ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1468 จากทั้งหมด 6223 หน้า แสดงรายการที่ 29341 - 29360 จากข้อมูลทั้งหมด 124448 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 29341 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การพัฒนาฐานข้อมูลสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์ทางยาเพื่อสนับสนุนการเข้าถึงยาและความมั่นคงทางยา" | สสป | 18/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การพัฒนาฐานข้อมูลสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์ทางยาเพื่อสนับสนุนการเข้าถึงยาและความมั่นคงทางยา" ต่อรัฐบาลเพื่อให้มีนโยบายต่อกรมทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีบทบาทเกี่ยวข้องในการพัฒนาฐานข้อมูลสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์ทางยาเพื่อสนับสนุนการเข้าถึงยาและความมั่นคงทางยา โดยให้กรมทรัพย์สินทางปัญญาดำเนินการ ดังนี้ ๑.๑ ดำเนินการประกาศให้สาธารณชนรับทราบข้อมูลบรรณานุกรมของคำขอรับสิทธิบัตรที่ยื่นขอรับความคุ้มครองในประเทศไทยแต่ละวัน วันต่อวัน ไม่ว่าคำขอรับสิทธิบัตรนั้นจะยื่นขอโดยผ่านระบบสนธิสัญญาความร่วมมือระหว่างประเทศด้านสิทธิบัตร (Patent Cooperation Treaty, PCT) หรือไม่ก็ตาม เพื่อประโยชน์ในการวิจัยและพัฒนาตลอดจนติดตามการประกาศโฆษณาเพื่อดำเนินการคัดค้าน ๑.๒ พัฒนาฐานข้อมูลให้มีเสถียรภาพ สืบค้นได้ง่าย รวดเร็ว เป็นมิตรต่อผู้สืบค้น ๑.๓. ร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ปรับปรุงข้อมูลในฐานข้อมูลสิทธิบัตรให้ทันสมัย ถูกต้องตามความเป็นจริงตลอดเวลา โดยเฉพาะสิทธิบัตรที่เกี่ยวข้องกับยา ๑.๓.๑ ในกรณีผู้ยื่นคำขอรับสิทธิบัตรเกี่ยวกับยา ให้ใส่สัญลักษณ์จำแนกการประดิษฐ์ระหว่างประเทศ (International Patent Classification, IPC) เป็น A61K ๑.๓.๒ สำหรับชื่อบริษัทหรือผู้ทำธุรกิจยา ให้ใช้ชื่อตามที่จดทะเบียนการค้า และกำกับภาษาอังกฤษด้วย ๑.๓.๓ สำหรับชื่อสารเคมี หรือชื่อทางเทคนิค ให้กำกับภาษาอังกฤษด้วย ๑.๔ จัดทำคู่มือแนวทางการพิจารณาการออกเอกสารสิทธิบัตรที่เกี่ยวกับยาอย่างเร่งด่วน โดยสามารถใช้ผลงานวิจัย "สิทธิบัตรยาที่จัดเป็น evergreening patent ในประเทศไทย และการคาดประมาณผลกระทบที่เกิดขึ้น" ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข กรมทรัพย์สินทางปัญญา และแผนงานพัฒนากลไกเฝ้าระวังระบบยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยให้นำสาระดังกล่าวไปบรรจุไว้ในการแก้ไขพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. ๒๕๒๒ ที่กำลังดำเนินการอยู่ด้วย ๒. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว สรุปได้ ดังนี้ ๒.๑ ให้กรมทรัพย์สินทางปัญญาศึกษาว่าการเปิดเผยข้อมูลบรรณานุกรมของคำขอรับสิทธิบัตรในส่วนของการเปิดเผยชื่อที่แสดงถึงการประดิษฐ์จะขัดต่อมาตรา ๒๑ แห่งพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. ๒๕๒๒ และข้อ ๓ แห่งกฎกระทรวงฉบับที่ ๒๑ (พ.ศ. ๒๕๔๒) ออกตามความในพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. ๒๕๒๒ หรือไม่ หากศึกษาแล้วไม่ขัดต่อกฎหมายดังกล่าว ให้ดำเนินการพัฒนาระบบฐานข้อมูลสิทธิบัตรเพื่อที่จะประกาศข้อมูลบรรณานุกรมให้สาธารณชนรับทราบต่อไป ๒.๒ เห็นควรขอการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐในการพัฒนาระบบฐานข้อมูลสิทธิบัตรเพื่อให้มีความถูกต้องครบถ้วน มีเสถียรภาพ สืบค้นได้ง่าย รวดเร็ว และเป็นมิตรต่อผู้สืบค้น ๒.๓ ในกรณีข้อ ๑.๓.๑ ให้กรมทรัพย์สินทางปัญญาและสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาจัดทำความร่วมมือในการพิจารณาจำแนกประเภทการประดิษฐ์ตามคำขอรับสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์ทางยาให้ถูกต้องและสอดคล้องตาม International Patent Classification หรือ IPC สำหรับกรณีข้อ ๑.๓.๒ ให้กรมทรัพย์สินทางปัญญาแก้ไขปรับปรุงแบบพิมพ์คำขอรับสิทธิบัตรโดยให้มีช่องระบุเลขที่นิติบุคคล ๑๓ หลัก (ถ้ามี) และระบุชื่อนิติบุคคลเป็นภาษาอังกฤษ (ถ้ามี) เพื่อแก้ไขปัญหาการสืบค้นชื่อบริษัทหรือผู้ทำธุรกิจยาที่สามารถสะกดเป็นภาษาไทยได้หลายรูปแบบ และในกรณีข้อ ๑.๓.๓ รับทราบถึงการดำเนินการของกรมทรัพย์สินทางปัญญาที่ได้ออกประกาศกรมทรัพย์สินทางปัญญาให้ผู้ขอรับสิทธิบัตรระบุชื่อสารเคมี หรือชื่อทางเทคนิคเป็นภาษาอังกฤษอยู่แล้วในปัจจุบัน ๒.๔ รับทราบถึงการดำเนินการของกรมทรัพย์สินทางปัญญาที่ได้จัดทำร่างคู่มือการตรวจสอบคำขอรับสิทธิบัตรการประดิษฐ์และอนุสิทธิบัตรทางด้านเคมีและเภสัชภัณฑ์เรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างการรับฟังความเห็นจากหน่วยงานต่าง ๆ ซึ่งจะสิ้นสุดการรับฟังความเห็นในวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ สำหรับในกรณีการแก้ไขพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. ๒๕๒๒ ให้นำผลงานวิจัย "สิทธิบัตรยาที่จัดเป็น evergreening patent ในประเทศไทย และการคาดประมาณผลกระทบที่เกิดขึ้น" ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข กรมทรัพย์สินทางปัญญา และแผนงานพัฒนากลไกเฝ้าระงับระบบยาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาเพื่อประกอบการพิจารณาด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 29342 | รายงานผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ 30 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา | พน | 18/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ ๓๐ (The 30th ASEAN Ministers on Energy Meeting : 30th AMEM) และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๑๒-๑๓ กันยายน ๒๕๕๕ ณ กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน ครั้งที่ ๓๐ (30th AMEM) ๑.๑ ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าการดำเนินการของประเทศสมาชิกเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ตามแผนปฏิบัติการความร่วมมือด้านพลังงานของอาเซียน (ASEAN Plan of Actions on Energy Cooperation : APAEC 2010-2015) ซึ่งประกอบด้วย ๗ สาขา เช่น โครงข่ายสายส่งไฟฟ้าอาเซียน (ASEAN Power Grid) โครงข่ายท่อส่งก๊าซอาเซียน (Trans ASEAN Gas Pipeline) ถ่านหินและเทคโนโลยีถ่านหินสะอาด ประสิทธิภาพและการอนุรักษ์พลังงาน พลังงานทดแทน นโยบายและแผนพลังงานของอาเซียน และการใช้พลังงานนิวเคลียร์ในทางสันติ เป็นต้น ๑.๒ ที่ประชุมได้เน้นย้ำถึงการส่งเสริมความร่วมมือด้านเทคโนโลยีถ่านหินสะอาด การเตรียมการเพื่อสร้างเครือข่ายด้านพลังงานอาเซียนเพื่อการเรียนรู้และการยอมรับของประชาชนต่อการใช้พลังงานนิวเคลียร์ในการผลิตไฟฟ้า รวมถึงแผนการพัฒนาขีดความสามารถของศูนย์พลังงานอาเซียน (ASEAN Centre for Energy) การสร้างเครือข่ายการกำกับกิจการพลังงานของอาเซียน และการส่งเสริมความร่วมมือด้านพลังงานกับประเทศคู่เจรจาและองค์การระหว่างประเทศอื่น ๆ ๒. การประชุมรัฐมนตรีอาเซียน+๓ ด้านพลังงาน ครั้งที่ ๙ (9th AMEM+3) ที่ประชุมประกอบด้วยประเทศสมาชิก ๑๓ ประเทศ ได้แก่ ประเทศสมาชิกอาเซียน ๑๐ ประเทศ กับอีก ๓ ประเทศ คือ สาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐเกาหลี และญี่ปุ่น ได้หารือเกี่ยวกับมาตรการในการรับมือสถานการณ์ด้านพลังงานของโลกที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงด้านพลังงาน การส่งเสริมการเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียนเพื่อให้ภูมิภาคอาเซียนสามารถบรรลุเป้าหมายความมั่นคงด้านพลังงานยิ่งขึ้น การให้ความสำคัญในการเพิ่มความพยายามด้านความร่วมมือเพื่อศึกษาทางเลือกในการจัดหาพลังงานในรูปแบบต่างๆ สำหรับภูมิภาคนี้ เช่น การเก็บสำรองน้ำมัน (Oil Stockpiling Roadmap : OSRM) การสนับสนุนเทคโนโลยีถ่านหินสะอาด พลังงาน นิวเคลียร์เพื่อสันติ ๓. การประชุมรัฐมนตรีเอเชียตะวันออกด้านพลังงาน ครั้งที่ ๖ (6th EAS EMM) ที่ประชุมประกอบด้วยประเทศสมาชิก ๑๘ ประเทศ ได้แก่ ประเทศสมาชิกอาเซียน ๑๐ ประเทศ กับอีก ๘ ประเทศ คือ สาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐเกาหลี ญี่ปุ่น สาธารณรัฐอินดีย นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา และสหพันธรัฐรัสเซีย โดยที่ประชุมเห็นควรให้สถาบันวิจัยเศรษฐกิจอาเซียนและเอเชียตะวันออก (Economic Research Institute for ASEAN and East Asia : ERIA) และศูนย์พลังงานอาเซียน (ASEAN Centre for Energy : ACE) โดยความร่วมมือกับทบวงการพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency : IEA) ร่วมกันศึกษาเพื่อจัดทำแบบจำลองด้านพลังงานของภูมิภาคเพื่อใช้ประโยชน์ในการวางแผนต่อไป ๔. การประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงานกับทบวงการพลังงานระหว่างประเทศ ที่ประชุมประกอบด้วยประเทศสมาชิกอาเซียน ๑๐ ประเทศ และทบวงการพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency-IEA) โดยที่ประชุมรับทราบถึงความสำเร็จของการดำเนินกิจกรรมร่วมกันในช่วง ๑ ปี ที่ผ่านมา หลังจากการลงนามใน MOU ว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือทางพลังงานระหว่างอาเซียนและ IEA เพื่อส่งเสริมความพยายามของประเทศสมาชิกอาเซียนในการลดผลกระทบต่อ Climate Change การให้ความสำคัญกับบทบาทเทคโนโลยีพลังงานสะอาด ๕. การหารือทวิภาคีกับประเทศสมาชิก พันธมิตรและคู่เจรจา ได้แก่ การหารือทวิภาคีกับสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม ราชอาณาจักรกัมพูชา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และมาเลเซีย ๖. รางวัล ASEAN Energy Awards จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีควบคู่กับการประชุมรัฐมนตรีพลังงานอาเซียนด้านพลังงาน โดยในปี ๒๕๕๕ ประเทศไทยได้รับรางวัลชนะเลิศ ๙ รางวัล และรองชนะเลิศ ๗ รางวัล จากโครงการ ๑๑ ประเภท
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 29343 | ผลการสำรวจความต้องการของประชาชนในปี 2556 | ทก | 18/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการสำรวจความต้องการของประชาชนในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ในรอบปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ที่ผ่านมา ประชาชนระบุว่า ชุมชน/หมู่บ้านได้รับความเดือดร้อน ๕ อันดับแรก คือ ปัญหายาเสพติด ร้อยละ ๓๔.๒ น้ำท่วม ร้อยละ ๒๖.๘ ความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ร้อยละ ๒๕.๖ หนี้สิน ร้อยละ ๒๒.๔ และการจราจรติดขัด ร้อยละ ๑๘.๖ โดยภาคกลางและกรุงเทพมหานครได้รับความเดือดร้อนจากปัญหายาเสพติดมากที่สุด ร้อยละ ๓๕.๓ และ ๓๔.๓ ตามลำดับ ขณะที่ปัญหาผลผลิตการเกษตรราคาตกต่ำพบมากที่สุดในภาคใต้ ร้อยละ ๔๔.๐ และภาคเหนือ ร้อยละ ๓๖.๒ ส่วนปัญหาหนี้สินพบในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมากที่สุด ร้อยละ ๓๗.๑ ๒. ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการให้รัฐบาลดำเนินการในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ใน ๕ อันดับแรก คือ การแก้ปัญหาของแพง ร้อยละ ๔๐.๙ การแก้ปัญหาหนี้สิน ร้อยละ ๒๔.๒ การแก้ปัญหายาเสพติด ร้อยละ ๒๓.๑ การแก้ปัญหาการจราจรติดขัด ร้อยละ ๑๘.๑ และการแก้ปัญหาความยากจน ร้อยละ ๑๘.๐ โดยในทุกภาคประชาชนต้องการให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาของแพงมากกว่าเรื่องอื่น ๓. เรื่องเร่งด่วนที่ประชาชนต้องการให้รัฐบาลดำเนินการช่วยเหลือเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ใน ๕ อันดับแรก คือ การแก้ปัญหายาเสพติด ร้อยละ ๒๘.๖ การแก้ปัญหาน้ำท่วม ร้อยละ ๒๐.๙ การแก้ปัญหาหนี้สิน ร้อยละ ๑๘.๕ การสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ร้อยละ ๑๖.๘ และการแก้ปัญหาการจราจรติดขัด ร้อยละ ๑๕.๔ โดยประชาชนในภาคกลางและกรุงเทพมหานครต้องการให้รัฐบาลดำเนินการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนในการแก้ปัญหายาเสพติดมากที่สุด ร้อยละ ๓๔.๑ และ ๒๘.๖ ตามลำดับ ขณะที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือต้องการให้รัฐบาลดำเนินการอย่างเร่งด่วนในการแก้ปัญหาหนี้สินมากกว่าเรื่องอื่น ร้อยละ ๓๒.๙ และ ๓๒.๑ ตามลำดับ ส่วนภาคใต้ คือ การประกันราคาผลผลิตการเกษตรมากที่สุด ร้อยละ ๓๙.๒ ๔. ประชาชนร้อยละ ๔๙.๒ ระบุว่ามีความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลในการช่วยเหลือ/แก้ไขปัญหาความเดือดร้อน/พัฒนาประเทศให้ดีขึ้น ร้อยละ ๒๐.๔ ระบุว่าไม่เชื่อมั่น และร้อยละ ๓๐.๔ ยังไม่แน่ใจ โดยประชาชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลในการช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน/พัฒนาประเทศให้ดีขึ้นสูงกว่าภาคอื่น ร้อยละ ๗๐.๑ ภาคเหนือ ร้อยละ ๖๒.๕ ภาคกลาง ร้อยละ ๕๘.๖ และกรุงเทพมหานคร ร้อยละ ๔๙.๑ ส่วนภาคใต้มีความเชื่อมั่นน้อยที่สุด คือ ร้อยละ ๔๐.๕ ทั้งนี้ อาจเนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบในภาคใต้
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 29344 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการเป็นหน่วยงานฝึกอบรมการดับเพลิงขั้นต้น และหน่วยงานฝึกซ้อมดับเพลิงและฝึกซ้อมอพยพหนีไฟ พ.ศ. .... | รง | 18/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการเป็นหน่วยงานฝึกอบรมการดับเพลิงขั้นต้น และหน่วยงานฝึกซ้อมดับเพลิงและฝึกซ้อมอพยพหนีไฟ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ขออนุญาตเป็นหน่วยงานฝึกอบรมการดับเพลิงขั้นต้นหรือหน่วยงานฝึกซ้อมดับเพลิงและฝึกซ้อมอพยพหนีไฟ สถานที่ยื่นคำขอ และอายุของใบอนุญาต ๒. กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการขอต่ออายุใบอนุญาต และการออกใบแทนใบอนุญาต ๓. กำหนดเงื่อนไขการสั่งพักใช้ใบอนุญาตและการเพิกถอนใบอนุญาต ๔. กำหนดวิธีการให้หน่วยงานฝึกอบรมการดับเพลิงขั้นต้นหรือหน่วยงานฝึกซ้อมดับเพลิงและอพยพหนีไฟแจ้งกำหนดการฝึกอบรมหรือการฝึกซ้อม และส่งรายงานสรุปผล รวมทั้งให้อำนาจอธิบดีเข้าไปในหน่วยงานฝึกอบรมการดับเพลิงขั้นต้นหรือหน่วยงานฝึกซ้อมดับเพลิงและอพยพหนีไฟ ๕. กำหนดให้หน่วยงานฝึกอบรมการดับเพลิงขั้นต้นจัดให้มีการฝึกอบรมทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ หลักเกณฑ์เกี่ยวกับการฝึกอบรม และคุณสมบัติของวิทยากร ๖. กำหนดให้หน่วยงานฝึกอบรมการดับเพลิงและการฝึกซ้อมอพยพหนีไฟจัดให้มีการฝึกซ้อมดับเพลิงและการฝึกซ้อมอพยพหนีไฟ ๗. กำหนดค่าบริการฝึกอบรมการดับเพลิงขั้นต้น ค่าบริการฝึกซ้อมดับเพลิงและฝึกซ้อมอพยพหนีไฟ ๘. กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมใบอนุญาตเป็นหน่วยงานฝึกอบรมการดับเพลิงขั้นต้น หน่วยงานฝึกซ้อมดับเพลิงและฝึกซ้อมหนีไฟ ใบแทนใบอนุญาต และการต่อใบอนุญาต
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 29345 | ขออนุมัติจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งกลไกการหารือทวิภาคีระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศกับ กระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทย | กต | 18/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติการจัดทำร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยกลไกการหารือทวิภาคีระหว่างกระทรวงการต่างประเทศแห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศกับกระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทย (Memorandum of Understanding on the Establishment of Bilateral Consultations between the Ministry of Foreign Affairs of the People’s Republic of Bangladesh and the Ministry of Foreign Affairs of the Kingdom of Thailand) มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นกลไกการปรึกษาหารือเพื่อทบทวนความสัมพันธ์ทวิภาคีในทุกมิติโดยปรารถนาที่จะส่งเสริมความร่วมมือด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม-วัฒนธรรมของทั้งสองประเทศ และมุ่งหมายที่จะพัฒนาและกระชับความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างประเทศทั้งสอง และปรารถนาที่จะแก้ไขอุปสรรคความยากลำบาก หรือความเข้าใจผิดที่อาจเกิดขึ้น และตระหนักถึงความสำคัญของการจัดการปรึกษาหารือและการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเป็นประจำระหว่างประเทศทั้งสองในด้านความสัมพันธ์ทวิภาคีและความร่วมมือในประเด็นที่เป็นความสนใจร่วมกัน ซึ่งบันทึกความเข้าใจฯ จะมีผลใช้บังคับในวันที่ลงนามและจะยังคงมีผลใช้บังคับเป็นระยะเวลา ๕ ปี และหลังจากสิ้นสุดระยะเวลา ๕ ปี ก็จะต่ออายุโดยอัตโนมัติ เว้นแต่ภาคีฝ่ายหนึ่งจะแจ้งบอกเลิกเป็นลายลักษณ์อักษรผ่านช่องทางการทูตล่วงหน้าเป็นเวลา ๖ เดือน ๒. อนุมัติให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ๓. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงถ้อยคำของบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญ เพื่อให้สอดคล้องกับผลประโยชน์และนโยบายของไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 29346 | แถลงข่าวร่วมไทย - บังกลาเทศ ในโอกาสการเยือนบังกลาเทศอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี | กต | 18/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการต่อร่างแถลงข่าวร่วมไทย-บังกลาเทศ ในโอกาสการเยือนบังกลาเทศอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ ๒๑-๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๕ โดยเอกสารร่างแถลงข่าวร่วมฯ มีสาระสำคัญเพื่อเป็นการยืนยันเจตนารมณ์ร่วมและแสดงความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยและบังกลาเทศในการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศในด้านเศรษฐกิจ การเมือง และความร่วมมือด้านการพัฒนา ๑.๒ อนุมัติให้ประกาศแถลงข่าวร่วมฯ กับฝ่ายบังกลาเทศ ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างแถลงข่าวร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของประเทศไทยก่อนมีการแถลงข่าวร่วมดังกล่าว ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่เห็นควรแก้ไขร่างแถลงข่าวร่วมฯ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ข้อ ๑๕ และ ๓๑ ซึ่งกล่าวถึงบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตรและบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการประมงและปศุสัตว์ ระหว่างกระทรวงเกษตรแห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งในการเยือนสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศของนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พร้อมที่จะลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงเกษตรแห่งสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตรเพียงฉบับเดียว สำหรับบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการประมงและปศุสัตว์ นั้น อยู่ระหว่างดำเนินการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ข้อคิดเห็นต่อร่างโต้ตอบบันทึกความเข้าใจฯ ของฝ่ายบังกลาเทศ ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบในการลงนามในบันทึกความเข้าใจดังกล่าว รวมทั้งความเห็นเพิ่มเติมของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเกี่ยวกับร่างแถลงข่าวร่วมฯ ในข้อ ๒๒ เกี่ยวกับการที่ฝ่ายบังกลาเทศจะจัดส่งคณะนักแสดงเผยแพร่วัฒนธรรมภายใต้แผนงานการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมมาแสดงในเมืองสำคัญ ๆ ของประเทศไทยในช่วงครึ่งปีแรกของ (“… the first half of …”) ปี ค.ศ. ๒๐๑๓ นั้น เห็นควรให้ตัดข้อความดังกล่าวออก เพื่อให้มีความยืดหยุ่นในการดำเนินการให้เหมาะสมกับข้อเท็จจริง ไปดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 29347 | แจ้งคำสั่งศาลปกครองกลางอนุญาตให้ผู้ฟ้องคดีถอนคำฟ้องคดีหมายเลขดำที่ ส. 257/2554 ระหว่าง นางสาวปรียนันท์ อิศรเสนา ณ อยุธยา ผู้ฟ้องคดี นายกรัฐมนตรี กับพวก รวม 5 คน ผู้ถูกฟ้องคดี | อส | 18/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานอัยการสูงสุดแจ้งคำสั่งศาลปกครองกลางในคดีหมายเลขแดงที่ ส. ๑๓๔/๒๕๕๕ ระหว่างนางสาวปรียนันท์ อิศรเสนา ณ อยุธยา ผู้ฟ้องคดี นายกรัฐมนตรี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ คณะรัฐมนตรี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ สำนักนายกรัฐมนตรี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ และกระทรวงการคลัง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๕ อนุญาตให้ผู้ฟ้องคดีถอนคำฟ้องคดีหมายเลขดำที่ ส. ๒๕๗/๒๕๕๔
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 29348 | แจ้งผลคำพิพากษาศาลปกครองกลาง กรณี นายต่อศักดิ์ วานิชขจร ฟ้องคณะรัฐมนตรีกับพวกรวม 3 คน ต่อศาลปกครองกลาง เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย | อส | 18/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานอัยการสูงสุดแจ้งผลคำพิพากษาศาลปกครองกลาง คดีหมายเลขแดงที่ ๒๑๙๑/๒๕๕๕ ระหว่างนายต่อศักดิ์ วานิชขจร ผู้ฟ้องคดี กับปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ และคณะรัฐมนตรี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาไม่เพิกถอนคำสั่งทางปกครองตามที่ผู้ฟ้องคดีมีคำขอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 29349 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) (นายดุสิต ลิขนะพิชิตกุล) | สธ | 18/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายดุสิต ลิขนะพิชิตกุล ข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งนายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาจิตเวช) กลุ่มงานการแพทย์ กลุ่มบริการทางการแพทย์ โรงพยาบาลศรีธัญญา กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๕ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 29350 | การให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นในสัดส่วนของรัฐบาลไทยในโครงการอาเซียนโปแตช (ประเทศไทย) | กค | 18/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้ผู้ถือหุ้นในสัดส่วนของรัฐบาลไทย ซึ่งถือเป็นรัฐบาลประเทศสมาชิกอาเซียน (A Government of the ASEAN Member States) ตาม Basic Agreement และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๓๓ (เรื่อง โครงการทำเหมืองแร่โปแตชอาเซียน) หมายความรวมถึงหน่วยงานรัฐวิสาหกิจของไทยด้วย โดยให้กระทรวงการคลังรับไปดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและข้อตกลงระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องต่อไป ๑.๒ ให้กระทรวงการคลังดำเนินการคัดเลือกหน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่เหมาะสมและพิจารณากำหนดสัดส่วนการถือหุ้นของกระทรวงการคลังและรัฐวิสาหกิจที่จะเข้าร่วมโครงการอาเซียนโปแตช (ประเทศไทย) และรายงานผลการคัดเลือกต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังรับข้อสังเกตของกระทรวงการต่างประเทศที่เห็นว่ากระทรวงการคลังอาจพิจารณาให้รัฐภาคีของ Basic Agreement ทราบเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินการของรัฐบาลไทยที่จะให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจของไทยสามารถถือหุ้นในสัดส่วนของรัฐบาลไทยตาม Basic Agreement ไปพิจารณาดำเนินการด้วย และให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้บริษัทเหมืองแร่โปแตชอาเซียน จำกัด (มหาชน) จัดทำแผนธุรกิจที่ชัดเจนเพื่อแสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการเพิ่มทุนความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจการลงทุน และความเหมาะสมทางการเงินของโครงการอาเซียนโปแตชฯ ไปดำเนินการต่อไป รวมทั้งให้มีแผนธุรกิจที่ชัดเจนเพื่อการบริหารจัดการเกลือ ซึ่งเป็นผลพลอยได้ของโครงการซึ่งคาดว่าจะมีปริมาณมากถึง ๑ ล้านตันต่อปี เพื่อป้องกันปัญหาสิ่งแวดล้อมและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 29351 | ร่างพระราชกฤษฎีกาให้นำราคาปานกลางของที่ดินที่ใช้อยู่ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่ประจำปี พ.ศ. 2521 ถึง พ.ศ. 2524 มาใช้ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่สำหรับปี พ.ศ. 2556 พ.ศ. .... | มท | 18/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาให้นำราคาปานกลางของที่ดินที่ใช้อยู่ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่ประจำปี พ.ศ. ๒๕๒๑ ถึง พ.ศ. ๒๕๒๔ มาใช้ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่สำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๖ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ราคาปานกลางของที่ดินที่ใช้อยู่ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่ประจำปี พ.ศ. ๒๕๒๑ ถึง พ.ศ. ๒๕๒๔ ซึ่งใช้ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่สำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๕ มาใช้ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่สำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ทั้งนี้ ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๖ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้นำราคาปานกลางของที่ดินที่ใช้อยู่ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่ประจำปี พ.ศ. ๒๕๒๑ ถึง พ.ศ. ๒๕๒๔ มาใช้ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่สำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๖ และจัดทำราคาปานกลางของราคาที่ดินขึ้นใหม่ เพื่อใช้ในคราวต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 29352 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดพิจิตร พ.ศ. .... | มท | 18/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมจังหวัดพิจิตร พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ จังหวัดพิจิตร เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 29353 | รัฐบาลราชอาณาจักรโมร็อกโกเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย [นายอับเดลอิละฮ์ เอล ฮูสนี (Mr. Abdelilah El Housni)] | กต | 18/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นายอับเดลอิละฮ์ เอล ฮูสนี (Mr. Abdelilab El Housni) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งราชอาณาจักรโมร็อกโกประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทน นายเอล ฮัสซาน ซาฮิด (Mr. El Hassane Zahid) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 29354 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลหนองผือ อำเภอเขมราฐ ตำบลโนนสวาง อำเภอกุดข้าวปุ้น จังหวัดอุบลราชธานี และตำบลคำโพน อำเภอปทุมราชวงศา จังหวัดอำนาจเจริญ ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... | กษ | 18/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลหนองผือ อำเภอเขมราฐ ตำบลโนนสวาง อำเภอกุดข้าวปุ้น จังหวัดอุบลราชธานี และตำบลคำโพน อำเภอปทุมราชวงศา จังหวัดอำนาจเจริญ ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลหนองผือ อำเภอเขมราฐ ตำบลโนนสวาง อำเภอกุดข้าวปุ้น จังหวัดอุบลราชธานี และตำบลคำโพน อำเภอปทุมราชวงศา จังหวัดอำนาจเจริญ ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 29355 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลปงดอน ตำบลแจ้ห่ม ตำบลวิเชตนคร ตำบลบ้านสา อำเภอแจ้ห่ม ตำบลห้างฉัตร ตำบลหนองหล่ม ตำบลปงยางคก อำเภอห้างฉัตร ตำบลบ่อแฮ้ว ตำบลปงแสนทอง อำเภอเมืองลำปาง และตำบลใหม่พัฒนา ตำบลลำปางหลวง ตำบลไหล่หิน ตำบลเกาะคา อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง พ.ศ. .... | กษ | 18/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลปงดอน ตำบลแจ้ห่ม ตำบลวิเชตนคร ตำบลบ้านสา อำเภอแจ้ห่ม ตำบลห้างฉัตร ตำบลหนองหล่ม ตำบลปงยางคก อำเภอห้างฉัตร ตำบลบ่อแฮ้ว ตำบลปงแสนทอง อำเภอเมืองลำปาง และตำบลใหม่พัฒนา ตำบลลำปางหลวง ตำบลไหล่หิน ตำบลเกาะคา อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลปงดอน ตำบลแจ้ห่ม ตำบลวิเชตนคร ตำบลบ้านสา อำเภอแจ้ห่ม ตำบลห้างฉัตร ตำบลหนองหล่ม ตำบลปงยางคก อำเภอห้างฉัตร ตำบลบ่อแฮ้ว ตำบลปงแสนทอง อำเภอเมืองลำปาง และตำบลใหม่พัฒนา ตำบลลำปางหลวง ตำบลไหล่หิน ตำบลเกาะคา อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง เพื่อประโยชน์แก่การชลประทาน ในการก่อสร้างระบบส่งน้ำและระบบระบายน้ำตามโครงการกิ่วคอหมา และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 29356 | ขอความเห็นชอบให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคกู้เงินระยะสั้นประเภทกู้เบิกเงินเกินบัญชี (O/D) | มท | 18/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามความเห็นของกระทรวงการคลังที่ให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) มีวงเงินกู้ระยะสั้นประเภทกู้เบิกเงินเกินบัญชี (O/D) กับธนาคารที่มีเงื่อนไขเหมาะสมที่สุด วงเงิน ๔,๕๐๐ ล้านบาท อายุ ๑ ปี ตั้งแต่เดือนมกราคม-ธันวาคม ๒๕๕๖ โดยกระทรวงการคลังไม่ค้ำประกัน เพื่อเสริมสภาพคล่องในกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วน ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ซึ่งมีประเด็นสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ ประมาณการเงินสดปี พ.ศ. ๒๕๕๖ กฟภ. มีความต้องการเงินทุนหมุนเวียนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเดือนมิถุนายน ๒๕๕๖ มีความต้องการเงินทุนหมุนเวียนประมาณ ๘๘๐ ล้านบาท ๑.๒ กฟภ. มีลูกหนี้ค่าไฟฟ้าค้างชำระสะสมของส่วนราชการเพียงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๕ เป็นเงินประมาณ ๓,๔๗๐ ล้านบาท เนื่องจากส่วนราชการมีงบประมาณค่าสาธารณูปโภคไม่เพียงพอกับการใช้ไฟฟ้าจริง ๑.๓ คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๔ [เรื่อง มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ครั้งที่ ๖/๒๕๕๔ (ครั้งที่ ๑๓๙)] เห็นชอบอัตราค่าบริการจากมาตรการค่าไฟฟ้าฟรีสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัย ซึ่งติดตั้งมิเตอร์ไฟฟ้าขนาด ๕ (๑๕) แอมแปร์ และใช้ไฟฟ้าไม่เกิน ๕๐ หน่วยต่อเดือน ให้มีผลบังคับใช้สำหรับการเรียกเก็บเงินค่าไฟฟ้าตั้งแต่รอบเดือนมิถุนายน ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับกรณีที่ กฟภ. มีลูกหนี้ค่าไฟฟ้าค้างชำระที่เป็นส่วนราชการ หากส่วนราชการดังกล่าวมีงบประมาณเหลือจ่ายหรือมีงบประมาณเพียงพอที่จะโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณ ก็เห็นสมควรให้โอนไปชำระหนี้ค่าสาธารณูปโภคเป็นลำดับแรกอย่างเคร่งครัด และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๕ [เรื่อง ขอความเห็นชอบให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคกู้เงินระยะสั้นประเภทกู้เบิกเงินเกินบัญชี (O/D)] ในการพิจารณาหาแนวทางและมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้ค่าสาธารณูปโภคค้างชำระของส่วนราชการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อลดความเสี่ยงและบรรเทาผลกระทบต่อฐานะการเงินของ กฟภ. ในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 29357 | ขอความเห็นชอบการกู้เงินในประเทศเพื่อเป็นเงินลงทุนสำหรับงานที่ทำเป็นโครงการของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค | มท | 18/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของกระทรวงการคลังที่ให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) กู้เงินในประเทศเพื่อเป็นแหล่งเงินลงทุนสำหรับโครงการต่าง ๆ จำนวน ๒๐ โครงการ ที่มีความต้องการกู้เงินในประเทศระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติรายการและกรอบวงเงินกู้ของ กฟภ. ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ และการปรับปรุงในระหว่างปี (กรอบวงเงินในเบื้องต้นประมาณ ๑๖,๘๖๙.๕๖๒ ล้านบาท) ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และไม่เกินกรอบวงเงินกู้ที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้ โดยกระทรวงการคลังจะไม่ค้ำประกันเงินกู้ ทั้งนี้ กฟภ. ต้องปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ กำหนดให้การกู้เงินในประเทศดังกล่าวในแต่ละปี กฟภ. จะต้องเสนอความต้องการกู้เงินให้สอดคล้องกับแผนการดำเนินงานและแผนการใช้จ่ายเงินต่อคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเพื่อบรรจุโครงการเงินกู้ไว้ในแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปี โดยกระทรวงการคลังจะเป็นผู้พิจารณาจัดลำดับความสำคัญในการกู้เงิน วิธีการกู้เงิน เงื่อนไขและรายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงินตามความเหมาะสมและจำเป็นต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 29358 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการท่องเที่ยว วุฒิสภา เรื่อง การบริหารจัดการและการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวมรดกโลกของไทย | สว | 18/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการท่องเที่ยว วุฒิสภา เรื่อง การบริหารจัดการและการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวมรดกโลกของไทย พร้อมข้อเสนอแนะกับผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะตามรายงานดังกล่าวที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป โดยคณะกรรมาธิการ ฯ มีข้อเสนอแนะในประเด็นเกี่ยวกับการเร่งรัดดำเนินการประชาสัมพันธ์และปฏิบัติการมวลชนเพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องของสาธารณชนเกี่ยวกับมรดกไทยมรดกโลก การติดตั้งระบบการสื่อสารบริเวณเขตอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา การบริหารจัดการ อนุรักษ์ และพัฒนาพื้นที่แหล่งมรดกโลก และการเสริมสร้างให้เยาวชนได้เรียนรู้เกี่ยวกับแหล่งท่องเที่ยวมรดกโลกของไทย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 29359 | องค์กรร่วมไทย - มาเลเซียขอความเห็นชอบการแก้ไขเพิ่มเติมร่างสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ 2 สัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติแปลง B-17 & C-19 และ B-17-01 ในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย - มาเลเซีย | พน | 18/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้
๑. การแก้ไขเพิ่มเติมร่างสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ ๒ สัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติแปลง B-17 & C-19 และ B-17-01 ในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย ระหว่างองค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย (Malaysia-Thailand Joint Authority : MTJA) และบริษัทผู้ประกอบการ คือ บริษัท PC JDA Limited และบริษัท PTTEP International Limited ในฐานะกลุ่มผู้ขายก๊าซ กับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และบริษัทเปโตรนาส ในฐานะกลุ่มผู้ซื้อก๊าซ ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการองค์กรร่วมในการประชุมครั้งที่ ๙๙ เมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๕๕ โดยสาระสำคัญของถ้อยคำที่เพิ่มในร่างสัญญาฯ ได้แก่ ๑.๑ กลุ่มผู้ซื้อจะต้องชดใช้ค่าเสียหายและคุ้มครองกลุ่มผู้ขาย ตัวแทนของกลุ่มผู้ขาย หรือบุคคลภายนอก สำหรับความสูญเสียหรือความเสียหายทั้งปวงที่เกิดขึ้นเนื่องจากอุปกรณ์ในการผลิตที่กลุ่มผู้ซื้อติดตั้งเพิ่ม ในกรณีที่ความสูญเสียหรือเสียหายนั้นเกิดขึ้นไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมจากการกระทำ การละเว้น การกระทำ การผิดนัดโดยเจตนาทุจริตหรือโดยความประมาทเลินเล่อของกลุ่มผู้ซื้อ ตัวแทนของกลุ่มผู้ซื้อ หรือผู้รับจ้างทำสัญญาช่วงของกลุ่มผู้ซื้อ ๑.๒ ภายในช่วง ๒๗ วัน นับจากวันที่การติดตั้งอุปกรณ์ใหม่แล้วเสร็จ หากมีการดำเนินกิจกรรมใด ๆ หรือการเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงใด ๆ ที่แท่นหลุมผลิตมูด้า เอ (MDA) อันเป็นเหตุให้กลุ่มผู้ขายไม่สามารถส่งก๊าซไปยังจุดส่งก๊าซที่ ๒ ได้ (ช่วงระยะเวลาที่ไม่สามารถส่งก๊าซจากแท่นหลุมผลิตมูต้า เอ ได้เรียกว่า MDA Shutdown Period) ให้ถือว่าปริมาณเรียกรับก๊าซที่จุดส่งก๊าซที่ ๒ เท่ากับ ๐ ล้านลูกบาศก์ฟุต ตลอดระยะเวลานั้น ซึ่งเท่ากับว่าปริมาณก๊าซที่เรียกรับในช่วง MDA Shutdown Period จะเท่ากับปริมาณเรียกรับก๊าซที่จุดส่งก๊าซที่ ๑ ๑.๓ หากมีเหตุการณ์ที่ทำให้ก๊าซรั่วไหลระหว่างจุดส่งก๊าซที่ ๒ บนแท่นผลิตกลางมูด้า (MDPP) และแท่นส่งก๊าซของเปโตรนาส (MPP) ทำให้กลุ่มผู้ขายต้องทำการปิดวาล์วเพื่อป้องกันการเกิดก๊าซรั่วไหลมากขึ้น ในการนี้กลุ่มผู้ซื้อจะต้องจ่ายเงินสำหรับก๊าซในปริมาณที่ได้ผ่านจุดส่งก๊าซที่ ๒ ไปแล้วตามที่จะตกลงกันระหว่างคู่สัญญา ๒. ให้ MTJA ลงนามในร่างสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่ ๒ สัญญาซื้อขายก๊าซธรมชาติดังกล่าวกับกลุ่มผู้ซื้อก๊าซ เมื่อร่างสัญญาฯ ได้ผ่านการตรวจพิจารณาจากสำนักงานอัยการสูงสุดแล้ว ๓. การยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง การทำสัญญาระหว่างหน่วยงานของรัฐกับเอกชน) และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องที่กำหนดให้การทำสัญญาไม่ควรระบุในสัญญา ให้มอบข้อพิพาทให้คณะอนุญาโตตุลาการเป็นผู้ชี้ขาด เนื่องจากร่างสัญญาฉบับนี้จำเป็นที่จะต้องกำหนดวิธีการระงับข้อพิพาท โดยให้คณะอนุญาโตตุลาการเป็นผู้ชี้ขาดเพื่อให้สอดคล้องกับร่างสัญญาซื้อขายกับก๊าซธรรมชาติแปลง B-17 & C-19 และแปลง B-17-01 ในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซียที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๔๘ (เรื่อง องค์กรร่วมไทย-มาเลเซียขอความเห็นชอบในร่างสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติแปลง B-17 & C-19 และ B-17-01 ในพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซียและร่างเอกสาร Indemnity Letter) |
|||||||||||||||||||||||||||
| 29360 | ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลลำปำ ตำบลควนมะพร้าว ตำบลตำนาน ตำบลท่าแค ตำบล ร่มเมือง อำเภอเมืองพัทลุง ตำบลอ่างทอง อำเภอศรีนครินทร์ และตำบลสมหวัง อำเภอกงหรา จังหวัดพัทลุง เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน | กษ | 18/12/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลลำปำ ตำบลควนมะพร้าว ตำบลตำนาน ตำบลท่าแค ตำบลร่มเมือง อำเภอเมืองพัทลุง ตำบลอ่างทอง อำเภอศรีนครินทร์ และตำบลสมหวัง อำเภอกงหรา จังหวัดพัทลุง เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลลำปำ ตำบลควนมะพร้าว ตำบลตำนาน ตำบลท่าแค ตำบลร่มเมือง อำเภอเมืองพัทลุง ตำบลอ่างทอง อำเภอศรีนครินทร์ และตำบลสมหวัง อำเภอกงหรา จังหวัดพัทลุง เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
.....
