้งแต่เดือนเมษายน ๒๕๕๖ (ระยะเวลา ๖ เดือน) ประมาณการค่าใช้จ่ายงบประมาณ จำนวนทั้งสิ้น ๑,๑๓๒ ล้านบาท นั้น ให้สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขเจียดจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ รายการผูกพันที่ดำเนินการล่าช้า/คาดว่าจะเบิกจ่ายไม่ทัน จำนวน ๖๐๐ ล้านบาท ส่วนที่เหลือให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๕๓๒ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ๓. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) เป็นเจ้าภาพรวบรวมและศึกษาภาพรวมความต้องการอัตรากำลังของส่วนราชการทั้งระบบ ทั้งในส่วนราชการที่อยู่ภายใต้กำกับดูแลของฝ่ายบริหาร และองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ส่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้รวบรวมเสนอรองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) กระทรวงกลาโหม กระทรวงศึกษาธิการ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้รวบรวมเสนอรัฐมนตรีเจ้าสังกัด แล้วส่งให้รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ และแก้ไขปัญหาการขาดแคลนอัตรากำลังของส่วนราชการทั้งระบบต่อไป โดยมีผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เลขาธิการ ก.พ. อธิบดีกรมบัญชีกลาง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นคณะทำงาน โดยให้เลขาธิการ ก.พ. เป็นฝ่ายเลขานุการ และให้สำนักงาน ก.พ. เป็นเจ้าภาพเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมถึงองค์กรตามรัฐธรรมนูญ เช่น ศาล สำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อมาประชุมปรึกษาร่วมกันก่อน แล้วจัดทำข้อมูลการวิเคราะห์อัตรากำลังในภาพรวมและข้อเสนอในการแก้ไขปัญหาอัตรากำลังคนและการบริหารจัดการโดยคำนึงถึงสัดส่วนให้เหมาะสมกับภารกิจของแต่ละหน่วยงาน รวมถึงงบประมาณโดยรวมของประเทศด้วย ทั้งนี้ ให้เร่งรัดการดำเนินการให้แล้วเสร็จแล้วเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาภายในวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๖ |
|||||||||||||||||||||
| 29407 | การโอนบรรดาอำนาจหน้าที่ กิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ และงบประมาณ ไปเป็นของสถาบันวัคซีนแห่งชาติ (องค์การมหาชน) | สธ | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้มีการโอนบรรดาอำนาจหน้าที่ กิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ และงบประมาณของหน่วยงานภายในกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เฉพาะในส่วนที่ทำหน้าที่สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ ไปเป็นของสถาบันวัคซีนแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
| 29408 | เป้าหมายของนโยบายการเงินประจำปี 2556 | กค | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติเป้าหมายของนโยบายการเงินประจำปี ๒๕๕๖ ที่คณะกรรมการนโยบายการเงินได้ทำความตกลงร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เป้าหมายของนโยบายการเงินประจำปี ๒๕๕๖ กำหนดไว้ที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยรายไตรมาสระหว่างร้อยละ ๐.๕-๓.๐ ต่อปี เช่นเดียวกับเป้าหมายของนโยบายการเงินประจำปี ๒๕๕๕ ๑.๒ การติดตามความเคลื่อนไหวของเป้าหมายของนโยบายการเงิน เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายของนโยบายการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยจะจัดให้มีการหารือร่วมกันเป็นประจำทุกไตรมาส และเมื่อมีเหตุจำเป็นอื่นใดตามที่ทั้งสองหน่วยงานจะเห็นสมควร ๑.๓ การเคลื่อนไหวของอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานออกนอกเป้าหมาย กรณีอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเคลื่อนไหวออกนอกช่วงเป้าหมายตามที่ได้ตกลงร่วมกันไว้ ให้คณะกรรมการนโยบายการเงินชี้แจงสาเหตุ แนวทางแก้ไข และระยะเวลาที่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะกลับเข้าสู่ช่วงที่กำหนดไว้โดยเร็ว รวมทั้งให้รายงานความคืบหน้าของการแก้ไขปัญหาเป็นระยะตามสมควร ๑.๔ การแก้ไขเป้าหมายของนโยบายการเงิน ในกรณีที่มีเหตุอันสมควรหรือจำเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและคณะกรรมการนโยบายการเงินอาจตกลงร่วมกันเพื่อแก้ไขเป้าหมายของนโยบายการเงินได้ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา ๒. ให้กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาการนำอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยรายปีเป็นเป้าหมายของนโยบายการเงินในระยะต่อไป เมื่อความเสี่ยงจากสภาพคล่องส่วนเกินในระบบการเงินโลกลดลง และระบบเศรษฐกิจสามารถรองรับโครงสร้างราคาพลังงานใหม่ในประเทศได้แล้ว ไปพิจารณาต่อไปด้วย ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับไปจัดทำสรุปรายงานสภาวะเศรษฐกิจของประเทศในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ และแนวโน้มในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ และนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีในวันอังคารที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๕ ต่อไป ๔. เพื่อให้คณะรัฐมนตรีได้ทราบข้อมูลเกี่ยวกับสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจและการเงินของประเทศในภาพรวมที่เป็นปัจจุบันอย่างต่อเนื่อง อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป จึงเห็นชอบให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจัดทำรายงานสภาวะเศรษฐกิจเสนอคณะรัฐมนตรีเดือนละหนึ่งครั้งในทุกสัปดาห์แรกของเดือน เริ่มตั้งแต่เดือนมกราคม ๒๕๕๖ เป็นต้นไป โดยให้กระทรวงการคลังเชิญผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยร่วมชี้แจงต่อคณะรัฐมนตรีด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 29409 | ขออนุมัติขยายเวลาการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ | ศธ | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติขยายเวลาการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี จำนวน ๔ รายการ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๔,๓๓๐,๙๐๐ บาท ได้แก่ ปรับปรุงสนามบาสเกตบอลและสนามเซปักตะกร้อ จำนวน ๒ สนาม เป็นเงิน ๒,๕๐๐,๐๐๐ บาท ปรับปรุงสนามเบสบอล จำนวน ๑ สนาม เป็นเงิน ๔,๗๔๐,๐๐๐ บาท ปรับปรุงอาคารภาควิชาวิศวกรรมสิ่งทอ ๑,๑๐๐ ตารางเมตร เป็นเงิน ๓,๖๓๙,๓๐๐ บาท และปรับปรุงอาคารวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ๑ งาน เป็นเงิน ๓,๔๕๑,๖๐๐ บาท ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินการดังกล่าวจะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อกรอบระยะเวลาในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ในภาพรวม และต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้หน่วยงานกันเงินงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ไว้เบิกเหลื่อมปีกรณีไม่มีหนี้ผูกพัน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจที่ได้รับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ตรวจสอบการดำเนินการตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ) หากไม่สามารถดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว ให้เสนอสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อรวบรวมเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 29410 | กรอบการเจรจาการจัดทำข้อตกลงเป็นหุ้นส่วนด้วยความสมัครใจ (VPA) ในการบังคับใช้กฎหมายป่าไม้ ธรรมาภิบาล และการค้า (FLEGT) ระหว่างประเทศไทยกับสหภาพยุโรป (EU) | ทส | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบกรอบการเจรจาการจัดทำข้อตกลงเป็นหุ้นส่วนด้วยความสมัครใจ (Voluntary Partnership Agreement : VPA) ในการบังคับใช้กฎหมายป่าไม้ ธรรมาภิบาล และการค้า (Forest Law Enforcement, Governance and Trade : FLEGT) ระหว่างประเทศไทยกับสหภาพยุโรป (European Union : EU) เพื่อขอความเห็นชอบต่อรัฐสภาต่อไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ โดยสาระสำคัญของกรอบการเจรจาฯ มีดังนี้ ๑.๑ การกำหนดคำนิยามและกรอบสินค้าประเภทไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ของประเทศไทย ๑.๒ กำหนดการรับรองแหล่งที่มาของไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ที่ประเทศไทยส่งออกสู่ตลาดสหภาพยุโรป ๑.๓ การปรับปรุงและกำหนดหลักเกณฑ์และระเบียบปฏิบัติในการรับรองแหล่งที่มาของไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ให้โปร่งใส มีประสิทธิภาพ ไม่สร้างภาระต้นทุนที่ไม่เหมาะสม และอำนวยความสะดวกทางการค้าเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย รวมทั้งการลดอุปสรรคทางการค้าของสินค้าไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ของประเทศไทยให้มากที่สุด เพื่อขยายการส่งออกสินค้าประเภทนี้ของไทยอย่างยั่งยืน ๑.๔ ให้มีมาตรการป้องกันและเยียวยาสำหรับผู้ประกอบอุตสาหกรรมไม้ประเทศไทยที่ได้รับผลกระทบจากกฎระเบียบการทำ VPA ๑.๕ ให้มีกลไกการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ๑.๖ ให้มีมาตรการช่วยเหลือจากสหภาพยุโรป เช่น การสนับสนุนจากสหภาพยุโรปให้ใช้สินค้าไม้ของประเทศไทย ผ่านทางการจัดซื้อจัดจ้างที่คำนึงถึงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green Procurement) การเสริมสร้างขีดความสามารถของผู้ประกอบการด้านอุตสาหกรรมไม้ของประเทศไทย โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม เป็นต้น ๑.๗ ให้มีการเจรจาเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องและเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยในภาพรวม ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับกรณีที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแจ้งว่า อาจต้องมีการแก้ไขกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับ VPA อีกทั้งการกำหนดให้ต้องมีการรับรองว่าสินค้าไม้และผลิตภัณฑ์ไม่ได้มาโดยถูกกฎหมายอาจมีผลกระทบการส่งออกไม้ของประเทศซึ่งเกี่ยวข้องกับความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือสังคมอย่างกว้างขวาง กรณีจึงเข้าลักษณะเป็นหนังสือสัญญาที่ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภาตามมาตรา ๑๙๐ วรรคสองของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ดังนั้น ก่อนดำเนินการเพื่อทำ VPA จึงต้องมีการให้ข้อมูลและรับฟังความคิดเห็นของประชาชน รวมทั้งเสนอกรอบการเจรจาต่อรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบตามมาตรา ๑๙๐ วรรคสามของรัฐธรรมนูญฯ ด้วย นอกจากนี้ ให้กรมป่าไม้ดำเนินการพัฒนาระบบการตรวจสอบและการออกใบรับรองเกี่ยวกับไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ที่ได้มาตรฐานและมีความน่าเชื่อถือ ควบคู่กับการเจรจาการจัดทำ VPA และให้การสนับสนุนการสร้างความพร้อมแก่ผู้ประกอบการ รวมทั้งสร้างการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อเพิ่มศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. เห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) เสนอ โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจัดทำแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการป่าไม้เชิงอนุรักษ์ ป่าไม้เชิงพาณิชย์ และป่าไม้ชุมชนเพื่อรองรับการดำเนินการตามกรอบเจรจาดังกล่าว โดยให้นำโครงการ ๘๐๐ ล้านกล้า ๘๐ พรรษามหาราชินี มาร่วมพิจารณาด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 29411 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "วาระเอดส์แห่งชาติ พ.ศ. 2555 - 2559" | สสป | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "วาระเอดส์แห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงแรงงาน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ด้านนโยบายการลดการติดเชื้อรายใหม่ โดยรัฐบาลควรดำเนินการในการจัดตั้งกองทุนด้านการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ของประเทศ โดยการจัดสรรงบประมาณที่เพียงพอและเหมาะสมอย่างต่อเนื่องจากภายในประเทศ ส่งเสริมการนำเอานโยบายลดอันตรายจากการได้รับ/ถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีจากการใช้ยาหรือสารเสพติดด้วยวิธีการฉีด (Harm Reduction) มาใช้จริง ส่งเสริมและสนับสนุนการเข้าถึงและได้รับบริการการปรึกษาและตรวจเลือดโดยสมัครใจและเป็นความลับให้กับทุกคนบนผืนแผ่นดินไทย และมีโครงการถุงยางอนามัยแห่งชาติ เพื่อส่งเสริมการเข้าถึงถุงยางอนามัยชาย พร้อมสารหล่อลื่น และถุงอนามัยสตรีให้ฟรีกับคนทุกกลุ่มอย่างเพียงพอ ๒. ด้านนโยบายการลดการเสียชีวิตด้วยอาการสัมพันธ์กับเอดส์ โดยรัฐบาลควรสนับสนุนยุทธศาสตร์การเข้าถึงยาถ้วนหน้าของประชากรไทย โดยมีการนำมาตรการบังคับใช้สิทธิในการนำเข้าหรือผลิตยาที่ติดสิทธิบัตร รวมทั้งมาตรการการควบคุมราคายาที่ขาย อีกทั้งการดำเนินการด้านข้อตกลงเขตการค้าเสรีต้องไม่ผูกพันประเทศเกินไปกว่าความตกลงว่าด้วยสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวข้องกับการค้า ค.ศ. ๑๙๙๔ ปรับปรุงแก้ไขนโยบายและระเบียบปฏิบัติไม่ให้เป็นอุปสรรคหรือขัดกับกฎหมายที่มีอยู่ และการพัฒนาระบบบริการดูแลรักษาสุขภาพที่มีมาตรฐานเดียว โดยมีการพัฒนามาตรฐานบริการทางการแพทย์ให้เป็นมาตรฐานเดียวและคุ้มครองสิทธิประชาชนในการได้รับบริการสุขภาพที่มีคุณภาพ รวมทั้งมีการจัดบริการรักษาด้วยยาต้านไวรัสให้ครอบคลุมคนทุกคนบนผืนแผ่นดินไทย ตลอดจนการพัฒนาบริการสุขภาพที่ขยายให้ครอบคลุมคนที่ไม่ได้รับสิทธิในระบบหรือกองทุนสุขภาพระบบใด ๆ เช่น คนไร้สถานะ ๓. ด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิต และขจัดการตีตราการเลือกปฏิบัติด้านสุขภาพ โดยรัฐบาลควรส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการรณรงค์สังคมสาธารณะ เพื่อสร้างความเข้าใจเรื่องสิทธิมนุษยชนและการเคารพศักดิ์ศรีด้านความเป็นมนุษย์ และการรณรงค์เรื่องสิทธิทางเพศ สิทธิด้านเอดส์ในเชิงบวก รวมทั้งดำเนินการให้เกิดการปฏิรูปกฎหมาย นโยบายและระเบียบปฏิบัติให้สอดคล้องกับหลักการสิทธิมนุษยชนและรัฐธรรมนูญ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรม เพื่อขจัดอุปสรรคในการเข้าถึงและได้รับบริการสุขภาพที่จำเป็นต่อการป้องกันการรับ-ถ่ายทอดเชื้อเอชไอวี และดูแลรักษาอาการเจ็บป่วยที่สัมพันธ์กับเอดส์ รวมทั้งให้สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีสุขภาวะและความมั่นคงในชีวิต
|
|||||||||||||||||||||
| 29412 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การสร้างความเป็นธรรมด้านสุขภาพ : กรณีศึกษาการพิจารณาความเหมาะสมในการเรียกเก็บค่าบริการร่วม 30 บาท ณ จุดบริการด้านสุขภาพในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า" | สสป | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การสร้างความเป็นธรรมด้านสุขภาพ : กรณีศึกษาการพิจารณาความเหมาะสมในการเรียกเก็บค่าบริการร่วม ๓๐ บาท ณ จุดบริการด้านสุขภาพในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ยกเลิกการนำนโยบายเรียกเก็บเงิน ๓๐ บาท ณ จุดบริการสุขภาพกลับมาใช้ ๒. เร่งรัดการพัฒนาระบบสุขภาพของประเทศให้เกิดคุณภาพมาตรฐานเดียว
|
|||||||||||||||||||||
| 29413 | ขอขยายทุนเรือนหุ้นของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร | กค | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติขยายทุนเรือนหุ้นของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จากเดิม จำนวน ๕๐,๐๐๐ ล้านบาท เป็น จำนวน ๖๐,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อรองรับการดำเนินการตามแผนการดำเนินงานของ ธ.ก.ส. และโครงการตามนโยบายและมาตรการของรัฐบาล รวมทั้งสนับสนุนการจ่ายปันผลของ ธ.ก.ส. ให้กระทรวงการคลังในลักษณะการซื้อหุ้นเพิ่มทุน ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง โดย ธ.ก.ส. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการเสนอขอเพิ่มทุนในแต่ละครั้ง ให้ ธ.ก.ส. จัดส่งรายละเอียดแผนงาน/โครงการ และกลุ่มเป้าหมายของโครงการที่จะมีการดำเนินการภายหลังการเพิ่มทุนให้กระทรวงการคลังพิจารณาทุกครั้ง และให้กระทรวงการคลังพิจารณาทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๓๕ (เรื่อง หลักเกณฑ์การจ่ายปันผลแก่ผู้ถือหุ้นธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) ในการจ่ายปันผลเป็นหุ้นแก่กระทรวงการคลัง ให้จ่ายปันผลในลักษณะเงินนำส่งคลังเช่นเดียวกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจอื่นโดยเร็วภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยมิต้องรอให้ทุนของ ธ.ก.ส. ถึงระดับ ๖๐,๐๐๐ ล้านบาท รวมทั้งให้มีการติดตามประเมินผลแผนการเพิ่มประสิทธิภาพให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 29414 | ขออนุมัติใช้เงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (กรมสรรพสามิต) | กค | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการให้กระทรวงการคลัง โดยกรมสรรพสามิตจ่ายค่าถอนคืนรายได้แผ่นดินให้ผู้ประกอบการ จำนวน ๙๖ ราย เป็นเงิน ๒๗๑,๗๘๒,๒๙๒.๑๔ บาท โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่ได้รับอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว และให้กรมสรรพสามิตขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. คณะรัฐมนตรีมีความเห็นเพิ่มเติมว่า เพื่อเป็นการอำนวยประโยชน์ให้แก่ผู้ประกอบการสามารถนำเงินคืนภาษีสรรพสามิตไปใช้ประโยชน์ต่อไปได้โดยเร็ว รวมทั้งเพื่อมิให้เป็นภาระต่อการใช้จ่ายงบกลาง จึงขอให้กระทรวงการคลัง (กรมสรรพสามิตและกรมบัญชีกลาง) เร่งรัดการพิจารณาการขอคืนภาษีสรรพสามิตของผู้ประกอบการให้แล้วเสร็จรวดเร็วยิ่งขึ้น รวมทั้งวางแผนใช้จ่ายงบประมาณเพื่อคืนเงินรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงและทันการเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามที่กำหนดในปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณของสำนักงบประมาณในแต่ละปีด้วย
|
|||||||||||||||||||||
| 29415 | รายงานผลการดำเนินการตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | กค | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้นำเสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต่อไป สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงการคลังและรัฐวิสาหกิจได้บริหารและจัดการหนี้สาธารณะตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นจำนวน ๑,๔๓๙,๑๗๑.๗๖ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๖๘.๐๖ ของแผนฯ และเมื่อรวมกับการกู้เงินและบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องอยู่ภายใต้กรอบวงเงินของแผนฯ จำนวน ๔๘,๓๙๖.๗๕ ล้านบาท ทำให้กระทรวงการคลังและรัฐวิสาหกิจสามารถกู้เงินและบริหารหนี้ได้ รวม ๑,๔๘๗,๕๖๘.๕๑ ล้านบาท แบ่งเป็นการก่อหนี้ใหม่ จำนวน ๗๑๒,๐๖๔.๒๐ ล้านบาท และการบริหารหนี้ จำนวน ๗๗๕,๕๐๔.๓๑ ล้านบาท ทั้งนี้ ในส่วนของการกู้เงินต่อจากรัฐบาล การก่อหนี้ใหม่และบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจภายใต้แผนฯ จำนวน ๔๐๑,๒๘๘.๘๗ ล้านบาท แบ่งเป็นการกู้เงินและบริหารหนี้ที่กระทรวงการคลังให้กู้ต่อและค้ำประกัน จำนวน ๓๗๔,๐๑๒.๖๓ ล้านบาท และไม่ค้ำประกัน จำนวน ๒๗,๒๗๖.๒๔ ล้านบาท ๒. การกู้เงิน การค้ำประกันและการให้กู้ต่อของรัฐบาลในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นไปตามกรอบการดำเนินงานที่พระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติมกำหนด ๓. การบริหารหนี้ในประเทศและต่างประเทศของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจสามารถลดยอดหนี้คงค้างได้ ๖๔,๑๐๕.๒๔ ล้านบาท รวมทั้งลดภาระและประหยัดดอกเบี้ยได้ ๓,๒๕๕.๑๑ ล้านบาท ๔. การจัดหาเงินกู้ของภาครัฐทำให้รัฐบาลมีเงินเพียงพอต่อการใช้จ่ายในการบริหารประเทศและการฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ รวมทั้งรัฐวิสาหกิจสามารถดำเนินโครงการและแผนงานลงทุนได้อย่างต่อเนื่อง ๕. การระดมทุนของรัฐบาลด้วยวิธีการออกพันธบัตรทำให้มีปริมาณการออกพันธบัตรอย่างสม่ำเสมอและเพียงพอในการสร้างอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง (Benchmark) เพื่อพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ ๖. หนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนกันยายน ๒๕๕๕ มีจำนวน ๔,๙๓๗,๒๓๙.๖๒ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๔๓.๙๑ ของ GDP แบ่งเป็นหนี้ของรัฐบาล จำนวน ๓,๕๑๕,๐๑๐.๙๕ ล้านบาท หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน จำนวน ๑,๐๖๔,๒๘๙.๑๑ ล้านบาท หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินที่รัฐบาลค้ำประกัน จำนวน ๓๕๒,๒๐๗.๓๕ ล้านบาท และหนี้ของหน่วยงานอื่นของรัฐ จำนวน ๕,๗๓๒.๒๑ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||
| 29416 | การแต่งตั้งกงสุลใหญ่สหรัฐอเมริกาประจำจังหวัดเชียงใหม่ [นายเคนเนท แอล. ฟอสเตอร์ (Mr. Kenneth L. Foster)] | กต | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายเคนเนท แอล. ฟอสเตอร์ (Mr. Kenneth L. Foster) ให้ดำรงตำแหน่งกงสุลใหญ่สหรัฐอเมริกาประจำจังหวัดเชียงใหม่ โดยมีเขตกงสุลครอบคลุมจังหวัดเชียงใหม่ กำแพงเพชร เชียงราย ตาก น่าน พะเยา พิจิตร พิษณุโลก เพชรบูรณ์ แพร่ แม่ฮ่องสอน ลำปาง ลำพูน สุโขทัย และอุตรดิตถ์ สืบแทน นางซูซัน เอ็น. สตรีเวนสัน ซึ่งครบวาระการปฏิบัติหน้าที่ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
| 29417 | การประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมไทย - เวียดนาม อย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ 2 | นร04 | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอรายงานผลการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมไทย-เวียดนาม อย่างไม่เป็นทางการ (Joint Cabinet Retreat-JCR) ครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๕๕ ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ของกระทรวงการต่างประเทศ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการติดตามผลในประเด็นต่าง ๆ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศจัดทำเพื่อให้การประชุมดังกล่าวเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ดังนี้
๑. การยกระดับความสัมพันธ์เป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ ประเด็นหารือ ได้แก่ การจัดตั้งคณะทำงานระดับสูงเพื่อร่วมกันกำหนดแนวทางในการจัดทำหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ในรายละเอียด และการตั้งกลไกติดตามความคืบหน้า โดยใช้รูปแบบของ Joint Commission on Bilateral Cooperation (JCBC) ที่มีกระทรวงการต่างประเทศสองฝ่ายเป็นประธานร่วม หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงการต่างประเทศ ๒. ความร่วมมือด้านอาชญากรรมข้ามชาติ ประเด็นหารือ ได้แก่ การเพิ่มช่องทางประสานงานและแลกเปลี่ยนข้อมูลกันระหว่างหน่วยงานความมั่นคง และการจัดทำความตกลงความร่วมมือด้านกงสุลเพื่ออำนวยความสะดวกในการดูแลคนไทยที่ถูกจับกุมในเวียดนาม หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ๓. ความร่วมมือด้านการทหาร ประเด็นหารือ ได้แก่ การเพิ่มพูนความร่วมมือระหว่างกองทัพ สถาบันการศึกษาของกลาโหม และการฝึกร่วมด้านการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการบรรเทาภัยพิบัติและการแลกเปลี่ยนการเยือนของเครื่องบินกองทัพทั้งสองประเทศ หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงกลาโหม ๔. ความร่วมมือด้านประมง ประเด็นหารือ ได้แก่ แนวทางลดเวลาที่ใช้ในการดำเนินคดีเมื่อจับกุมชาวประมงเวียดนาม และการจัดตั้งคณะทำงานร่วมเพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน หน่วยงานรับผิดชอบ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ๕. การส่งเสริมการค้าและการลงทุน ประเด็นหารือ ได้แก่ การจัดทำแผนปฏิบัติการขยายความร่วมมือทางการค้าการลงทุนไทย-เวียดนาม การหาแนวทางเพิ่มปริมาณการค้าขึ้นปีละร้อยละ ๒๐ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๘ หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงพาณิชย์ และประเด็นหารือเกี่ยวกับการสนับสนุนการลงทุนและการขยายความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมโดยเฉพาะในสาขาปิโตรเลียม พลังงาน การผลิตไฟฟ้า การก่อสร้าง และสิ่งทอ หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงพลังงาน และกระทรวงอุตสาหกรรม ๖. ความร่วมมือทางการเงิน ประเด็นหารือ ได้แก่ การขยายความร่วมมือด้านการเงิน อาทิ เงินกู้ยืมหรือการสนับสนุนเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในรูปแบบการลงทุน Public Private Partnership (PPP) และความร่วมมือด้านการเงินและการคลังโดยเฉพาะในด้านศุลกากร หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงการคลัง ๗. ความร่วมมือด้านสินค้าเกษตร : ข้าว มันสำปะหลัง และยางพารา ประเด็นหารือ ได้แก่ การขยายความร่วมมือด้านการผลิตและการค้าขาย การจัดการประชุมหารือกันในระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส ภาคเอกชน และชาวนาบ่อยขึ้น การยกระดับความร่วมมือระหว่างผู้ผลิตข้าวในอาเซียนให้สูงขึ้น การจัดตั้งสมาพันธ์ผู้ค้ามันสำปะหลังแห่งอาเซียน รวมทั้งการรับคำเชิญของเวียดนามในการเข้าร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีในกรอบสภาไตรภาคียางพาราและบริษัทร่วมทุนยางพาราระหว่างประเทศ จำกัด ในวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๕ หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ๘. การอำนวยความสะดวกในการขนส่งทางถนนและลดอุปสรรคในการขนส่งข้ามพรมแดนไทย-สปป.ลาว-เวียดนาม ประเด็นหารือ ได้แก่ การเร่งรัดการลงนามเพิ่มเติมของบันทึกความเข้าใจในการเริ่มใช้ความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าและผู้โดยสาร ณ จุดผ่านแดน แดนสะหวัน-ลาวบาว และจุดผ่านแดน มุกดาหาร-สะหวันนะเขต ของแนวเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economic Corridor : EWEC) การประสานงานกับกัมพูชาเพื่อสนับสนุนการใช้เส้นทางของระเบียงเศรษฐกิจตอนใต้ เส้นทางกรุงเทพฯ-อรัญประเทศ-ปอยเปต-ศรีโสภณ-พนมเปญ-บาเว็ต-ม็อกไบ-นครโฮจิมินห์ และการพิจารณาจัดทำความตกลงการใช้เส้นทางทั้งสองในลักษณะความตกลงสามฝ่ายไทย-สปป.ลาว-เวียดนาม หรือบรรจุเส้นทางหมายเลข ๘ และ ๑๒ ภายใต้กรอบ Cross Border Transport Agreement (CBTA) ของอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงคมนาคม ๙. ความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมและการบิน ประเด็นหารือ ได้แก่ การขยายความร่วมมือด้านการคมนาคมทางอากาศ โดยเฉพาะการเปิดเส้นทางการบินใหม่ระหว่างกัน หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงคมนาคม การขยายความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมระหว่างสองประเทศ หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงอุตสาหกรรม การสนับสนุนการลงทุนและขยายความร่วมมือด้านอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในสาขาปิโตรเลียม พลังงาน การผลิตไฟฟ้า การก่อสร้าง และสิ่งทอ หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพลังงาน ๑๐. ความร่วมมือด้านการค้ามนุษย์ ประเด็นหารือ ได้แก่ การเร่งรัดการรับรองแนวทางการคัดแยกและส่งกลับผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ระหว่างไทย-เวียดนาม และการประชุม Case Management Meeting หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ๑๑. ความร่วมมือด้านแรงงาน ประเด็นหารือ ได้แก่ การจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านแรงงาน และการขยายความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลแรงงาน การฝึกอบรม การแลกเปลี่ยนด้านภาษา ทักษะฝีมือแรงงาน และความปลอดภัยของการประกอบอาชีพ หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงแรงงาน ๑๒. ความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวและกีฬา ประเด็นหารือ ได้แก่ การขยายความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวระหว่างไทย-เวียดนาม ตามแนวเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (EWEC) และการท่องเที่ยวทางน้ำ รวมทั้งการสนับสนุนเวียดนามเป็นเจ้าภาพจัดกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ปี ค.ศ. ๒๐๑๘ และการสนับสนุนไทยเป็นเจ้าภาพจัดกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ปี ค.ศ. ๒๐๒๓ หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ๑๓. ความร่วมมือด้านวัฒนธรรม ประเด็นหารือ ได้แก่ การจัดทำแผนปฏิบัติการว่าด้วยการแลกเปลี่ยนด้านวัฒนธรรมระหว่างไทยและเวียดนาม และการจัดตั้งศูนย์วัฒนธรรมเวียดนามในประเทศไทย หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงวัฒนธรรม ๑๔. ความร่วมมือด้านการศึกษา ประเด็นหารือ ได้แก่ การเร่งรัดการดำเนินงานโครงการภายใต้การประชุมคณะทำงานร่วมด้านการศึกษา ครั้งที่ ๒ การผลักดันความร่วมมือระหว่างสถาบันการศึกษาในระดับอุดมศึกษาระหว่างทั้งสองประเทศ การแลกเปลี่ยนครูอาจารย์ การแลกเปลี่ยนทุนการศึกษาและหลักสูตรฝึกอบรม รวมทั้งการจัดตั้งศูนย์ไทยศึกษาในมหาวิทยาลัยในเวียดนามเพื่อเผยแพร่วัฒนธรรมไทยและภาษาไทยแก่นักศึกษาเวียดนาม หน่วยงานรับผิดชอบ กระทรวงศึกษาธิการ
|
|||||||||||||||||||||
| 29418 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดภูเก็ต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | มท | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดภูเก็ต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมข้อกำหนดเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ที่ดินประเภทอนุรักษ์ป่าไม้ ตามกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดภูเก็ต พ.ศ. ๒๕๕๔ ในที่ดินประเภทอนุรักษ์ป่าไม้ เพื่อให้ใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อเป็นสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้เพื่อกิจการของท่าเรือท่องเที่ยว (มารีน่า) และการจัดสรรที่ดินเพื่อการอยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
| 29419 | รายงานสรุปผลการดำเนินงานของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ สำหรับงวดครึ่งปีแรกของปี พ.ศ. 2555 | กค | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปผลการดำเนินงานของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำหรับงวดครึ่งปีแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๕ สรุปได้ ดังนี้
๑. การรวบรวมและพัฒนาข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ และข้อมูลประกอบด้านอื่น ๆ ที่สำคัญต่อเศรษฐกิจ โดยรวบรวมและจัดเก็บข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ๗ ประเภท (ที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า โรงแรม-รีสอร์ท นิคมอุตสาหกรรม สนามกอล์ฟ และที่ดินเปล่า) โดยนำข้อมูลที่ได้มาประมวลผล ๔ ด้าน ได้แก่ ด้านอุปทาน ด้านอุปสงค์ ด้านราคา และด้านการเงิน ซึ่งสามารถเผยแพร่ข้อมูลได้ครอบคลุมทั้ง ๗ ประเภท และมีการเผยแพร่ข้อมูลล่าสุด ณ สิ้นไตรมาสแรก ปี ๒๕๕๕ ๒. งานวิชาการ โดยจัดทำวารสารศูนย์ข้อมูล ฯ REIC Journal ประจำไตรมาสที่ ๑ และไตรมาสที่ ๒ ปี ๒๕๕๕ พร้อมทั้งรายงานสถานการณ์อสังหาริมทรัพย์ รวมไปถึงนำเสนอบทวิเคราะห์สถานการณ์อสังหาริมทรัพย์และบทความพิเศษที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ จัดสัมมนาเผยแพร่ข้อมูลผลสำรวจโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัย ประจำปี ๒๕๕๕ เพื่อนำเสนอผลการจัดทำดัชนีราคาบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ จัดทำดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย และดัชนีค่าก่อสร้างบ้านมาตรฐาน โดยมีการเผยแพร่ผลการสำรวจในไตรมาสที่ ๑ และไตรมาสที่ ๒ ปี ๒๕๕๕ และจัดทำ REIC Research Report เพื่อเผยแพร่ผ่านสื่อมวลชน และเว็บไซต์ www.reic.or.th พร้อมทั้งจัดทำการสรุปและวิเคราะห์สถานการณ์อสังหาริมทรัพย์ประจำสัปดาห์เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ www.reic.or.th อย่างต่อเนื่อง ๓. การส่งเสริมภาพลักษณ์องค์กร โดยมีกิจกรรมการจัดสัมมนาทางวิชาการ การประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อมวลชน การให้บริการทางวิชาการ และการร่วมออกบูธในงานมหกรรมต่าง ๆ ด้านอสังหาริมทรัพย์ เพื่อเป็นการเผยแพร่ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง
|
|||||||||||||||||||||
| 29420 | รายงานผลการลงนามในสัญญาเงินกู้โครงการปรับปรุงระบบระบายน้ำในนครหลวงเวียงจันทน์ | กค | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการลงนามในสัญญาเงินกู้โครงการปรับปรุงระบบระบายน้ำในนครหลวงเวียงจันทน์ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ผลการลงนามในสัญญาเงินกู้ระหว่างสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) กับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) สำหรับโครงการปรับปรุงระบบระบายน้ำในนครหลวงเวียงจันทน์ โดยมีวงเงินกู้ ๙๕.๔๐ ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย ร้อยละ ๑.๕ ต่อปี อายุสัญญา ๒๐ ปี (รวมระยะเวลาปลอดหนี้ ๕ ปี) กำหนดชำระดอกเบี้ย ๒๐ กุมภาพันธ์ และ ๒๐ สิงหาคมของทุกปี การชำระคืนเงินกู้ เริ่มชำระคืนวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ และสิ้นสุดวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๗๕ ระยะเวลาสิ้นสุดการเบิกจ่าย ๒๔ กันยายน ๒๕๕๘ ๑.๒ การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป.ลาว ดังกล่าว จะเป็นประโยชน์ต่อ สปป.ลาว และประเทศไทย โดยโครงการปรับปรุงระบบระบายน้ำในนครหลวงเวียงจันทน์จะทำให้โครงข่ายการระบายน้ำจากนครหลวงเวียงจันทน์ไปยังแม่น้ำโขงมีความสมบูรณ์และมีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ทำให้ประชาชนในบริเวณพื้นที่โครงการฯ คือ เมืองจันทบุรีและเมืองศรีโคตรบอง ประมาณ ๓ แสนคน ได้รับประโยชน์ ไม่ต้องประสบปัญหาน้ำท่วมขังและน้ำเน่าเสียในช่วงฤดูฝนอันมีสาเหตุจากระบบระบายน้ำที่ไม่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งเป็นการกระชับความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นการสนับสนุนนโยบายต่างประเทศของรัฐบาลได้โดยตรง และเป็นการสนับสนุนการใช้สินค้าไทย เนื่องจากเงื่อนไขการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ สปป.ลาว ดังกล่าวกำหนดให้ใช้สินค้าจากประเทศไทยไม่น้อยกว่าร้อยละ ๕๐ ของมูลค่าโครงการฯ ๒. ให้ สพพ. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญในการคัดเลือกบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่มีศักยภาพและคุณภาพ ไม่มีประวัติการทำงานที่ล่าช้าและไม่มีคุณภาพ ก่อให้เกิดการชำรุดและซ่อมแซมที่เร็วกว่ากำหนดเวลาอันสมควร และกำกับการดำเนินงานก่อสร้างให้ได้มาตรฐานและเป็นไปตามกำหนดเวลา ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||
.....
